คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
บุญชื่น เสนาราช (บางที่ก็บอก เสนาลาส) หรือ ศักดิ์สยาม เพชรชมพู (บ้างก็เขียนเป็น เพชรชมภู) เกิดที่บ้านนานกเขียน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ครอบครัวมีฐานะยากจนมีอาชีพทำนา เขาจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านหัวช้าง ที่อยู่ห่างจากบ้านนกเขียนไประยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากนั้นก็ไม่ได้เรียนต่อ สมัยวัยเด็กชอบฟังเสียงเพลงจากสถานีวิทยุ AM กรมประชาสัมพันธ์จังหวัดขอนแก่น ชื่นชอบและร้องตามนักร้องลูกทุ่งสมัยนั้นได้เกือบทุกเพลง ไปบวชเป็นสามเณรอยู่ 1 พรรษา ญาติโยมชื่นชอบในเสียงสวดมนต์ของสามเณรชื่นกันมาก หลังลาสิกขาก็ได้ออกมาช่วยครอบครัวทำนาอย่างเต็มตัว เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นนักร้องเชียร์รำวง
ได้เข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ "คณะรำวงดาวอีสาน“ ที่จัดตั้งขึ้นในตำบลโคกก่อ หลังจากที่ตามไปเป็นเพื่อนพี่สาวที่เป็นนางรำวงของคณะ ต่อมา ก็เลยผูกขาดการเป็นนักร้องเชียร์รำวงของคณะอยู่เพียงคนเดียว แม้ต้องร้องเพลงตั้งแต่ 3 ทุ่มไปจนถึงรำวงเลิกเวลาตี 2 ตี 3 โดยได้ค่าร้องแค่ไม่กี่บาทต่อ 3 คืน แต่เขาก็พอใจเพราะว่าได้ขึ้นร้องเพลงโชว์ ระหว่างนั้นเขาก็ฝึกตีกลองชุดไปด้วย
บุญชื่น เสนาลาส โปรดปรานการร้องเพลงลูกทุ่งอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงของ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ อย่างเพลง ลาก่อนบางกอก และ ลาน้องไปเวียดนาม และเสียงของเขาก็เป็นที่จับใจของคนในหมู่บ้านที่ได้ฟังทุกครั้งไป
ในยามที่วงไม่มีงาน เขาก็จะติดตามพี่ชายอีกคนที่เป็นหมอลำไปกับ คณะทองดีพัฒนา ของบ้านนานกเขียน ต่อมาพี่ชายย้ายไปอยู่ คณะสุภีร์คะนองศิลป์ ที่ขอนแก่น เขาก็ติดตามไปเช่นเดิม และซึมซับเอาศิลปะหมอลำไปไม่น้อย แต่ที่คณะนี้เขาได้เข้าร่วมวงในฐานะมือกลอง โดยได้ค่าตัวคืนละ 50 บาท เขากับพี่ชายอยู่ที่นี่ได้ราว 1 ปีก็กลับมาอยู่กับ หมอลำคณะขวัญใจจักรวาล ที่บ้านเกิด โดยรับหน้าที่มือกลองเช่นเคย แต่มีโอกาสได้ร้องเพลงบ้าง เขาอยู่ที่นี่ 2 - 3 ปี
จากนั้นได้ย้ายมาอยู่กับ หมอลำคณะเพชรสยาม ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจบันเทิงของ เทพบุตร สติรอดชมพู โดยศักดิ์สยามยังคงรับหน้าที่ตีกลองและร้องเพลงบ้างเช่นเดิม แต่ได้ค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นคืนละ 70 บาท เขาอยู่ที่นี่อีกราว 2 - 3 ปี
ต่อมา บุญชื่น รื่นฤดี ซึ่งเป็นชื่อของเขาในการทำหน้าที่ร้องเพลงขัดตาทัพในวง ก็ถูกชวนให้ย้ายมาอยู่ใน คณะหมอลำรังสิมันต์ วงหมอลำที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้นนำโดย หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน หมอลำทองคำ เพ็งดี และน้องใหม่ หมอลำบานเย็น รากแก่น แต่วงนี้ก็ยังอยู่ในเครือของ เทพบุตร สติรอดชมพู เช่นกัน โดยในยุคนั้น วงรังสิมันต์ มีการเปลี่ยนแปลงจากวงหมอลำแท้ๆ มาเป็นวงหมอลำ-ลูกทุ่ง เพื่อขยายตลาดไปยังภาคอื่นๆ ที่นี่ ศักดิ์สยาม ยังคงทำหน้าที่มือกลองและร้องเพลงเช่นเดิมทุกประการ
ในยุคนั้น บางครั้งวงรังสิมันต์ ก็ต้องแปลงร่างไปเป็นวงดนตรี “จิระ จีรพันธุ์“ เจ้าของเพลงดัง เศรษฐีขายขี้กระบอง ด้วย เพราะว่า วงดนตรีจิระ จีรพันธุ์ ก็อยู่ในเครือข่ายธุรกิจของเทพบุตร สติรอดชมพู เช่นกัน แต่ในการแสดงวันหนึ่ง ตัวหัวหน้าวงเกิดมาไม่ทันการแสดง วงจึงเปิดการแสดงไปก่อนโดยใช้ชื่อวงอื่นแทน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับหัวหน้าวงผู้มาสายอย่างมาก จึงเกิดการอาละวาดต่อหน้า เทพบุตร สติรอดชมพู เขาจึงมีคำสั่งดอง จิระ จีรพันธุ์ และดันเอา ศักดิ์สยาม ให้ขึ้นมาแทน โดยได้ยื่นกระดาษให้แผ่นหนึ่งโดยบอกให้เอาไปท่อง ซึ่งในกระดาษดังกล่าวก็คือเนื้อเพลง "ตามน้องกลับสารคาม" ที่เตรียมเอาไว้ให้ จิระ จีรพันธุ์ สำหรับการบันทึกแผ่นเสียงนั่นเอง
