foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

prawat header

cha 15

10. ภัป่ญ่

การจาริกธุดงค์ของหลวงพ่อในช่วงนั้น มี พระเลื่อม เป็นเพื่อนร่วมทาง วันหนึ่งท่านทั้งสองหยุดพักอยู่ในป่าข้างหมู่บ้าน ได้มีเด็กชายพิการสองคนมาช่วยอุปัฏฐากรับใช้ ต่อมาเด็กทั้งสอง เกิดสนใจการผจญภัยในชีวิตพระธุดงค์ จึงขอร่วมเดินทางติดตามไปด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็ไม่ขัดข้อง

เมื่อเด็กได้รับความยินยอมจากพ่อแม่แล้ว ก็เก็บข้าวของส่วนตัวออกเดินทางไปกับหลวงพ่อ เด็กชายทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธาอุตสาหะมาก แม้ต้องตรากตรำกรำแดดลมฝน อดบ้าง อิ่มบ้าง ก็ไม่เคยปริปากบ่น คงร่วมเดินทางต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ทั้งที่มีความไม่สมประกอบทั้งสองคน

คนหนึ่งหูหนวก ส่วนอีกคนหูดี ตาดี แต่ขาเป๋ เวลาบุกป่าฝ่าหนามขาเกี่ยวกันล้มลุก คลุกคลาน แต่ความพิการหาได้เป็นอุปสรรคของการสร้างความดีไม่ เมื่อหลวงพ่อสอนให้นั่งสมาธิ และเดินจงกรม เด็กก็ปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ

การมีเด็กพิการมาร่วมทาง ทำให้หลวงพ่อได้พิจารณาเห็นหลักแห่งกรรมชัดเจนขึ้น อีกทั้ง ยังได้คติสอนใจตัวเองด้วยว่า คนพิการทางกายอย่างเด็กทั้งสองนี้ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่คนที่ใจพิการเพราะขาดคุณธรรม ย่อมนำความเดือดร้อนมาสู่ตนและคนอื่นอย่างมากมาย

sweep

วันหนึ่งหลวงพ่อกับคณะพากันเดินทางมาถึงป่าใหญ่ ใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดนครพนม ขณะนั้นพลบค่ำพอดีจึงตกลงกันหยุดพักในป่าแห่งนั้น

เมื่อเดินทางสำรวจหาที่กางกลด สังเกตเห็นทางเก่าที่คนเลิกใช้แล้ว เป็นทางทอดยาวจากดงใหญ่ที่พัก ไปสู่ภูเขาที่สูงทะมึนอยู่เบื้องหน้า นึกถึงคำพูดของคนโบราณว่า "เข้าป่าอย่านอนขวางทางเก่า" หลวงพ่อคิดสงสัยอยากพิสูจน์ให้เห็นจริง จึงให้พระเลื่อมเข้าไปพักในป่า ส่วนตัวท่านกางกลดขวางทางเก่าเอาไว้ ให้เด็กทั้งสองคนนอนพักอยู่ตรงกลาง

แสงตะวันลับหายจากขอบฟ้า เสียงนกกลางคืนและสัตว์กู่ก้องสะท้านป่า แสงเรืองๆ ระยิบ ระยับจากหิ่งห้อย สว่างวูบวาบเป็นจุดเล็กๆ บนผืนความมืดอันกว้างใหญ่ แต่งเติมสีสันบรรยากาศ ของป่ายามราตรีให้วิเวกวังเวงยิ่งนัก ค่ำคืนในป่าเปลี่ยว คงมีเพียงมุนีผู้แสวงหาอิสรธรรมเท่านั้น ที่ยินดีนำชีวิตตนมาแขวนไว้กับภยันตรายเช่นนี้

ดึกสงัด... หลังนั่งสมาธิภาวนาแล้ว หลวงพ่อตลบผ้ามุ้งขึ้นไว้บนหลังกลด เพื่อให้เด็กทั้งสอง มองเห็นตัวท่าน จะได้อุ่นใจคลายกลัวบ้าง จากนั้นก็เอนตัวลงนอนตะแคงขวา กำหนดสติดูลมหายใจ แล้วหลับตาลง

ชั่วขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเป็นจังหวะบนใบไม้แห้ง เสียงเดินเข้ามาใกล้จน ได้ยินลมหายใจ และกลิ่นสาบสางลอยมากับสายลม หลวงพ่อคงนอนนิ่งอยู่ ทั้งที่รู้ดีว่านั่นคือเสียง และกลิ่นของเสือจิตหนึ่งห่วงชีวิต แต่กลัวอยู่ไม่นาน อีกจิตหนึ่ง ออกมาแย้งและให้เหตุผลว่า

อย่าห่วงมัน เลยชีวิตนี้ แม้ไม่ถูกเสือกัดตาย... เราก็ต้องตายอยู่แล้ว การตายขณะเดินตาม
รอยบาทพระศาสดานี้ ชีวิตย่อมมีความหมาย เราขอยอมเป็นอาหารของเสือ
หากว่าเราเคยกินเลือดกินเนื้อกันมา จะได้ชดใช้หนี้ให้หมดกันไป
แต่หากไม่เคยเป็นคู่เวรคู่กรรม มันคงไม่ทำอะไรเรา "

