foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

pra tam tesana header

วันนี้ ถึงเวลาที่จะได้มาพบท่านทั้งหลายอีกแล้ว จำเป็นจะต้องขอโอกาสท่านทั้งหลายตามเคย วันนี้รู้สึกว่าประชาชนมาเพิ่มขึ้น ดูเหมือนจะมีการถ่ายทอดฉายหนังด้วยไม่ใช่รึ? ทุกวันที่ผ่านมาพูดถึงเรื่องกรรมฐาน ทำจิตใจให้สงบ ทุกครั้งทุกเวลามาแล้ว วันนี้พวกท่านทั้งหลายคงจะซาบซึ้งในอิริยาบถของพระสงฆ์ในหนังด้วย วันนี้ จะขอพูดถึงวัฒนธรรมเมืองไทย บางท่านบางคนอาจจะสงสัยว่าพระสงฆ์นี่คืออะไร? มีไว้ทำไม? มีประโยชน์อะไร? อย่างนั้นก็เคยจะมีบ้าง พระสงฆ์เมืองไทยเป็นหลักป้องกันความวุ่นวายจำพวกหนึ่ง เรียกว่า พระสงฆ์ มีประโยชน์มาก เกี่ยวข้องกับประชาชน พุทธบริษัททั้งหลาย ให้ความเห็น ให้มีความสงบระงับ

เช่นว่า ผู้ครองเรือนมีปัญหาเกิดขึ้นแต่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะต้องเข้าไปกราบเรียนพระสงฆ์ขอขยายความนั้นให้รู้จักความเป็นจริง นับตั้งแต่ว่าใครมีลูกหลานว่ายาก สอนยาก ทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องนำตัวเข้าไปหาพระสงฆ์ให้พระสงฆ์ช่วยแนะนำให้เป็นคนดีด้วย

prapenee watanatam thai

 พระสงฆ์กับวัฒนธรรมไทย

sit salaหรือมีการทำบุญสุนทานด้วยประการต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นว่า การแต่งงานเหล่านี้เป็นต้น ต้องเอาพระสงฆ์เป็นพยาน พร้อมทั้งการช่วยแนะนำสั่งสอนเมื่อแต่งงานกันแล้วจะให้ปฏิบัติอย่างไร? ผู้หยิงจะปฏิบัติอย่างไร ผู้ชายจะปฏิบัติอย่างไร ครอบครัวนั้นจึงจะเจริญอย่างนี้เป็นต้น มีเพื่อการเคารพ คารวะพระสงฆ์นั่นเอง วัฒนธรรมเมืองไทยพระสงฆ์ช่วยสั่งสอนกุลบุตรลูกหลานให้เคารพคนเฒ่าคนแก่ ให้เคารพพ่อแม่ ให้เคารพครูบาอาจารย์ ตลอดมาเรื่อยๆ มา อันนี้เป็นวัฒนธรรมของคนไทย แต่ในเวลานี้ก็เสื่อมไปบ้างแล้วล่ะ มันเสื่อมไปบ้างเพราะว่าไฟน้ำมันสบาย ไฟมันสว่าง ใจคนก็ยิ่งมืด ไฟฟ้ายิ่งสว่างใจคนก็ยิ่งมืดไปเท่านั้น พูดถึงประชาชนเมืองไทยนะเมืองนี้อาตมาเข้ามาอยู่ไม่กี่เดือนยังไม่ทราบนะ ไม่รู้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ (เสียงหัวเราะ ฮือฮา) คงจะเรียบร้อยดีกว่าเมืองไทยมั๊ง

อันนี้พูดถึงวัฒนธรรมเก่าแก่เมืองไทยให้ฟัง เช่นว่า การแต่งงานผู้หญิงต้องอย่างน้อยอายุ 20 ปี ผู้ชายอายุ 25 ปี เป็นปกติจึงแต่งงานกันได้ เดี๋ยวนี้คงจะข้ามเขตแล้วมั๊งเดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่น้อย โจรมาก คุมไม่ไหว เนี๊ยะมันเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายจึงมาอบรม อบรมพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะที่มาอบรมมาตั้งหลายแล้วนี่เป็นธรรมะที่ไม่พ้นสมัย ทุกวันนี้ก็ยังทันสมัยอยู่ เมื่อไรก็ทันสมัยคือไม่มีของเก่า มันใหม่อยู่เรื่อย เช่นว่าคนทำดีก็ยังได้ดีอยู่ คนทำชั่วมันก็ยังได้ชั่วอยู่ตลอดเวลา เมื่อไรก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงยังเป็นของใหม่อยู่เสมอ ไม่เหมือนจิตใจของบุคคลเรา

