foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

soi2

alert2ข้อดีของความสอย

ความสอยนี้ นอกจากจะให้ความสนุกสนานครื้นเครงล้อเลียนและเตือนสติของคนดังกล่าวมาแล้ว ยังเป็นการแสดงที่ใครเอาผิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะ

  1. ความสอยเป็นกลาง กล่าวคือ ความสอยระบุเฉพาะพฤติกรรมคนชั่ว แต่ไม่ระบุชื่อผู้กระทำ แม้ว่าผู้กระทำไม่ดีนั้นจะรู้อยู่ว่าเขาว่าตน ก็เอาผิดคนว่าไม่ได้ ถ้ายิ่งไปเอาผิดเขา เรื่องก็จะกลายเป็นว่า ตัวเองกินปูนแล้วร้อนท้อง จะไปฟ้องร้องทางกฎหมายก็ไม่ได้ ยิ่งเข้าไปฟ้องร้องเขาก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าตนเองนั่นแหละคือผู้ทำเช่นนั้น และถ้าฟ้องไปก็หาหลักฐานไม่เพียงพอ สังคมที่เขารังเกียจพฤติกรรมเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็ไม่มีใครจะไปเป็นพยานให้ ซึ่งก็จะมีแต่เสียกับเสีย
  2. ภาษาสอย ภาษาอีสานที่ใช้ในการสอยนั้น จะแก้ปัญหาในทางกฎหมายได้มากทีเดียว เช่นคำว่า "เผิ่น" โดยปกติจะหมายความว่า "คนอื่น" และคำว่า "โต" โดยปกติจะหมายถึง "ตัวเรา" แต่ในบางสถานการณ์จะมีความหมายกลับกัน จะขอยกตัวอย่างเพื่อพิจารณาดังนี้
    • เผิ่น-โต ที่มีความหมายปกติ เช่น "ของเผิ่น (ของคนอื่น) อย่าไปเอา มันบ่แม่นของโต (มันไม่ใช่ของตัวเองคือของเรา)"
    • เผิ่น-โต ที่มีความหมายตรงข้าม ใช้ในกรณีที่มีการขัดแย้งกัน เช่น มีคนหนึ่งไปหยิบเอาดินสอไปแล้วเจ้าของดินสอไปตามเอาคืน เกิดแย่งกันขึ้น เจ้าของดินสอจะว่า "หึย! ของเผิ่น (ของเจ้าของดินสอ) บ่แม่นของโต (ไม่ใช่ของผู้หยิบเอาของเขามา) จักหน่อย เอาของเผิ่นมาได้ หน้าบ่อาย"

ขอยกกรณีการสอยบ้างเป็นตัวอย่าง เช่น

สอย สอย พี่น้องฟังสอย 
ครูบ้านเผิ่น บ่คือครูบ้านโต
ครูบ้านเผิ่น สอนแต่หนังสือ
บาดห่าครูบ้านโต ล่อสี้แต่ลูกศิษย์
จั่งซี้กะว่าสอย

ลองคิดดูซิว่า มันจะหมายถึงครูบ้านคนสอยหรือหมายถึงครูบ้านคนฟัง มันระบุไม่ได้ แต่ครูผู้มีพฤติกรรมเช่นนั้นหนาวแน่ ถ้ายิ่งไปฟ้องเขา นอกจะเปิดตัวเองว่าเป็นอ้ายโม่งตัวนั้นแล้ว ยังจะแพ้ความเพราะภาษาด้วยเรียกได้ว่าเสียสองต่อ ด้วยความสอยที่ใช้กระเทาะเปลือกคนชั่วและสังคมเลว โดยที่คนชั่วเอาผิดอะไรไม่ได้นี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ใครเล่าจะฉลาดไปกว่า "บรรพบุรุษอีสาน"

alert2สร้อยความสอย

ความสอยธรรมดาจะไม่มีสร้อย แต่ที่ใส่สร้อยเข้าไปนั้น ก็เพื่อเป็นการเน้นความสนใจ ความสะใจ แก้เก้อ เยาะเย้ย และประชด ความสอยก็จะออกรสจูงใจและสะใจผู้ฟัง ผู้ทำชั่วที่ถุกด่าด้วยความสอย เขาก็จะหยุดทำชั่ว สร้อยความสอยดังกล่าวนั้น มีดังนี้

  1. ไม่มีสร้อย ความสอยนี้จะเป็นแบบธรรมดา ซึ่งจะมีสร้อยหรือไม่ก็ได้ เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    ดัง ตึ้ง ตึ้ง พ่อเฒ่าอึ่งนั่งปิ๊ด
    นั่งลงผิด กะพาหงายลงตึ้ง

    (สอยสดในกรณีที่พ่อเฒ่าอึ่งเอาปิ๊บมาคว่ำลงแล้วนั่งปิ๊บคว่ำจนตัวเองหงายหลังลง)
  2. เน้นความสนใจ ความสอยนี้จะเป็นการสอยเรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งมีข้อความค่อนข้างตลกมันๆ เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    ลิงกินกล้วย มันนั่นกินเบิ๊ดหวี
    บาดห่าหีกินโคย ดูดกินแต่น้ำ
    จั่งซี้กะว่าสอย
    (สร้อยมัน)
  3. เน้นความสะใจ เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    ลูกสาวเดียวอยากได้ทองห้าฮ้อย
    พ่อลูกอ่อนสี้จ้อยบ่ได้พอสลึง
    จั่งซี่กะว่าสอย
    (สร้อยมัน)
  4. เน้นแก้เก้อเมื่อกระทบแรงๆ เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    บัตรยากจน คนทุกข์บ่ได้ใช้
    บาดห่าคนได้ใช้ มีแต่ญาติกำนัน
    ฮ่วยจั่งซี้กะว่าสอย
    (สร้อยมัน)
  5. เน้นเยาะเย้ย เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    ฟาดแส้ ลงใส่หลัง เขาว่าตี
    ฟาดโคย ใส่หี เขาว่าสี้กัน
    ฟาดเบิ๊ดสู่อันเขาว่า "ผู้แทนซื้อเสียง"
    เฮอะ เฮ่ย จั่งซี้กะว่าสอย
    (สร้อยมัน)
  6. เน้นในเชิงประชด เช่น
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
    อั๊วคงคิด ดีกลูกคิกรางทอง
    พวกพี่น้อง จำสูกง่ายๆ
    ไผขี้ร้ายอั๊วกิงหมกเลย
    ซาให้โหงวโละยี่ สี่ให้โหงวโละเอี่ยว
    โหงวตื้อโหงวกิงอีก โป๊ยตื้อซากิงอีก
    ซิกตื้อซาฮวงเกี่ยวกิงอีก
    มีอีกอั๊วกิงอีก มีอีกอั๊วกิงอีก
    มีอีกอั๊วก็กิงอีก
    ฮ่วย! กระหยอนลาวจนดอกเว้ย
    (สร้อยมัน)

