foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

pra tam tesana header

พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อกัณฑ์นี้ ได้เทศน์โปรดญาติโยมที่วัดถ้ำแสงเพชร (สาขาวัดหนองป่าพง) จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516

kobtao fao korbua

...เวลาทำบุญก็เหมือนกัน นิมนต์พระไปสวดมนต์ สวดมงคล
สวดยังกะอึ่งร้อง ผู้ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่อธิบายให้คนฟังเข้าใจ เลยเร่งให้พระสวดจบเร็วๆ
จะได้กลับวัด จะได้ฟังหมอลำกันสนุกสนาน เฮฮาทั้งคืน มันจะเหลืออะไร... "
 

sit 3ย่างถึงเดือนห้าเดือนหกก็เหมือนกัน ก็ทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยทำกระทงหน้าวัว ขูดเล็บมือเล็บเท้าใส่ไป ส่วนมากจะทำกันตามความเชื่อที่ว่า จะมีผีหรือวิญญาณสิงสถิตอยู่ เช่น ตามทางแยกหรือต้นไม้ใหญ่ (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ตรงที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยๆ) วิธีทำ คือ นำเอาต้นกล้วยมาทำเป็นกระทงสามเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง ตามความนิยม แล้วปักธงเล็กๆ ไว้โดยรอบ ภายในมีเครื่องสังเวย เช่น ข้าวดำข้าวแดง ต่อจากนั้นก็เชิญหมอผีหรือคนทรงมาทำพิธีสวด เซ่นผีหรือวิญญาณ มันไม่ถูกหรอก เหล่านี้มีแต่เรื่องนอกรีดนอกรอย คนอื่นทำก็ทำกันเลยไม่รู้เรื่อง

นี่แหละเพราะไม่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ไปฟังแต่อย่างอื่น ล้วนแต่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่มีความหมายอะไร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเนื่องจากการฟัง ท่านจึงให้ฟัง เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สิ่งต่างๆ มีเหตุมีปัจจัย ถ้าเหตุดี ผลก็ดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดี เหตุถูก ผลก็ถูก เหตุไม่ถูก ผลก็ไม่ถูก ให้ดูเหตุของมัน ผู้มีปัญญาก็ตรัสรู้ธรรมะ เราต้องพิจารณาว่าสมเหตุสมผลหรือไม่

เหมือนที่กล่าวมานั้นแหละ การทำต้นดอกผึ้งนั้นจะกันนรกอเวจีได้ไหม อาตมาว่า ถ้าไม่หยุดทำความชั่วแล้ว มันหยุดความผิดไม่ได้ ให้เราพิจารณาอย่างนี้ ถ้าเรามีหลักพิจารณาอย่างนี้จะสบาย บุญก็จะค่อยเกิดขึ้น จะค่อยรู้ค่อยเห็นเรื่อยๆ ไป

ทุกวันนี้ บริษัทบริวารของพวกเราทั้งหลาย คือ ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา พระ เณร อุบาสก อุบาสิกา บริษัท 4 ยังมีอยู่ แต่ก็น้อยไป หมดไป เราสังเกตได้ง่ายๆ ว่าทุกวันนี้ นักบวช นักพรต ที่เป็นเนื้อนาบุญของพวกเรา ที่เป็น สุปฏิปันโน ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ หาดูซิ มีไหม?

ทุกวันนี้ เราอ่านธรรมะกันทั้งนั้นแหละ แต่เป็นธรรมะที่แต่งขึ้นภายหลัง เราฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจไปอย่างอื่น อย่างบางตำรากล่าวว่า พระยาธรรมจะมาตรัสและจะนำตะแกรงทองคำมาร่อน เราก็เข้าใจว่าเป็นตะแกรงทองคำจริงๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แม้แต่เรื่องพระยาธรรมก็เช่นกัน พากันเข้าใจว่าจะต้องคอยจนกว่า พระศรีอารยเมตไตรยมาตรัส อันนี้มันไกลไป ไม่ใช่พระยาธรรมองค์นั้น ในที่นี้ท่านหมายถึง จะมีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติดีประพฤติชอบมาประกาศธรรมะ มาช่วยบอกว่า อันนั้นผิดอันนั้นถูก เรียกว่า ร่อน คนไหนปัญญาน้อยนึกไม่ถึง ไม่เชื่อก็หลุดไปๆ พระยาธรรมก็คือเรื่องธรรมะนั่นเอง คือธรรมะอันแท้จริงจะค่อยพ้นขึ้นมา

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเมื่อเจริญขึ้นมันก็เสื่อมเหมือนมะม่วง ขนุน เมื่อสุกเต็มที่มันก็หล่น พอเมล็ดถูกดินก็เป็นต้นงอกขึ้นมาใหม่ได้อีก ฉันใด ธรรมะถ้าเสื่อมเต็มที่แล้ว ก็จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา สาวกของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ พระศาสนาของพระองค์ยังไม่จบสิ้น เป็นเหตุให้ก่อธรรมที่แท้จริงขึ้นมาประกาศได้ เรียกว่า นำตะแกรงทองคำมาร่อน คือนำธรรมะมาอธิบาย แนะนำพร่ำสอนประชาชน พุทธบริษัทให้เกิดความเข้าใจ ผู้ที่มืดหนา ปัญญาหยาบก็ไม่ค้าง เพราะไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา ไม่ได้พิจารณา ถ้าผู้มีบุญวาสนาพิจารณาดู มันจริง นี่คือผู้ที่ค้างตะแกรงทองคำ ไม่ใช่ตะแกรงที่ทำจากไม้ไผ่ตามธรรมชาติบ้านเรา ไม่ใช่อย่างนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้า จะมาชักจูงพวกเราทั้งหลาย หมายความว่า ธรรมะจะเจริญขึ้นๆ ที่จมก็จมไป ที่ฟูก็ฟูขึ้น

เดี๋ยวนี้เราจะหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว อย่างนักบวช นักพรต ลูกหลานของเรามาบวชกันทุกวันนี้ ส่วนมากก็บวชเจ็ดวัน สิบห้าวันเท่านั้นแหละ แล้วก็สึกไปๆ เลยไม่มีใครอยู่วัด วัดเลยไม่เป็นวัด เพราะไม่มีใครอบรมสั่งสอนกัน ไม่มีที่เกาะ ที่ยึด ที่มั่น ที่หมาย เพราะขาดกรรมฐาน ขาดการภาวนา ขาดการอบรมบ่มนิสัย มันขาดอย่างนี้ เลยมีแต่เรื่องเดือดร้อนกระวนกระวาย การบวชส่วนมากก็บวชกันตามประเพณีชั่วคราว ทุกวันนี้ วัดก็เลยเป็นเหมือนคุกเหมือนตะราง เข้าไปก็ร้อนทันที อยู่ไม่ได้ ที่ที่มันเย็นก็เลยกลับเป็นที่ร้อน ทุกวันนี้ ที่ถูกก็เลยกลายเป็นผิด เพราะคนไม่ได้อบรมธรรมะ ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจึงขอให้เอาไปพินิจพิจารณาให้มันดีๆ

sit 4ความจริงเรื่อง ปัญญาบารมี ก็รวมอยู่ในบารมี 10 มี ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา บารมีเหล่านี้ท่านแจกออกเป็น 3 หมวด คือ บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รวมเป็น บารมี 30 ทัศ ที่พระโพธิสัตว์ก่อนที่จะตรัสรู้ต้องบำเพ็ญให้ได้ครบบริบูรณ์ ทุกๆ พระองค์ ปัญญาบารมีก็แยกเป็น 3 ระดับ เหมือนกับทานบารมี คือ ปัญญาระดับปกติธรรมดา ระดับกลาง และระดับสูงสุด ตัวอย่างเช่น ปัญญาระดับศีลขจัดกิเลสส่วนหยาบ ปัญญาระดับสมาธิขจัดกิเลสส่วนกลาง ปัญญาระดับสูงขจัดกิเลสส่วนละเอียด แต่โดยมากฟังกันไม่รู้เรื่อง จึงมักจะมีปัญหา

เวลาทำบุญก็เหมือนกัน นิมนต์พระไปสวดมนต์ สวดมงคล สวดยังกะอึ่งร้อง ผู้ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้อธิบายให้คนฟังเข้าใจ เลยเร่งให้พระสวดจะได้จบเร็วๆ แล้วรีบกลับวัด เขาก็จะได้ฟังหมอลำกันสนุกสนาน เฮฮากันทั้งคืน มันจะเหลืออะไรพวกเรา เพราะโลกมันทับถมหมดแล้ว ลูกหลานของเราทุกวันนี้ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง สอนกันไม่ฟัง เพราะขาดธรรมะ ฉะนั้นผู้ที่จะได้มาอบรมบ่มนิสัยทุกวันนี้จึงหายาก

อาตมาถึงว่าญาติโยมเป็นผู้มีบุญมาก ที่มีวัดปฏิบัติอยู่ใกล้เหมือนกับเรามีทนายความไว้ประจำบ้าน หรือมีแพทย์มีหมอประจำเรือน เมื่อตัวเราก็ดี ลูกเมียพี่น้อง เราไม่สบายก็จะได้ไปหาแพทย์หาหมออุ่นใจ อันนี้ฉันใด ความทุกข์ความไม่สบาย ความเดือดร้อนต่างๆ เราจะได้หาโอกาสไปฟังเทศน์ฟังธรรมตามกาลเวลา อย่างน้อย 7 วันครั้งหนึ่งก็ยังดี ได้มาอบรมบ่มนิสัย มาได้ยินได้ฟัง จะได้ทำลายความคิดผิด ความเห็นผิดของเรา ตลอดลูกหลานของเรา ก็จะได้สร้างนิสัยปัจจัยไปในทางคุณงามความดี แม้ความผิดจะมีอยู่ ก็จะมีปัญญาพิจารณาเลิกละไปในวันข้างหน้าได้

อย่างบ้านหาดเรานี้ อาตมาเคยมาสัมยก่อน ได้ฝึกหัดเอาไว้ ปัจจุบันนี้เด็กๆ ดีขึ้นเยอะ พอเห็นพระประณมมือกันเป็นแถว แม้แต่เด็กยังไม่นุ่งผ้าก็ยังรู้จักประณมมือ นี่ต้องหัดเอา ฝึกเอา มันจึงเป็นขึ้น ค่อยฝึกค่อยหัด จากคนหนึ่งเป็นสองคน นานเข้าเลยเรียบร้อยสวยงามขึ้นมา ทั้งนี้เพราะอาศัยการฝึกหัด อย่างนี้ท่านเรียกว่า อานิสงส์ของการอยู่ใกล้วัด

sit salaใจเราก็เหมือนกัน เราฟังเทศน์ฟังธรรมจึงเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมา เวลากระทบสิ่งโน้นสิ่งนี้ก็มีความรู้ มีปัญญาพิจารณา การประพฤติปฏิบัติก็คือสิ่งเหล่านี้ สิ่งไม่ดีที่เราทำมานาน ก็ค่อยละค่อยถอนมันไป เรียกว่าการประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะนักบวชเท่านั้น ในครั้งพุทธกาลอยู่บ้านอยู่เรือน ก็เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย ถึงไตรสรณคมน์ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มีเยอะแยะ

บางคนคิดว่าจะไปทำบุญให้ทานก็ไม่มีเวลา มันยุ่งยาก คนไม่รู้จักบุญ บุญเป็นเรื่องสร้างคุณงามความดีให้เจ้าของ การสร้างความดีไม่เห็นยากอะไร อย่างเดินไปเห็นของเขา นึกอยากจะได้แต่ไม่เอาเพราะกลัวความผิด กลัวบาป กลัวคุก กลัวตะราง นี้เป็นการสร้างความดีแล้ว เป็นการสร้างความดีให้แก่ตนเอง ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ก็ไปลักไปฉ้อโกงเขา ก็เท่ากับสร้างความชั่วให้แก่ตัวเอง มันบาปอยู่ตรงนั้น บุญอยู่ตรงนั้น และการปฏิบัติก็อยู่ตรงนั้น เห็นความผิดก็ไม่ทำ ไปที่ไหนใจก็เป็นบุญที่นั่น มีความฉลาดอยู่ในจิตใจของตนเอง อันนี้แหละท่านเรียกว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว

ไม่ใช่ธรรมที่เราไปเรียนเอาวิชาอาคม ได้มาแล้วก็บ่น ก็เสกใส่ก้อนหินก้อนกรวด แล้วก็หว่านไปให้มารักษาเรา ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ว่าพระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พระธรรมคือใจที่รู้ว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูก อย่างนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนคนอื่น รู้อย่างนี้ความผิดความชั่วก็ไม่กล้าทำ ทำไม เพราะใจมันรู้ รู้จักผิด รู้จักถูก นั่นคือธรรมะ ถ้าเราไม่ทำผิดทำชั่ว ธรรมะก็คุ้มครองเรา ใจเรานั่นแหละเป็นผู้รู้จักธรรมะ นี้เรียกว่า พระธรรมย่อมตามรักษา เราปฏิบัติธรรม พระธรรมก็ตามรักษาเรา ใครไม่รู้จักธรรมะ ธรรมะก็ไม่รักษา นี้เรียกว่าของรักษา ของรักษาอยู่ที่ไหน อยู่ในธรรมนั้นแหละ

แต่คนเรามักเชื่อของรักษาในทำนองไสยศาสตร์ โดยเฉพาะเมื่อเจอพระธุดงค์มักจะมีโยมไปขอของรักษา คือคาถาอาคมกันภูตผีปีศาจ เพื่อให้ตนแคล้วคลาดจากภยันตราย ในทำนองเดียวกันก็มีการเอาอกเอาใจผีบ้านผีเรือนโดยการทำหิ้งบูชา ซึ่งแฝงด้วยปริศนาว่า ขันห้า ขันแปด (น่าจะมีความหมายว่า ศีลห้า ศีลแปด) เพราะคนรักษาศีล ศีลก็จะรักษาเขาเอง แต่ก็เพี้ยนไปเป็นเรื่องผีสางเทวดา จึงต้องบูชาด้วยวัตถุ โดยการเอาดอกไม้สีดำสีแดงไปกอง เอาข้าวแห้งไปบูชาอยู่ทุกวัน มีแต่หนูเท่านั้นแหละจะไปยันลงมาใส่หัวเวลากลางคืนนะ อันนั้นมันจะรู้อย่างไรว่า เราดีเราชั่ว ของอย่างนั้นมันจะรักษาคนได้อย่างไร รีบรื้อทิ้งทำให้มันสะอาด แล้วเอาพระพุทธรูปสวยๆ ไปใส่ไว้แทนจะดีกว่า

ของรักษาเราก็คือใจของเรา รู้จักว่าอันนี้มันผิดตามที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ ถึงท่านไม่บอก มันก็ผิดอยู่ พยายามละ อย่าทำอย่าพูด นี้เรียกว่าพระธรรม ใจเราที่รู้จักผิดรู้จักถูกนี่แหละธรรมะ ความดีของเรานี้แหละตามรักษา คือใจเรามันสูงเอง มันละเอง ประพฤติปฏิบัติเอง อันไหนชั่ว อันไหนผิดก็ไม่ทำ นี่แหละเรียกว่าพระธรรมตามรักษา ไม่ใช่พระธรรมอยู่บนขันกระหย่องนะ อันนี้มันขันข้าวแห้ง จะตามรักษาใครได้ มีแต่หนูเท่านั้นแหละจะไปกิน เรื่องมันเป็นอย่างนี้

อามิสบูชากับปฏิบัติบูชา อามิสบูชาคือบูชาด้วยสิ่งของ จะบูชาอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเป็นคุณ อย่างถ้าเราเป็นไข้ไม่สบาย มีคนเอาหยูกยามาให้ ก็สบาย เราจนมีคนเอาเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้ก็สบาย หรือเวลาหิว มีคนเอาข้าวมาให้กิน ก็เป็นบุญ นี่คืออามิสบูชา ให้คนไม่มี ให้คนยากจน ถวายของแก่สมณะชีพราหมณ์ ตลอดถึงสามเณรตามมีตามได้ เป็นอามิสบูชา

การปฏิบัติบูชา คือการละความชั่วออกจากจิตใจ อาการประพฤติปฏิบัติเรียกว่า ปฏิบัติบูชา ให้พากันเข้าใจอย่างนั้น ที่นี้ของรักษาก็คือใจของเรา ไม่มีใครมารักษาเราได้ นอกจากเรารักษาเราเอง พระอินทร์ พระพรหม พญายม พญานาคทั้งหลายไม่มี ถ้าเราไม่ดีแล้ว ไม่มีใครมารักษาเราหรอก พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าเราทำผิดขนาดไหนก็ยังเรียกหาคุณครูบาอาจารย์ คุณมารดาบิดาให้มาช่วย ไปขโมยควายเขาก็ยังประณมมือให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาช่วย "สาธุ ขอให้เอาไปได้ตลอดรอดฝั่งเถอะ" ผีบ้า ใครจะตามรักษาคนชั่วขนาดนั้น ท่านบอกว่าอย่าทำก็ไม่พัง นี่คือความเข้าใจผิดผิดของคน มันเป็นอย่างนี้ มันหลงถึงขนาดนี้ จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ดูเจ้าของ เรานี่แหละเป็นผู้รักษาเจ้าของ

kobtao 01

อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ โก หิ นาโถ ปะโร สิยา เราเป็นที่พึ่งของเราเอง คนอื่นเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้ เราต้องทำเอง สร้างเอง กินเอง ทำผิดแล้วทำถูกเอง ทำชั่วแล้วละเอาเอง เป็นเรื่องของเจ้าของ ท่านจึงบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันถูกที่สุดแล้ว เรามัวแต่ไปหาของดีกับคนอื่น พระพุทธเจ้าสอนแล้วสอนอีก สอนให้ทำเอง ปฏิบัติเอง พระพุทธเจ้าท่านแนะนำชักจูงอย่างนี้

อย่างทุกวันนี้ พอญาติพี่น้องตาย ท่านว่าให้ชักจูง เราก็เอาพระไปจูง เอาฝ้ายต่อไหม เอาไหมต่อฝ้าย ดึงกันมะนุงมะนัง เข้าป้าช้าโน้น ไม่ใช่จูงอย่างนั้น อาตมาว่ารีบหามไปเร็วๆ นั่นแหละดี มันจะได้ไม่หนัก บางทีก็ยุ่งอยู่กับจัวน้อย (เณรน้อย) พะรุงพะรังอยู่กับจีวร เด็กตัวเล็กๆ กำลังเลี้ยงควายอยู่ก็เรียกมาบวช บวชจูงพ่อจูงแม่ จูงก็จะไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวหิวข้าว หิวน้ำ ร้องไห้ นั่นไปจูงกันอย่างนั้น นี่แหละคือความเห็นผิด

เรื่องการชักจูงก็เหมือนกับอาตมากำลังจูงอยู่เดี๋ยวนี้แหละ คือการแนะนำพร่ำสอน บอกทางไปสวรรค์ บอกทางไปนรกให้ แนะนำให้เลิกสิ่งนั้น ให้ประพฤติสิ่งนี้ อย่างนี้เรียกว่าชักจูงแนะนำพร่ำสอน จูงต้องจูงในขณะยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ ให้ไปคิดพิจารณาเอาไป ภาวนาดูว่ามันถูกไหม ถ้าสงสัยก็มาฟังอีก จะบอกให้ชี้ให้ แนะนำพร่ำสอนให้ นี้เรียกว่าชักจูงคน ไม่ใช่เอาไหมต่อฝ้าย เอาฝ้ายต่อไหม จูงกันวุ่นวาย ไม่ได้ความอะไร มันน่าหัวเราะ จูงอย่างนั้นมันจูงไม่ได้

บางทีก็เอาข้าวตอกมาหว่าน ในขณะจูงศพไปป่าช้า โดยมีความเชื่อว่า พวกผีหรือเปรตที่คอยรับส่วนบุญมีอยู่ เพื่อจะไม่ให้พวกนั้นรบกวนผู้ตาย จึงมีการหว่านข้าวตอกไปด้วย

ความจริงบรรพบุรุษท่านสอนว่า คนเราเหมือนข้าวตอก เวลาหว่านไปมันก็กระจัดกระจายไปเหมือนสังขารร่างกายนี้ มีลูกมีเมีย มีลูกเต้าเหล่าหลาน มีเนื้อ มีหนัง มีแขน ขา หู ตา เป็นต้น ผลสุดท้ายก็กระจัดกระจายกันไปอย่างนี้ แตกกระสานซ่านเซ็นไปตามสภาวะ เกิดในโลกนี้ มันก็มีแค่นี้ เหมือนข้าวตอกดอกไม้นี่แหละ ที่เรี่ยราดไปตามดินตามหญ้า สังขารร่างกายนี้มันก็แค่นี้ ท่านให้พิจารณาอย่างนี้ แต่เราก็มาหว่านให้ผีกิน ไปคนละเรื่องอีกแล้ว เรื่องเหล่านี้พิจารณาให้มากๆ หน่อย พิจารณาให้ดี ถ้าเราเข้าใจตัวเราแล้วสบาย นี่ละการประพฤติปฏิบัติมันถึงต่างกัน ถ้าเรานำไปพิจารณาแล้วจะเห็น เห็นได้จริงๆ เห็นในใจของเรานี้แหละ แล้วมันจะค่อยสว่างขึ้น ค่อยขาวขึ้น ค่อยรู้ขึ้นมา

lp cha 01

เหมือนกับเราเรียนหนังสือ แต่ก่อนกว่าจะรู้อะไรครูจับไปเขียน ก ข ไม่รู้เขียนอะไร ไม่รู้เรื่อง แต่ก็เขียนไปตามครู พอเขียนพยัญชนะได้ก็เขียนสระอะ สระอา สระอิ สระอี แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องหรอก ขี้เกียจก็ขี้เกียจ พอเขียนเป็นแล้ว ก็เอาพยัญชนะกับสระมาผสมกัน เอาสระอา ใส่ตัว ก อ่านว่า กา ใส่ตัว ข อ่านว่า ขา ว่าไปตามครู เรียนไปศึกษาไป ต่อมาก็เลยรู้เรื่อง เลยกลายเป็นคนอ่านออกเขียนได้

อันนี้เราลองพิจารณาดู การที่จะรู้จักบุญรู้จักบาป ตอนแรกก็อาศัยคนอื่นนี้แหละ ต่อไปมันจะรู้เอง ท่านจึงว่า ความดีความชั่วอยู่ที่ตัวเจ้าของ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เอาให้ใครไม่ได้ ให้ได้ก็คือบอกให้ทำอย่างนั้นๆ แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติไปตามศรัทธา จะเป็นประโยชน์แก่เรามาก อย่าพากันหลงงมงาย ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ถึงพระรัตนตรัย ไม่ต้องถือภูตผีปีศาจ

อย่างอาตมาไปภาวนาอยู่ที่ไหนก็สบายด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความเชื่อพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เชื่ออย่างไร เชื่อว่าไม่มี ตรงไหนที่พระองค์สอนให้คนชั่ว สอนให้คนทำผิด ไม่มี ในสูตรในตำราไหนก็ไม่มี อาตมาอ่านแล้ว ถึงว่าพระพุทธเจ้านี้เป็นผู้เลิศประเสริฐจริงๆ อาตมาเชื่อท่าน ท่านว่าให้สอนตนเอง ให้พึ่งตนเอง ก็พึ่งตนเองจริงๆ ทำตามท่าน ไปทำอยู่ที่ไหนก็สบาย อยู่ในถ้ำในป่าในเขา จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอะไร สบาย เพราะความซื่อสัตย์สุจริตนี่แหละ เลยเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตนเองนี้ถูกแล้ว เราก็เหมือนกัน แม้จะเป็นฆราวาสอยู่บ้านครองเรือน ก็อย่าพากันสงสัยอะไร เพราะความดีความชั่วอยู่ที่ตัวเรา

