thai isan language

ภาษาอีสาน เป็นภาษาที่มีความเป็นมาเป็นของตนเองโดยแนบแน่นมากับภาษาลาว มีตัวอักษร อักขรวิธี คำ และความหมายของคำเป็นของตัวเอง มีรูปแบบการเขียน การพูด การเล่า การร้อง การลำเป็นของตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบ การพูด การเล่า การร้อง การลำนั้น นับว่าแพร่หลายมากในห้วงเวลาที่คนอ่านออกเขียนได้มีจำนวนจำกัด การสื่อความหมาย การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในหัวเมืองลาวเหล่านี้ ก่อนที่ระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ของกรุงเทพฯ จะเข้ามานั้น ส่วนใหญ่จะสื่อความหมายกันทางปาก นั่นคือ การพูด การเล่า การร้อง การลำในรูปแบบต่างๆ เช่น เล่านิทาน ลำตำนานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผญา นิทานก้อม เป็นต้น

kwai 01

ภายหลังการเข้าจัดการปกครองหัวเมืองลาวโดยฝ่ายกรุงเทพฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระบบการศึกษาแบบใหม่ของกรุงเทพฯ ก็เข้ามาเผยแพร่ในหัวเมืองเหล่านี้ การระบาดของภาษาตามแบบกรุงเทพฯ ดำเนินไปอย่างเข้มข้น พร้อมกับการขยายการศึกษาภาคบังคับ การขยายตัวของเส้นทางคมนาคมขนส่ง (ทางรถไฟ) และการขยายตัวของระบบสื่อสารมวลชน (มีโทรเลข วิทยุ) แม้ว่าจะมีความพยายามอย่างมากที่จะแทนที่ภาษาท้องถิ่นหัวเมืองลาวด้วยภาษาไทยกลาง แต่ความพยายามดังกล่าวก็ยังไม่บรรลุผลสมบูรณ์แบบ ความปนเปกันระหว่างภาษาไทยกลางกับภาษาอีสานนั้นมีนัยะให้น่าศึกษาอยู่

tum kaopoon

การตำแป้งขนมจีนด้วยครกกระเดื่อง ภาษาอีสานเรียก ตำเข้าปุ้นด้วยครกมอง

ด้วยความจำกัดในด้านความรู้และด้านเวลาของผู้เขียน จึงขอนำเสนอลักษณะความปนเปหรือความเกี่ยวพันสัก 2 ลักษณะ

'บักลาอิ่มข้าวหลาม'

1. คำที่เขียนอย่างเดียวกัน อ่านออกเสียงอย่างเดียวกัน แต่มีความหมายทั้งที่เหมือนกันและต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น

คำว่า “อิ่ม” ในความหมายภาษาไทยกลาง หมายถึง การได้กระทำในสิ่งที่ต้องการทำอย่างเพียงพอ การได้ดูอย่างเพียงพอ การได้พูดอย่างเพียงพอ การได้ฟังอย่างเพียงพอ คือได้กระทำอย่างจุใจก็เรียกว่า “อิ่ม” เช่น กินจนอิ่ม ดูจนอิ่ม พูดจนอิ่ม ฟังจนอิ่ม เป็นความสมหวังตามสิ่งที่ต้องการอยากทำ มีความหมายในเชิงบวก

ส่วนคำว่า “อิ่ม” ในภาษาอีสานนั้น นอกจากจะมีความหมายอย่างเดียวกันกับภาษาไทยกลางแล้ว ยังมีความหมายที่ลึกลงไปกว่านั้นอีก คือมีความหมายยิ่งกว่าเบื่อหน่าย ยิ่งกว่าเอือมระอา ยิ่งกว่าคำว่า “เซ็ง” เป็นความหมายในเชิงลบ

bug la im kaolam

มีเรื่องเล่าของชาวอีสานอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่อง “บักลาอิ่มข้าวหลาม” (บัก หมายถึง นาย เป็นคำนำหน้านามเพศชาย) หากจะพูดและหมายความตามภาษาไทย (กลาง) ก็คือ “นายลาอิ่มข้าวหลาม” จะต้องหมายความว่า "นายลารับประทานข้าวหลามมากจนอิ่ม และไม่อยากรับประทานข้าวหลามอีก" แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นอย่างไรหนอ...