alert2ผู้ที่จะสอย

การสอยนั้นนิยมใช้กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่มีจำกัดว่าเพศใดเพศหนึ่ง ยกเว้นนักบวช นอกนั้นสอยได้หมด แต่คุณสมบัติของผู้สอยนั้นจะต้องเป็นผู้มีมุขตลกอยู่ในบุคลิกเพราะสอยต้องการความสนุกสนาน ไม่ใช่เป็นวิชาการ ถ้าสอยแล้วไม่สนุก มันก็จืดชืด ถ้ามันจืดชืดแล้วจะใช้สร้อยแก้เก้อว่า "จั่งซี้กะว่าสอย" อยู่เรื่อยๆ คงไม่ไหว

alert2ทำนองสอยสอย

เนื่องจากการสอยเป็นมุขตลก สอยออกมาแล้วต้องเรียกเสียงฮาให้ได้ ดังได้กล่าวมาแล้ว ทำนองสอยก็จะต้องเป็นทำนองตลกซึ่งคนอีสานเรียกทำนองนี้ว่า "แถนหนิ่งหน่อย" (แถนจั๊กกะจี้หรือพระอินทร์ทำให้หัวเราะนั่นเอง) ทำนองนี้จะมีสั้นบ้างยาวบ้าง สลับกันไป

alert2การออกเสียง

การออกเสียงภาษาของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น จะแตกต่างกับภาษากลางในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะที่มีวรรณยุกต์ ภาษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีวรรณยุกต์ ออกเสียงเอาเหมือนภาษาอังกฤษ ถึงจะใส่วรรณยุกต์ก็จะออกเสียงตามภาษาอีสานอยู่นั่นเอง


[ วรรณกรรมคำสอย | ความเป็นมาของความสอย | ข้อดีของความสอย | ความสอยเรียงตามอักษร ]

redline

backled1

soi2


alert2ความเป็นมาของความสอย

นอีสานเป็นเผ่าชนที่มีอารมณ์ศิลปิน ศิลปินอีสานอาจกล่าวได้ว่า ร้องลำทำเพลงได้ทุกประเภทและทุกชาติ บ่อยครั้งที่คนอีสานรับจ้างเล่นงิ้วให้กับคนจีน เขาเล่นได้โดยไม่ต้องฝึกหัดงิ้ว ที่เป็นดังนี้เพราะเป็นไปได้ที่คนอีสานกับคนจีน มีชีวิตความเป็นอยู่สัมพันธ์กันมาตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำฮวงโหแยงซีเจียงแล้ว

ความสอยเป็นมุขตลกนอกเวที ความสอยนี้จะใช้กันในเวลาฟังลำ โดยเฉพาะในจังหวะเดินกลอนและร่ายลำที่เร้าใจที่สุด ความสอยนี้นิยมใช้กับหมอลำเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กับการบันเทิงประเภทอื่น เหมือนการแถมสมภารมักจะใช้ขณะที่พระเทศน์ด้วยเสียงไพเราะเท่านั้น

ความสอยนี้ไม่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด และเกิดขึ้นกับชนเผ่าใด จากการสันนิษฐานตามรูปการณ์ของมัน ก็พอจะเห็นได้ว่า มันเกิดขึ้นจากลุ่มแม่น้ำฮวงโหแยงซีเจียง เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว เกิดกับชนชาติเผ่าอ้ายลาว และเกิดเวลามีอารมณ์สนุกตอนฟังลำเท่านั้น ฟังอย่างอื่นไม่เห็นมีสอยและชนชาติที่สอยได้ ก็คือชนชาติอ้ายลาวเท่านั้น

ความสอยนั้น ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สอยได้ คนที่สอยได้นั้นจะต้องเป้นคนฉลาดและมีไหวพริบ และมีปฏิภาณดี ความสอยเป็นสำนวนคล้องจอง ใช้หลายภาษาสลับกันได้ แต่ที่เห็นใช้เป็นหลักอยู่ก็คือภาษาไทยอีสาน และมีภาษาไทยกลางบ้าง แต่ก็ใช้เป็นภาษาประกอบเท่านั้น

บรรพบุรุษของคนอีสาน เป็นคนฉลาดคิดค้นความสอยนี้ขึ้นมาใช้อย่างมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการใช้ ใช้ก็ใช้ในเวลามีคนรวมกันมากๆ ด้วย คนจำนวนน้อยไม่ค่อยใช้กันเพราะใช้แล้วไม่สนุก เมื่อมองถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายดังกล่าวแล้ว ความสอยจึงสามารถจัดแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบดังนี้

  1. แบบสนุกสนาน ความสอยประเภทนี้วัตถุประสงค์ก็เพื่อคลายเครียดเท่านั้น ไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น ภาษาที่ใช้ซึ่งคนที่เข้าใจตนเองว่าเป็นบัณฑิตอาจจะคิดว่าหยาบก็ได้ แต่คนอีสานเขาไม่ถือกัน เขารู้ดีว่าศิลปะและศาสตร์มันต้องเดินคู่กัน มันจึงจะไม่เครียด ตัวอย่างคำสอยดังกล่าวนั้น เช่น
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ลิงกินกล้วย มันนั้นกินเบิ้ดหวี
      บาดห่าหีกินโคย ดูดกินแต่น้ำ
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ตดบ่ดัง เขาเอิ้นว่าตดสูด
      ตดดังปู้ด เขาเอิ้นว่าตดผู้นำ
      ตดแล้วขี้ออกนำ เขาเอิ้นว่าตดต่อน
      ตดเป็นสีฮ้อนๆ ระวังขี้หยอดเด้อะ
  2. แบบล้อเลียน ความสอยประเภทนี้ มีวัตถุประสงค์จะล้อเลียนใครสักคนหนึ่ง แต่ไม่ระบุตัวไม่สามารถเอาผิดกันได้ คนฟังก็รู้และหัวเราะสนุกกันไป แต่ความหมายกินใจมาก เช่น
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ครูบ้านเผิ่น บ่คือครูบ้านโต
      ครูบ้านเผิ่น สอนวิชาการศึกษา
      บาดห่าครูบ้านโต ล่อสี้แต่ลูกศิษย์
      จังซี้กะว่าสอย
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      เมียชาวบ้าน บ่คือเมีย ซาอุ
      เมียซาอุ สาธุ แต่โคยใหญ่
  3. แบบเตือนสติ ความสอยประเภทนี้ มีวัตถุประสงค์จะเตือนใครสักคนหนึ่ง ให้ระวังตัวว่า ตนเองอาจจะเดินทางผิด หรืออาจจะบกพร่องในหน้าที่ ซึ่งผู้ทำผิดเองจะรู้ตัวและกลับตัวกลับใจ หรือถ้าไม่ได้ฟังแต่ญาติหรือเพื่อนไปฟังก็จะเอามาเล่าสู่กันฟัง พร้อมทั้งเตือนสติให้กลับตัวกลับใจ หรือให้ปรับปรุงตัวใหม่ เช่น
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเผิ่น บ่คือผู้ใหญ่บ้านบ้านโต
      ผู้ใหญ่บ้านบ้านโต ชาวบ้านเลือกผัว
      แต่ว่า เมียเป็นผู้ใหญ่บ้าน
      จั่งซี้กะว่าสอย
    • สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      พระบ้านเผิ่น บ่คือพระบ้านโต
      พระบ้านโต อัดผักตูคุยสาว
      ถ้าเกิดเรื่องเกิดราว ระวังสากมองเขาสิบังสุกุลเด้อข้าน้อย
      จั่งสิกะว่าสอย
  4. แบบประสานเสียง ความสอยประเภทนี้ มีวัตถุประสงค์จะให้คนสนใจให้มากกว่าเดิม ความจริงความสอยนี้โดยเนื้อหา ก็คล้ายคลึงกันกับแบบล้อเลียนและเตือนสติ จะต่างก็แต่ไม่ใช้คนสอยคนเดียว จะใช้คนสอยประสานกันสองคน ซึ่งจะเรียกว่า "สอยเป็นทีม" ก็ได้ โดยผู้สอยจะตกลงกันก่อนว่า ให้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเสนอ ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายสนอง แล้วทั้งสองฝ่ายจะแยกกัน ออกไปอยู่คนละมุมของเวทีหมอลำ เมื่อจังหวะหมอลำเร้าใจเต็มที่ ไม่ว่าจะร้องลำหรือร่ายรำเกี้ยวกัน ฝ่ายเสนอจะเริ่มสอยทันทีดังนี้