ตามน้องกลับสารคาม เพลงสร้างชื่อให้ ศักดิ์สยาม เพชรชมพู
ไม่กี่วันถัดมา เขาก็เข้าเมืองหลวงเพื่ออัดแผ่นเสียงที่ ห้องอัดของห้างแผ่นเสียงศรีกรุง ถึง 6 เพลงรวด ซึ่งหาได้ไม่ค่อยได้บ่อยนักสำหรับนักร้องหน้าใหม่ 6 เพลงดังกล่าวก็คือ ตามน้องกลับสารคาม, เสน่ห์สาวเวียงจันทน์, ธิดากัมปงจา, คิดฮอดอย่างแฮง, คุยเขื่อง และ เศรษฐีขายขี้กระบอง งานนี้ เขาหันมาใช้ชื่อใหม่ ศักดิ์สยาม เพชรชมพู ตามที่ เทพบุตร สติรอดชมพู ตั้งให้
จากนั้นไม่นาน เพลงตามน้องกลับสารคาม ก็ฮิตติดหูแฟนเพลงในภาคอีสานตามที่หวังกันไว้ จึงมีการตั้ง วงดนตรีศักดิ์สยาม เพชรชมพู ขึ้นรองรับความดังทันที ความโด่งดังของเขา สามารถกลบความดังของวงหมอลำในเครือของเทพบุตร สติรอดชมพูเสียหมดสิ้น ภายในปีเดียว ความดังของเขาก็ติดลม เมื่อเข้าไปเปิดการแสดงในกรุงเทพฯ ที่สนามมวยลุมพินี ก็เกิดปรากฏการณ์เวทีแตกแฟนๆ มาฟังและต้องการเห็นหน้านักร้องที่ร้องเพลง ตามน้องกลับสารคาม มีหน้าตาเป็นอย่างไร มีการบันทึกเสียงเพิ่มเติมต่อมาอีกหลายเพลง และก็ได้รับความนิยมมากมาย อาทิ คักใจเจ้าแล้วบ่, สัญญาเดือนสาม และอื่นๆ
วงดนตรีศักดิ์สยาม เพชรชมพู ในยุคนั้น ถือเป็นวงดนตรีอีสานวงแรก ที่มีรูปแบบเป็นลูกทุ่งมาตรฐาน โดยไม่ต้องอาศัยหมอลำมาเรียกความนิยมเช่นแต่ก่อน และความนิยมที่ได้รับก็ทำให้วงนี้กล้าประชันวงกับ สายัณห์ สัญญา ที่กำลังดังจากเพลง ลูกสาวผู้การ และรักเธอเท่าฟ้า ส่วนเรื่องรายได้จากการเก็บค่าผ่านประตู ก็เคยทำสถิติมาแล้วในการแสดงที่เวทีมวยลุมพินี ซึ่งในยุคโด่งดังมี ดาว บ้านดอน และ เทพพร เพชรอุบล ก็เคยมาร่วมงานกับวงนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ในด้านรายได้ในฐานะหัวหน้าวงตัวปลอม ศักดิ์สยาม มีรายได้แค่คืนละ 400 บาทเท่านั้น ไม่ว่าวงจะเปิดการแสดงวันละกี่รอบก็ตาม ก่อนที่จะขยับขึ้นมาเล็กน้อยอีก 100 บาท เรื่องนี้สร้างความอึดอัดให้กับตัวนักร้องอย่างมาก แม้ว่า วิเชียร สติรอดชมพู ซึ่งเป็นน้องชายของเทพบุตร จะแอบมุบมิบยัดเงินช่วยเหลือศักดิ์สยามอยู่บ้างในหลายๆ ครั้ง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ศักดิ์สยาม ก็ถึงขั้นหลบหนีออกจากวงไป แต่ก็ถูกตามตัวกลับมา ซึ่งจากความอึดอัดเรื่องรายได้ ซึ่งก็ทำให้ทั้ง ดาว บ้านดอน และ เทพพร เพชรอุบล ต่างก็แยกตัวออกไปจากวงเช่นเดียวกัน
ต่อมา เทพบุตร สติรอดชมพู หันไปทุ่มเทกับ บานเย็น รากแก่น เพื่อให้เป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ขณะที่ความนิยมในศักดิ์สยามก็เริ่มลดลง และหลังยุคเพลง ทุ่งกุลาร้องไห้ และ อ.ส. รอรัก ผลงานของ ครูสุรินทร์ ภาคศิริ ความบาดหมางระหว่างหัวหน้าวงตัวปลอมกับหัวหน้าวงตัวจริง (เทพบุตร) จากเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ปรากฏออกมาเรื่อยๆ
จนในที่สุด ในปี 2521 ศักดิ์สยาม เพชรชมพู ก็แยกตัวออกมา และได้เปลี่ยนวงรัตนวาริน วงดนตรีโนเนมแถวสระบุรีให้เป็น วงศักดิ์สยาม เพชรชมพู โดยมีเสี่ยคนหนึ่งเป็นนายทุนให้ ที่นี่เขามีรายได้วันละ 1,200 บาท และเปิดการแสดงครั้งแรกในวันขึ้นปีใหม่ปี 2522 ที่สระบุรี วงของเขาออกเดินสายเฉพาะเขตจังหวัดภาคกลาง และภาคตะวันออก
เนื่องจากเครือข่ายของวงไม่กว้างขวางพอ สำหรับการเดินสายแสดงไปทั่วประเทศ เขาเดินสายจนถึงปี 2525 ชื่อเสียงก็เริ่มจางหายจนเกือบหมด พี่ชายจึงชวนออกมาตั้งคณะหมอลำชื่อ เพชรเม็ดเยี่ยม ศักดิ์สยาม จากนักร้องจึงถูกแปลงไปเป็นพระเอกหมอลำ แต่การที่เป็นนักร้องที่ใช้เสียงสูง เมื่อมาเป็นหมอลำที่ต้องใช้เสียงต่ำลงมา ทำให้เขาเกิดความอึดอัด ก็เลยประกาศเลิกเป็นหมอลำ ต่อหน้าแฟนหมอลำที่มาชมการแสดง เมื่อเดือนเมษายน 2525 ก่อนที่จะหันมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็น นักร้องรับเชิญตามห้องอาหาร และผลิตผลงานใหม่ออกมาบ้างตามโอกาส
