pra tam tesana header

าตมาเคยถามญาติโยม ถามไปถามมา เลยไม่ได้อะไร ไม่รู้จะเอาอะไร ได้แต่ว่า “แก่แหล่ว” จั๊กแหล่ว นี้มันภาษาไม่รู้เรื่องนะ ถามไปถามมาเลยไม่รู้จะเอาอะไร ไม่มีอะไรจะได้ ทำมาตั้งแต่เล็ก จนแก่จนเฒ่า เวลาจะเอาจริงๆ ไม่รู้จะเอาอะไร ถามมาที่เอาไม่มีใครตอบได้ ว่าจะเอาอะไร เวลาทำทำเต็มมือเต็มเท้า เวลาจะไป กลับไม่ได้อะไร มันน่าสงสารจริงๆ นะ นี้ก็ควรคิด

มาปีนี้ก็ต่างเก่านะ ต่างแม้กระทั่งอาตมาด้วย แก่ลงหลาย คนหัวหงอกหัวขาว สวยกว่าเก่า หือ....ควรคิดนะ พากันสร้างบารมี ถ้าไม่ได้ใจตนเองแล้ว ไม่มีอะไรจะได้นะ คิดดูให้ดีซิ ไม่มีอะไรจะได้ มีแต่ทำแต่ไม่เห็นที่ได้ ถ้าเป็นนักมวยก็มีแต่ชก แต่ไม่มีหมัดล้มหมัดตาย นี้ควรเอาไปคิดดูไปพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าเราได้อะไรหนอ? ไม่มีอะไรได้ อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า คนบางจำพวก อย่างวัดหนองป่าพงเป็นตัวอย่าง ต่างประเทศเขาก็มากัน แม่ออกพ่อออก (โยมผู้หญิงผู้ชาย) บ้านใกล้ๆ ไม่เคยเห็นวัดหนองป่าพงเลยก็มี อย่างนี้มันเป็นเพราะอะไร?

pla mai hen nam

เพราะไม่ได้พิจารณา หลง หลงไปข้างหน้า หลงไปข้างหลัง ไม่รู้จะทำอะไร ให้เราพิจารณา ให้ภาวนา ภาวนาก็คือให้คิดให้อ่าน ให้พิจารณา ทำอะไรก็ภาวนาทั้งหมดนั่นแหละ ทำไร่ก็ภาวนา ทำนาก็ภาวนา แต่ไม่รู้ตัวเอง มันสั้นไปละมัง มันยาวไปละมัง เหล่านี้ ล้วนแต่ภาวนาทั้งหมดนั่นแหละ แต่เราไม่รู้จัก

cha 15ภาวนา คือ การพิจารณาให้เห็นที่มันถูกต้อง เห็นเป็นที่ถูกต้องเป็นที่พอคือแล้วมาแต่งใจเจ้าของ แต่พวกเราพากันไปดูแต่ที่อื่น ไม่ได้ดูตัวเอง ไม่ได้แต่งใจตัวเองสักที ไม่ได้รักษาใจตนเอง มันพาทุกข์พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่เห็น คนไม่ดูตนเอง ไม่รักษาตนเอง มันพาทุกข์พายาก พาลำบากอยู่ก็ไม่ยอมแก้ไข การมาพิงธรรมก็คือมาหาความรู้แล้วไปศึกษา ศึกษาทางกายด้วย ทางใจด้วย ให้ไปศึกษา คนเรามันไม่รู้จักตัวเองนะ

อาตมาเคยบอกว่า "ปลามันอยู่ในน้ำ แต่ไม่เห็นน้ำ" พ่อแม่ ปูย่า ตายายมันก็เกิดอยู่ในน้ำ แต่มันไม่เห็นน้ำ น้ำแช่ตามันอยู่ มันก็ไม่เห็น มันไม่ไกลหรอก มันใกล้เกินไปเลยไม่เห็น ความไม่เห็นนี้ อยู่ใกล้ก็ไม่เห็น อยู่ไกลมันก็ไม่เห็น เหมือนไส้เดือนกินดินขี้ขวยสูงตั้งศอก แต่มันไม่เห็นดิน กินดินอยู่แต่ก็ไม่เห็น เหมือนคนไม่เห็นตัวเองก็เป็นอย่างนั้น หรือเหมือนสุนัข อาหารของสุนัขก็คือข้าวเหมือนพวกเรา ข้าวสารข้าวสุกมันก็กิน แต่ถ้าเป็นข้าวเปลือกมันไม่เห็นที่กิน ยามฤดูหนาวเรานวดข้าว มันก็นอนบนกองข้าว.... สบาย แต่พอหิวอาหารกลับวิ่งหนีไปกินที่อื่น ที่ตนนอนทับอยู่นั้นมันไม่เห็น มันใกล้เกินไป เพราะอะไร? เพราะเปลือกข้าวบังไว้อยู่ นี่แหละ เราหลงตัวเองก็เหมือนกับสุนัขนอนอยู่บนกองข้าว แต่เวลาหิวก็วิ่งไปกินเศษก้างปูก้างปลาที่เขาเททิ้งโน่น ทั้งยากทั้งลำบาก ที่ตัวนอนทับอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอาหารของตัวเอง มันไม่รู้วิธีกะเทาะข้าวเปลือก มันไม่มีโรงสี มันซ้อมข้าวไม่เป็นเลยไม่เห็นที่จะกิน

พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันกับพวกเราทั้งหลาย ก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าก็เหมือนพวกเรานี่แหละ แต่ท่านรู้จักเจ้าของ รู้จักแก้ไขเรื่องต่างๆ ในใจเจ้าของ ท่านแนะน่าเจ้าของแก้ไขความทุกข์ของตนเองได้ เรามาพิงธรรมก็คือมาพิงเอาความรู้ไปแก้ปัญหา พ่อออกแม่ออกหรือพวกเราทุกคนเกิดมา มันมีปัญหาติดต่อกันเรื่อยๆ อยู่บ้านยิ่งแยะ ปัญหาเรื่องนาบ้าง ฝนดีเกินไปบ้าง ฝนไม่ดีบ้าง นํ้าท่วมข้าวบ้าง ดำนาล่าไปบ้าง เรื่องวัว เรื่องควาย เรื่องเงินเรื่องทอง สารพัดอย่างซึ่งเป็นปัญหาถามเรา

cha 13บางครั้งดึกขนาดนี้ยังนอนไม่หลับ เพราะกำลังแก้ปัญหาอยู่ แต่คนเราไม่รู้จักการแก้ปัญหา พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามันร้อนก็เป็นทุกข์ มันหนาวก็เป็นทุกข์ แก้ปัญหาไม่ได้ เผลอๆ ด่ากระทั่งแดด ด่ากระทั่งลม ว่ามันร้อนโคตรพ่อโคตรแม่มัน... อะไรอย่างนี้ ว่าไปทั่ว อ้าวเรื่องมันร้อน ก็เรื่องธรรมดาเว้ย ให้ดูจิตของตนเอง อย่าไปกวนเขา เพราะเขาเป็นอย่างนั้น ถึงคราวร้อนเขาก็ร้อน ถึงคราวเย็นเขาก็เย็น เพราะธรรมชาติเขาเป็นอยู่อย่างนั้น เราก็วิ่งไปตามแต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่พวกเราไม่รู้จัก ของในโลกนี้มันเรียบร้อยหมด ทุกอย่างไม่มีปัญหา มันมีปัญหาก็แต่พวกเรา เรานั้นพยายามไปติเขา อันนั้นเล็กไป อันนั้นใหญ่ไป อันนั้นสั้นไป อันนั้นยาวไป จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร สั้นเขาก็อยู่อย่างนั้น ยาวเขาก็อยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่าอะไร เราชอบหาเรื่องใส่เขาไม่หยุดไม่หย่อน นี้เรียกว่าไม่ได้แก้ปัญหา เรื่องธรรมชาติมันเป็นอยู่ตามเรื่องของมัน แต่เราไม่มีปัญญาเอาธรรมชาติเหล่านั้นมาไซได้

เหมือนอย่างต้นไม่ในป่า มันมีทั้งต้นทั้งใบทั้งเปลือก นี้คือธรรมชาติของมัน เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้ว่า เขาเล็ก เขาใหญ่ เขาสั้น เขายาว เขาเป็นอยู่อย่างนั้น ผู้มีปัญญาก็นำธรรมชาติเหล่านั้นมาแต่ง มาแปลงเอาด้วยปัญญา แปลงมาเป็นขื่อเป็นแป ให้เป็นบ้านเป็นเรือน นี้เรียกว่าปล้อนเอาออกมาจากธรรมชาติ เราเห็นธรรมชาติมันสงบทุกอย่าง ทั้งต้นไม้ภูเขา เถาวัลย์ก็ล้วนแต่เป็นของสงบอยู่ เรานี่แหละไม่ดีเอง เที่ยวติเขาไม่ได้หยุด เดินจากป่ามาบ้านเจอฟืนดุ้นหนึ่ง แบกใส่บ่าเดินมา แบกไปแบกไปมันก็ยิ่งหนัก จะทิ้งก็เสียดาย จะแบกต่อไปก็หนัก แต่ก็ทนแบกไปจนยางตายแทบออก พอมาถึงบ้านทิ้งลง โครม "โคตรพ่อโคตรแม่มันหนักเหลือเกิน" พูดแล้วก็แล้วไป ไม่ได้พิจารณา ไม่รู้ว่าใครหนัก ไม้หนักหรือว่าเราหนัก ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าด่าแม่ใคร หรือด่าแม่ตนเองก็ไม่รู้ ใครหนักก็คงจะด่าแม่คนนั้นละมัง...นะ เพราะไม้มันไม่หนักไม่เบา มันเป็นอยู่อย่างนั้น นี้คือคนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักแก้เจ้าของ ไม่รู้จักเหตุผล

พวกเราให้พาก้นสร้างบารมี เพิ่มพูนบารมีของเรา อาตมา เห็นว่า... บุญเด้อพ่อออก บุญคือการกระทำดีกระทำชอบ เป็นบุญ บุญนี้เกิดขึ้นมาก็เรียกว่า กรรมเก่า มีทั้งบุญและบาป ถ้าเราทำอะไรไป ถ้ากรรมเก่าคือบาปมาเกี่ยวข้องแล้วลำบาก เสียหายมาก เราอยู่ไปหากินไป ถ้ากรรมเก่าที่ดีมาพัวพันเป็นเหตุให้ง่าย ให้ดีขึ้นมาได้ มันเป็นอย่างนั้น