          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
          ครูบ้านเผิ่น บ่คือครูบ้านโต
          ครูบ้านโต ในตารางสอนมีอยู่ 2 วิชา
          คือ เลข คัด แล้วก็เลิก


    ฝ่ายสนองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็จะถามมาทันทีว่า
          เวลานอกนั้น แล้วครูไปไหน?
          เด็กชายมี ?
    (ออกเสียงภาษาไทยกลาง)

    แล้วฝ่ายเสนอก็จะตอบกลับทันทีว่า
          คุณครูไม่มาครับ (ใช้เสียงภาษาไทยกลาง)

    ฝ่ายสนองก็จะถามอีกว่า
          เด็กหญิงสุดาล่ะ คุณครูไปไหน? (เสียงภาษาไทยกลาง)

    ฝ่ายเสนอก็จะตอบว่า
          คุณครูนั่งคุยกันค่ะ (เสียงภาษาไทยกลาง)

    ฝ่ายสนองก็จะถามอีกว่า
          เด็กชายจุกล่ะ คุณครูไปไหน? (เสียงภาษาไทยกลาง)

    ฝ่ายเสนอก็จะตอบแทนเด็กชายจุกว่า
          คุณครูนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องครูใหญ่ เพราะครูใหญ่เป็นครูใหญ่ประจำอำเภอครับ (ออกเสียงภาษาไทยกลาง)

          ถึงตรงนี้ผู้คนก็จะฮาครืนขึ้นทันที แล้วคุณครูที่มีพฤติกรรมเช่นว่ามา ก็จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงนิสัยทันที มิฉะนั้นก็จะอยู่ในสังคมเขาลำบาก
  5. แบบแก้กลอนกัน ความสอยแบบนี้วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างความสนุกสนานครื้นเครงเช่นเดียวกัน แต่ต่างที่ว่าความสอยแบบแก้กลอนนี้ เล่นวาทะโต้กัน การจัดทีมก็เหมือนกันกับที่กล่าวไว้ในข้อ 4 คือแบบประสานเสียง แต่ต่างตรงที่ว่า นิยมฝ่ายหนึ่งเป็นทีมหญิง อีกฝ่ายหนึ่งเป้นทีมชาย มีลักษณะคล้ายลำตัด เขาจะใช้โวหารห้ำหั่นกันดังนี้
    • ฝ่ายเสนอ ซึ่งจะเป็นชายก็ได้ จะเป็นหญิงก็ได้ สมมุติว่าถ้าฝ่ายเสนอเป็นชายก็จะเริ่มดังนี้
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ถามข่าวน้องถามข่าวขอแข
      ถามคอแคค่อยอยู่ดีบ่คอแค้
      ถามว่าหีเจ้าแหล่หรือว่าแดงจ่ายหว่าย

      (คนฟังแล้วจะฮาตูมทันที)
    • ฝ่ายสนอง ที่เป็นฝ่ายหญิง ซึ่งถูกเล่นงานก่อน ก็จะเริ่มสอยแก้กลอนทันทีว่า
          สอย สอย พี่น้องฟังสอย
      ถามข่าวอ้าย ถามข่าวขอขอ
      ถามคอ คอ ค่อยอยู่ดีบ่ คอ ค้อ
      ถามว่าโคยเจ้าเสียกพ่อว้อหรือว่าบานเปิ่งเซิ่ง

      (คนก็ตบมือฮาลั่นขึ้นทันที)
            จากนั้น ก็จะปล่อยให้หมอลำลำต่อไป จนกว่าจะได้จังหวะสอยใหม่ ส่วนหมอลำเมื่อเห็นผู้มาฟังลำสอยกันสนุกสนานครื้นเครงเช่นนั้น ก็จะมีกำลังใจคึกคะนองแสดงกันอย่างห้าวหาญ พวกดูข้างๆ เวทีก็จะร่ายรำกันอย่างสนุกเช่นกัน นี่เป็นวัฒนธรรมบันเทิงของชาวอีสานที่ได้ทั้งการสนุกสนาน ได้ทั้งการมีโอกาสได้พบกันและได้ทั้งการใช้ความสอยด่าและเตือนสติคนทำชั่ว อย่างที่ผู้ถูกด่าและถูกเตือนสติตำหนิไม่ได้

 


redline

backled1

soi

คำสอย เป็นการแสดงวาทศิลป์ของคนอีสาน เพื่อความสนุกสนานในขณะที่ฟังหมอลำกลอน และคำสอยนี้มีวิวัฒนาการมาพร้อมๆ กับการลำกลอน จะเห็นว่า คำสอยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้านภาษาอันลํ้าค่า ที่บรรพบุรุษได้สร้างสมและถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน ครั้งอดีตเคยมีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวอีสาน เพราะได้สะท้อนสภาพชีวิตและวัฒนธรรม ความเป็นอยู่จากถ้อยคำที่ปรากฏ ปัจจุบันคำสอยจะพัฒนาไปตามความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งเกี่ยวข้องกับวถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณี ความเชื่อ ทัศนคติ และเหตุการณ์ประทับใจของคนในท้องถิ่นอีสาน แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าคำสอยในอดีตจะขาดความสำคัญไป คำสอยในอดีตยังคงขบขันเสมอ และยังได้รับความนิยมอย่างไม่เปลียนแปลง โดยเฉพาะในด้านรูปแบบนั้นยังคงยึดรูปแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน

การขึ้นต้นในการสอยแต่ละครั้งนิยมขึ้นต้นด้วยคำว่า “สอย.. สอย..” ซึ่งการขึ้นต้นแบบนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย และยังมีการขึ้นต้นคำสอยอีกหลายแบบ เช่น ขึ้นต้นด้วยการรัวลิ้น ตรู๊...ตรู๊...ตรู๊ แล้วตามด้วยคำว่า สอย...สอย หรือขึ้นต้นด้วยคำว่า เซิ้ม...เซิ้ม.. หรือคำอื่นๆ แล้วนำธรรมชาติของสัตว์เป็นสิ่งเปรียบเทียบ โดยเฉพาะชื่อของนกชนิดต่างๆ ได้แก่ นกแตดแต้ นกขุ่ม นกขี่ถี่ เป็นต้น ซึ่งเป็นนกที่มีในท้องถิ่น นอกจากนั้นยังมีคำว่า “สาวสํ่าน้อย” หรือ “เฒ่าสิตาย” แต่ไม่ใช่เป็นหัวข้อบังคับที่ตายตัว เนื้อหาในคำสอยจะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม มีทั้งเสียดสี ล้อเลียน ประชดประชัน กระเซ้าเย้าแหย่เกี่ยวกับโลกีย์วิสัย ซึ่งคำที่ใช้เรียก "อวัยเพศของผู้หญิง หรือผู้ชาย" ก็ปรากฏออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

ฉันทลักษณ์ของคำสอยนั้น มีลักษณะคล้ายกาพย์ แต่ก็ไม่ได้บังคับตายตัวหรือเคร่งครัดแต่ประการใด เพราะคำสอยจะเน้นในเรื่อง คำ ความหมาย และความขบขันเป็นสำคัญ คำที่ใช้เป็นคำที่เรียบง่าย ฟังแล้วเข้าใจได้ทันที

บทบาทของคำสอยที่มีต่อสังคม

บทบาททางด้านการศึกษา

การศึกษาในสมัยก่อนเป็นการศึกษาในชีวิตประจำวัน ไม่เป็นระบบการเรียนรู้ต่างๆ เป็นการถ่ายทอดโดยมมุขปาฐะและการสาธิต ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ และเกิดความซาบซึ้งไปโดยอัตโนมัติ การให้การศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะข้อห้าม ค่านิยมต่างๆ ตลอดจนการอบรม สั่งสอน

บทบาทด้านการเมือง

คำสอยทำหน้าที่เป็นสื่อพื้นบ้าน ในการถ่ายทอดข่าวสารทางการเมืองได้เป็นอย่างดี เนื้อหาการสอยเป็นการล้อเลียนพฤติกรรมสังคมทางค่านิยม เรื่องที่สอยมีทั้งที่เป็นจริง และเป็นเรื่องของความคะนองปาก คะนองอารมณ์ บุคคลที่นำมาประกอบคำสอย จะเป็นนักการเมือง ข้าราชการผู้ใหญ่

บทบาททางด้านเศรษฐกิจ

ในสมัยก่อนระบบเศรษฐกิจของสังคมอีสาน ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ "การพึงตนเองมากกว่าการค้าขาย" การผลิตการบริโภคเป็นไปแบบเพื่อสนองความต้องการในครอบครัว หรือในชุมชนนั้นๆ เพราะสังคมอีสานเป็นสังคมเกษตรกรรม ต่อมาสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปการผลิตมุ่งเพื่อการค้ามากขึ้น ทำให้ระบบเศรษฐกิจในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในการสอยจะกล่าวถึงสถานภาพเศรษฐกิจของชาวอีสานในด้านอาชีพต่างๆ ด้วย

บทบาทด้านวัฒนธรรม

สภาพสังคมของชาวอีสาน เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันแบบพี่น้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน การประกอบอาชีพส่วนใหญ่คือ ทำนา ทำไร่ หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว ก็จะทำอาชีพอย่างอื่นเสริม เช่น ทอผ้า จักสาน หรือ จับปลาตามห้วยหนอง คลองบึง เป็นต้น

สอย หรือ คำสอย เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ ที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขันของคนอีสาน สร้างให้เกิดความสนุกสนาน วรรณกรรมคำสอยมีความเป็นมาพร้อมๆ กับหมอลำกลอน ในปัจจุบันมีคนนำมาใช้กับหมอลำคู่และหมอลำเพลินด้วย ด้วยความมีอิสระเสรีในการสอย แม้คำสอยส่วนมากจะเน้นหนักในเรื่องทางเพศ แต่ชาวบ้านเขาไม่ถือสากัน กลับเห็นเป็นเรื่องขำขันและสนุกสนานมากกว่า คล้ายคลึงกับกลอนเพอะนั่นเอง ขอให้ท่านได้ใช้วิจารณญาณในการศึกษาเรียนรู้ด้วยครับ (ขอให้พยายามอ่านออกเสียง เป็นสำเนียงอีสาน ข้อความทั้งหมดมิได้พิมพ์ผิด แต่พยายามให้ใกล้เคียงกับสำเนียงภาษาพูด) วรรณกรรมคำสอยแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

คำสอยที่เป็นภาษิตคำคม

คำสอยประเภทนี้จะมีคติสอนใจ แฝงไว้ด้วยความเป็นจริงและสะท้อนให้เห็นชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละชุมชน มีทั้งประเภทที่เป็นคำกลอนสุภาพ และไม่สุภาพ เช่น