teach 1ระยะเวลาประมาณสัก 60 กว่าปีมานี้ ที่อาตมาเกิดมามีอายุ 60 กว่าปีนี้ มันเปลี่ยนไปไกลลิบเกือบจะมองไม่เห็นเสียแล้ว นี่วัฒนธรรมมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ฉะนั้นวัฒนธรรมของสังคมไทยและธรรมะของพระพุทธเจ้ายังไม่เปลี่ยน ทำดีทุกวันนี้ก็ยังได้ดีอยู่ ทำชั่วก็ยังได้ชั่วอยู่ มิฉะนั้นพวกเราจะต้องนำมาคิด นำมาพิจารณาให้มาก ถึงแก่นสารของธรรมะ เห็นจะดีกว่าวัฒนธรรมที่เราตั้งเอาเองทุกวันนี้ซึ่งไม่ได้เรื่อง แต่มันได้เรื่องมากเกินไป คือมันไม่หมดเรื่องเสียที เรื่องมันมากเหลือเกินจนไม่รู้จะทำอย่างไร เรื่องมากปัญหามันก็มาก ปัญหามากก็แก้ปัญหาไม่ไหวแล้วนี่ แก้ปัญหาทุกวัน หรือยังไง? นี่พูดให้คิดนะไม่ใช่สอนให้เชื่อ สอนให้ไปพิจารณาดีก็เอา ไม่ดีก็ทิ้งไป

วัฒนธรรมของเมืองไทยพูดถึงลูกหลาน พ่อแม่กับคนแก่ พ่อแม่มีลูกหลายคน แก่ไปแล้วลูกแย่งเอาไปปฏิบัติ เดี๋ยวคนนั้นเอาไปปฏิบัติ 7 วัน 15 วัน เดี๋ยวคนนั้นไม่สบายใจเอาไปปฏิบัติให้สบายกัน อาตมามาเมืองนี้เห็นแต่เอาคนแก่ไปทิ้งไว้ อย่างมากก็มีสุนัขตัวหนึ่งอยู่นั่นนะ วิ่งไปวิ่งมาตอนเช้า เดินตุตะ ตุตะ ตอนเช้า หิ้วของหนักๆ ก็ไม่มีใครจะช่วย ไม่รู้ว่าเป็นไง อาตมายังไม่รู้นะ อบรมกรรมฐานจิตใจเราก็ไม่ได้ ไม่รู้จะไปพึ่งอะไรที่ไหนแล้ว ลูกหลานก็ไม่ค่อยไปเยี่ยม มัวสนุกกันอยู่โน้นอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างนี้ ถ้าหากเราแก่มาแล้วเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างไร สบายไหม? อันนี้ประการหนึ่ง อาตมาซึ่งเห็นแต่ยังไม่เห็นไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ มันแปลกมีความรู้สึกอย่างนั้น มีความรู้สึกอยู่ในใจว่าเลี้ยงลูกขึ้นมาไม่มีความหมายอะไรมาก ลูกไม่ช่วยแม่ ไม่ช่วยพ่อ ก็ปล่อยไปอย่างนั้นแหละ

วัฒนธรรมนี้ก็น่าพิจารณาอยู่เหมือนกันนะ ถ้าเราถูกอย่างนั้น เป็นคนแก่จะเป็นอย่างไรไหม? ใจระทมทุกข์อยู่เสมอทุกเวลา อันนี้ให้เอาไปพิจารณาเอา นี่วัฒนธรรมของคนไทยเป็นอย่างนั้น แต่ในระยะนั้น ในจุดนั้นตามที่อาตมาพิจารณาแล้ว อาคารบ้านช่องก็ไม่สวยงาม ไฟก็ไม่สว่าง เรือนที่อยู่นั้นก็ไม่สวยงาม แต่ว่าใจงาม ไม่ร้อน สบาย สว่างอยู่ในใจ เย็นด้วยความเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเคหะสถานบ้านช่องไม่เจริญ ทุกวันนี้เจริญขึ้นทุกอย่าง แต่ว่าไฟข้างนอกมันสว่าง ไฟข้างในมันจะดับแล้วเดี๋ยวนี้ มืด มืด ผู้หญิงผู้ชายโตขึ้นมาแล้ว อยากจะแต่งงานจะไปขออนุญาตกับพ่อแม่ ปรึกษาพ่อแม่ พอพ่อแม่อนุญาตให้แต่งงานกับคนนี้ก็จะแต่งงานกับคนนี้ ไม่ให้แต่งงานกับคนนี้ก้ไม่ต้องแต่ง สมัยนี้ไม่ต้องปรึกษาใครล่ะมั๊ง มันช้ามันไม่ทันเวลา หึหึ คุมไม่ไหวแล้วเดี๋ยวนี้ ก็เลยไปกันใหญ่อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรล่ะนะ อันนี้พูดให้ฟังนะ ไม่ใช่นินทานะ ขอโทษด้วยนะมันเป็นอย่างนั้น