อัตตะนา โจทะยัตตานัง จงเตือนตน ด้วยตนเอง ค่อยทำไป ดูแต่หินก้อนใหญ่ๆ ทุบไปเรื่อยๆ มันก็แตก พวกเรายังไม่รู้ ค่อยสอนค่อยปฏิบัติก็จะรู้ขึ้นมาได้

ชีวิตของคนเรามันไม่นานนะ กาลเวลาไม่อยู่ที่เดิม วันนี้มันก็กินไปแล้ว หมดไปแล้ว กินไปตลอดวัน ตลอดคืน กินไปเรื่อยๆ มันไม่หมดไปเฉพาะเดือน เฉพาะปีเท่านั้น สังขารเราก็ร่วงโรยไปด้วย เช่น ผมเดี๋ยวนี้ผมยังไม่หงอก ต่อไปมันจะหงอก มันจะแก่ หูแก่ ตาแก่ เนื้อหนังมังสาไปด้วย แก่ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นี่แหละท่านถึงว่าความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันแก่ไป ตายไป ฉะนั้น ขอให้พากันเชื่อมั่นในตนเอง ยึดเอาคุณพระศรีรัตนตรัย ผู้เข้าถึงพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรจะมาทำร้ายได้

นี่ละ การให้ทำความเพียรวันนี้ ไปถึงบ้านก็ให้ทำ บางทียุ่งกับลูกหลานมากๆ นอนตื่นแล้วก็มานั่งภาวนา พุทโธๆ ๆ อันนี้ถ้าจิตสงบแล้ว ก็เรียกว่าใกล้พระนิพพาน นี่แหละเรื่องภาวนา ไม่ใช่ภาวนาอยู่แต่ในวัด อยู่บ้านเราก็ทำได้ ว่างๆ เราก็ทำ แม้จะทำมาค้าขาย ทำนาทำไร่ก็ทำได้ หรือแม้แต่ขุดดินถอนหญ้าเวลาเมื่อยเข้าไปพักใต้ร่มไม้ก็ทำได้ นั่งภาวนาพุทโธๆ ๆ เดี๋ยวก็จะได้ดีจนได้ หมั่นระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ แล้วตั้งจิตพิจารณา พุทโธๆ ๆ สบาย นี้เรื่องที่พระพุทธเจ้าสอน ให้พากันจดจำเอาไว้ สอนไปมากก็มาก เดี๋ยวบุญจะหมด ให้ดูที่เรานะ อย่าไปดูที่อื่ร มันจะดีจะชั่วให้ดูที่ตัวเรา นี่ละคำแนะนำพร่ำสอน วันนี้ให้เอาไปคิดพิจารณาดู ค่อยทำไป ดูวันละนิด เดี๋ยวมันก็สะอาดหรอก

lp cha 04

วันนี้เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล ได้เจริญภาวนา ได้ฟังธรรมเทศนาหลายอย่าง เท่านี้ก็เป็นบุญแล้วล่ะ ได้สร้างบุญแล้ว ได้ความเข้าอกเข้าใจแล้ว ต่อไปเราจะไปทำภารกิจการงานที่บ้านไหนเมืองไหน ภาวะที่อาตมาได้พูดได้กล่าวไปนี้ มันจะถูกอยู่หรอก มันจะค่อยๆ รู้จักไป

เอ้า วันนี้สมควรแก่เวลา...

redline

backled1

pra tam tesana header

พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อกัณฑ์นี้ ได้เทศน์โปรดญาติโยมที่วัดถ้ำแสงเพชร (สาขาวัดหนองป่าพง) จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516

kobtao fao korbua

" ...เราลองมาพิจารณาดูซิว่า มันมีเหตุมีผลแค่ไหน นี่แหละคือการทำตามประเพณี
ใครๆ ก็ทำกันอย่างนั้นมาแล้ว แล้วก็มักอ้างว่าทำกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย
อาตมาว่าจะทำมาตั้งแต่สมัยไหนก็ตามทีเถอะ ถ้ามันไม่ถูกก็ต้องทิ้งมันทั้งหมดนั้นแหละ... "
 

cha 07บุญกุศลคือความดี ไม่ก่อกวน ไม่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย ดังนั้นจึงว่าเราไม่เคยได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าเลย เวลาของหาย ลูกตาย เมียตาย จึงพากันร้องไห้ตาเปียกตาแฉะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะไม่ได้ฝึกไว้ ไม่ได้ซ้อมไว้ ไม่รู้ว่าของมันเกิดได้ ตายได้ มันหายเป็น มันเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ นะ ดูซิ บ้านไหนเมืองไหนมันก็เป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าท่านให้มาภาวนา ภาวนาคืออะไร? คือมาทำจิตใจให้สงบเสียก่อน ปกติใจมันมีอะไรหุ้มห่ออยู่ เป็นใจที่ยังเชื่อไม่ได้ ถ้ามาทำให้สงบแล้ว มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมา ใจมันสบาย สงบ มันจะแสดงอะไรออกมา เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขาร เห็นวิญญาณ

มันจะค่อยพิจารณาไป เกิดความรู้ว่า อันนี้มันพาดี พาไม่ดี พาผิดพาถูก ท่านให้พิจารณาอันนี้ก่อน เรียกว่า สมถภาวนา เมื่อใจเราสบาย มันสว่าง มันขาว มันสงบ ความนึกคิดที่จิตใจสบายขึ้น มันต่างจากความนึกคิดของคนที่ไม่สบายใจ มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในใจ คือคนนึกคิดไม่ดี ใจไม่สบาย คิดไปทั่ว

อย่างพวกเราทั้งหลายที่พากันทำวันนี้ บางคนอาจไม่เคยทำเลย เคยแต่ไปเรียนเอาคาถากับคนนั้นคนนี้ ได้คาถาแล้วก็ไปภาวนาให้พ่อให้แม่ ให้คนโน้นคนนี้ สัตว์โน่นสัตว์นี่ ให้ตนเองไม่มี ตนไม่มีความดี แต่จะให้ความดีแก่คนอื่น จะเอาความดีที่ไหนไปให้เขา อย่างเราจะภาวนาให้พ่อแม่หรือใครก็ตาม ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว เบื้องแรกเราต้องภาวนาให้ตัวเองก่อน เพื่อชำระความชั่วออกจากจิตใจ ให้ความดีปรากฏขึ้นในตัวเรา ต่อจากนั้นจึงแผ่ความดีที่ตนมีตนได้ให้แก่คนอื่น อย่างนี้จึงจะสำเร็จประโยชน์ได้ ไม่ใช่ว่าให้ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มี นี่คือความเข้าใจผิด ภาวนาแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร

การภาวนาคือทำให้เกิดขึ้นมีขึ้น ที่ไม่รู้ทำให้มันรู้ ที่ไม่ดีทำให้มันดี ใจเป็นบาปเป็นกรรมทำให้เป็นบุญเป็นกุศล การสร้างบุญไม่ใช่ทำโดยการให้ทานอย่างเดียว การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา การฟังธรรมเหล่านี้เป็นบุญทั้งหมด เป็นเหตุที่จะให้บุญเกิด บางคนจะทำบุญแต่ละที ก็คอยแต่จะให้มีเงินมากๆ เสียก่อน เลยไม่ได้ทำสักที เห็นคนอื่นทำก็ออนซอนกับท่าน คิดว่าเพิ่นบุญหลายนอ คนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น การละความชั่ว ละความผิดมันก็เป็นบุญแล้ว การรักษาศีล การเจริญภาวนา การฟังพระธรรมเทศนา ทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมา เหล่านี้ก็ทำให้เกิดบุญขึ้นได้ แล้วคนเราสมัยนี้เข้าใจว่า การทำบุญก็คือการให้ทานเท่านั้น เพราะส่วนมากได้ยินพระท่านเทศน์เรื่อง ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี แต่ไม่ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจ (ออนซอน : พลอยยินดีกับคนอื่นในสิ่งที่เขาทำได้ แต่ตนเองไม่มีวาสยา แต่แฝงด้วยความอยากมีอยากเป็นเช่นนั้น)

kobtao 02

คนส่วนมากจึงมักเข้าใจกันว่า การทำบุญคือการนำเอาสิ่งของไปถวายพระมากๆ คนยากคนจนก็เลยทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษาบาลีดังที่กล่าว ความจริงเรื่องการให้ทานท่านแบ่งไว้ 3 ระดับ คือการเสียสละสิ่งของภายนอกจัดเป็นทานบารมี การสละอวัยวะจัดเป็นทานอุปบารมี การสละชีวิตจัดเป็นทานปรมัตถบารมี หรือ ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม

เหล่านี้ถ้าเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหา ไม่ว่าคนรวยคนจนก็สามารถทำบุญให้ทานได้ โดยเฉพาะทานที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทอง คือ อภัยทาน ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ และทานชนิดนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญด้วย ดังนั้นการสร้างคุณงามความดีมีอยู่หลายอย่าง ให้พากันเข้าใจ บางคนคิดว่าการทำบุญให้ทานได้ผลอานิสงส์มาก ก็ทุ่มเทใส่จนหมดเนื้อหมดตัว ไม่รู้เรื่อง

ส่วนคนรู้เรื่อง มีขนาดไหนก็ใช้ไปขนาดนั้น มันอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำถูกมันเป็นบุญเป็นกุศลทุกอย่างนั้นแหละ ตัวอย่างเช่น การช่วยเขาขุดบ่อน้ำริมถนน เราผ่านไปก็ได้เห็น เขาทำอะไรก็ช่วยทำ ถามว่าได้บุญไหม ตอบว่าได้ ได้อย่างไร การช่วยเขาขุดบ่อน้ำ ต่อไปภายหน้าเราก็ไม่ต้องซื้อน้ำ ใครผ่านมาก็ไม่ต้องซื้อกิน เพราะเป็นน้ำสาธารณะ ให้ความสุขแก่มนุษย์ทั่วๆ ไป อย่างนี้เป็นต้น  

อย่างเราอยู่ศาลาก็ช่วยเขาปักกวาด เขาถอนหญ้าเราก็ช่วย เขาทำอะไรก็ช่วย ไปอาศัยบ้านเขาอยู่ก็เหมือนกัน จะเป็น 2 วัน 3 วัน ก็ต้องช่วยเขาทำในสิ่งที่เราทำได้ นี้เรียกว่า บุญ บุญมันอยู่ที่ใจของเราบ้านไหนมีบุญเรารู้ได้ คนในบ้านรู้จักเคารพพ่อแม่ เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ทำอะไรก็มีความสุข มีความหมาย คนไม่รู้จักบุญก็วุ่นวายอยู่นั่น จะทำบุญแต่ละครั้งต้องฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ไม่รู้จักเสียเลยจริงๆ บุญไม่ลำบากอย่างนั้นนะ ง่ายๆ ทำไปแล้วสบาย คิดขึ้นมาตอนไหนก็สบายใจ จะอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็สบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วเป็นอย่างนั้น

 lp cha 03

โยมผู้ชายก็รู้เรื่องโยมผู้หญิง โยมผู้หญิงก็รู้เรื่องโยมผู้ชาย คนหนึ่งโมโห อีกคนหนึ่งก็เฉยเสีย ปล่อยเสีย มันก็สบาย ถ้าไม่รู้จักศีลรู้จักธรรมก็ทะเลาะกันทั้งเช้าทั้งเย็น กูหนึ่ง มึงสอง ไม่รู้จักหยุด ผลที่สุดก็พัง มันก็เดือดร้อน ถ้ารู้จักศีลรู้จักธรรมไม่ต้องเถียงกันหรอก พูดกันคำสองคำก็รู้เรื่อง หยุด มีความเคารพกันอย่างนั้น ผู้ไม่มีศีลมีธรรมก็ดันกันอยู่นั่นแหละ กูสอง มึงสาม กูสี่ มึงห้า เอาตลอดคืนเลย อย่างนี้เรียกว่า หาความไม่ดีมาใส่ตัวเอง คือยังไม่เข้าใจธรรมะ ถ้ารู้จักธรรมะแล้ว โยมผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันสบาย ซื่อสัตย์ต่อกัน จะพูดอะไรก็พูดแต่คำจริงคำสัตย์ ไม่นอกใจกัน อันไหนผิดไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไป อย่าเก็บเอามาพูด มันก็จบ อันนี้ไม่อย่างนั้น ของเก่าตั้งแต่สมัยไหนก็ขุดค้นมาว่ากัน จนเกิดทะเลาะกันวุ่นวาย