  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายขี่ยายคันฮั้ว ยามมื้อเช้าตู่ลูกตู่หลาน
    (แก่แล้วยังไม่ยอมรับผิด)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายตายซ้ำ งันเฮือนดีม่วนกุ้ม
    (คนแก่เมื่อถึงคราวอายุขัย เมื่อตายไปลูกหลานไม่ค่อยโศกเศร้า)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายปีนขึ้นต้นหมาก เหลียวเบิ่งดาก ว่าแม่นครกตำหมื่อ
    (คนแก่ไม่รู้จักประเมินสถานภาพของตนเอง)
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวครู เหลียวเบิ่งฮูบ่ล้างจักเทื่อ
    (เป็นการล้อเลียนหญิงวัยรุ่นที่อยากได้สามีที่มีเกียรติ แต่ไม่ปรับปรุงตัวเองให้ดี)
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวดี เหลียวเบิ่งหีบ่ล้างจักเทื่อ
    (เช่นเดียวกับคำสอยข้างบน แต่ล้อเลียนหนักไปหน่อย)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักควม ห่มผ้านวมสี้กันอยู่จ๊ะจ๊ะ
    (ล้อเลียนคนแก่ที่มักมากในกามตัณหา)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมปลายงิ้ว หีท่อสองนิ้วกะสิเอาสองหมื่น
    (ล้อเลียนผู้หญิงที่ไม่มีค่า แต่อยากได้สินสอดมาก)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมปลายข่อย สี่โคยน้อยปานไม้ดีดหี
    (ล้อเลียนผู้หญิงที่ไม่อิ่มในกามคุณ)
  • สอย... สอย... แกงเห็ดเผาะใส่น้ำเอาะเจาะ เอาพี่อ้ายนี่เถาะขี้คร้านหาผัว
    (แสดงถึงความในใจของน้องเมียที่อยากได้พี่เขยเป็นสามี)
  • สอย... สอย... เขียดอีโม้ขาโป้ทางหลัง สี้กะเป็นหยังพี่อ้ายกูตั้ว
    (แสดงถึงความไม่ละอายต่อการทำบาป)
  • สอย... สอย... เป็ดสี้เป็ดอยู่ใต่ฮ่มไผ่ ไก่สี้ไก่อยู่ใต้ฮ่มทัน ยามมันคันสั่นขนอยู่พรืด... พรืด...
    (การนำเอาพฤติกรรมของสัตว์ มาเปรียบเทียบกับคนว่า คนเรานั้นเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนได้)
  • สอย... สอย... ไข่ไก่กะเอิ้นว่าไข่ไก่ ไข่เป้ดกะเอิ้นไข่เป็ด บัดไข่คนเป็นหยังเอิ้นว่าไข่หำ
    (นามนั้นสำคัญไฉน)
  • สอย... สอย... ผักกระโดนกินกับลาบนกขาบ สี้หีตาบ ๆ ปานขี่เฮือแตก
    (การร่วมเพศกับหญิงคลอดลูกใหม่ย่อมไม่เป็นที่พออกพอใจ)
  • สอย... สอย... ผักกะเสดกินกับลาบนกจอก เลือดหีออกมันอยากคาบโคยเสียก
    (แสดงให้เห็นถึงหญิงสาวที่อยู่ในวัยที่จะมีสามีได้)
  • สอย... สอย... ซ้ำข้าวมันพี ซ้ำหีมันจ่อย
    (เตือนให้ประเมินกำลังของตนเอง)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตาย ตายจ้อย จั่งซี่กะสอย... จักนอยสอยอีก
    (สมน้ำหน้า)

คำสอยทั่วไป

คำสอยประเภทนี้เป็นคำสอยที่เหน็บแนม ประชดประชันและเสียดสีสภาพความเป็นอยู่ และพฤติกรรมของสังคม ตลอดจนบุคคลทุกรุ่นทุกวัย เพื่อความสนุกสนานเพื่อสร้างอารมณ์ขัน ทั้งยังเป็นแนวคิดแก่คนในชุมชนนั้นๆ ด้วย คำสอยประเภทนี้แยกได้ดังนี้

bulletคำสอยที่เกี่ยวกับสตรี เป็นคำสอยที่นิยมสอยกันอย่างแพร่หลายมาก ซึ่งผู้ฟังมักจะ ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ซึ่งยังอาจแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คิอ

  1. คำสอยเกี่ยวกับสตรีวัยรุ่น จะกล่าวเสียดสีถึงความไม่ประสีประสา หรือความอ่อน ต่อโลกของหญิงวัยรุ่น เป็นทำนองให้คติเตือนใจและประชดประชันมากกว่า การสอยจะมีคำว่า "สาวส่ำน้อย" ต่อจากคำ สอย... สอย...
  2. คำสอยเกี่ยวกับสตรีทั่วไป
  3. คำสอยเกี่ยวกับสตรีวัยสูงอายุ เป็นคำสอยเสียดสีประชดประชันหญิงสูงอายุ เป็นการให้แง่คิดหรือเตือนสติ มิใช่เป็นการพูดที่ขาดความเคารพนับถือแต่ประการใด ส่วนมากมุ่งเน้น เพื่อความขบขันและสนุกสนานเท่านั้น
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยงอยขี่ขอนจิก บาดห่าขอนพาพลิก ... โอ้ย เบิ่งบ่ได้
    (กล่าวถึงการไม่สงบเสงี่ยมของสาววัยรุ่น)
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวดี เหลียวเบิ่งหีบ่ล้างจักเทื่อ
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวแพทย์ เหลียวเบิ่งหีอมแตดจู่หลู่
    (เป็นการเปรียบเปรยหญิงที่อยากเจริญก้าวหน้าในชีวิต แต่ไม่พัฒนาตัวเอง)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้ามปลายตาล ไผได้ผัวทหารผู้นั้นฮักซาติ
    (ล้อเลียนหญิงสาวที่มีคู่รักถูกเกณฑ์เป็นทหาร)
  • สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกกด สาวนั่งตดแตดโงโล่งโค่ง
    (ล้อเลียนการไม่รู้จักสำรวมในการนั่งของหญิงสาว)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมทางรถ สาวนอนตดหีหมอยเพิงเวิ้บ
    (การไม่ระมัดระวังในการนอนของหญิงสาว)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมทางเกวียน สาวนักเรียนสี้ครูประจำชั้น คันบ่เฮ็ดจั่งซั้นสิบ่ได้คะแนน
    (การประพฤติผิดศีลธรรมระหว่างครูกับศิษย์)
  • สอย... สอย... นกขุ่มหลี่กุมสี้นกเขียว ผู้สาวยามเคียว หีจื้นอึจื้นอึ
    (ชี้ให้เห็นลักษณะและสภาพของหญิงที่มีกำหนัด)
  • สอย... สอย... หัวสิงไคเป็นกอพะยะ ผู้สาวมักพระ ตกนรกอเวจี
    (เป็นการเตือนสติให้สาวเกรงกลัวต่อบาป)
  • สอย... สอย... นกขุ่มหลี่กุมสี้นกเต็น ผู้สาวนอนเว็น หีเหม็นเป็นตาหน่าย
    (สอนหญิงสาวไม่ให้เกียจคร้าน)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข่วมปลายสีดา ผู้สาวสูบยาควันออกหน่อแตด
    (สอนหญิงไม่ให้กระทำในสิ่งไม่ดี)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้ขาเดียวชี้ฟ้า ป้าผู้เดียวสี้ซ้ำซ่าบ่นอ
    (แสดงถึงอารมณ์ทางเพศ)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้แตดแต่ตะวิด กินของผิดหีติดกระดูก กินของถูกหีต่งคืนมา
    (การรู้จักกินอาหารที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะหญิงคลอดลูกใหม่)
  • สอย... สอย... ส้มผักเสี้ยนสังเวียนสังแวะ ใต้ท้องน้อยเป็นฮอยขวานแซะ
    (เป็นการเสียดสีผู้หญิงที่นั่งไม่ระวังตัว)
  • สอย... สอย... ลูกสาวเดียวหีเคียวคือแม่ หีแม่หมอยหีลูกพวมป่ง
    (ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายไปบายหำผัวว่าแม่นหมกหม่ำ จ้ำลูกจ้ำมันสิสวยโรงเรียน
    (เป็นการแสดงถึงความเลอะเลือนของหญิงชรา)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายโคยผัวว่าแม่นหัวไก่ตี "เสมอแดงสิบบาท" เอาเลยบักแดงลูกแม่
    (แสดงความเลอะเลือนและลุ่มหลงในการพนัน)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายตกโพนหมากพริก ลุกขึ้นได้แตดแข็งยิกยิก
    (คนแก่แล้วไม่รู้จักเจียมสังขาร)

bulletคำสอยที่เกี่ยวกับบุรุษ คำสอยมักจะเกี่ยวข้องกับเพศหญิงเสียเป็นส่วนมาก อาจเป็นเพราะหมอสอยผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิงก็ได้ หรือเพศหญิงเป็นเพศที่สงบเสงี่ยม คำสอยที่เกี่ยวกับผู้ชายก็มีไม่น้อย ซึ่งแยกได้ดังนี้