แล้วก็น้อมดวงจิต ระลึกถึงพระรัตนตรัย และความบริสุทธิ์ของตัวเองเป็นที่พึ่งในยามนั้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจเบาสบายขึ้นมาทันทีไม่มีกังวลใดๆ สักครู่หนึ่งเสือก็จากไป

tiger

การใช้ชีวิตในป่าของพระธุดงค์กรรมฐาน มีภยันตรายเป็นด่านคอยตรวจสอบความเข้มแข็งอดทนอยู่ทุกขณะ ทั้งภัยจากธรรมชาติ คือ ดิน ฟ้า อากาศ และภัยจากสัตว์ร้าย ซึ่งรายล้อมพร้อมที่จะเป็นอันตรายแก่ผู้อยู่ป่าได้ทุกเมื่อ แต่หาก "พระป่ามีธรรมาวุธ" คือ ขันติและ ปัญญา รวมทั้งความบริสุทธิ์ใจ ย่อมฟันฝ่าอุปสรรคในป่าออกมาได้โดยปลอดภัย พร้อมกับกำลังใจที่กล้าแกร่งยิ่งขึ้น

หลวงพ่อกล่าวว่า "เมื่อเราทอดอาลัยในชีวิต ไม่เสียดายไม่กลัวตาย ความเบาสบายใจจะ เกิดขึ้น สติปัญญาก็จะเฉียบคมกล้า จิตเกิดความองอาจไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด แม้แต่ ความตาย"

ภัยภายนอกจากธรรมชาติผ่านพ้นไป ภัยภายในจากกิเลสเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ แต่กลับเร่าร้อนกว่าไฟใดๆ

ในปี พ.ศ. 2491 นั้น หลวงพ่อกับคณะคือ พระเลื่อมและเด็กผู้ติดตาม คงร่วมทุกข์สุข แสวงหาสันติธรรมไปบนเส้นทาง ทุรกันดารต่อไป

การอยู่ร่วมกันนานๆ ธาตุแท้ของแต่ละคนย่อมปรากฏขึ้นมา หลวงพ่อคิดพิจารณาใน ตอนนั้นว่า "การเดินธุดงค์ร่วมกับผู้มีปฏิปทาไม่เสมอกัน นำมาซึ่งความเนิ่นช้าในการปฏิบัติ" และยังรู้สึกอึดอัดรำคาญหมู่คณะ จิตใจจึงวุ่นวายคิดอยากปลีกตัวไปตามลำพัง

cha 11หลวงพ่อได้ตกลงแยกทางกับพระเลื่อม โดยพระเลื่อมอาสานำเด็กนั้นกลับไปส่งที่บ้านเดิม ส่วนท่านเองได้เดินทางไปตามลำพัง เมื่อถึงวัดร้างในป่าใกล้บ้านข่าน้อย นครพนม ได้พิจารณาเห็นว่า เป็นสถานที่เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนา จึงพักอยู่ที่นั่นหลายวัน

การแยกจากหมู่คณะในระยะแรกๆ รู้สึกเป็นอิสระมาก ไม่ห่วงกังวลต่อสิ่งใด ได้เร่งความเพียรเต็มที่ สำรวมระวังอินทรีย์ (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ตลอดเวลา แม้ไปบิณฑบาตก็ไม่มองหน้าใคร เพียงแต่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายเท่านั้น

เสร็จจากการขบฉัน เก็บบริขารแล้ว หลวงพ่อเดินจงกรมทันที ปฏิบัติสม่ำเสมอเช่นนี้อยู่หลายวัน จนเท้าบวมเป่งขึ้นเพราะเดินจงกรมมาก จึงหยุดเดินแล้วนั่งสมาธิอย่างเดียว ใช้ความอดทนระงับความเจ็บปวดอยู่ถึงสามวัน เท้าจึงเป็นปกติ ในระหว่างนั้นไม่ยอมพบปะกับใครทั้งสิ้น เพราะเห็นการคลุกคลี คือ ความเนิ่นช้าของการประพฤติธรรม

อยู่มาวันหนึ่ง กิเลสที่หลบไปเพราะเกรงอำนาจสมาธิธรรม ได้กลับออกมารบกวนจิตใจ ให้วิตกว่า... "เราอยู่คนเดียวเช่นนี้ ถ้าได้เณรตัวเล็กๆ หรือผ้าขาวสักคนมาอยู่ด้วยคงดีนะ เพื่อจะได้ใช้อะไรเล็กๆ น้อยๆ" ...แต่ภาวะความคิดก็แย้งกันเองว่า...

"เอ! ตัวแกนี่สำคัญนะ เบื่อเพื่อนมาแล้ว.. ยังอยากได้เพื่อนมาทำไมอีกเล่า ?"

"เบื่อก็จริงแต่เบื่อเฉพาะคนไม่ดี ส่วนเวลานี้ต้องการเพื่อนที่ดีๆ"

"คนดีอยู่ที่ไหนล่ะ ? เห็นไหม หาคนดีได้ไหม เพื่อนร่วมทางกันมาก็คิดว่าเขาไม่ดีทั้งนั้น คงคิดว่าตัวเองดีคนเดียวละมั้ง จึงหนีเขามานี่"

จากนั้นก็ถามและตอบตัวเองอีกว่า... "คนดีอยู่ที่ไหน... คนดีอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดี ไปไหนมันก็ดี เขาจะนินทา สรรเสริญ จะว่าอะไร ทำอะไร เราก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าเรายังไม่ดี เขานินทา เราก็ จะโกรธ ถ้าเขาสรรเสริญ เราก็ยินดี... ก็หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้ว่าคนดีอยู่ที่ไหนแล้ว เราจะมีหลักในการปล่อยวางความคิด เราจะไปอยู่ที่ไหน.. คนเขาจะรังเกียจ หรือเขาจะว่าอะไร ก็ถือว่าไม่ใช่เขาดีหรือเขาชั่ว เพราะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเรา... เราย่อมรู้จักตัวเราเองยิ่งกว่าใคร..."

redline

arr 1larr 1uarr 1r

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)