samati2ฉะนั้น พวกเรานั้นสมควรที่จะพากันศึกษาเรื่องนี้ ถ้าใครไม่รู้จักธรรมะ ก็เอาตนหลุดพ้นไปจากทุกข์ไม่ได้ คำว่า “ทุกข์” คือ ทุกข์ทางใจ พวกเราอาจจะไม่รู้จัก หรือบางคนอาจจะคิดว่า พระพุทธเจ้าตายไปแล้ว อย่างนั้ก็มีนะ พระพุทธเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นแหละ ท่านตายแล้ว.... หยุด! ถ้าอาตมาจะพูดว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ตาย โยมพ่อออกจะว่าอย่างไร? ก็ท่านยังไม่ตาย ทุกวันนี้ท่านยังอยู่ ท่านยังช่วยมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ถ้าทำดีท่านยังช่วยอยู่ตลอดเวลา พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นพระธรรม ใครเห็นพระธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นพระพุทธเจ้าก็คือเห็นพระสงฆ์ ใครเห็นพระสงฆ์ก็เห็นพระธรรม ไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน อยู่ตรงนี้ เดิมพระพุทธเจ้า ก็เป็นสิทธัตถราชกุมาร เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา ยังไม่รู้อะไร เมื่อท่านรู้ธรรมะชัดเจนแล้ว ก็เรียกท่านว่า “พระพุทธเจ้า” คนธรรมดาเลยหายไป

คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นปฏิปักษ์ต่อใจของพวกเรา เทศน์ไปๆ ถ้าจะเทศน์ความจริงให้ฟังจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งมีแต่เรื่องขัดใจเรา เพราะเหตุใด? เพราะใจเรามันสกปรก มีแต่เรื่องขัดใจทุกอย่าง พวกเรามันเสียดายความชั่ว เสียดายความไม่ดี เสียดายความสกปรก อยากเก็บเอาไว้ ท่านว่าทิ้งมันเสีย ก็ไม่อยากจะทิ้ง มันชอบของเลว ไม่ชอบของดี อย่างนี้... อาตมาถึงว่า ธรรมของพระพุทธเจ้ามันขัดใจคน ขัดใจปุถุชนทั้งหลาย ขัดจนกลายเป็นอริยชน ถ้าไม่ขัดอย่างนั้นก็ไม่ได้ อาตมาเคยไปเทศน์ธรรมะหลายแห่ง เข้าไปบางบ้านเทศน์ให้ฟัง บางทีพ่อออก แม่ออก อยู่บ้านเดียวกันก็ยังทะเลาะกัน คนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งไม่ไป คนหนึ่งว่าถูก คนหนึ่งว่าผิด แยกกันเลย มันแยกกันนี้เป็นเพราะอะไร? เพราะกรรมมันบังไว้ ใครมีปัญญาก็เห็น ใครไม่มืปัญญาก็เห็นได้ยาก เห็นไม่ได้ง่ายๆ ของอันนี้ มันใกล้ มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก

เรื่อง ทิฏฐิมานะ ของคนนั้น ถ้าจะเทียบแล้ว จะย้ายภูเขาลูกนี้ไปไว้ที่อื่นก็ยังง่ายกว่า หรือท่าให้มันราบเหมือนแผ่นดินก็ยังง่ายกว่า เป็นอย่างนั้น หรือจะเปรียบให้ฟังอีกง่ายๆ ก็ เหมือนพ่อกำนันนี่แหละ สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งเสร็จเรียบร้อย อยู่มาได้ลัก ๑๐ วัน หรือเดือนหนึ่ง อย่างนี้ มีคนหนึ่งพูดว่า “พ่อกำนันบ้านหลังนี้รื้อเสียเป็นไง” ชวนรื้อบ้านหัวขาดก็ไม่รื้อ ใช่ไหม? ทำไมล่ะ ก็บ้านเราเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ๆ ใครจะยอมรื้อ อีกอย่างหนึ่งก็คงจะยังคิดว่าเพื่อนพูดเล่นอยู่อีกนะ ยังจะนึกว่าคนนั้นมันบ้าหรือไง บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังนึกว่า เขาพูดเล่นอยู่อีกนะ ยังจะนึกว่าคนนั้นมันบ้าหรือไง บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มาชวนรื้อ ยังนึกว่าเขาพูดเล่นอยู่อีก ทิฏฐิมานะก็เหมือนกัน เช่นอันนี้มันผิด เลิกเสียนะ โอ๊ย....ไม่ได้ ถ้าสิ่งใดมันชอบสิ่งใดมันติดแล้ว ไม่กล้าละไม่กล้าถอน ติดอยู่นั้นแล้ว.... ยาก ไม่ได้ง่ายๆ ทิฏฐิมานะมันติดมันแน่น มันลึกมันซึ้งเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเห็นผิดเป็นชอบ พูดให้ฟังไม่เห็นละ ถอนไม่ได้ง่ายๆ คือมันไม่เห็นนั่นเอง ถ้ามันเห็นแล้วมันก็ง่าย แต่นี่มันไม่เห็น เรื่องคนไม่เห็นอยู่ไกลมันก็ไม่เห็น อยู่ใกล้มันก็ไม่เห็น อยู่ในลูกตานี้มันก็ยังไม่เห็น มันจึงเป็นของยากเป็นของลำบากหลาย

arjhan cha 08

ที่พระท่านสอนก็เพื่อละทิฏฐิมานะที่ยึดไว้ถือไว้ของไม่แน่นอน อาตมาจึงอยากจะขอกับญาติโยม ขอไม่มากหรอก ขอเพียงว่า ถึงจะละความผิดไม่ได้ก็ไม่ว่า แต่ขอให้รู้จัก ให้รู้จักว่าอันนี้มันผิดอันนี้มันถูก แค่นี้เสียก่อน ให้รู้จักจริงๆ เท่านี้อาตมาก็ดีใจแล้ว ให้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ เท่านี้ก็ได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าคนรู้ว่าอันนี้มันผิดอยู่ในใจของเขาแล้ว ทำอะไรมันก็รู้ว่าผิด ใจมันบอก ทำเมื่อไหร่มันก็บอกว่าอันนี้มันผิด มันทวงไม่หยุดอย่างนี้ ทำตอนไหนก็ผิด เห็นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเอง อันนี้ไม่ได้ถามตัวเองสักที มันจึงไม่เห็นชัด มันไม่เห็นชัดอย่างนั้น