  1. คำสอยเกี่ยวกับหนุ่มวัยรุ่น คำสอยประเภทนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนหนุ่ม ที่มีต่อสภาพของสังคมท้องถิ่น หรือพฤติกรรมต่างๆ ของคนในชุมชนที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง
  2. คำสอยเกี่ยวกับชายสูงอายุ คำสอยประเภทนี้มีลักษณะคล้ายหญิงสูงอายุ กล่าวคือ เป็นคำสอยเสียดสี ประชดประชัน หรือล้อเลียนความไม่สมประกอบของคนแก่ เช่น ความเลอะเลือน ขี้หลงขี้ลืม เป็นต้น
  • สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกขุ่มหลี่ คนอยู่นี่อยากสี้กันหมด
    (ทัศนคติของคนหนุ่มที่มีต่อเรื่องเพศ)
  • สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกขุ่มลัน ผู้เฒ่าสี้กันทั้งเด้าทั้งตด
    (คนหนุ่มมองคนแก่ในเรื่องเพศเป็นเรื่องขบขัน)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมเสาธง ผู้สาวรำวงเป็นตาห่าของแท้นอ
    (ทัศนะของคนหนุ่มที่มีต่อสาวรำวง)
  • สอย... สอย... นกแคบแคบิยข้วมหลังเล้า ผู้เฒ่าสี้กันหัวฟัดหัวเฟือน
    (เป็นการสบประมาทความแก่ตามประสาคนหนุ่มที่ปากอยู่ไม่สุข)
  • สอย... สอย... ผักกะโดนกินกับลาบปลาสร้อย สี้เด็กน้อยปานขี่เฮือแซม กูย่านแข้กินกูเด
    (ทัศนะของหนุ่มที่มีต่อสาวรุ่น)
  • สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมปลายบก ฝนบ่ตกหัวล้านแตกเขิบ
    (เป็นการเสียดสีหรือกระแนะกระแหนคนที่ศีรษะล้าน)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักศีลห้า บาดห่าเมียเอานมฟาดหน้า... อามะภันเต
    (กระแนะกระแหนคนแก่ที่ไม่รู้จักการเข้าวัดฟังธรรม)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายนมเมียว่าแม่นถุงกาแฟ เอาโอเลี้ยงให้ถ้วย แมีอีหนูจ๋า
    (เป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ของคนแก่)
  • สอย... สอย... เฒ่าบ้านเพิ่นบ่คือเฒ่าบ้านโต เฒ่าบ้านโตจ่มเซ้าจ่มแลง หรือว่าเพิ่นอยากแทงเจ้าบ่หือ... อีแม่เฒ่า ...อันนี่กะสอย
    (เป็นการกระแนะกระแหนคนแก่ขี้บ่น)
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายอยากกินลาบกระต่าย บ่แม่นของหาง่ายดี้เฒ่าห่าตำหัว
    (คนแก่เอาใจยากหรือคนแก่เอาแต่ใจตัวเอง)

bulletคำสอยเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เป็นคำสอยที่อาจจะมีความหมายหยาบคายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เป็นการเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่างไรก็ตามชาวบ้านเขาไม่ถือ เพราะเป็นเรื่องสนุกสนาน ใครๆ ก็ชอบความขบขัน หรืออารมณ์อันเกิดจากการล้อเลียนในเรื่องเพศ อย่างเช่น ลำตัดของภาคกลาง คำสอยต่างๆ มีดังนี้

  • สอย... สอย... หีหมอยยามลอบ หีหมอบยามไซ หีใหญ่ยามตุ้ม หียุ้มเอาโคย นั่นละนา
    (เป็นการเปรียบเทียบอวัยวะเพศกับเครื่องมือจับสัตว์น้ำ)
  • สอย... สอย... เกิดชาติหน้าให้หีเหนียวคือไตไก่ ให้หีใหญ่ท่อบ้านโคยย้านแล่นหนี
    (ความต้องการของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด)
  • สอย... สอย... หีผู้สาวกินข้าวเม่า หีผู้เฒ่ากินขี้แกลบ ... กุ๊บกั๊บ ๆ
    (หญิงสาวย่อมดีกว่าคนแก่เป็นธรรมดาโลก)
  • สอย... สอย... ซุปหน่อไม้กินกับผักอีฮีน ผู้สาวส่ำน้อยหีแดงพินลีน
    (พูดส่อเสียดสาววัยรุ่น)
  • สอย... สอย... หมากขามป้อมเป็นหน่วยมนมน ฮูหีคนคือดังม้าน้อย
    (เปรียบเทียบอวัยวะเพศหญิงกับจมูกม้า)

bulletคำสอยสมัยใหม่ คำสอยที่พัฒนาขึ้นมาให้เข้ากับเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งสื่อมวลชนแขนงต่างๆ มีอิทธิพลเข้ามาในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว วรรณกรรมคำสอยเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ ย่อมมีการพัฒนาตามไปด้วย