เคยเข้าไปร่วมงานในยุคท้ายๆ กับวงดนตรีเพชรพิณทอง ของ นพดล ดวงพร (ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2542-2543) พร้อมกับ เหลือง บริสุทธิ์ และ ร้อยเอ็ด เพชรสยาม
ศักดิ์สยาม เพชรชมพู (บุญชื่น เสนาลาด) ศิลปินมรดกอีสาน พ.ศ.๒๕๕๒ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ทุ่งกุลาร้องไห้ - ศักดิ์สยาม เพชรชมภู (กึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย ครั้งที่ 2)
คักใจเจ้าแล้วบ่, สัญญาเดือนสาม, ตามน้องกลับสารคาม, เสน่ห์สาวเวียงจันทน์, ขันหมากลูกกำพร้า, คิดฮอดอย่างแฮง, รวมอักษร, ช่างหัวมันเถาะ, เซียงบัวล่องกรุง, เสียงซอ, คุยเขื่อง, ธิดากัมปงจา, นัดตีสี่, เจ็บๆ แสบๆ, อย่าไปตามดวง, ร้องไห้ทำหยัง, จดหมายรักฉบับแรก, คงมีสักวัน, หงส์ปีกหัก, กอดหมอนนอนหนาว, ตามน้องทั่วอีสาน, แอมจ๋า, ฮักสาวรำวง, หัวใจแหว่ง, อย่าเห็นกันดีกว่า, ผิดด้วยหรือที่เกิดมาจน, นักร้องกลัวเมีย, สาลิกาหลายรัง, แคนสะกิดสาว, ศักดิ์สยามเดินกลอน, ศักดิ์สยามกราบแฟน, พระพรหมช่วยที, วาสนาอ้ายน้อย, จากบ้านนาด้วยรัก, อาลัยสาวเรณู, น้ำในคลอง
งานนี้ต้องขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับข้อมูล จากหนังสือ อีสานคดีชุดลูกทุ่งอีสาน ประวัติศาสตร์อีสานตำนานเพลงลูกทุ่ง เขียนโดย แวง พลังวรรณ และภาพจากผู้ใจบุญในอินเตอร์เน็ต
ที่มา : คันทรี่แมน
เพลง อ.ส. รอรัก ของ ศักดิ์สยาม เพชรชมพู
รุ่งฟ้า กุลาชัย มีชื่อจริงว่า นายทรงรัฐ อ่อนสนิท เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2502 ที่บ้านบึงแก ตำบลบึงแก อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาศิลปกรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเพาะช่าง และระดับปริญญาโท ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
นายทรงรัฐ อ่อนสนิท ใช้นามในการแสดงว่า "รุ่งฟ้า กุลาชัย" เป็นผู้ที่ชื่นชอบการลำและร้องเพลงมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อมีงานแสดงในโรงเรียนหรือตามหมู่บ้านมักได้เป็นผู้นำในการแสดงอยู่เสมอ เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับประกศนียบัตรวิชาชีพ แผนกวิจิตรศิลป์ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ได้เดินทางมาศึกษาต่อที่ โรงเรียนเพาะช่าง ในกรุงเทพมหานคร ในขณะนั้นได้ก่อตั้ง "ชมรมอีสาน" ขึ้นเป็นคณะหมอลำเล็กๆ รับแสดงตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่ง คุณพยุง ช่ำชอง (นักจัดรายการวิทยุ) ได้ให้โอกาสบันทึกแผ่นเสียงชุดแรก สังกัด บริษัทออนป้า ในปี พ.ศ. 2522 คือชุด "ลำแมงตับเต่า" ในนามว่า "รุ่ง ดาวอีสาน" จนได้รับฉายานามว่า "แมงตับเต่าตัวแรกของเมืองไทย"
แมงตับเต่า ขับร้องโดย รุ่ง ดาวอิสาน (รุ่งฟ้า กุลาชัย) สุปราณี ศรีสุพัฒน์
โดยมี อาจารย์สมัย อ่อนวงศ์ เป็นผู้เป่าแคนให้ ส่วนนักร้องที่ลำคู่กันคือ "บานเย็น รากแก่น" และ "ปริศนา วงศ์ศิริ" ต่อมาได้เปิดวงดนตรีหมอลำชื่อคณะ "อีสานบันเทิง" และเปลี่ยนชื่อการแสดงมาเป็น "รุ่งฟ้า กุลาชัย" ผลงานที่เป็นที่รู้จักคือ อัลบั้มชุด "เก่งต้องไปชายแดน" "อ่านจดหมายที่ชายแดน" "ลำเพลินขุนแผนเป่ามนต์เสน่ห์จันทร์" "ฮักอ้ายใกล้เป็นเศรษฐี" เป็นต้น
กระทั่งสื่อมวลชนขนานนามว่า "ขุนพลลำแพน เจ้าพ่อขุนแผนลำเพลิน" นอกจากนั้นยังเคยออกอัลบั้มร่วมกับ "อังคนางค์ คุณไชย" ชื่อ "อำพาอำพอง" และได้มีโอกาสไปเผยแพร่ศิลปะการลำเพลินให้เป็นที่รู้จักในหลายประเทศ ทั้งทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย
เมื่อครั้งก่อตั้ง ชมรมอีสาน สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา รุ่งฟ้า กุลาชัย มีบทบาทสำคัญในการร้องลำกล่อมขวัญทหาร และตำรวจตระเวนชายแดน รวมทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจุบันยังเป็นผู้มีบทบาทในการอนุรักษ์การร้องลำในลีลาลำเพลิน โดยรับสอนและแนะแนวทางต่างๆ แก่ผู้ที่สนใจศิลปะแขนงนี้ ด้วยจิตสำนึกอนุรักษ์การลำเพลินให้คงอยู่ต่อไป รวมทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดยโสธร จนได้รับเกียรติคุณเป็น "คนดีศรียโสธร"
นายทรงรัฐ อ่อนสนิท หรือ รุ่งฟ้า กุลาชัย นับเป็นผู้มัผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม นำวรรณคดีไทยโบราณมาผสานกับกลอนลำอย่างลงตัว ดังปรากฏในงานซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวละครขุนแผน จึงได้รับการเชิดชูเกียรตืให้เป็นศิลปินมรดกอีสาน ประจำปี พ.ศ. 2557 สาขาศิลปะการแสดง (ลำเพลินประยุกต์) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ลำเพลิน ขุนแผนสะท้านโลก โดย รุ่งฟ้า กุลาชัย
เปิดดู รุ่งฟ้า กุลาชัย ในรายการ "ไมค์ทองคำ หมอลำฝังเพชร" ที่นี่
รุ่งฟ้า กุลาชัย - ซุปเปอร์หม่ำ
นายบำเพ็ญ ณ อุบล เป็นบุคคลสำคัญของชาวจังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นผู้อนุรักษ์ สืบสาน ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของเมืองอุบลราซธานี เป็นหนึ่งผู้อาวุโสที่ชาวอุบลราซธานีรักและศรัทธา เป็นต้นแบบและแบบอย่างที่ดีของการเป็นผู้รักถิ่นฐานบ้านเกิด ภาคภูมิใจในกำเนิดของตน มีผลงานด้านการอนุรักษ์และสืบสานเกี่ยวกับจารีตประเพณี พิธีกรรม และขบบธรรมเนียมของอีสานอย่างจริงจัง จนได้รับการยกย่องเป็น “ปราชญ์เมืองอุบล”
หากจะนับลำดับญาติกันแล้ว ผู้เขียนต้องเรียกท่านว่า "คุณตาบำเพ็ญ ณ อุบล" เพราะท่านเป็นญาติฝ่ายแม่ยายของผู้เขียน โดย แม่เกษา ธานี (แม่ยายผม) ท่านเรียก คุณตาบำเพ็ญ ว่า พี่ชาย ส่วนจะเป็นญาติโยงกันตรงไหนนั้น แม่ยายเคยเล่าให้ฟังว่า ได้รับการเลี้ยงดูให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในคุ้มบ้านเดียวกัน แต่ผมก็ลืมไปหมดแล้ว ผมเคยได้รับใช้ท่านหลายครั้งในการขับรถรับ-ส่งท่าน เพื่อไปร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งในพิธีกรรมเลี้ยงบรรพบุรุษของเมืองอุบลฯ
คุณตาบำเพ็ญ ณ อุบล (ท้าวดอกหมาก) หรือบางคนเรียกท่านว่า ท่านอัยการบำเพ็ญ เกิดเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2469 ณ บ้านคุ้มหลวง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของ นายปราง (ท้าวบุญมุง) และนางพริก ณ อุบล (สกุลเดิม ทองพิทักษ์) นับว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเจ้านายเมืองอุบลโดยตรง ในวัยเด็กท่านได้ใกล้ชิดกับปู่ย่าตายาย ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายอาญาสี่ หรือเจ้าเมืองอุบลในอดีต ทำให้ท่านได้ซึมซับรับรู้ประวัติศาสตร์ องค์ความรู้ของบรรพชนเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
เมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะเล่าเริยน บิดาไต้นำไปฝากเริยนหนังสือ ก-ข ก-กา กับพระอธิการวัดสด ภู่หนู เจ้าอาวาสวัดหลวง ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกของเมืองอุบล จนกระทั่งอ่านออก เขียนได้ บวกเลขได้ บิดาจึงพาไปเข้าเริยนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่วัดบ้านท่าข้องเหล็ก อำเภอวารินชำราบ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ โรงเรียนวัดศรีทอง แล้วย้ายมาเรียนที่ โรงเรียนเบญจะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานี ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จนจบชั้นสูงสุด หลังจากนั้นแล้วเข้าศึกษาต่อใน โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (รุ่นเฉพาะกิจที่ย้ายมาทำการเรียนการสอนที่อุบลราชธานี เนื่องจากเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 2) หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อใน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบปริญญาตรีธรรมศาสตรบัณฑิต ใน พ.