เช่นเรากินเหล้าอย่างนี้ พอยกแก้วขึ้นมา ก็บอกว่า....บาปนะ แต่ก็ยังกินอยู่ เพื่อนชวนกินในสังคมอย่างนี้ก็กินไป พอยกแก้ว ขึ้นตอนไหนก็บอกว่าบาปนะ เห็นว่ามันผิดทันที มันเลยขวางกันไปกับใจพวกเรา ยกขึ้นครั้งใดก็นึกอยู่เสมอว่า หลวงพ่อท่านว่ามันบาปนะ ไม่เฉพาะแต่ท่านว่า เห็นคนอื่นกินก็เห็นว่ามันเป็นบ้าเป็นบอ เห็นว่ามันผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็กิน แต่ก็ยังคิด เอ๊า....เอาแค่นี้ ไม่เอาอีกแล้ว เดี๋ยวเขาก็ยกมาให้อีก เอ๊า....ลุง นี้ของหลานนะ เอาสักนิดทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดอยู่ กินตอนไหนก็รู้ว่ามันผิดอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ประเดี๋ยวมันก็หยุด ไม่หยุดก็ไม่ได้ เพราะมันรู้อยู่ว่ามันผิดอย่างนี้

sit salaการฆ่าสัตว์ก็เหมือนกัน เห็นอยู่ว่าฆ่าเขามันบาป แต่ก็ไม่หยุด ไม่หยุดก็ตามแต่ให้มันเห็น อันนี้....อาตมาเคยพบมา จึงพูดให้ฟัง เราสร้างบารมี คือเราฟังแล้วมาพิจารณาใจของเรา เช่น เราไปจับกบแต่ก่อน พอจับได้หักขามันทันที แต่พอบอกว่า มันบาปนะ....โยม คิดหักขาเขาก็เหมือนหักขาเราเหมือนกัน ถ้าคิดให้ดีๆ เมื่อไปพิจารณาดูเลยรู้ขึ้นมา ทีหลังได้กบมาใหม่ไม่หักขา....กลัว....มันกลัว มันลดลงมา ไม่หักขา แต่เอามาใส่ข้องไว้นั่นแหละ เอามาบ้านให้แม่บ้านทำ คิดอย่างนี้ก็ทำ ไปเรื่อยๆ จับกบมาใส่ข้องทีไรก็ไม่หักขาละทีนี้ ได้แล้วขั้นหนึ่ง คือไม่หักขากบ แต่ก็เอามาเหมือนเดิมนั่นแหละ ทำอยู่อย่างนั้น คิดไม่หยุด นึกไปนึกมา ว้า....เว้ย....อันนี้มันก็ยังไม่ถูกมั้ง ไม่หัก แต่ก็ยังเอามาให้เขา มันก็จะเถียงกันอยู่ในใจนั่นแหละ เถียงไป เถียงมา เอาไปเอามา มันสร้างบารมี นึกไปนึกมาก็ยิ่งถูก ว่ามันผิดอยู่ เกรงอยู่ กลัวอยู่ แต่ไม่หยุด แต่ก็คิด อันนี้ก็เป็นเหตุประเดี๋ยวก็หยุด บางทีก็หยุดไม่มาก หยุดเฉพาะวันพระ มันห่างแล้วทีนี้ หยุดแต่วันพระ วันไม่พระก็ยังเอาอยู่ ทำไปปฏิบัติไปแต่กลัวอยู่คิดอยู่ ทำไมหยุด มันก็มีความรู้เกิดขึ้นมาว่า วันพระหรือไม่พระ มันก็คงเหมือนกันละมัง มันสอนอยู่อย่างนี้ จิตเราถ้ามันเห็นแล้ว นั่งอยู่ก็สอน เดินอยู่ก็สอน สอนว่ามัน ผิด....มันผิด....อยู่อย่างนี้ ผลที่สุดมันจู้จี้มาก มันก็หยุดเท่านั้นเอง

สำหรับการสร้างบารมีอาตมาถึงว่า พ่อออกเอ๊ย....รักษา ศีลนะ “ครับ กระผมจะพิจารณา จะพยายาม” นี่คือการเปิดประตูเอาตนเองออก ถ้าคิดว่าไม่ได้หรอกครับ นี่คือการปิดประตูไม่มืหนทางจะออก คำว่าไม่ได้คือเราไม่เคยคิดว่าจะออก ถ้าบอกว่ากระผมจะพิจารณาครับ นี้ยังพอมีหนทาง คำพูดอันนี้เป็นคำพูดออกมาจากจิตใจ ว่าจะพยายามก็จะพยายามจริงๆ นี่คือ การสร้างบารมีทางด้านจิตใจของเรา ทำอะไรก็รู้อยู่เห็นอยู่ว่ามันถูกมันผิด มันเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ มาเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่นานหรอกโยม นี้เรืยกว่า “การสร้างบารมีทางจิต” เห็นไป.... เห็นไป.... ความเห็นมันก็แก่กล้าขึ้น บารมีมันกล้าขึ้นเพิ่มขึ้น อันนี้มันก็เลยมากขึ้น กิเลสมันก็น้อยลงเพราะบารมีมันมากขึ้น เปรียบประหนึ่งว่า เราทุกคนที่นั่งกันอยู่นี้ สมัยก่อนเราเป็นเด็กเล็กๆ ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ ถามว่าเด็กเล็กมันหายไปไหน? มันไม่หาย ไปไหนหรอก คือเด็กน้อยเป็นเหตุให้เราใหญ่ เวลาเราโตเด็กมันก็เลยหายไป เด็กไม่มีไม่รู้ไปไหน กลายมาเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่มีเด็กน้อย (มิจฉาทิฏฐิ = ความเห็นที่ผิดจากคลองธรรม, สัมมาทิฏฐิ = ความเห็นที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง)