อยู่ในวัดวาอาราม พระเจ้าพระสงฆ์มีความสามัคคีกัน องค์หนึ่งพูดแล้วก็จบ ไม่มีปัญหา อยู่ในบ้านในเรือนก็เหมือนกัน พ่อแม่พูดแล้วก็แล้วกัน นี้เรียกว่า อำนาจของศีลของธรรม ถ้ามีศีลมีธรรมมันง่ายอย่างนี้ สีเลนะ สุคะติง ยันติ... เราจะมีปัญญาพ้นจากทุกข์ได้ก็เพราะศีลนี่แหละ ให้เราพิจารณาอย่างนี้

เมื่อก่อนมีโยมคนหนึ่งเป็นชาวส่วย มาหาอาตมา ถามว่า "ครูบาจารย์ให้ข้าน้อยรักษาศีลจะให้กินอะไร" อาตมาตอบว่า "ก็กินศีลนั่นแหละ" กินอย่างไร แกสงสัย เลยบอกว่า รักษาไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้กินหรอก แกคิดไม่ออก แย่จริงๆ วันหนึ่งแกมารักษาอุโบสถ แกบอกว่า ไม่รู้คิดอย่างไรหนอ จึงไม่ให้กินข้าวเย็น ลองกินดูก็ไม่เห็นเป็นอะไร เห็นแต่มันอร่อยเท่านั้น แกว่า แล้วทำไมจึงไม่ให้กิน แกคิดไป เลยลองกินดูว่า มันจะผิดเหมือนผีเข้าจ้าวศูนย์หรือเปล่า กินดูแล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร ดีเสียอีก แกว่า ชั่วขนาดนั้นก็มีนะคนเรา แกมารักษาศีล อาตมาเลยบอกว่า เอ้า ให้รักษากันจริงๆ ลองดู ทุกวันนี้รู้จักแล้ว อาตมากลับไปเยี่ยมที่ภูดินแดง (สาขาที่ 3) แกมากราบทุกปี มาสารภาพกับอาตมาว่า "โอ๊ย ครูบาจารย์แต่ก่อนผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ครูบาจารย์ว่าให้กินศีล ผมไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้คิดได้แล้ว ก็กินศีลอย่างครูบาจารย์ว่า ทุกวันนี้เลยสบาย"

            คนเราให้รักษาศีลรักษาธรรม ก็กลัวแต่ทุกข์ยากลำบาก มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ศีลธรรมให้ความเบา ความสบายแก่เรา ไม่มีโทษไม่มีภัย คิดไปข้างหน้า คิดไปข้างหลังก็สบาย ถ้ามีศีลธรรม คิดไปข้างหลังความผิดเราก็รู้จัก เมื่อรู้จักเราก็ละพวกนั้น ต่อไปก็บำเพ็ญคุณงามความดี มองไปข้างหน้าก็สบาย มองไปข้างหลังก็สบาย ดังนั้น ความทุกข์ทั้งหลายมันอยู่ที่ความเห็นผิด ถ้าเห็นผิดมีทุกข์ทันที ถ้าเห็นถูกแล้วก็สบาย พระศาสดาท่านจึงให้สร้างความเห็น การฟังเทศน์ฟังธรรมก็เพื่อสร้างความเห็นของเรา คือเรายังเห็นไม่ถูกต้อง

ความจริงสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันพอดี มันสม่ำเสมออยู่ทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนต้นไม้ในป่านั่นแหละ ต้นยาวก็มี ต้นสั้นก็มี ตรงก็มี คดก็มี ต้นที่มีโพรงก็มี มีทุกอย่าง มันพอดีของมัน คนต้องการต้นคดก็ไปเอา ต้องการต้นตรงก็ไปเอา อยากได้ต้นสั้นต้นยาวก็ไปเอา มันเลยพอดีของมัน ในโลกนี้ก็เหมือนกัน มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราไม่รู้จักเอามาใช้ ถ้าเอามีดมาใช้มันก็เอาสันมันมาใช้ มีดเล่มเดียวกันนั่นแหละ ใช้ไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์

ธรรมทั้งหลายก็เหมือนกัน ถ้าเราพิจารณาไม่ถูกเรื่องก็ไม่ได้บุญ ไม่ได้ประโยชน์ เหมือนคนฟังธรรมไม่เข้าใจ ไม่ได้ธรรมะ ปัญญาก็ไม่เกิด เมื่อปัญญาไม่เกิด ความเห็นถูกมันก็ไม่มี ถ้าความเห็นไม่ถูกต้อง การปฏิบัติก็ไม่เป็นผล ผลสุดท้ายฟังเทศน์ฟังธรรมก็เลยเบื่อ เพราะฟังแล้วไม่ได้อะไร อย่างนี้ก็มีอันนี้เพราะความไม่เข้าใจในธรรมะ ถ้าเขาใจในธรรมะแล้วไม่มีปัญหา สบาย

kobtao 03

นั่นแหละท่านจึงบอกว่า ธัมโม จะ ทุลละโภ โลเก การที่จะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้านี้ก็ยาก คนพูดคนเทศน์มีเยอะ ที่ไหนๆ ก็มี ไม่รู้ว่าพูดขนาดไหน คนปฏิบัติก็เยอะ ไม่รู้ปฏิบัติขนาดไหน ไม่รู้ถูกหรือผิดมันยาก

ปัพพะชิโต จะ ทุลละโภ ฟังธรรมแล้วจะได้บวชในพระศาสนานี้ก็ยาก เหมือนกับญาติโยมจะบวชลูกบวชหลานแต่ละทีมันหาโอกาสยาก ครั้นบวชแล้วจะมีศรัทธาประพฤติปฏิบัติตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็ยาก ดังนั้นทุกวันนี้มันจึงน้อยลงไปๆ

พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้เป็นคนมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาไม่รู้เรื่องจริงๆ เหมือนกับสมัยก่อน มีประเพณีการทำต้นดอกผึ้ง การทำต้นดอกผึ้งเป็นความเชื่อว่า ถ้าบิดามารดาหรือญาติสายโลหิตสิ้นชีวิตไปแล้ว เกรงว่าจะไม่มีที่อยู่ แล้วจะได้รับความลำบาก หากลูกหลานสร้างปราสาทดอกผึ้งอุทิศไปให้แล้ว ก็จะได้มีวิมานหรือปราสาทอยู่อย่างสบาย ไม่น้อยหน้าใครในเทวโลก ก็ทำกันไปตามประเพณี บางทีทำหมดขี้ผึ้งเท่ากำปั้นนี้ แต่เอาควายมาฆ่า เหล้าหมดไม่รู้กี่ลัง ทำกันอย่างนี้จะได้บุญเมื่อไร

สมมุติว่าเราตาย ลูกหลานทำต้นดอกผึ้งไปให้ เราจะต้องการไหม นึกอย่างนี้ก็น่าจะเข้าใจนะพวกเรา ต้นดอกผึ้งมันจะพาไปสวรรค์ไปนิพพานได้เมื่อไร มันเรื่องเกจิอาจารย์เขียนกันขึ้นมา ว่าทำอย่างนี้ได้บุญหลาย ใครทำแล้วจะได้ไปเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ เราลองมาพิจารณาดูซิว่า มันมีเหตุมีผลแค่ไหน นี่แหละคือการทำตามประเพณี ใครๆ ก็ทำกันอย่างนั้นมาแล้ว แล้วก็มักอ้างว่าทำกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย อาตมาว่าจะทำมาตั้งแต่สมัยไหนก็ตามทีเถอะ ถ้ามันไม่ถูกก็ต้องทิ้งมันทั้งหมดนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าท่านให้มีปัญญา คือให้รู้ตามความเป็นจริง ความจริงไม่ใช่อยู่ที่การกระทำสืบๆ กันมา ความจริงอยู่ที่ความจริง เหมือนจิตใจมันโลภ มันโกรธ มันหลง มันไม่มีตัวรู้ มันก็ทำไปตามจิตที่มันหลงนั่นแหละ ก็เลยกลายเป็นประเพณีถือกันมาอย่างนั้น อันนั้นมันประเพณีของคน ไม่ใช่อริยประเพณี ไม่ใช่ประเพณีของพระพุทธเจ้า ทำไปก็ไม่เกิดประยชน์ นี่แหละท่านว่าฟังธรรม แต่ไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ฟังธรรมจากเกจิอาจารย์ เลยทำกันไปอย่างนั้น

อ่านต่อ : กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว ตอนที่ 3

redline

backled1

pra tam tesana header

พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อกัณฑ์นี้ ได้เทศน์โปรดญาติโยมที่วัดถ้ำแสงเพชร (สาขาวัดหนองป่าพง) จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2516

kobtao fao korbua

วกเราเป็นผู้มีบุญวาสนามาก เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก

เราจะได้พบท่านก็ยาก เมื่อพบท่านแล้วจะได้ฟังธรรมท่านก็ยาก ได้ฟังธรรมแล้วจะได้บวชปฏิบัติอยู่ใกล้ท่านก็ยาก หริอแม้แต่บวชแล้วจะมีศรัทธาก็ยาก ก็ลำบาก ท่านว่าอย่างนั้น

ผู้บวชแล้วเข้าไม่ถึงพระพุทธเจ้าก็มีนะ อย่านึกว่าบวชแล้วจะได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของท่าน ก็ไม่ได้ชื่อว่าเข้าใกล้พระพุทธเจ้า ให้พากันเข้าใจ ดังนั้น ผู้รู้จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์ ให้รู้แจ้งแทงตลอดนี้จึงหาได้ยาก

บุคคลที่มีเจตนา มีศรัทธามาสอนพวกเราให้เกิดความรู้ความเห็นในความดีความชั่ว ในบุญในบาปนี้ก็ยาก และจะได้ฟังธรรมของท่านนั้นก็ยาก

อย่างว่าเราฟังธรรมกันโดยทั่วไปทุกวันนี้ ก็ฟังแต่นิทานพื้นทาน เรื่องการะเกดบ้าง สินชัยบ้าง แตงอ่อนแตงแก่บ้าง ฟังกันเล่นๆ อันนั้นไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นนิยายฟังกันสนุกเฉยๆ ถ้าฟังธรรมพระพุทธเจ้ามันได้บุญนะ ได้ในปัจจุบันนี้แหละ ธรรมที่จะสอนสัตว์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่ง่าย ถ้าคำสอนใดไม่เป็นไปเพื่อหายพยศ ลดมานะ ละความชั่วแล้ว ก็ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมของพวกเดียรถีย์ของพวกชาวนิครนถ์ มันไม่ได้เห็นความจริง ไม่ได้ระบายความทุกข์ออกจากใจ ไม่หายสงสัย ยังไม่ถูกธรรมะ