ศ. 2495 เข้ารับการฝึกอบรมในสำนักอบรมกฎหมายเนติบัณฑิต กระทรวงยุติธรรม สำเร็จเป็น เนติบัณฑิตไทย ในปี พ.ศ. 2506 (สมัยที่ 15)
ขณะเรียนได้ทำงานเป็นเสมียนที่ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ไปด้วย เมื่อเรียนจบปริญญา สอบเนติบัณฑิตยสภาได้แล้ว ย้ายไปรับราชการที่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โอนไปเป็น อัยการประจำกรมอัยการ กรุงเทพมหานคร และย้ายไปประจำตามหัวเมืองทางภาคอีสาน เช่น จังหวัดยโสธร อุบลราชธานี นครราชสีมา เกษียณอายุราชการในตำแหน่ง อัยการฎีกา เขต 4 จังหวัดขอนแก่น ปี พ.ศ. 2530 การทำงานในส่วนภูมิภาคทำให้ต้องออกไปสัมผัสและคลุกคลีกับชุมชนนอกตัวเมือง ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และการดำรงรักษาขนบธรรมเนียมของชาวอีสาน ที่สืบทอดมาจากปู ย่า ตา ยาย สู่รุ่นลูกหลานไต้อย่างกลมกลืน ท่านได้สมรสกับ นางรัตนา ณ อุบล (สกุลเดิม แต้ศรี) มีบุตรธิดาด้วยกัน 4 คน เป็นชาย 2 คนและหญิง 2 คน
รำดาบในขบวนแห่ "บุญบั้งไฟยโสธร"
เมื่อท่านเกษียณอายุราชการ ท่านได้มืโอกาสทบทวนวิเคราะห์ ศึกษาในเรื่องปรัชญา ศาสนา และประเพณีอีสานอย่างจริงจัง เมื่อค้นพบได้ทำการสอบทาน ถ่ายทอดให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประซาซนผู้สนใจทั่วไป จนได้รับการยกย่องให้เป็น “เจ้าโคตรเมืองอุบล" ไดํใช้ความรู้ความสามารถถ่ายทอด พร้อมทั้งปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการประกอบพิธีต่างๆ ท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรื้อฟื้นขนบธรรมเนียมประเพณี ฮีตบ้าน คองเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประเพณีการแห่เทียนพรรษา การเลี้ยงมเหสักข์หลักเมือง บุญบั้งไฟ การทำศพเมรุนกหัสดีลิงค์ การบวงสรวงเจ้าคำผง ซึ่งนับว่าท่านเป็นผู้ทรงภูมิรู้อย่างยิ่ง
งานเลี้ยงมเหสักข์หลักเมืองอุบลราชธานี "วีรกรรมเจ้าคำผง"
นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้อุตสาหะรวบรวม เก็บรักษาสมบัติคูณเมืองของต้นตระกูล ณ อุบล เอาไว้อย่างหวงแหนรู้ค่า เป็นต้นว่า เครื่องเกียรติยศเจ้าเมือง ผ้าไหมโบราณ (กาบบัว ผ้าดิ้นเงิน ดิ้นทอง) หอก ดาบ ศาตราวุธโบราณ และพระพุทธรูปสำคัญต่างๆ
ผู้เขียนเองไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน ได้ยินแต่ชื่อท่านจากเวทีการสัมมนาทางวิชาการด้านวัฒนธรรม จนวันหนึ่ง แม่ยายชวนผมให้ไปร่วมงานการทำบุญเลี้ยงมเหศักดิ์หลักเมืองของท่าน ที่บ้านพักในอุบลราชธานี (เมื่อ 30 ปีที่แล้ว) ได้พบเห็นสิ่งของมีค่าต่างๆ ที่ท่านได้สะสมไว้ เห็นพิธีกรรมในอดีตที่น่าสนใจที่ท่านพาลูกหลานกระทำเซ่นสรวงบรรพบุรุษ และได้รับใช้ท่านอีกหลายครั้ง (ตอนนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้คิดและทำเว็บไซต์ IsanGate แห่งนี้) ก็เลยไม่ได้คิดจะรวบรวมบันทึกเป็นภาพถ่ายเก็บไว้ ท่านเคยอ่านสติกเกอร์ที่ผมตัดติดไว้ที่กระจกหลังรถยนต์ส่วนตัว (www.easyhome.in.th, www.isangate.com, www.krumontree.com) และถามว่า "หมายถึงอะไร" เมื่อท่านได้ทราบความหมาย ก็กล่าวอวยพรให้กับผมว่า "ขอให้สำเร็จรุ่งเรืองไปภายภาคหน้า"
การบวงสรวงอนุสาวรีย์เจ้าคำผง ขอบคุณภาพจาก GuideUbon.com
มาทราบข่าวอีกที เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2553 จากแม่ยายของผู้เขียนว่า คุณตาบำเพ็ญ ท่านสิ้นแล้ว รวมอายุได้ 86 ปี