โลกเจริญสว่างไสว แต่ใจเรายังไม่สว่าง

tesana 1เราจะอุปมาให้ฟังอย่างหนึ่งนะ เราอยู่อาคารหลังใหญ่ๆ อย่างนี้มันสบายมาก แต่เรากินยาพิษร้อนอยู่ข้างในจะสบายไหม? อีกคนหนึ่งอยู่อาคารหลังเล็กๆ แต่อาหารไม่มีพิษ ไม่มีโทษ ก็นอนอยู่สบาย อย่างนั้นใครจะเอาอาคารหลังใหญ่หรือหลังเล็ก นอนอาคารหลังใหญ่ถูกลูกศรเขากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนี้ อาคารหลังใหญ่ๆ นั่นช่วยได้หรือเปล่าไม่รู้ อีกคนหนึ่งอยู่อาคารหลังเล็กๆ ที่ไม่ดีนักแต่ไม่ถูกลูกศรของใคร อยู่ตามสบายอย่างนั้น ใครจะเอาอะไร? เอาล่ะเรื่องวัฒนธรรมเอาแค่นี้ก็พอเนาะ พูดไปมากมันจะมากเหลือเกิน มันจะแสบมากเจ็บมาก

เอาพูดถึงวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้าของเรานะ วัฒนธรรมของพระพุทธเจ้าที่เรามาฝึกกรรมฐานนี้เพื่อให้วัฒนธรรมที่ถูกต้อง เป็นวัฒนธรรมที่ไม่ตามใจของคน เป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้องทำแล้วสบาย ทำแล้วไม่เดือดร้อน ทำแล้วไม่วุ่นวาย ทำแล้วมีความสุขมีความสงบ วัฒนธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ให้ขโมยของของตนเอง ของคนอื่น เป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้องตัวเราเองก็สงบ ผู้อื่นก็สงบ ประเทศชาติก็สงบทั้งนั้น นี่เป็นวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้า

วัฒนธรรมนี้มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้อำนวยการ วัฒนธรรมตัวของเรานี่มีตัณหาเป็นผู้อำนวยการ มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกในวิบากต่อไป วัฒนธรรมของพระพุทธเจ้ามีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขในวิบากต่อไปหรือมีสุขในปัจจุบันและมีสุขในวิบากต่อไป ส่วนวัฒนธรรมของตัณหานั้น มันมีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์ในวิบากต่อไปด้วย ญาติโยมจะเลือกเอาอันใดก็เอา ที่พวกเราทั้งหลายมานั่งสมาธิกันนี่นะดีแล้ว มันสงบแล้ว แต่ว่าเราไปทำข้างในมันก่อน อย่างอาตมามาจากเมืองไทยนะ เข้าไปในท่าอากาศยานเขาต้องตรวจนะ เรียบร้อยเขาถึงให้เข้าไป ไม่ได้เขาไปเลยหรอก พาสปอร์ตมีไหม ใบเดินทางมีไหม อะไรๆ มีไหม เขาจึงปล่อยให้ไป ตัวเราเหมือนกันต้องตรวจเสียก่อนที่จะไปนั่งสมาธิมันถึงจะสงบง่าย อันนี้ไม่เรียบร้อยไปนั่งก็ไม่สงบหรอก ไม่ค่อยสงบดี

ฉะนั้นเรื่องศีลธรรมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใครมีเรื่องเดือดร้อนในการนั่งสมาธิ มีหรือเปล่าตรงนี้? ตรวจดูก่อนนะ มีของซ่อนภาษีเขานะถึงไม่สบาย ต้องตรวจก่อนนะ ถ้าไม่มีของต้องห้ามมันก็สบาย อันนี้พูดแล้วส่งคืนให้เจ้าของตรวจดูเอาเอง อาตมาพูดถึงตรงนี้ ส่งให้ตรงนี้ที่เหลือเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องตรวจดูเอาเอง อันไหนมันผิดก็เขี่ยมันออก มันถูกแล้วก็นั่งสมาธิสบายทีนี้ไม่งั้นพระก็ต้องมาสอบอารมณ์อยู่เรื่อย มาตอบปัญหาอยู่เรื่อย มาเทศน์ให้ฟังอยู่เรื่อยอย่างนี้ เราไม่ตอบปัญหาเราเอง แก้ปัญหาเราเอง สอบอารมณ์เราเอง คอยให้พระมาเทศน์ให้ฟังอยู่นั่นแหละ ถ้าเราไม่สอบอารมณ์ตัวเอง ว่ามันผิดตรงไหนคอยแต่จะให้คนอื่นมาสอบเรื่องมันก็ไม่จบ