ผู้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ ฟังธรรมะแล้วจะปฏิบัติธรรมนั้นยาก มันยากจะได้เห็น ยากจะได้ฟัง ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นควรรู้ได้ ไตร่ตรองและเห็นตามความเป็นจริงได้ ท่านไม่ได้สอนต่ำสอนสูงอะไร ท่านสอนพอดี สอนธรรมตามบุคคล เหมือนอย่างเด็กตัวเล็กๆ มีกำลังน้อย ท่านก็ไม่ให้แบกหนัก ให้แบกพอดีมันก็แบกไปได้ ผู้ใหญ่มีกำลังมาก ท่านก็ให้แบกสมกับกำลังของผู้ใหญ่ นี้ก็ได้ประโยชน์ เรื่องมันเป็นอย่างนี้

kobtao 04

อันนี้ฉันใด พวกเราจะมีวัดวาอารามปฏิบัติอย่างนี้ก็หายาก ไม่มีทุกกาลนะโยม มีเป็นบางครั้งบางคราว นานๆ เราจึงจะได้พบครั้งหนึ่ง บางคนบุญไม่มีวาสนาไม่ถึง ก็ไม่เห็นอย่างนี้ก็มี

อาตมาเห็นโยมคนหนึ่งอยู่บ้านอาตมา (บ้านก่อ) บ้านอยู่ริมวัด แกไปไหนมาไหนก็เดินผ่านวัดทุกวัน แต่ไม่รู้จักอะไร แกเคยฟังเทศน์ก็ฟังแต่แหล่มัทรี แหล่ใส่หูจนหูจะหนวก ก็ไม่รู้จักธรรมะ ต่อมาย้ายบ้านไปอยู่อำเภอวานรนิวาส โชคดีที่ได้ไปฟังธรรม เห็นบุญ เห็นบาป เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลับมาคราวนี้เลยบวชเป็นพระ แกบอกว่า "มันชั่วจริงๆ ครับท่านอาจารย์" นี่แหละอยู่ใกล้วัดน่าจะได้บุญได้กุศล แต่ไม่รู้เรื่อง สมกับที่ท่านว่า

กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว อยู่บนหัวกลิ่นบัวบ่ต้อง
แมงภู่ง่องบินผ่ายแอ่วมา เอาเกษาดอกบัวไปจ๊อย

กบอยู่กอบัวแต่ไม่รู้จักบัว ดอกบัวจะบานจะตูม จะร่วงจะโรยก็ไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดีอาจโดนด้ามเสียมเขาหรอก นี้ฉันใด ตาแก่คนนั้นก็เหมือนกัน อาตมาเคยเทศน์ให้ฟังว่า กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว นี่บรรพบุรุษเราท่านว่าไว้ถูก อยู่ใกล้วัดใกล้วาน่าจะรู้จักธรรมะ แต่ไม่รู้เรื่องเลย หนีจากบ้านไปอยู่ที่อำเภอวานรฯ จึงได้ไปฟังเทศน์พระกรรมฐานที่โน่น นี้ท่านว่า ธัมโม จะทุลละโภ โลเก การที่จะได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าเป็นการยาก การทำบุญจะถูกบุญนี้ก็ยาก นี้ก็ลำบาก บุญกุศลจะเกิดขึ้นกับจิตใจก็ยากลำบาก เพราะอะไร เพราะกระจกเรามันไม่สว่าง ยังไม่มีปัญญา พวกเราจงเข้าใจ

พระพุทธเจ้าของเราทรงเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นสัตว์สาวาสิ่ง ขนาดนกกระจาบ โตถึงช้างหรือในระหว่างที่เป็นมนุษย์ ท่านก็เป็นหมดทุกอย่าง เป็นคนร่ำคนรวย เป็นคนยากคนจน ท่านก็ผ่านมาได้ เราก็เหมือนกัน จะอยู่ป่าอยู่เขา ไม่รู้จักศีลรู้จักธรรม ก็ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจ เพราะบุญของเรามีอยู่เท่านั้น แต่เราสามารถทำดีได้ถ้าจะทำ มือเราก็มี ร่างกายของเราก็มี ตาหูเราก็มี ได้เห็นได้ยินได้ฟัง มีผู้แนะนำพร่ำสอนอยู่ นี้เรียกว่าสะสมทุนของเรา คือเราจะลงมือทำมาค้าขายวันไหนก็ได้ เพราะสมบัติเรามีอยู่แล้ว มีสมบัติแล้ว มีเครื่องรับแล้ว เมื่อได้ของไม่ดี เราทำให้มันดีได้ มันผิดทำให้ถูกก็ได้ มันแก้ได้

พระพุทธเจ้าหรือสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาก่อน ท่านเคยเป็นชาวไร่ชาวนา ขี้เหล้าเมายา เป็นคนลักเล็กขโมยน้อยมาเหมือนกัน คือยังไม่รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ คนไม่รู้จักก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เมื่อรู้แล้วท่านก็เลิก ท่านก็ละ ถอนออกมา ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจ รู้นั่นรู้นี่ ตรัสรู้ธรรมะได้

เรื่องตรัสรู้ธรรมะ เราได้ยินว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ ก็นึกว่าเป็นเรื่องของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่นะ เป็นเรื่องของเราทุกคนก็ได้ อันไหนรู้แล้ว ละ นั่นแหละเป็นเครื่องหมายของเรา เหมือนเราเคี้ยวกินอะไรบางอย่าง รู้สึกคัน รู้แล้วก็คายทิ้ง ความรู้ชนิดนี้แหละ ปุถุชนเราควรรู้ เหมือนหัวกลอยเมื่อรู้ว่ามันคันกินไม่ได้ เรายังจะกินอยู่หรือ ก็มีแต่จะทิ้งเท่านั้น มันรู้อย่างนี้แหละ

ทีนี้รู้ซึ้งเข้าไปกว่านั้นอีก รู้ว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี มันผิด ไม่เป็นประโยชน์ เดือดร้อนทั้งแก่ตนและผู้อื่น พิจารณาแล้วรู้ได้ นี้เรียกว่าความรู้อันหนึ่ง ถ้ามันรู้ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรสามารถคลี่คลายจิตใจของเราได้ อย่างเราจะทำดี ใครว่าไม่ดีอย่างไรเราก็ไม่ทิ้ง เราทำถูกอยู่ ใครว่าผิดเราก็ไม่ทิ้ง เราไม่บ้า เขาว่าบ้า เราก็ไม่ทิ้งไปเป็นบ้าอย่างเขาว่า แต่คนเราชอบทิ้งเจ้าของ เราไม่บ้า เขาว่าบ้าก็โกรธ เลยเป็นบ้าอย่างเขาว่า เราทำดีเขาว่าไม่ดี ไปโกรธเขา เลยไปเอาของไม่ดีกับเขา มันทิ้งเจ้าของอย่างนี้แหละ ไม่รู้ตามความเป็นจริงของเจ้าของ

ภาษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ก็สอนให้แก่พวกเราทั้งหลายนี้แหละ พวกเราที่เป็นปุถุชนให้เป็นอริยชน เหมือนเราจะสร้างบ้านเรือน เราก็ต้องหาสิ่งที่ยังไม่สำเร็จ จะเป็นเสา เป็นขื่อ เป็นแป ฯลฯ มันไม่ได้สำเร็จมาเลยทีเดียวหรอก เราต้องไปแปลงสภาพมันขึ้นมา เสาเรือนก็ดี เดิมเกิดจากไม้ที่มันยาว มันคดอยู่

ซึ่งรวมอยู่กับต้นไม้นั่นแหละ เราต้องไปเลื่อย ไปแปรรูปออกมา คนฉลาดก็สามารถนำเอามาสร้างบ้านเรือนได้

kobtao 01

เราก็เหมือนกัน ยังเป็นปุถุชนอยู่ มีลูกมีเมีย มีอะไรต่างๆ เป็นธรรมดาของโลก แต่ถ้าเรารู้จักการภาวนา รู้จักธรรมะแล้ว ก็สามารถระบายสิ่งไม่ดี สิ่งที่ผิดออกได้ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่น้อยก็มาก เหมือนกับเราแบกของหนัก เมื่อเอาทิ้งไปทีละน้อยๆ ทิ้งบ่อยๆ มันก็เบาได้ เมื่อทิ้งไปๆ ผลที่สุดก็วางหมด เหมือนกับเราแบกไม้ฟืนนั่นแหละ เมื่อถึงกระท่อมก็ทิ้งโครมเลย มันก็เบาเห็นไหมล่ะ นี่ความเบาเป็นอย่างนี้

ความชั่วทั้งหลาย ที่เราทำมามันหนักใจของเรา เราค่อยฝึกหัดปฏิบัติไปๆ ใจมันก็ค่อยสว่างไสว ของยากก็เลยกลายเป็นของง่าย ของมืดมันก็สว่าง ของสกปรกมันก็สะอาด รู้จักหลักประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น รู้เรื่องอย่างนั้นคือธรรมะ ถ้าไม่รู้เรื่องท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้ เราก็ไม่รู้อะไร

คนเราถ้าไม่ได้อบรมธรรมะก็เหมือนกับนักมวยที่ไม่ได้ซ้อม หรือเหมือนหมอลำที่ไม่ได้เรียน ถึงเวลาก็ขึ้นเวทีเลย จะเป็นอย่างไร จะน่าฟังไหม จะน่าฟังได้อย่างไร เพราะไม่ได้ท่องกลอนลำเลย มวยไม่ได้ซ้อมก็เช่นกัน พอขึ้นเวที คู่ชกเขาก็จะเลือกชกเอาตามใจชอบนั่นแหละ

ฉันใด เราอยู่กับหลาน กับสิ่งของ สกลร่างกาย ล้วนแต่เป็นของไม่จีรังยั่งยืน เป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง วันนี้เสียไปพรุ่งนี้ได้มา วันนี้ดีใจ พรุ่งนี้เสียใจ มันเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะอนิจจังมันไม่เที่ยงไม่แน่นอน ทั้งภายนอกภายในสกลร่างกายไม่แน่นอนทั้งนั้น วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจเจ็บโน่นปวดนี่ก็ได้ มันเป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าคนไม่เข้าใจก็น้อยอกน้อยใจในสิ่งเหล่านี้ ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ อัชฌัตตา ธัมมา ธรรมภายใน ของภายในคือสกลร่างกายของเรานี้ บางทีเจ็บโน่น ปวดนี่ เจ็บขา ปวดท้อง มันไม่แน่นอน พะหิทธา ธัมมา ธรรมภายนอก คือของผู้อื่นหรือสิ่งของต่างๆ เช่น ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น

พวกเรามีทั้งโยมผู้หญิง โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ถ้าพูดไม่ถูกใจก็โกรธ ถ้าพูดถูกใจก็หัวเราะ เอามะขามเปรี้ยวมาให้ทาน ก็หลับตาหยีไปทุกคนเหมือนกันนั่นแหละ ถ้าหวานก็หวานเหมือนกัน มันเหมือนกันโดยสัณฐาน ลักษณะจิตใจนี้ก็เหมือนกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละที่เราอาศัยอยู่ เคยรู้เรื่อง แต่คนเราไม่เป็นอย่างนั้น อันนี้ของเรา อันนั้นของเขา อันนี้ของฉัน อันนั้นของคุณ เกิดเรื่องเกิดราวจนยิงกันฆ่ากัน ความจริงมันไม่มีอะไรสักอย่าง เมื่อยังอยู่ก็ทำมาหากินไป ผลที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอาอะไรไปหรอก ตอนมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป ทำมาไว้ตรงนี้ก็ทิ้งตรงนี้ ถ้าคนรู้จักธรรมะแล้วก็ผ่อนผันได้ อภัยกันได้ บางสิ่งบางอย่างผู้ไม่รู้อะไรก็เอาแล้ว ไม่ยอมกัน

อาตมาเคยเห็นหมาตัวหนึ่ง เอาข้าวให้มันกิน มันกินแล้วกินไม่หมด มันก็นอนเฝ้าอยู่ตรงนั้น อิ่มจนกินไม่ได้แล้วก็ยังนอนเฝ้าอยู่ตรงนั้นแหละ นอนซึม ประเดี๋ยวก็ชำเลืองตาดูอาหารที่เหลือ ถ้าหมาตัวอื่นจะมากิน ไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ก็ขู่... โอ้... ไก่จะมากินก็... โฮ่งๆๆ ท้องจะแตกอยู่แล้ว จะให้เขากินก็ไม่ได้ หวงไว้