  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักเหยี่ยวถลาลม บัดเขาขึ้นโคม ช่วยด้วยพี่หลี่ถัง
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักสรพงษ์ บัดเขาฮูดซิบลง นี่หรือดำอำมหิต
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักกระทิงแดง บัดห่าเขาแทง กระทิงแดงซู่ซ่าส์
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่เคยเบิ่งทีวี บัดห่าโคยเข้าหี ช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักบานเย็น (หมอลำ) บัดห่าเอ็นเข้าท้อง อย่าติงคีงน้องอย่าติงคีง
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักวาเปกซ์ บัดเขาเอาไปเต๊ก ดมวาเป็กซ์แก้หวัดไหมค่ะ
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักเป๊บซี่ บัดห่าโคยเข้าหี ... เป๊บซี่ดีที่สุด
  • สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮูจักแล็คตาซอย บัดเขาดึงหมอย อาหารเสริมสำหรับคุณ
  • สอย... สอย... ลูกสาวคนเดียวให้เฮียนโรงเรียนราษฎร์ ถืกเขาฟาดท้องไข่อ่องล่อง
  • สอย... สอย... สาวเอกภาษาไทยบ่ฮู้จักกาพย์กลอน บัดเขาจับไปตอน นี่หรือสัมผัสนอกสัมผัสใน
  • สอย... สอย... สาวเอกภูมิศาสตร์บ่ฮู้จักแผนที่ บัดถืกโคยเข้าหี นี่หรือคืออ่าวไทย
  • สอย... สอย... สาวเอกอังกฤษบ่ฮู้จัก เอ บี ซี บัดห่าถืกเขาสี้ Do it again เด้ออ้าย
  • สอย... สอย... สาวเอกศิลป์บ่ฮู้จักพู่กัน บัดถืกเขาฟัน โอ้โฮ ฝีแปรงร้ายกาจ
  • สอย... สอย... สาวนักเรียนบ่ฮู้จักนายกรัฐมนตรี บัดถืกโคยเข้าหี นายกชวนส่อยข่อยแหน่
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายของผัว ว่าแม่นสาวโทรเลข เคาะโปีกเป๊กกลับอุบลด่วน
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักศีลแปด ไม้แทงแตด อาระหังสัมมา
  • สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายโคยผัว ว่าแม่นหัวคึกฤทธิ์ ไหนละค่ะเงินผัน นี่กะสอย
  • สอย... สอย... ลูกน้อย ๆ ไห้อยู่แง ๆ พ่อกับแม่เฮ็ดหยังกันนอ นี่กะสอย
  • สอย... สอย... น้ำท่วมข้าวเห็นแต่ใบวีวี น้ำท่วมหีหน่อแตดโสตาย
  • สอย... สอย... ช้างตื่นช้างไปลี่ใต้สังกะสี โคยตื่นหีไปลี้อยู่ใต้หน่อแตด
  • สอย... สอย... คนสี้ดู๋ เขาว่ากะหรี่ คนบ่สี้ เขาว่ากะเทย คนบ่สี้ซะเลย มีโคยไว้เยี่ยวอย่างเดียวบ้อ
  • สอย... สอย... ปุ๋ยของข้าว คือ ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยของหี คือ บักโคยเสียก อันนี่กะแม่นสอย
  • สอย... สอย... เสี่ยวต่อเสี่ยวกินเยี่ยวกะแต โคยแปะแปะหว่างหีแม่เสี่ยว
คำสอยนี้ มีมา หลายอย่าง
อย่าได้คิด หยาบช้า ในหั่นบ่ดี
เป็นคำเว้า โบฮาณ เผิ่นกล่าว
เสริม กล่าวต้าน ผญาให้ หม่วนยิน...

ขอขอบพระคุณ : ผศ.สุระ อุณวงศ์ ผู้รวบรวมไว้เพื่อสืบสานมรดกอีสาน

 

next greenวรรณกรรมคำสอย ตอนที่ 2

redline

backled1

paya

ภาษิตโบราณอีสานรวบรวมไว้ให้ลูกหลานโดย คุณพ่อปรีชา พิณทอง

สิถ่มน้ำลายให้เหลียวเบิ่งป่อง
สิกวมให้เหลียวเบิ่งหน้า
ของเพิ่นแพงอย่าเข้าใกล้
สิเต้นข้ามฮ่องให้เหลียวเบิ่งหนาม
พร้าเข้าอย่าฟันแฮง
ได้โชคแล้วอย่ามัวเมา

นอีสานมี คำคม สุภาษิต สำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)

ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำในภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง

ปัญญา ปรัชญา หรือ ผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้เคียงกัน หรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา เป็น เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจจะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้

  • ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
  • ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
  • ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กินใจความมาก

การพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิด สติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อนนิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้น จึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึก สามารถผูกมัดจิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป

ผญามีความเป็นมาอย่างไร

วรรณกรรมมุขปาฐะประเภท ผญา หรือ คำคม ภาษิตท้องถิ่นอีสานนี้ มีความเป็นมาอย่างไรหรือใครเป็นผู้ให้กำเนิด ยากที่จะตัดสินได้ว่ามาจากไหน ใครเป็นผู้ให้กำเนิดหรือริเริ่ม แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้รู้และนักวิชาการที่ทำการศึกษาค้นคว้า วิจัย เกี่ยวกับเรื่อง ผญา หรือ ภาษิตอีสาน ได้สันนิษฐานหรือให้ทัศนะเกี่ยวกับที่มาของผญาพอสรุปได้ดังนี้

  1. ผญาเกิดจากคำสั่งสอนและศาสนา โดยหมายเอาคำสอนของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ครูบาอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ พ่อแม่ที่มีต่อลูกหลาน ทั้งนี้ก็สืบเนื่องจากคำสอนของศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา
  2. ผญาเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณี โดยหมายเอาข้อปฏิบัติที่คนในสังคมอีสานปฏิบัติต่อกันในวิถีชีวิต
  3. ผญาเกิดจากการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว อาจหมายเอาแรงบันดาลใจ หรือความรู้สึกภายในใจ ที่อยากจะบอกต่อกันและกัน จึงกล่าวออกมาด้วยคำคมเชิงโวหารภาพพจน์ต่างๆ แล้วเกิดการโต้ตอบถ้อยคำแก่กันและกัน
  4. ผญาเกิดจากการเล่นของเด็ก โดยหมายเอาการเล่นกันระหว่างเด็ก แล้วมีการตั้งคำถาม อย่างเช่น ปริศนาคำทาย แต่แทนที่จะถามโดยตรงกับสร้างเป็นถ้อยคำที่คล้องจองกัน
  5. ผญาเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์อื่นๆ ในวิถีชีวิต โดยหมายเอาสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ให้เกิดถ้อยคำในใจและมีการกล่าวถ้อยคำที่คล้องจองแก่กันและกัน ในโอกาสที่เดินทางไปมาค้าขาย หรือกิจกรรมอื่นๆ


จากการสันนิษฐานที่มาของการเกิดขึ้นของ "ผญา" จะเห็นว่า ผญานั้นมีความหมายต่อชาวอีสาน ไม่ว่าชาวอีสานอาศัยอยู่สถานที่ใด เมื่อมีกิจกรรมใดๆ ร่วมกัน หรือสนทนากันในกลุ่ม จะมีการกล่าวผญาสอดแทรกขึ้นมาเสมอ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ผญามีบทบาทหน้าที่และมีความสำคัญต่อสังคมไทยอีสาน ตั้งแต่อดีดจนถึงปัจจุบัน อาจแบ่งเป็นประเภทต่างๆ แล้วแต่โอกาสที่จะนำไปใช้ในกิจกรรมนั้นๆ

"ภาษิตโบราณอีสาน" แต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียดก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบๆ โปรดได้เข้าใจว่า คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป็นของดี ส่วนคนในชาติอื่น อาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้ ความจริง "ภาษิต" คือ รูปภาพของวัฒนธรรมแห่งชาติ นั่นเอง

การจ่ายผญา หรือการแก้ผญา

การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือ พูดผญา คือ การตอบคำถาม ซึ่งมึผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นหมอลำฝ่ายชาย คือลำเป็นคำถาม ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายตอบ หรือจ่ายผญา ด้วยเหตุนี้จึงมักจะเรียกว่า ลำผญา หรือ ลำผญาญ่อย เช่น