arjhan cha 01จิตใจของเราก็เช่นกัน ถ้าความรู้เกิดขึ้น ความไม่รู้มันก็หายไป ทิ้งไป เหมือนกับเรานี่แหละ แต่ก่อนเป็นเด็กแต่พอโตขึ้นมาเด็กก็ไม่มี มันไปไหนละ มันไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ตรงนั้นแหละ คือมันหนีจากเด็กแล้วมาเป็นผู้ใหญ่ มันฆ่าของมันเองหรอก หรือว่าไง? หรือเราคิดว่าเด็กมันไปไหน เด็กน้อยมันวิ่งไปภูเขาโน่นหรือมันไปไหน? หือ....คิดให้คักๆ (ดีๆ) เด้อ นี้เรืยกว่า “การพิจารณา การสร้างบารมี” แต่ก่อนเด็กน้อยมันอยู่กับเรา แต่เมื่อมันใหญ่มันก็เลยไม่มี

มะม่วงก็เหมือนกัน มันเป็นดอกก่อน เวลาเป็นลูกดอกมันไปไหน มันก็มาเป็นลูกนั่นแหละ เวลามันเล็กมันก็ยังไม่ใหญ่ เพราะอะไร? เพราะมันคา (ติด) ลูกเล็กอยู่ ถ้าอยู่ไปนานๆ ใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เล็กก็ค่อยหายไป ใหญ่ขึ้นมามันก็ห่าม ผลดิบมันก็หายไป พอถึงเวลามันสุกแล้ว ผลห่าม ผลเล็ก ดอกมันไปไหน เวลามันหวาน ความเปรี้ยวมันไปไหน? เวลาเปลือกมันเหลือง ความเขียวมันไปไหน? มันเข้ามารวมกันที่มะม่วงใบเดียวกันทั้งหมด ผลน้อยก็มารวมที่ผลใหญ่ รสเปรี้ยวก็มารวมที่รสหวาน สีเปลือกที่เขียวๆ ก็มารวมที่สีเหลืองๆ ของมัน ไม่ใช่มันวิ่งไปไหน มันก็มารวมกันที่เดียวทั้งหมด แต่พวกเราไม่รู้จัก ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้พิจารณาอย่างไร มะม่วงใบนี้เมื่อมันสุกมาแล้วเราจับขึ้นมา ยกขึ้นมา ไม่ได้เข้าใจว่าเรายกต้นมะม่วง ยกกิ่งมะม่วง ยกรสมะม่วงกลิ่นมะม่วง ไม่เคยเห็นความเป็นจริงแล้วเวลาเราจับมะม่วงขึ้นมากิน ก็คือเรายกขึ้นมาทั้งต้น ทั้งผล ทั้งเมล็ด แต่ในเวลานี้มันเห็นไม่ได้เพราะมันละเอียดมาก เมื่อเวลาเราเอาไปฝังลงบนดินให้มันถูกสัดส่วนของมัน มันจะถอดลำต้นถอดใบขึ้นมา แล้วเกิดกิ่งขึ้นมา เกิดดอกออกผล เกิดรสเกิดชาติขึ้นมา แต่ว่าเวลาเรากินมะม่วงเราไม่เห็นเพราะอะไร? เพราะเราไม่ละเอียด มันจึงไม่เห็น เวลาเอาไปปลูกจึงเห็นว่า โอ้....ที่แท้เราแบกต้นมะม่วงกินอยู่แต่ไม่รู้จัก

ความหลงของสัตว์ก็เหมือนกันฉันนั้น มันเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงให้สร้างบารมี บารมีก็คือคุณธรรมอันยวดยิ่ง สร้างบารมีทางจิตใจ คือให้พิจารณา ให้ภาวนา “ภาวนา” ก็คือการพิจารณา เหมือนเราจับเอาไม้มาตัด ต้องรู้ว่าตัดตรงนี้ มันจะสั้นไปไหมหนอ หรือจะยาวไปไหมหนอ นี้คือภาวนาล่ะ ไม้นี้มันจะใหญ่ไปหรือเล็กไปหนอ พิจารณาว่าจะตัดตรงไหน

ความจริงทุกคนต้องภาวนา แต่เราไม่รู้เรื่องของเจ้าของ ถ้าเราพิจารณาเหตุพิจารณาผลแล้ว เราก็ทำความชั่วไม่ได้ ไม้.... ถ้าเราพิจารณาแล้วตัดไม่ผิด ถ้าพิจารณาไม่ออกเอาตลับเมตรมาวัดดู ได้ห้าเมตร หกเมตร ตามที่เราต้องการค่อยตัด ไม่ผิด นี้เรืยกว่า การภาวนา ทุกอย่างให้ได้ภาวนา