มาดูคนก็เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักธัมมะธัมโม ก็ไม่รู้จักผู้น้อยผู้ใหญ่ ถูกกิเลสคือโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำจิตใจ แม้จะมีสมบัติมากมายก็หวงไว้ ไม่รู้จักเฉลี่ยเจือจาน แม้แต่จะให้ทานแก่เด็กยากจน หรือคนชราที่ไม่มีจะกินก็ยาก อาตมามาคิดดูว่า มันเหมือนสัตว์จริงหนอ คนพวกนี้ไม่มีคุณสมบัติของมนุษย์เลย พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า มนุษย์ดิรัจฉาโน มนุษย์เหมือนสัตว์ดิรัจฉาน เป็นอย่างนั้น เพราะขาดความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงว่าให้พากันมีศีล ความมีศีลดีอย่างไร บางคนว่ามีศีลแล้วจะไปสวรรค์ ไปนิพพาน เรื่องสวรรค์เรื่องนิพพาน ก็คือเรื่องความสุขหรือความดีทั้งหลาย ถ้ามีศีลธรรมแล้วอยู่กันสบายไม่ก่อกวน ไม่สร้างความเดือดร้อนใส่หมู่ใส่คณะ ใส่บ้านใส่เมือง ใส่พี่ป้าน้าอา ใส่เจ้าใส่นาย บ่าวไพร่ราษฎร ไม่มีถ้าเรามีศีลธรรมก็อยู่เย็นเป็นสุขสมกับที่พระท่านว่า

สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย

เวลาให้ศีลสุดท้ายท่านสรุปอย่างนี้ พวกเราว่าม้วนศีล (สรุปหรือบอกอานิสงส์) ทำไมจึงว่า ม้วนศีล ก็เหมือนเรา สานตระกร้านั่นแหละ สานแล้วเราก็ม้วน (ขมวด) ปากมัน แล้วทำหูใส่ ทำสายใส่

สีเลนะ สุคะติง ยันติ จะมีความสุขเพราะศีล มีความสุขเพราะทำถูก นายจ้างกับลูกจ้างมีความซื่อสัตย์ต่อกัน หรือบ่าวไพร่ราษฎร พี่น้องก็ซื่อสัตย์ต่อกัน มันก็สบายเท่านั้น สีเลนะ โภคะสัมปะทา สมบัติทั้งหลาย ก็มีขึ้นมา ถึงมีน้อยก็สบาย มีหลายก็ไม่ลำบาก ไม่แก่งแย่งกัน นี่คือความสบาย

ถ้าพูดถึงศีล เอากระเป๋าวางไว้ริมทางก็ไม่หาย ของอยู่บ้านก็ไม่หาย สบาย ถ้าคนไม่มีศีลล่ะ อยู่ในกระเป๋ากางเกงมันยังแย่งเอาเลย คนแก่ขึ้นรถไฟเอาสตางค์ใส่กระเป๋า เสร็จพวกนั้น คนแก่ตกรถเลย นี่ถ้าไม่มีศีลมันเดือดร้อนอย่างนี้ มันเป็น ทุกขะติง ยันติ ไม่ใช่ สุคะติง ยันติ ทุกข์เพราะเบียดเบียนกัน กูเอาของมึง มึงเอาของกู ท่านว่า สีเลน สุคะติง ยันติ   สีเลนะ โภคะสัมปะทา

เพราะฉะนั้นผู้มีน้อยก็สบายตามน้อย ผู้มีมากก็สบายตามมาก เหมือนสัตว์หรือแมลงบางจำพวกมี 2 ขาเท่ามนุษย์นี้ก็สบาย มีสี่ขาก็สบาย มีหลายขาเหมือนกิ้งกือมันก็สบาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีศีล ใครมีมากก็สบาย ใครมีน้อยก็สบาย จะไหาที่ไหนกันล่ะ ไม่ใช่ชาติหน้า ไม่ใช่ชาติไหน ชาติปัจจุบันนี้แหละ ถ้าพากันสร้างบุญสร้างกุศลคือสร้างจิตใจของตน คนทุกวันนี้สร้างบุญไม่รู้จักว่าบุญอยู่ตรงไหน ไม่รู้เรื่อง พากันไปทำบุญก็ไปรื่นเริงสนุกสนาน กินเหล้าเมายา ก็เสร็จกันแค่นั้น สนุกเท่านั้น

kobtao 05

 อ่านต่อ : กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว ตอนที่ 2

redline

backled1

pra tam tesana header

...ถ้าอยู่บ้านแล้วก็ว่ามันยุ่ง แต่เรื่องแปลกนะ มนุษย์เราเป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน ออกจากบ้านมาแล้วมันไม่ยุ่ง สบาย แต่ว่าคิดอยากกลับ คือไม่ใช่อะไรหรอก มันยังไปไม่ถึงที่มัน ความรู้สึกนึกคิดของเรายังไปไม่ถึงที่อยู่อย่างดี ท่านเรียกว่าวัฏฏะ ไปแล้วก็ดึงกลับมาไม่ถึงที่สุดมัน อย่างง่ายๆ อย่างย่อๆ ก็เรียกว่า เรามาอบรมในที่นี้ มีธุระอย่างนี้ แต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเราก็ทำความไม่ให้สบายอยู่ในนี้แหละ บ้านอื่นมันจะสนุกสุขตระการเท่าไรก็ช่างเถอะ ก็ยังคงคิดไปถึงบ้านเราอยู่นั่นแหละ...เป็นอย่างนี้ คือเรื่องมันยังไม่จบ

pret

เรื่องความดีความชั่วมันไม่จบ มันยังเป็นโลกมันก็ไม่จบถ้ายังไม่จบมันก็ไม่ว่าง ถ้าไม่ว่างเราก็ได้แบกมันไว้ ถ้าเราแบกมันไว้นะ เราหนักเราก็มองเห็นโทษมันได้ง่ายๆ เพราะเราแบกมันอยู่นะ บางคนเห็นว่าคนอื่นแบก...เราหนัก เคยมีไหม คนอื่นเขาแบก...เราหนัก ตรงนี้แหละมันน่าคิด เราแบกเองเราหนักเองมันก็คิดได้นะ พอคิดได้ อันนั้นคนอื่นเขาแบก...เราหนัก คนนั้นทำผิดแล้วมัง...ไม่สบายแล้ว คนอื่นแบก...เราหนัก เคยมีไหม...ดูดีๆนะ เราแบกเองเราหนักเอง ค่อยยังชั่วมันเห็นง่าย คนอื่นแบก...เราหนัก นี่น่ะมันไม่ค่อยจะเห็นตัวเรานะน่าจะให้คนแบกนั่นแหละหนัก หรือว่าอย่างไร ถ้าพูดตามความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น โดยมากมันเท่ากันเสียแล้วหรือจะมากกว่าก็ได้

sweepเราแบก...เราหนัก คนอื่นเบา...เราก็หนัก มันหนักสองต่อ เขาแบกเราก็หนัก เราแบกเราก็หนัก จะทำอย่างไรดีมันเป็นเสียอย่างนี้ เราควรย้อนคิดดูว่าชีวิตมนุษย์มันเป็นอะไรยังไง มันผสมผเสกันอยู่ เราไม่รู้จักเลือกจักถอนออก มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าตรงไปแล้วก็เราแบก...เราหนักก็ดีกว่านะ มันสำคัญที่คนอื่นแบกเราไม่ควรจะหนักนี่ อย่างนั้นจะต้องอดทน

เรื่องที่มันอดทนทั้งนั้นไม่มีเรื่องอะไร ทางธรรมะท่านเรียกว่า ขันติ...ความอดทน มันเป็นแม่บทของธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทุกคนจะต้องอยู่ในความอดทนทั้งนั้นแหละ อดทนได้ความดี แต่เมื่อได้ความดีแล้วก็หลงดีอีก มันก็แปลก มันน่าจะจบเรื่องของมัน ได้ดีมาแล้วก็หลงดีอีก ดีก็พาเราทุกข์อีก ดีกับชั่ว รักกับเกลียดนี้มันไม่พ้น...มันน่าคิด ธรรมะนี่คิดๆในใจเจ้าของแล้วก็แก้ตัวเรานะ

ทีนี้ถ้ามันทุกข์ก็ไปให้คนอื่นแก้ คนอื่นแก้ทุกข์ให้เราไม่ได้อธิบายทางให้เราแก้ทุกข์เท่านั้น เรื่องจะแก้จริงๆ เรื่องพ้นทุกข์จริงๆ เป็นเรื่องของตนเอง พระบรมครูของเราเรียกว่า อักขาตาโร ตถาคตา...ตถาคตเป็นแต่ผู้บอก บอกให้ยกอันนั้นอันนี้ ยกอันนี้ไปโน้น...บอกเท่านี้ ว่ายน้ำจะต้องทำอย่างนั้นไมใช่ตถาคตไปว่ายให้ ถ้าตถาคตไปว่ายให้เราก็จมน้ำตายเท่านั้นแหละ มันเป็นอย่างนี้

ความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็เรานั่นแหละสร้างขึ้นมา...แต่ให้อดทน เห็นอยู่ว่าตรงนี้มันหนัก แต่เราอยากได้มัน ไปยกมันก็หนักจริงๆ เมื่อหนักก็ต้องอดทน มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ อย่างเราเมื่อศึกษามา เมื่อเราเป็นนักเรียน เห็นผู้ใหญ่ดูเหมือนจะสบายเห็นคนนี้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นจ้าวนายครูบาอาจารย์ ก็นึกในใจว่าจะสบาย เราก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง...เลยพยายามจนเป็นขนาดนี้แล้วยังมีทุกข์อยู่ ยังมีความลำบากอยู่ คือมันยังไม่พ้น อยู่ข้างนี้ก็ยังไม่พ้นอีก ก้าวไปข้างหน้าอีกก็ดูมันจะพ้นแต่ไปอีกยิ่งหนักเข้าไปเรื่อยๆ เหมือนกับคนแก่เราน่ะมันคิดไม่มากหรอก โตขึ้นมามันคิดกว้างคิดมาก มีความฉลาดมาก ไป ช่วยเขาหมด ทั้งนั้นแหละ คนทั้งบ้านน่ะเราฉลาดคนเดียว ก็เลยทุกข์คนเดียว ความคิดของคนก็ต้องเป็นอย่างนั้นคือหมายความว่ามีมากก็ต้องแบกมากยึดมาก

ความเป็นจริงนั้นการกระทำอะไรทุกอย่าง ถ้าให้รู้จักหน้าที่กันทุกคน แล้วมันก็ไม่มีเรื่องอะไรนะ สบาย ความสบายมันมีอยู่ แต่อยู่ในคนส่วนมากมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ สถานที่นี้ท่านเรียกว่าโลก โลกท่านแปลว่า ความมืด โลกเจริญก็คือมืดเจริญนั่นเอง แหม...โลกมันเจริญ เจริญมันก็มืดเจริญขึ้น

sit 6อย่างวัดอาตมาแต่ก่อนไฟฟ้าไม่มี ก็ไม่เห็นว่ามันสว่างหรือมันมืดนะ ถ้ามีไฟฟ้ามาแล้วเห็นจะสบาย มีน้ำก็สบาย โอ้...ไฟฟ้ามันก็ไม่เกิดมาเองหรอกนะ ก่อนจะมีไฟฟ้ามันต้องเสียอะไรมากๆ ก่อนจะมีน้ำมันก็ต้องเสียอะไรไปมากๆ จะต้องลงทุนทั้งหมด มันก็เกิดจากความลำบาก ที่มันสว่างแล้วน่ะมันก็ยังไปปิดใจของเราให้มืดอีก ที่มันสะดวกแล้วมันก็ไปปิดใจให้เรามันมืดอีก คนเราถ้ามันสะดวกสบายแล้วยิ่งมักง่าย