คุณแม่เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2553 นั้น ได้เกิดเพลิงไหม้ที่บ้านคุณตาบำเพ็ญ เลขที่ 364 ถนนอุทัยรามฤทธ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาสมบัติมีค่าต่างๆ เอาไว้จนสูญสิ้น แม้ตัวท่านจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่เพราะความเสียใจที่ไม่สามารถรักษาสมบัติของบรรพบุรุษเอาไว้ได้ ท่านจึงล้มป่วยต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลยโสธร ก่อนที่จะสิ้นท่านเล่าว่า "เห็นเทวดา นางฟ้าปลอมตัวเป็นหมอพยาบาล เอายามาให้กิน เห็นทีครั้งนี้คงจะไม่รอด" และท่านยังได้สั่งเสียเป็นพินัยกรรมเอาไว้ว่า "เมื่อท่านสิ้นให้จัดงานศพสามวัน ไม่ต้องขอพระราชทานเพลิงศพ เถ้ากระดูกนั้นให้เอาไปลอยที่แม่น้ำมูล"
การบวงสรวงศาลหลักเมืองอุบลราชธานี ขอบคุณภาพจาก GuideUbon.com
บรรดาลูกหลานทั้งหลายจึงโจษจันกันว่า บรรพบุรุษท่านคงมาเอาสิ่งของเครื่องใช้สมบัติโบราณเหล่านี้ไป พร้อมทั้งเอาคุณตาไปเป็นผู้ดูแลในภพหน้าพร้อมกัน แม้สมบัติคูณเมืองทั้งหลายจะจมหายไปกับกองเพลิง แต่ผู้เขียนคิดว่า สิ่งที่ท่านทิ้งไว้นั้น คืออนุสรณ์แห่งความดีงาม องค์ความรู้ภูมิปัญญาที่ท่านถ่ายทอดไว้ ทำให้เกิดความซาบซึ้ง และภาคภูมิใจในฐานะที่เกิดเป็นคนเมืองนักปราชญ์อุบลราชธานี ซึ่งมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมต่อเนื่องยาวนาน
การบวงสรวงศาลหลักเมืองอุบลราชธานี ขอบคุณภาพจาก GuideUbon.com
ในฐานะบุตรหลานผู้หนึ่งข้าพเจ้า ขอให้ท่านไปสู่ภพภูมิอันเกษม เป็นมเหสักข์หลักบ้านใจเมือง คุ้มครองลูกหลานชาวอุบล ให้ปักกุ่มชุ่มเย็น ยาวนานเทอญ "
เป็นนักอนุรักษ์โดยวิญญาณและสายเลือด ความรักซาบซึ้งในความเป็นอีสาน เกิดจากความภาคภูมิใจในตระกูล "ณ อุบล" อันเก่าแก่ของตนซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพระวอ พระตา และพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) บรรพบุรุษผู้สร้างเมืองอุบลฯ ได้เก็บรักษาทรัพย์สินทุกชิ้นที่เป็นมรดกสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูมเก่า หอก ดาบ กาน้ำ แหย่งช้าง วรรณกรรมใบลาน นายบำเพ็ญจะค่อยๆ บรรจงเก็บ ปะ ชุน ซ่อมแซมสิ่งเหล่านี้ให้คงสภาพเดิม ไม่เพียงแต่อนุรักษ์เท่านั้น ท่านยังศึกษาประวัติความเป็นมาของแต่ละสิ่งละอย่าง อย่างละเอียดอีกด้วย มีความสนใจในประวัติศาสตร์โบราณคดี คติชนวิทยาและวรรณกรรมอีสาน นับเป็นบุคคลที่รอบรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีสานคนหนึ่ง
อนุสาวรีย์ท้าวคำผง ขอบคุณภาพจาก GuideUbon.com
ผลงานที่สำคัญ คือ การฟื้นฟูประเพณีแห่บั้งไฟของจังหวัดยโสธร จนกลายเป็นประเพณีสำคัญของชาวจังหวัดยโสธร เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการก่อตั้งอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ ของจังหวัดอุบลราชธานี คือ เจ้าพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวคำผง) เจ้าเมืองอุบลคนแรก เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์สิริจันโท (จันทร์) เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ติสสมหาเถร อ้วน) ให้ความรู้ แนะนำและฟื้นฟูการทำพิธีศพโบราณ เมรุนกหัสดีลิงค์แก่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มอบสิ่งของที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจำนวนมากแก่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ อุบลราชธานี และเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมอีสาน ไม่เคยหวงแหน