พระพุทธองค์ท่านจึงสอนว่า การให้ทานร้อยครั้ง ไม่เท่ารักษาศีลครั้งหนึ่ง รักษาศีลร้อยครั้งไม่เท่าภาวนาครั้งหนึ่ง ภาวนานี้มันละเอียด เพราะภาวนานี้มันถึงจิต มันปล้อนสารพัดอย่างออกมาได้ เห็นในจิตตนเอง ถ้าเห็นในจิตตนเองแล้ว ต่างจากคนที่ไม่เห็น เหมือนกันกับเราไปเห็นหมูป่าหรืออีเก้งด้วยตนเอง กับการที่เราได้ยินเขาพูดให้ฟังว่า หมูปาเป็นอย่างนี้นะ อีเก้งเป็นอย่างนี้นะ เท่านี้ก็มืความรู้ต่างกันแล้ว ถ้าเราเห็นชัดเจนแล้วว่า ลักษณะหมูปาเป็นอย่างนี้ ใครมาพูดให้ฟังถูกหมด ตลอดรูปร่างสัณฐานของมัน ตลอดขนมัน ขามัน แข้งมันสารพัดอย่าง เราจะมีความสามารถพูดได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่ถ้าเราไม่รู้ ได้ยินเขา พูดว่าหมูป่านะ ก็จะมืปัญหาว่า หมูป่ามันเป็นอย่างไร? อธิบายไม่ถูก เดี๋ยวเขาก็จะสวนกลับมาว่า มึงไม่รู้จักหมูหรือไงวะ ถ้าเราเห็นจริงๆ แล้วสามารถอธิบายได้ พูดได้เต็มปาก เพราะทางจิตเห็นมันเป็นอย่างนั้น การภาวนามันแจ้งขาวกว่ากัน สิ่งที่เราเอาไปนั้นมันไม่มือะไร เราเห็นชัดเจนแล้ว เรื่องมันเป็นวัตถุ เป็นเรือนชานบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่เรืยกว่าของเรานั้นก็จริงอยู่ แต่จริงโดยสมมุติ เป็นของสมมุติ

cha kamson 7

อาตมาเคยไปสำรวจตรวจสอบดู ทายกทายิกา พากันอยากได้วัด ร้องขอ เอาวัดไปให้แล้วไม่รู้พากันทำขนาดไหน ไปเยี่ยมดู ไปสำนักไหนก็มืความรู้สึกว่าเหมือนกับหิ้วของหนัก พากันแบกของหนัก แบกไปๆ มันหนักมาก นึกแต่จะปลงจะวาง มันเหนื่อย....สร้างคุณงามความดีนี้กำลังมันไม่พอ มันมืความขี้เกียจมักง่าย ไปที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน ตลอดจนพระเจ้า พระสงฆ์เหมือนกันกับแบกของหนัก มันทุกข์....เมื่อมันทุกข์ ความรู้สึกในใจก็มืแต่อยากจะปลงจะวาง อยากปล่อย....กำลังใจ ไม่มาก เหมือนคนกำลังไม่มากแบกของหนัก คอยแต่จะปลงจะวาง พวกประพฤติธรรมะก็เหมือนกัน ผู้ยังไม่ถึงธรรม ยังไม่บรรลุธรรม มันก็อยู่ในความทรมาน หิ้วไป ดึงไป แต่ก็ยังดี ยังดึกว่าบุคคลที่ยังไม่ทันแบกของ ยังไม่เคยได้ลอง ดึกว่า....มีความอดทน

cha 11คณะอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นฆราวาส ความเป็นจริงอยากให้รู้จักหน้าที่การงานของเจ้าของไว้ทุกๆ คน เพราะว่ามันไม่มือะไร ไม่มือะไรจะได้จะดี ไม่มีอะไรที่จะเป็นแก่นเป็นสารสักอย่างหนึ่ง ที่มันเป็นแก่นเป็นสารท่านให้ภาวนา เพื่อให้มันบรรลุถึงความพ้นทุกข์ทั้งหลาย เมื่อเฒ่าแก่มากแล้วก็ไม่เห็นมือะไร หรือใครว่ายังไง? หมดราคา...สภาวะร่างกายนี้หมดราคา ก้อนรูปมันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนไป....เปลี่ยนไป ทางจิตที่เรียกว่า “นาม” มันก็ไม่เหมือนเก่า แต่ว่าเลี้ยงคนโดยธรรมะนั้นเลี้ยงยากมากนะ

เลี้ยงลูกเราเอาข้าวเอาน้ำให้มันกิน มันก็รู้จักใหญ่รู้จักโต เลี้ยงโดยภาษาธรรมให้อาหารธรรม ให้คนใหญ่ในธรรม ให้คนดีในธรรม ให้คนมีกำลังในธรรม ยาก....ลำบากแท้ๆ ปฏิบัติไปจนเฒ่าจนแก่ก็ยังไม่โต ยังน้อย ยังไม่ใหญ่ มันใหญ่แต่ร่างกาย ร่างกายเราให้อาหารมันกิน มันก็ใหญ่ ใหญ่ทางเนื้อทางหนัง ธรรมะ ความรู้ทางจิตใจมันไม่ใหญ่ ความเป็นจริงการปฏิบัตินักบวชก็ดึ เป็นฆราวาสวิสัยก็ดึนะ พวกเรามาอบรมกันตั้งหลายปี ตั้งแต่เด็กจนเฒ่าจนตายก็ยังไม่ใหญ่นะ กำลังธรรมะมันน้อย กำลังธรรมะไม่มาก...ไม่เห็น