สมัยก่อนบ้านเมืองเราก็ยังไม่เจริญ ทำส้วมอยู่โน้นในป่า...อุตส่าห์ไป เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ที่นอนอยู่นั่น ต้องทำส้วมอยู่ที่นั้น ขนาดนั้นก็ยังไม่สบายอยู่อีก จะให้มันสบาย สะดวก มันก็ไม่สะดวกนะ มันสบายมากเกินไป ก็เลยประมาทกันเสีย อยากจะให้มันยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก มันก็ไม่พอสักที แล้วก็บ่นว่ามันทุกข์ทุกข์ใครสร้างขึ้นมามองไม่เห็นว่า มันเป็นเพราะอันนั้นๆ มันเป็นเพราะอันนี้ (หลวงพ่อท่านเอามือชี้ที่ตัวของท่านประกอบ) ไม่เคยชี้เข้ามาเลย ต้นตออยู่ตรงนี้ไม่เคยชี้เข้ามา มันก็ไม่กระจ่างเท่านั้นแหละ ว่าแต่คนโน้นๆ ชี้ออกไปทางโน้น ก็ไปเห็นของข้างนอกโน้น ไปแต่งของข้างนอกเรื่อยๆไป อันนี้ไม่ค่อยแต่งจิตใจไม่ค่อยแต่งกัน

บ้านสกปรกเราก็เห็นได้ ทำสะอาดบ้านเราก็ทำได้ ถ้วยจานมันเลอะเทอะไม่สวยงามเราก็เห็นได้ เราล้าง...มันก็สะอาดได้ แต่ว่ามันสะอาดแต่บ้านแต่ถ้วยจาน ใจไม่สะอาดหน้าบูด หน้าเบี้ยวบ่นอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นตัวเราทุกข์ อันนี้ก็น่าสงสารตัวเองเหมือนกันนะ ถ้าคิดแล้วมันเป็นเสียอย่างนี้

ถ้าเราพยายามกวาดพยายามเช็ดทำสะอาดเหมือนถ้วยจานบ้านเรา เราก็คงอยู่กันสบาย อันนี้เราไปเช็ดของที่ไม่รู้เรื่องถ้วยมันสกปรกก็เฉย ถ้วยมันสะอาดก็เฉย มันเฉยทั้งนั้น ของที่ไม่รู้เรื่องเราไปทำสะอาด ทำไม่ถูกจุดมันๆ จะใสขนาดไหนใจเราก็ไม่รู้ไม่เห็น มันก็สกปรกอยู่ตรงนั้นแหละ

เราไม่พยายามดูจิต ชอบแต่จะตามใจมัน ถ้าพูดภาษาโลกแล้วก็เรียกว่า ตามอารมณ์ อารมณ์ของคนนี่จิปาถะที่มันจะเป็นไป ในครอบครัวของเราวันนี้รักกัน แต่พรุ่งนี้เกลียดเหลือเกิน ลูกเราวันนี้เรารัก พรุ่งนี้มันเกลียด ทำไมมันเป็นอย่างนั้นทำไมไม่คงที่อย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ นี่เรียกว่าใจเราไม่ฝึกหัดจึงหาความสงบไม่ได้

ความรักทำให้เกิดทุกข์ ความเกลียดทำให้เกิดทุกข์ ได้น้อยเกินไปก็เกิดทุกข์ ได้มากเกินไปก็ทุกข์ เราจะอยู่ที่ไหนกันโยม หาที่อยู่แล้วหรือยัง ทำไมไม่มองหาที่อยู่ของเขาล่ะ เราพยายามสร้างอะไรต่ออะไรมานี่หลายปีหลายเดือนมาแล้ว เพื่อหาความสงบเพื่อหาความสบาย ทำไมถึงขนาดนี้เราก็ยังไม่สบายกัน ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ถูกกันหรือ

พ่อบ้านแม่บ้านอยู่ร่วมกันมันไม่น่าจะทะเลาะกันนะ ทำไมทะเลาะกัน บางวันอยากจะลุกหนีไปตอนกลางคืนเลย แต่ว่าพรุ่งนี้กลับมาอีกแล้ว มันลำบากโยม อาตมาเห็นว่าที่อยู่ของเราจริงๆน่ะ เราไม่ค่อยจะหากัน ไปเช็ดที่อื่นไปถูที่อื่น ไปทำความสะอาดที่อื่น ไม่ทำใจเราให้มันสะอาด มันก็ยุ่งอยู่เรื่อยไปอย่างนี้แหละมันชี้ไปแต่ข้างนอก พระพุทธองค์ท่านสอนว่า โอปนยิโก...น้อมเข้ามาให้มันเห็นกับจิตของเรา น้อมเข้ามาให้เห็นใจของเรา

แต่ทุกวันนี้มีแต่บังคับ...เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีมะม่วงหวานหรอก มะม่วงอกร่องนี่พื้นเดิมมันหวานนะ เดี๋ยวนี้เขาบังคับมันไม่แก่เฒ่า เขาเอามาบ่มเสียแล้ว...เขาต้องการเร็ว เอามาทานมันก็เปรี้ยว มะม่วงเมืองอุบลฯ นี่ไม่ค่อยหวาน...เขาบังคับมัน คือไม่ทันกับความอยากของคนเรา...ไปบีบมันเข้า ไอ้ของดีๆหวานๆก็ให้มันเปรี้ยวไป ของอะไรก็ให้มันเปรี้ยวไป ให้มันผิดปรกติของมันไป แล้วบ่นว่ามันเปรี้ยว ทำไมมันจึงเปรี้ยว มะม่วงไม่แก่เอามาบ่ม...มันก็เปรี้ยว ทำไมไม่ทำใหม่ล่ะ...มันก็เป็นอย่างนี้แหละ

โดยมากมีแต่ของปลอม ไปยึดมั่นถือมั่นของที่มันปลอมแปลงไม่แน่นอนไปยึดว่ามันเป็นของจริง พระพุทธเจ้าให้เห็นสัจธรรมคือความจริง ของที่มันไม่ปลอมก็คือของแท้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้แทบจะหลงกันหมดแล้ว ของจริง ของไม่จริงไม่รู้เรื่องก็เลยเป็นกันไปอย่างนั้น มันก็เกิดความรู้สึกนึกคิดหลายๆ อย่างสิ่งที่มาดัดแปลงมาปลอมแปลงให้มันเหมือนของจริงอย่างนี้มันก็เป็นไป อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นโอปนยิโก น้อมเข้ามาให้จิตของเรามันเห็น ถ้าจิตเราไม่เห็น ถ้าจิตเราไม่เป็นมันก็เป็นไปอย่างนี้แหละ ไม่มีทางที่จะสว่าง

เรามีลูกมีหลานก็รักลูกรักหลาน รักลูกรักหลานก็ให้วิชาความรู้มันให้คำแนะนำมัน ตอนเช้าเราก็สอนมันตอนเย็นเราก็สอนมัน สอนไปเรื่อยสอนไม่หยุด เพราะรักลูกกลัวมันจะไม่ดีสอนทุกวันสอนทุกเช้าทุกเย็น สอนนานๆ ลูกก็เข้าใจว่าพ่อแม่จู้จี้จุกจิก แต่พ่อแม่เข้าใจว่าสอนลูกให้มันดี เอาละไปคนละแง่แล้วทีนี้ ยิ่งสอนเข้าไปเถอะ ยิ่งไม่ฟังก็ยิ่งสอนมัน อยากจะให้มันดี ลูกก็ยิ่งวุ่นวายยิ่งขัดใจ บางทีหนีจากบ้านไปเลย ไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้ มันบอกผม...พ่อแม่จู้จี้จุกจิกเหลือเกินอยู่ไม่ได้ แต่มาถามพ่อแม่...ฉันอยากจะให้มันดี อยากจะให้มันเป็นบุตรที่ดี ได้การงานที่ดี ได้วิชาที่ดี พ่อแม่คิดไปอย่างหนึ่งไปถามลูกว่ายังไง พ่อแม่จู้จี้จุกจิกมาก มันเห็นไปคนละทางอย่างนี้

อย่างนั้นเราจึงหนักใจกับลูกกับหลาน กับพ่อกับแม่ก็เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งนั้นแหละ มันเกิดรบกันทางใจ บางคนมีพ่อมีแม่ลูกคนเดียวก็รักคนละอย่าง พ่อรักเพื่อจะให้มันประหยัดให้มันอดทน แม่นั่นรักเพื่อจะป้อนอาหารให้มันสมบูรณ์อย่างนี้มันขอแล้วก็ให้มันไปเถอะ พ่อบอกหยุดๆ จะทำให้เด็กเสีย...อย่า ทำไมเป็นอย่างนั้น นานๆไปลูกไม่เป็นอะไรก็พ่อแม่ทะเลาะกันอีกเสียแล้ว มันชอบจะเป็นอย่างนี้ อันนี้ก็เหมือนกัน เราทำการงานก็ให้รู้จักหน้าที่การงานของเราทุกๆ คน

lp cha 06

แต่ว่าคนส่วนมากให้เหมือนกันทุกคน ก็ไม่เหมือนหรอก พระท่านบอกว่า เป็นครูเป็นอาจารย์คน... อย่างอาตมานี่ อย่างโยมนี่ ชอบอยากจะเป็นเปรต... เปรตอะไร... เปรตอย่างละเอียด... เปรตยังไง

อาตมาจะเล่านิทานให้ฟัง ก็น่าฟังเหมือนกันนะ ไม่อยากจะเล่าหรอกมันยาว แต่ว่าควรจะเล่าก็เล่าให้ฟัง จะพูดสั้นๆ ให้มันคุ้มแต่มันทำไม่ได้นะ ท่านบอกว่า...มีคนๆ หนึ่ง เป็นคนที่ใจบุญสุนทร์ทาน ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ อะไรจะเป็นบุญ อะไรจะเป็นกุศล แกพยายามไปทำ แกก็ทำให้มันดีทำให้มันละเอียดทุกอย่างแหละ วางของที่นี่วางไว้ตรงนี้ ตรงนั้น วางไว้ตรงนั้น ถ้าลูกหลานจับมาเคลื่อนก็บ่นเสียแล้ว...ไม่สบายใจนะ ไม้กวาดต้องวางตรงนี้ กาน้ำวางตรงนั้น เมื่อใคร มาทำให้ผิดหวัง...ทุกข์เสียแล้ว

แต่แกเป็นคนละเอียดดี ใจบุญ เป็นระเบียบ วันหนึ่งก็คิดได้ เห็นศาลาในป่าที่คนไปพักอยู่ใต้ร่มไม้ก็คิดว่าเราจะมาสร้างศาลานี่ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้บุญ พ่อค้าพ่อขายไปมาจะได้พักผ่อนหย่อนใจ จะได้มีความสุขสบาย คิดแล้วก็ไปทำๆอย่างดีอยู่ในป่าเพื่อให้คนพัก เมื่อทำเสร็จแล้วต่อไปแกก็ตายวิญญาณไปเกาะอยู่ที่ตรงนั้น คือมันเกาะแต่เมื่อมีชีวิตอยู่น่ะเมื่อสร้างศาลาแล้วแกก็พยายามไปดู มันสกปรกที่ไหนคนมาพักนี่มันเป็นอะไรยังไง ถ้าคนทำไม่ดีแล้วแกก็ใจไม่ค่อยดี ถ้าคนทำดีแกก็ใจสบาย เพราะแกเป็นคนใจบุญสุนทร์ทาน ละเอียดเจ้าระเบียบ

อีกวันหนึ่งพ่อค้าเกวียนมาหลายร้อยเลยมาพัก เมื่อกินข้าวแล้วก็นอนกันเป็นแถว เจ้าของศาลาเป็นเปรตก็มามองดูมันเป็นระเบียบหรือเปล่า...ย่องมาดู มาดูทางศีรษะมันก็ไม่เสมอกันเสียแล้ว บางคนสูงๆ บางคนต่ำๆ มันยุ่งหัวใจเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี ก็มาดึงทางเท้าให้มันลงไปให้ศีรษะมันเสมอกัน ดึงไปสุดแถวพอใจแล้วเรียบร้อย ต่อมาๆดูทางเท้าอีก อ้าวไม่เสมอกันอีกแล้ว ก็ไปดึงศีรษะขึ้นไปอีกให้มันเสมอกัน เมื่อเสมอกันดีแล้ววนไปรอบๆ ไปดูทางศีรษะ อ้าวไม่เสมอกันอีก...เปลี่ยนอีก ยุ่งจนกระทั่งดึก จนทอดอาลัย มันเป็นเพราะอะไรหนอคน เท่านี้แหละ คนเรามันหลง...ไม่หลงมากหรอกหลงเท่านี้เปรตมันหลงแล้ว