ตลอดจนเป็น "วิทยากรกฎหมายชาวบ้าน" อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย และอามิสสินจ้าง สิ่งที่นายบำเพ็ญภูมิใจมาก คือ การได้เป็นผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ต่อดวงวิญญาณของเจ้าหน่อกษัตริย์ (เจ้าสร้อยสินสมุทรพุทธางกูร) ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรจำปาศักดิ์ ผู้ถือเป็นมเหศักดิ์ประจำเมืองอุบลราชธานี โดยได้ทำหน้าที่เป็นร่างทรงประทับทรงของเจ้าหน่อกษัตริย์ "เสด็จเจ้าหอคำ" ตามความเชื่อถือของชาวอุบลราชธานีในอดีต ในงานประเพณีที่สำคัญ เช่น งานแห่เทียนเข้าพรรษา พิธีเลี้ยงมเหศักดิ์หลักเมือง
เมรุนกสักกะไดลิงค์ หรือ นกหัสดีลิงค์
เมรุนกสักกะไดลิงค์ หรือ นกหัสดีลิงค์
เรื่องเล่า "ผ้ากาบบัวอุบลราชธานี"
หมอลำคำปุ่น ฟุ้งสุข เป็นหมอลำอาวุโสอีกคนหนึ่งที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต อยู่ในคณะหมอลำ สุนทราภิรมย์ เคยชนะการประกวดหมอลำในระดับต่างๆ หลายรางวัล เช่น เคยได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดหมอลำทั่วประเทศ ฝ่ายหญิง พ.ศ. 2502 ณ เวทีมวยลุมพินีกรุงเทพฯ หมอลำคำปุ่นเป็นหมอลำสตรีที่สามารถแต่งกลอนลำได้ดี
คนที่เป็นคอหมอลำในภาคกลางคงพอจะจำ "สุนทราภิรมย์" วงหมอลำกลอนเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นโดย อาจารย์สุนทร อภิสุนทรางกูร ข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ และแม่ครูคำปุ่น ฟุ้งสุข เมื่อปี 2499 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีผลงานการแสดงผ่านวิทยุจนคนติดงอมแงม ซึ่งสมัยนั้น สุนทราภิรมย์ คือหมอลำวงใหญ่ที่รวบรวมเอา "หมอลำ-หมอแคน" แถวหน้าในภาคอีสานไว้ในวงมากที่สุด และตระเวนเดินสายรับงานในภาคกลางเป็นหลัก โดยยุคแรกมีสมาชิกในวงกว่า 100 คน
ลำกลอนโต้วาที โดย หมอลำทองลา สายแวว - คำปุ่น ฟุ้งสุข
หลายคนคิดว่า "สุนทราภิรมย์" นั้นแยกย้ายเลิกราตามยุคสมัยไปแล้ว แท้จริงแล้วหมอลำคณะนี้ยังคงปักหลักสืบทอด "หมอลำกลอนโบราณ" โดยผ่าน วันทิพย์ ปภัสพิศิษฐ์ หรือ ลัดดา ทาทอง (ชื่อที่ใช้จัดรายการวิทยุ) วัย 61 ภรรยาคนที่ 4 ของ อาจารย์สุนทร อภิสุนทรางกูร จากการที่บุกเข้าไปเปิดอาณาจักรหมอลำกลอนวงนี้ ที่ฝังตัวอยู่เงียบๆ บนเนื้อที่ 1 ไร่ ภายในซอยพหลโยธิน 30 ซึ่ง ป้าวันทิพย์ เล่าให้ฟังว่า
"จุดเริ่มต้นของวง "สุนทราภิรมย์" ในกรุงเทพฯ อาจารย์สุนทรเริ่มมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านรับราชการอยู่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ท่านมีความคิดทำเพราะชอบหมอลำ ตอนนั้นคณะหมอลำในกรุงเทพฯ ไม่มี มีอยู่ตามต่างจังหวัด ท่านบริหารมาก็มีคนแถวภาคกลางเขาก็ชอบรูปแบบการลำแบบนี้ เขาก็มาว่าจ้างให้ไปแสดง บางวันก็ 2 คู่ 3 คู่ บางวันมีถึง 12 คู่ คำว่า "เป็นคู่" คือมีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกัน มีเครื่องดนตรีประกอบเพียงชนิดเดียว คือ แคน เมื่อก่อนสำนักงานเราอยู่แถววัดนาคกลาง ฝั่งธนบุรี ถ้ามีงานก็สั่งวงดังๆ มาจากต่างจังหวัด ก็จะมาที่สำนักงานเป็นบ้านหมอลำสาวๆ หนุ่มที่ลำเป็นก็จะมารวมกันที่นี่ เมื่อก่อนก็มีวงดังๆ แต่เขารวมตัวกันไม่ได้ สุนทราภิรมย์เมื่อก่อนมีทีมงาน 200 คนเลย วงใหญ่ด้วยการแสดงที่ยึดรูปแบบของ "หมอลำแคน" ที่มีลีลาการร้องภาษากลอนที่ไพเราะ ไม่หยาบโลน นอกจากนั้นการแต่งกายที่สวมใส่ด้วยชุดไทยอีสานที่สวยงาม วันนี้เราก็ยังแต่งกายแบบนั้นอยู่ ทำให้เป็นที่ถูกใจของเจ้าภาพทั่วไปจ้างไปแสดงในงานต่างๆ อาทิ งานทำบุญกระดูก งานแต่งงาน ทำบุญบ้าน งานประจำปี ฯลฯ ป้าเข้ามาอยู่ในวงเมื่อปี 2519 แล้วเป็นภรรยาอีกคนของ อาจารย์สุนทร อาจารย์มาล้มป่วยเมื่อ 22 สิงหาคม 2535 ด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ เลยเป็นอัมพาตและเสียชีวิตเมื่อ 17 ตุลาคม 2536 อายุ 72 ปี ป้าก็รับมรดกวงมาจนถึงวันนี้"