คงพอแล้วนะวันนี้ ถ้าคนหิวอาหารไม่ต้องให้นั่งเฝ้าสำรับนานหรอกมาถึงก็ตักเลย มีใครมีปัญหาอะไรไหม? มันมีปัญหาอะไรอยู่ตรงไหน ปัญหานี่จะจับให้หมดจะเอาไปเทที่เมืองไทยให้หมด ปัญหามากเหลือเกินตรงนี้

ญาติโยม : เรื่องเมืองไทยมีวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น แต่ทำไมเรื่องการบ้านการเมืองถึงยุ่งยากแท้
หลวงพ่อ : เอ้า นั่นไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องการบ้านการเมืองต่างหาก อย่างเมืองนี้มีกฎหมายอยู่ ดีอยู่ ทำไมมันถึงมีโจรมีขโมยอยู่ล่ะ ที่มีขโมยเพราะคนไปขโมย กฎหมายไม่ได้ขโมย เป็นคนไปขโมยมันคนละเรื่องกัน
ญาติโยม : ในประสบการณ์ของหลวงพ่อเองนะครับ เคยได้พบเจอคนที่เป็นชาวบ้าน แต่เขาก็มีจิตใจที่สงบระงับ เงียบสงบ เคยได้เจอหรือเปล่า?
หลวงพ่อ : มี เจอ เป็นชาวบ้านแต่เขาฝึกกรรมฐาน
ญาติโยม : หลวงพ่อยังไม่ได้อธิบายเรื่องโกหกเจ้าของ ขโมยเจ้าของ มีความหมายอย่างไร?
หลวงพ่อ : ยังไม่เคยโกหกเจ้าของหรือนั่นนะ อยู่ไปอีกเถอะเดี๋ยวเห็นหรอก ดูเอามันอยู่ในเจ้าของนั่นล่ะไม่ต้องไปศึกษาคนอื่นเลย ดูจิตเจ้าของนั่นแหละ คนมันไม่โกหกเจ้าของ ไม่รู้จักโกหกเจ้าของมันก็โกหกคนอื่นอยู่เรื่อยไป
ญาติโยม : แล้วเรื่องขโมยเจ้าของล่ะครับยังไม่อธิบาย
หลวงพ่อ : จะไปอธิบายอะไรอีกล่ะ มันขโมยมันก็ขโมยอยู่นั่นแหละ ก็หยุดเสียซิ จะให้อธิบายอะไรอีกล่ะ ก็หยุดเสียมันก็ไม่ขโมยเท่านั้น ปัญหานี้ไม่น่าจะให้มันเกิดขึ้นนะ
ญาติโยม : ความเจริญในโลก หลวงพ่อเห็นว่าไม่ได้อำนวยในการปฏิบัติทางศาสนาหรือว่าต้องมีทั้งสองอย่างจึงจะสมบูรณ์
หลวงพ่อ : มีทั้งสองอย่าง โลกเจิญแต่ว่ามันมืดเมื่อโลกเจริญขึ้น โลโกท่านแปลว่าความมืด โลกเจริญก็คือความมืดมันเจริญ ไฟฟ้ามันเจริญขึ้นสะดวกมากตาคนก็ยิ่งบอดเข้าไปทุกวันๆ น้ำสะดวกเท่าใดคนก็ยิ่งไม่อาบน้ำ มันเป้นอย่างนั้น ถ้าคนมีปัญญามันก็สะดวก สะดวกได้ แต่คนมาหลงสุขซะ มาหลงความสว่างซะ หลงน้ำซะ โลกก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เรามันหลงตัวเราเองไม่มีอะไร ทุกอย่างในโลกมันถูกต้องทุกอย่างแล้ว จิตของเรายังไม่ถูกต้อง จึงไปสรรเสริญเขาไปโทษเขา ดีใจกับเขา เสียใจกับเขา เพราะเราคิดไม่ถูก เพราะเราไม่มีปัญญา เราคิดผิดไปจึงต้องมานั่งกรรมฐานให้ปัญญามันเกิด ตาในมันเกิด จะได้สว่าง รู้จักว่าผิดก็จะไม่ทำผิดอีกก็เกิดประโยชน์อย่างนั้น

 

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)