เหมือนกันกับปลา ปลาอยู่ในนํ้า มันไม่เห็นนํ้า อันนี้ก็จริง อยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ อันนี้เราอยู่กับกองธรรมอยู่กับพระไตรปิฎก ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก ถึงอ่านพระไตรปิฎกก็ไม่ได้เข้าใจในพระไตรปิฎก ในข้อความอันนั้น เราอยู่กับกองกาย กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ และสวดด้วย เรียนด้วย แต่ไม่เห็น พูดอยู่ สวดอยู่ แต่ไม่เห็น จึงเหมือนกับปลาดำอยู่ในนํ้าแต่ไม่เห็นนํ้า ก็เหมือนกับพวกเราทั้งหลาย พูดธรรมะอยู่แต่ไม่เห็นธรรม เพราะว่ามันมือะไรปิดบังไว้โดยไม่รู้สึกตัวเอง มองไม่เห็น เช่นการเรียนการสวด หรือการพูดมันเป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรม ไม่ใช่ตัวธรรมะ ไม่ใช่เรื่องธรรมะ นั้นก็ยังไม่ใช่ตัวธรรมะ มันเป็นข้อความบันทึกธรรมะแค่นั้น เราพากันเรียนพากันบ่นพากันสวดเป็นต้น สวดเรื่องธรรมะสวดข้อบันทึกธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ

sit 6อุปมาเหมือนกับว่า พริกมันเผ็ด เกลือมันเค็ม เราบอกว่า พริกมันเผ็ดอย่างนี้ ยังไม่เห็นความเผ็ดของมัน ยังไม่รู้จักค่าที่ว่ามันเผ็ด มันเค็ม ไม่ใช่ตัวเผ็ดตัวเค็ม การอธิบายธรรมะให้ฟ้งก็เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ตัวธรรมะ เป็นคำพูดของบุคคล เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ตัวหนังสือคัมภีร์ต่างๆ ก็เหมือนกัน เป็นข้อความบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ อ่านได้ ท่องได้ แต่ใจยังไม่เป็นธรรมะ พูดรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นธรรม ยังไม่เห็นธรรมะ ตัวธรรมะจริงๆ นั้นบอกกันไม่ได้ เอาให้กันไม่เป็น ไม่รู้จัก ส่วนที่เราศึกษาเล่าเรียน สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอุบาย เป็นข้อประพฤติปฏิบัติบอกให้เข้าไปถึง เช่นบอกว่า พริกมันเผ็ดนะ ยังไม่รู้จักว่าตัวเผ็ดจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร รู้จักแต่ใช้สำเนียงชื่อมันว่าเผ็ด แต่ตัวเผ็ดไม่รู้จัก ส่วนนั้นไม่ใช่ส่วนของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ส่วนของหนังสือ ไม่ใช่ส่วนของคัมภีร์ มันเป็นส่วนของเจ้าของที่ปฏิบัติ มันจึงจะรู้จักว่ามันเผ็ดจริงๆ จึงจะรู้ว่าตัวเผ็ด จึงจะเข้าถึงตัวเผ็ดตัวเค็มเป็นต้น เผ็ด....เค็มมีแต่ชื่อไม่ใช่ตัวมัน ได้ยินแต่ไม่รู้จัก ส่วนนั้นมันเป็นส่วนของการปฏิบัติ ต้องเอาไปกิน ความเผ็ดความเค็มความเปรี้ยวจึงจะปรากฏขึ้นมา อันนั้นเป็นตัวเผ็ด อันนั้นเป็นตัวเค็ม เราอ่านหนังสือ เราฟังธรรมะ ยังไม่ใช่ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมไม่ได้ รู้ได้ด้วยตำราเป็นส่วนของอุปัชฌาย์อาจารย์จะแนะนำโดยอุบายต่างๆ เพื่อให้เข้าไปเห็นความเผ็ด คือธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ

ดังนั้น คนจึงยากที่จะรู้ ยากที่จะเห็น เพราะไม่ได้เข้าใจในการปฏิบัติ เช่นเดียวกับแพทย์หรือหมอรู้จักสรีระร่างกายของมนุษย์ดีเพราะการศึกษาเล่าเรียนมาจึงรู้จัก แต่ก็ไม่รู้จักสรีระอวัยวะของมนุษย์ตามเป็นจริงของหลักธรรม รู้ตามหลักการและวิชาการเท่านั้น ท่านเรียกว่าไม่เห็น เหมือนปลาอยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ หมอผ่าตัดสรีระร่างกายของคน รู้จักไปตามหลักการวิชาการ แต่ไม่รู้จักในหลักธรรมะตามความเป็นจริง มันเป็นคนละแขนงอย่างนั้น

ฉะนั้น พุทธบริษัทเราทั้งหลายยากที่จะรู้ธรรมะ เรียกว่า เข้าไม่ถึงแก่นของธรรมะ ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้เอง ไม่ได้น้อมเข้ามา เราตั้งใจปฏิบัติมานมนาน ปฏิบัติได้ ๙ พรรษา ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษา บุรุษและสตรีทั้งหลาย ถ้าเราไปบุกเบิกท่าไร่ไถนา คงจะได้มาหลายไร่แล้วนะ นั่น....มันเป็นอย่างนั้น เราเป็นนักบวชตั้งใจมาปฏิบัติแท้ๆ แต่ยังไม่ได้อะไร ยังท่าความยุ่งยากใส่ตัวเองอยู่ และใส่ผู้อื่นอยู่ มันไม่รู้จักทั้งๆ ที่จะไปละกิเลสทั้งหลาย แต่ไม่รู้เรื่อง ถูกนินทากาเลยังมีโกรธมีโมโห ยังถือเราถือเขา ยังถือทิฏฐิมานะ เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติ จะฝ่าฟันลงให้เห็น เช่น เราสวดอาการสามสิบสอง แยกแยะ ออกหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เห็น เพื่อให้ละลักกายทิฏฐิ ไม่ให้ถือตัวถือตนว่าเป็นแก่นเป็นสารเป็นเรา เป็นเขา สวดแล้วก็ไม่เห็น เพราะธรรมะไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังไม่เป็นธรรม ยังมีความโกรธมีความขึ้งเครียด ยังมีความเห็นแก่ตัว เป็นลักกายทิฏฐิ ละวิจิกิจฉา ยังไม่ได้ มันยังไม่ลงหนทาง จึงเป็นของยาก เป็นของลำบาก