ก็เลยมานั่งคิดดูว่า อ้อ...คนมันสั้นยาวไม่เสมอกัน ความสั้นความยาวของคนไม่เสมอกัน ก็มารู้สึก เอ้อ...วางเสียมันอย่างนี้แหละคนเราเพราะมันสูงมันต่ำไม่เสมอกันอย่างนั้น แกก็เลยวาง...เพราะเห็นอะไร เพราะเห็นว่าคนมันไม่เสมอกัน แต่ก่อนเห็นคนให้มันเสมอกัน คนไม่เสมอกันทำให้เสมอกัน มันเสมอไม่ได้ แกก็เป็นทุกข์มานั่งคิด เออ..ความจริงคนมันเป็นอย่างนั้น คนมันสั้นมันยาวไม่เสมอกัน มันจึงเป็นอย่างนี้ พอเห็นได้เช่นนี้ก็สบายเลยนะ สบายใจ

พวกเราก็เหมือนกันไปเห็นเหตุมันแล้วก็ไม่เห็นเหตุมันเป็นอย่างนั้น การจะทำให้มันเสมอกันอย่างนั้นหมดปัญญาที่จะต้องคิดแล้วเพราะมันแก้ไขไม่ได้ มันจะไปตัดแข้งตัดขาเขามันก็ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าความยึดมั่นอุปาทานจะให้มันเหมือนๆกัน พวกเรานี้ก็เช่นกัน ต่างคนต่างมีธุระหน้าที่ก็คงจะไม่เสมอกันหรอกนะ บางคนก็ช้าไปบ้าง บางคนก็เร็วไปบ้างสารพัดอย่าง มันเลยเกิดยุ่งยากเหมือนเปรตนี่ เราก็ชอบอยากจะไปเป็นเปรตอย่างนั้น

บางทีอาตมาก็เป็นเปรตเหมือนกัน แต่มันรู้สึกง่ายหรอกอ้าว...มันเป็นเปรตแล้วนี่เรา...เลิก...อย่างนี้....ทำไม...เพราะอาศัยลูกศิษย์ลูกหาน่ะ อยากจะให้เขาดีทำเป็นระเบียบเรียบร้อย บางทีก็เป็นทุกข์ ทุกข์แล้วก็รู้ว่าเออ...เราเป็นเปรตแล้วสอนเจ้าของไปเรื่อยๆ อย่างนั้นมันก็ยังเกิดเป็นเปรตอยู่บ่อยๆเหมือนกัน ไม่ค่อยยอมง่ายๆ จะต้องทำจนชำนาญๆไป ให้มันรู้เหตุรู้ผลมันจริงๆ

ดังนั้นเราจึงปล่อย คนนี้ทำอย่างนั้นคนนั้นทำอย่างนี้ก็ปล่อยก็วางไปเรื่อยๆ ทำไม...มันไม่เป็นเพราะเขามันเป็นเพราะเราเข้าใจไหม ใจเรามันไม่สะอาด นึกว่ามันเป็นเพราะคนนั้นคนนี้....ไม่ใช่ มันเป็นเพราะเรา คนไม่เสมอกัน เราอยากให้เสมอกัน เราคิดผิดอย่างนี้จะไปแก้ตรงไหน...ก็แก้เราสิ เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นแล้วก็สบาย พวกเราในกลุ่มเดียวกันนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น

บางทีโดยมากก็พวกนักเรียนในโรงเรียนใหญ่ๆ เอานักเรียนมาให้หลวงพ่อสอน แหม...นักเรียน มันสอนยากเหลือเกินเจ้าค่ะ จะทำยังไง...มันดื้อ มันก็จริงอย่างนั้น อาตมาก็มาสอนนักเรียนสอนไปด่ามันไปเลยรับ...มันรับ สอนเด็กนักเรียนจบแล้วก็วกหันมาหาครูเรา ครูเราเป็นอย่างไรกันเล่ามีกี่คน...มี๕๐ คน ๓๐ คนเป็นอย่างไรสามัคคีกันดีไหม หรือเป็นอย่างไรสบายไหม ไม่ค่อยจะพูดนะ...มันเป็นอย่างนี้ ก็ไปโทษแต่เด็กนักเรียนน่ะ ก็เหมือนกับนั่งรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง ก็นึกว่ามอเตอร์ไซด์พาเราล้ม ความเป็นจริงเรานั่นแหละพามาเตอร์ไซด์ลงถนน แต่มันพูดไม่ได้

อาตมาเลยสรุปว่า ท่านทั้งหลายน่ะคิดๆ ให้มันดีเสียนะ อันนั้นมันเป็นเด็ก แต่เราเป็นผู้ใหญ่ โดยฐานะแล้ว เด็กมันผิดก็ควรให้อภัย...มันไม่รู้เรื่องครูใหญ่ๆ ที่ไปทำผิดไม่ควรให้อภัยเสียแล้ว รู้อยู่ว่าผิดก็ยังไปทำให้มันผิดอยู่นี่น่ะ

lp cha 09

เรื่องควรรู้เรื่องเราไม่เข้าไม่รู้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สอนไม่รู้ท่านสอนให้รู้ได้ คนรู้แล้วไม่ทำตามที่ท่านสอนไม่ได้หลักมันเป็นอย่างนี้ ในกลุ่มเราคงจะมีมากเหมือนกันใช่ไหม คนไม่รู้พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ได้ คนรู้แล้วไม่ทำตามท่านสอนไม่ได้ นี่ท่านจัดเป็นคนประมาท

ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมพวกเราจึงเดือดร้อน มันเดือดร้อนเพราะอันนี้เองเพราะไม่ทันดูตัวเรา ไปดูแต่อย่างอื่นโน้น ไปทำที่อื่นให้มันสะมันสวยให้มันเบิกมันบาน ตัวเราไม่ขูดไม่เกลาไม่สว่างสักทีนะ มันก็ยุ่งเรื่อยไปแหละโยม

มองไปทางไหนมันก็มืด เพราะอะไร เพราะตามันเสียมันมืดเหลือเกิน อะไรมันก็มืดไม่รับรู้สักอย่าง สีแดง สีเขียวไม่รับรู้ เลยไม่เห็น ตัด ปฏิเสธเลยว่าแสงไม่มี อย่างนี้มันก็ใช่ของคนตาบอดนะ ความเป็นจริงมันเป็นเพราะตาเราไม่สว่าง สีมันก็ไม่มี ถ้าตาเราสว่างสีมันก็เกิดขึ้นมา ถ้าเรารู้เรื่องอย่างนี้อันนี้เรามองไม่เห็นอย่างนั้น ดังนั้นเราจะไปทำอย่างอื่นเสียโดยมาก มันเป็นทุกข์

ที่มาประชุมกันวันนี้ไม่เอามากหรอก เอามากมันก็เอาไปอย่างนั้นแหละ อาตมาก็เทศน์ความจริงให้ฟังอย่างนี้ แต่บางทีก็เหนื่อยนะ บางทีข้าราชการบางกลุ่มมาฟังกันอย่างนี้เหมือนเราฟังอยู่นี้ ฟังเสร็จแล้วก็กราบลากลับบ้านก็เดินกันคุยไป แหม...ท่านเทศน์ให้ฟังถูกทุกอย่างนะแต่เราทำไม่ได้ อันนี้อาตมาก็เกือบจะหมดกำลังใจไปเหมือนกัน คล้ายๆเราทำอะไรมามากแล้วโยนลงน้ำเสียหมด

แต่ว่าอาศัยความอดทน อาศัยว่าคนมันไม่เสมอกัน ถ้าอาตมาจะทำความทุกข์ไว้ในใจก็กลัวมันจะเป็นเปรตก็เลยไม่ให้มันเป็น อดทนไว้ พิจารณาไว้อย่างนี้ อันนี้ก็เหมือนกัน ชีวิตของพวกเราทั้งหลายนี้ควรทำให้มันราบรื่น สิ่งที่มันราบรื่นมีอยู่ถ้าพูดถึงการใช้สอยทุกประการแล้วน่ะ โดยมากคนเราบ่นว่าเงินไม่พอใช้ จะได้เท่าไหร่มันจะพอใช้จะทำอย่างไร จะพูดแก้ปัญหาให้ฟังเสียหน่อยหนึ่ง

การหาเงินไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่การใช้จ่ายนี่สำคัญมากที่สุด นี่หลักของมัน ท่านสอนนะพระพุทธเจ้าท่านสอนหาเงินโดยวิธีนั้นมันเป็นสัมมาอาชีวะ มีความพากเพียรพยายาม หามาแล้วจงเก็บงำให้เป็นประโยชน์ อะไรควรใช้ไม่ควรใช้อย่าให้ฟุ่มเฟือยไปเสีย อย่างนี้ท่านสอนเหลือเกิน แต่เราไม่ค่อยฟัง ถ้าเข้ากลุ่มแล้วหมดเท่าไหร่ก็เท่ากันไปกันอย่างนั้น

อาหารการอยู่กินน่ะสิ่งที่พอดีๆ... อาตมาไปเห็น "เซ็น" เขาที่เมืองนอก อาตมายังจับใจเลยโยมเขาทำดีกว่าอาตมาอีก เขากินข้าวนะ เขามีถ้วยหนึ่ง ภาชนะหนึ่ง ภาชนะที่สองใส่อาหาร ภาชนะที่สามใส่หวานนะ อาหารเขาก็จับมานี้คลุกเข้ากันแล้วก็ฉัน ฉันหมดแล้ว พอดีแล้ว ก็เอาน้ำเทใส่นั้นมาเทรวมนี่อีก เอาใส่ถ้วยหวาน แล้วมาเทใส่ล้างให้ดีๆ ยกใส่ลงไปหมดเลย แหม...อาตมายินดีเหลือเกิน...ไม่จน เรียบร้อยไม่มีอะไร กระโถนเขาก็ไม่ต้องใช้ ไม่มีบ้วนน้ำลาย ไม่มีอะไรเข้าไปในปากแล้วกินให้หมด แล้วก็นำกระดาษมาเช็ดเรียบร้อยมามองดูอาตมาแล้ว อาตมามันโง่มากเหลือเกินนะ บางทีใส่ครึ่งบาตรเหลือให้สุนัขกินตะพึดตะพือไปเลย มาเห็นความบกพร่องของเรา พระพุทธเจ้าให้เพียรอย่างนั้น ให้พยายาม

lp cha 05

ถ้าเราจะทานจริงๆ มันไม่มากหรอกโยม จานหนึ่งสองจานอย่างนี้ กาแฟสักถ้วยหนึ่งก็พอเท่านั้นแหละ เดี๋ยวนี้เราแก้วหนึ่งยังไม่พอเลย หรือมันพอแต่กินเสียครึ่งหนี่งอีกครึ่งหนึ่งเอาตั้งไว้บนโต๊ะนั้น จานข้าวก็กินเสียครึ่งเดียวแล้วเอาตั้งไว้นั่นแหละ พอเดินออกไป จะให้เขามอง...นี่คือใคร...ดีใจเสียหน่อยหนึ่งนะ จะไปกินหมดก็กลัวมันจะโกโรโกโสเกินไป อย่างนั้นเลยฟุ่มเฟือย ญาติโยมเราทำบุญก็เหมือนกัน อาตมาไปดูแล้ว ฉันบิณฑบาต...อาหารเต็ม ทำให้ไม่เกิดประโยชน์ โยมทำได้...แต่มันไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร...เอาล่ะวันนี้สมควรแก่เวลาแล้ว

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)