      (ชาย) ..... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี
      (หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด พัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายสิมาเกี้ยว พัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม พัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี

"ลำผญา" คือ สุภาษิตที่คนอีสานใช้สั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในความดีงาม ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งคำสอนเหล่านี้เรียกกันทั่วไปว่า "ผญา" ในอดีต จังหวัดมุกดาหาร เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการลำผญาอย่างแพร่หลาย ดังที่เราเห็นได้จากถ้อยคำคำขวัญจังหวัดที่ว่า 'ถิ่นกำเนิดลำพญา' แต่ปัจจุบันนี้เหลือผู้ที่สืบทอดศิลปะวัฒนธรรมเหล่านี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น หมอผญา ที่ควรกล่าวถึงในที่นี้ คือ แม่ดา ซามงค์ แม่สำอางค์ อุณวงศ์ แม่เป๋อ พลเพ็ง แม่บุญเหลื่อม พลเพ็ง แห่งบ้านดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เป็นต้น

การลำและจ่ายผญา ในสมัยโบราณนั้นจะนั่งกับพื้น คือ หมอลำ หมอผญา และหมอแคน จะนั่งเป็นวง ส่วนผู้ฟังอื่นๆ ก็นั่งเป็นวงล้อมรอบ หมอลำบางครั้งจะมีการฟ้อนด้วย ส่วนผู้จ่ายผญาจะไม่มีการฟ้อน ในบางครั้งจะทำงานไปด้วยแก้ผญาไปด้วย เช่น เวลาลงข่วง หมอลำชายจะลำเกี้ยว ฝ่ายหญิงจะเข็นฝ้ายไปแก้ผญาไป นอกจากหมอลำ หมอแคนแล้ว บางครั้งจะมี "หมอสอย" ทำการสอยสอดแทรกเป็นจังหวะไป ทำให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน การจ่ายผญาในครั้งแรกๆ นั้น เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียงยาว และนั่งพูดจ่ายตามธรรมดา ต่อมาได้มีการดัดแปลงให้มีการเอื้อนเสียงยาว มีจังหวะและสัมผัสนอกสัมผัสในด้วย ทำให้เกิดความไพเราะ และมีการเป่าแคนประกอบจนกลายมาเป็น "หมอลำผญา" ซึ่งพึ่งมีขึ้นประมาณ 30 - 40 ปีมานี้

รายการ ก(ล)างเมือง - หมอลำผญาดอนตาล

เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปการพัฒนาของการจ่ายผญาจึงมีมากขึ้น จากการนั่งจ่ายผญาซึ่งมองกันว่าไม่ค่อยถนัด และไม่ถึงอกถึงใจผู้ฟัง (ด้วยขาดการแสดงออกด้านท่าทางประกอบ) จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นยืนลำ ทำให้มีการฟ้อนประกอบไปด้วย จากดนตรีประกอบที่มีเพียงแคน ก็ได้นำเอากลอง ฉิ่ง ฉาบ และดนตรีอื่นๆ เข้ามาประกอบ จากผู้แสดงเพียง 2 คนก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น 3, 4 และ 5 คน จนมารวมกันเป็นคณะ เรียกว่า คณะหมอลำผญา บางคณะได้มีหางเครื่องเข้ามา ประกอบด้วย

ความทวย (ปริศนาคำทาย)

วามทวย ในภาษาอีสาน จะมีความหมายตรงกับ ปริศนาคำทาย ในภาษากลาง เป็นวิธีการสอนลูกหลานให้มีความคิด เชาว์ปัญญา ไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลม ประกอบกับการเล่านิทานที่มีคติสอนใจ ในสมัยก่อนนั้น คนบ้านนอกในภาคอีสานยังไม่มีวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งบันเทิงที่พอมีคือ การเล่านิทานชาดกของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ในขณะที่คนแก่ก็จะได้ความสุขใจมาจากการฟังเทศน์ฟังธรรมจากวัด

ช่วงเย็นหลังอาหารค่ำก็จะเป็นช่วงเวลาของเด็กๆ หนุ่มสาว จะได้ฟังนิทานชาดก นิทานพื้นบ้านกัน หลังการเล่านิทานก็จะมี การถามปัญหา หรือ ความทวย ผู้ใดสามารถตอบได้ก็จะได้รับรางวัลเป็นผลไม้ กล้วย อ้อย ตามฤดูกาล ตัวอย่างความทวย เช่น

  • ความทวย สุกอยู่ดิน กากินบ่ได้ สุกอยู่ฟ้า กายื้อบ่เถิง ไผว่าแม่นหยัง?
  • ความแก้ ลูกหลานก็จะคิดหาความแก้ ถ้าใครแก้ได้ท่านก็ให้รางวัลดังกล่าว แล้วความแก้หรือคำตอบนี้ก็คือ "ดวงตะวัน" และ "กองไฟ"

ข้อสังเกต ความทวยหรือปริศนาปัญหานี้ ท่านจะผูกขึ้นจากลักษณะของสิ่งที่จะเอามาตั้งเป็นปัญหา เพื่อให้ลูกหลานใช้สมองเทียบเคียงดู เช่น สุกอยู่ดินคือ "กองไฟ" เพราะกองไฟมันจะมีสีแดง ปกติของสีแดงๆ มันจะเป็นสัญลักษณ์แห่งของสุก "สุกอยู่ฟ้า" คือดวงตะวันสีแดงๆ บนฟ้า ของสุกมันจะมีสีแดง ของดิบมันจะเป็นสีอื่นๆ และกากินไม่ได้ด้วย เด็กฉลาดก็จะเทียบเคียงได้เอง รายละเอียดและตัวอย่างคำทวยดูได้จากหัวข้อด้านล่าง

ประเภทของผญา - สุภาษิต - ความทวย

"ผญา" เมื่อแบ่งแยกหมวดหมู่ออกไปตามลักษณะอย่างคร่าวๆ ก็สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทดังนี้

  1. ผญาคำสอน   2. ผญาปริศนา
  3. ผญาภาษิตสะกิดใจ   4. ผญาเกี้ยวพาราสีทั่วไป
  5. ผญาเกี้ยวพาราสีโต้ตอบหนุ่มสาว   6. หมวดภาษิตคำเปรียบเปรยต่างๆ
  7. ผญาปัญหาภาษิต   8. ผญาฮีตสิบสอง
  9. ภาษิตโบราณอีสาน 10. คำกลอนโบราณอีสาน
11. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 1) 12. วรรณกรรมคำสอย (ตอนที่ 2)
13. วรรณกรรมคำสอย (จากจังหวัดกาฬสินธู์) 14. ความทวย

 

ขอขอบพระคุณ
: ผศ.สุระ อุณวงศ์ เสริมข้อมูลการจ่ายผญา
: อาจารย์สวิง บุญเจิม ปธ.๙ M.A. เสริมข้อมูลความทวย

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)