เรื่องมีอยู่ว่า

นายลาไปทำงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ พอเก็บเงินได้บ้างเล็กน้อยก็เดินทางกลับบ้านโดยขบวนรถไฟ มาถึงสถานีรถไฟโคราช นายลารู้สึกหิวข้าวมาก จึงตัดสินใจซื้อข้าวหลาม ในขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนออกจากสถานีอย่างช้าๆ นายลาไม่มีเงินย่อยจึงเอาธนบัตรใบละร้อยบาทซื้อ (เงินร้อยบาทในสมัยนั้นเป็นจำนวนที่สูงมาก) ปรากฏว่า คนขายข้าวหลามไม่ยอมเดินตามรถไฟเพื่อทอนเงินให้นายลา นายลาต้องซื้อข้าวหลามราคาท่อนละร้อยบาท

railway korat

ปรากฏว่านายลาไม่ยอมแตะต้องข้าวหลามนั้นเลย (แม้จะหิวมาก) นายลากินข้าวหลามไม่ลง นายลาอิ่มข้าวหลาม แม้เมื่อนายลากลับมาถึงบ้านนายลาก็ไม่ยอมกินข้าวหลามเลยตลอดชีวิตของนายลา เมื่อมีคนเรียกนายลากินข้าวหลาม นายลาจะบอกปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า “อิ่ม”

บ้างก็ว่า ความอิ่มของบักลานี้มากถึงขั้นเดินทางผ่านป่าไผ่ แล้วมองเห็นยอดไผ่ไหวโอนไปมาทำเอา "บักลาฮากแตกย้อนคึดฮอดข้าวหลามบั้งละร้อยบั้งนั้น มิรู้ลืม"

คำว่าอิ่มตามความหมายของนายลานั้น มากกว่าเบื่อ มากกว่าแหนงหน่าย มากกว่าเอือมระอา มากกว่าเซ็ง ความรู้สึก “อิ่ม” ไม่เกิดเฉพาะกับอาหารหรือสิ่งของอื่นๆ เท่านั้น แต่อาจจะเป็นความรู้สึกที่บุคคลมีต่อบุคคลก็ได้ เช่น สามีที่เจ้าชู้ ชอบมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น นอกใจภรรยาอยู่เสมอก็อาจจะถูกภรรยา “อิ่ม” ได้เช่นเดียวกัน

บักลาอิ่มบั้งข้าวหลาม ลำโดย สังวาลย์น้อย ดาวเหนือ

'นายอำเภอหัวฆวยมาก'

2. คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกัน ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้การสื่อความหมายผิด ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้เรื่องของความกระด้างกระเดื่อง อวดดี จองหอง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เช่น

คำว่า “ฆวย” คำที่ออกเสียงอย่างนี้ในภาษาอีสานมี 2 ความหมาย คือ

  1. เป็นคำนาม หมายถึง "กระบือ" หรือ "ควาย" ที่เลี้ยงไว้ไถนา คนอีสานออกเสียงเป็น "ฆวย" (เลี่ยงตัวอักษรเพื่อให้ไม่หยาบโลนในภาษาไทยกลาง นะขอรับ คอมเมนต์โดย อาวทิดหมู)
  2. เป็นคำกริยา หมายถึง สั่น, คลอน, สั่นคลอน เช่น หลักไม้ที่ตอกหรือฝังไม่แน่น สามารถโยกได้คลอนได้ ภาษาอีสานจะบอกว่าหลักนั้น “ฆวย” หรือฟันที่กำลังจะหลุดซึ่งเรียกว่า ฟันโยก ภาษาอีสานก็เรียกว่า ฟันฆวย

road in bannok
ถนนหนทางในชนบทยุคหนังเรื่อง "ครูบ้านนอก" ปี 2521

มีเรื่องเล่าว่า

ครั้งหนึ่ง ท่านนายอำเภอเดินทางไปตรวจราชการในหมู่บ้านชนบทอีสาน แต่เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวกดังเช่นปัจจุบัน หนทางเป็นหลุมเป็นบ่อมาก กำนันจึงให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเอาเกวียนเทียมโคเป็นพาหนะไปรับท่านนายอำเภอ ปรากฏว่า จากสภาพหนทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อมาก ทำให้ท่านนายอำเภอนั่งหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดเส้นทาง พอเดินทางมาถึงหมู่บ้าน กำนันก็รีบถามด้วยความเป็นห่วงท่านนายอำเภอกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่า "การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ช่วย?"

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านตอบเสียงดังฟังชัดขึ้นทันทีเลยว่า “การเดินทางแย่ เพราะนายอำเภอหัวฆวยมาก”

kwian 01

คัดลอกส่วนหนึ่งจากบทความ “ภาษาไทย (กลาง) ในภาษาอีสาน” เขียนโดย ชุมพล แนวจำปา 
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม ๒๕๓๓

สภาพถนนหนทางเมื่อ 40 ปีก่อน คลิปสั้นจาก "ครูบ้านนอก 2521"

 

redline

backled1