ไสว แก้วสมบัติ หมอแคนวัย 70 ปี ชาวสระแก้วที่มาอยู่กับคณะ "สุนทราภิรมย์" ตั้งแต่ปี 2517 เล่าเสริมถึงช่วงการผลัดเปลี่ยนการแสดงของวงในเวลาต่อมาว่า "สมัยเมื่อ อ.สุนทรย้ายสำนักงานมาอยู่ภายในซอยพหลโยธิน 30 บนเนื้อที่ 1 ไร่ ช่วงนั้นมีหมอลำประยุกต์ ซึ่งเขาเล่นกันมานาน อยู่ที่เจ้าภาพเขาชอบแบบไหน เล่นคู่กัน 2 คนหญิง-ชาย หัวหน้าเขาเห็นหมอลำสาวๆ มาเป็น 10 กว่าคน ตอนนั้นย้ายมาจากวัดนาคกลางมาอยู่ที่ซอยพหลโยธิน ผมมาอยู่ช่วงนั้นซึ่งเป็นยุคที่ 2 ก็ยังเป็นหมอลำใส่แคนอยู่ แต่มีบางงานที่เจ้าภาพเขาอยากได้ "ขบวนฟ้อน" คือนางรำหลายๆ คนใส่ชุดพื้นเมืองอีสาน หมอแคนใช้ 7 - 9 คนใช้ลำโพงฮอลล์ เป่าเพลงเดียวพร้อมๆ กัน มีกลองทอม มีพิณ การฟ้อนมีจังหวะภูไท เซิ้งต่างๆ คืออาจารย์เขาทำแบบนี้มาตั้งแต่ประมาณปี 2510 การทำแบบนี้เป็นการพัฒนางานเพราะคนฟังเขาก็มีการพัฒนา เขาสนใจสาวๆ ที่มารำ ช่วงหัวค่ำมีฟ้อนรำก็เป็นช่วงวัยสาว ช่วงดึกหลัง 6 ทุ่มไปก็จะเป็นภาคของคนมีอายุ เป็นหมอลำกลอน จะกี่คู่ ก็แล้วแต่เจ้าภาพ หมอลำกลอน กับขบวนฟ้อนมันมีมาด้วยกัน พอคนดูตอนนั้นเขาอยากดูสาวๆ ก็เลยลองทำดูซิ เจ้าภาพอยากได้หมอลำกลอนมีขบวนฟ้อนด้วย หัวหน้าเขาเลยมีไอเดียว่าต้องแบ่งภาคกัน"
เต้ยพม่า - หมอลำคำปุ่น ฟุ้งสุข
ในเรื่องจำนวนสมาชิกของคณะ "สุนทราภิรมย์" ในปัจจุบันนั้น ลุงไสวบอกอีกว่า "ปัจจุบัน ก็ไม่ได้ทิ้งหมอลำกลอน ยังคงมีแคน พิณ มีกลองชุด ถ้าเอาคีย์บอร์ดเข้ามา เมโลดี้มันจะกัดกับแคนไม่ค่อยเพราะต้องมีเทคนิค เราเปลี่ยนมา 10 กว่าปี กลอนเป็นแบบของการรำที่เขาเรียกว่า "ซิ่ง" เมื่อก่อน อ.สุนทรไม่นิยมให้ลำซิ่ง ช่วงหลังก่อนที่ผมเข้ามาเริ่มมีการ "ซิ่ง" เข้ามาผสมกับกลอน ซึ่งวงอื่นเขาก็มีเราปรับตัวเข้าไปตรงนั้น เอาจังหวะซิ่งมาผสมกับลำกลอนสมาชิกทุกวันนี้เหลือประมาณ 20 - 30 คน เมื่อก่อน 100 - 200 คน ทุกวันนี้เราเริ่มแสดงบางทีงานเป็นโต๊ะจีน ทำบุญ การแสดงเขาจะให้เล่นหัวค่ำ เลิก 6 ทุ่ม เรามีกติกาว่าแสดง 5 ชั่วโมง เนื้อหาการแสดงหมอลำจะเป็นลำกลอนมือหนึ่งทุกคน แก่สาวเขาไม่แคร์ขอให้สร้างความบันเทิงขึ้นเฮลงฮา โหมโรง โชว์กลอง แคน พิณ จากนั้นเป็นคู่รอง มีการไหว้ครูทุกอย่าง การแสดงกระชับ มีการกล่าวถึงเจ้าภาพ คนมาในงาน หลังจากนั้นบางคนเขาก็เอาแคนขึ้นลำแบบรำวง พอการร่ายลำเสร็จเขาก็สวมจังหวะ "ซิ่ง" ที่เขาเรียกว่า "ยาว" ลำกลอนใส่จังหวะ ท่าก็จะมี 32 ท่า ไม่ได้ใช้กลองตลอดนะมันเป็นบายฮาร์ท ทุกคนมีความสามารถอยู่แล้วเปลี่ยนกันขึ้นลง แล้วเอาเพลงลูกทุ่งมาผสมเข้าบท"
หมอลำทองลา สายแวว และหมอลำคำปุ่น ฟุ้งสุข
เมื่อถามถึงการรับงานในวันนี้ ป้าวันทิพย์ บอกว่า "งานทุกวันนี้เรื่อยๆ ถ้าไม่ใช่หน้างานก็ 3 - 4 งาน ส่วนใหญ่เป็นเจ้าภาพเก่าๆ ที่เคยใช้งานกันประจำ ค่าตัวไกลใกล้ว่ากันไปไม่ตายตัว ขั้นต่ำรวมเครื่องเสียงเวทีก็ 3 หมื่น เหลือกันนิดๆ หน่อยๆ เราไม่คิดเยอะ เอาเยอะเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างเรา วัฒนธรรมเราก็จะห่างเราออกไป ให้มันพออยู่ได้ เจ้าภาพเขาจะเอาไปให้พ่อแม่ฟัง กว่าที่จะจัดงานทำบุญ เขาจะเก็บเงินรวบรวมกันมาเป็นปีในหมู่พี่น้อง แล้วมาจัดงาน บางทีหัวหน้าวงก็ได้น้อยกว่าลูกน้อง ทุกวันนี้เราก็ยังเรียกหมอลำในอีสานเหมือนเดิม สะดวกด้วย ใช้โทรเอา เมื่อก่อน อ.สุนทรต้องใช้วิธีเขียนจดหมายล่วงหน้ากันนาน เจ้าภาพที่อยากให้คณะ "สุนทราภิรมย์" ไปทำการแสดงก็ติดต่อมาที่เบอร์ 0-2513-8042 หรือ 08-9694-5629"
ลำชิงชู้ - คณะสุนทราภิรมย์
ประวัติของหมอลำรุ่นเก่าๆ นี่หายากมากครับ ผู้เขียน (ทิดหมู มักหม่วน) ก็เลยจำเป็นต้องนำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันมาเสริมเข้าไปให้ได้ทราบกัน ขอบคุณแหล่งข้อมูลทุกแหล่งนะครับ
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)