lp cha 01

เราอยู่ไปนานๆ มันก็หนัก เหมือนแบกของหนัก คนแบกของหนักคิดพยายามจะปลง จะวางเพราะมันไม่สบาย โดยมากนักบวชนักพรตนักปฏิบัติเราชอบจะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้อาศัยเจ้าของเป็นอยู่ อาศัยคนอื่น เหมือนกันกับพระอานนท์ พระอานนท์เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ได้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ไปไหนก็ไปตาม ติดตามกันไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วยธรรมะ พระอานนท์ก็ได้ยินได้ฟัง แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุซึ่งธรรมะ เมื่อถึงคราวพระพุทธเจ้านิพพาน พระอานนท์ร้องไห้ เพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเราทั้งหลายนั้น บัดนี้ท่านมาเสียชีวิตไปแล้ว ต่อไปใครหนอจะเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา น้อยใจ ความน้อยใจท่าให้ร้องไห้ ปริเทวนาการ คนยังไม่ถึงธรรมะ ยังไม่บรรลุธรรมะเป็นอย่างนี้ เรื่องคิดเอาไม่ได้ เพราะพระอานนท์ได้ยินแต่คำท่านเทศน์ธรรมะ ได้ดูตำราข้อความบันทึกของธรรมะ พระอานนท์ยังไม่บรรลุถึงธรรมะ ตัดความโศกเศร้าปริเทวนาไม่ได้ เข้าใจว่าเมื่อครูของท่านล่วงสับไปแล้ว ใครจะเป็นครูเป็นอาจารย์ เราคงไม่เห็นท่านอีกแล้ว คิดไปนํ้าตามันก็ไหลออกมา ความรู้สึกเช่นนี้ล่ะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักธรรมะ ไม่มีทางพ้นทุกข์ พระเถระทั้งหลาย ท่านผู้บรรลุถึงธรรมะชั้นสูงเห็นพระพุทธเจ้านิพพาน ท่านไม่เคยคิดอย่างนั้น เออ....พระตถาคตท่านไปดีแล้ว ท่านสบายแล้ว ท่านหมดภพหมดชาติของท่านแล้ว...สบาย เกิดความสลดสังเวช ในสังขารเท่านั้นก็แล้วไป

cha bwธรรมดาคนเราทุกวันนี้ลำบาก ไม่เห็นง่ายๆ ยกตัวอย่าง เช่น พระธาตุพนมพัง คนร้องไห้ก็มื และวิพากษ์วิจารณ์กันไปหลายๆ อย่าง มันเป็นกรรมเป็นเวร เป็นเสนียดจัญไรแก่บ้าน แก่เมือง ว่าไปอย่างนั้น เสียใจ มันก็คิดไปเพราะคนมันหลง ความเป็นจริงอันนี้เป็นธาตุท่านพังนะ ท่านนิพพานตัวท่านเอง ท่านก็ยังไป ท่านไม่อยู่ ก่อนท่านไปยังบอกว่า “สิ่งทั้งปวงมีความเกิดแล้วไม่แปรผันไปนั้นไม่มี ต้องแตกทำลายเป็นเบื้องหน้า’’ ท่านสอนไว้ ตัวของท่านเองท่านก็ไปแล้ว เหลือแต่อัฐิ อัฐิก็กระดูกท่าน แต่ตัวจริงท่านก็ผ่านไปแล้ว ท่านยังสั่งว่า อนิจจังเป็นของไม่เที่ยง อย่าพากันไปตำหนิก้อนอิฐ อย่าไปตำหนิก้อนหิน อย่าพากันไปถือต้นไม่โลหะต่างๆ เป็นที่พึ่ง มันไม่เกิดประโยชน์ ให้เราพ้นจากทุกข์ไม่ได้ แม้ท่านจะนิพพานแล้วก็ตาม ให้พากันเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม ให้มีรากฐานแน่นหนา ให้มืพระอริยสงฆ์ อันเกิดจากพระสัทธรรมเป็นที่พึ่ง อันเป็นสรณะที่พึ่งของเรา

ฉะนั้น ถ้าเราไปอาศัยภูเขา อาศัยต้นไม้ อาศัยก้อนหิน อาศัยก้อนอิฐอยู่มันก็พัง ถ้าพังแล้วมันก็ร้องไห้เสียใจ นี่ล่ะ.... พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว มันทุกข์ มันนำตนพ้นทุกข์ไม่ได้ พ้นจากวัฏฏสงสารไม่ได้ มันเป็นมงคลตื่นข่าว ฉะนั้น ยากที่คนจะเห็น ยากที่คนจะรู้เรื่องธรรมะ พูดตามความเป็นจริง ความจริงที่มันมือยู่ตั้งอยู่เสมอ ไม่มือะไรหวั่นไหว ความจริงยังตั้งมั่นอยู่ ท่านว่ามันพังมันก็พัง ท่านว่ามันแตก มันก็แตก ท่านว่ามันฉิบหาย มันก็ฉิบหาย มันก็ถูกอยู่แล้ว ไม่มีอะไรจะเกิดวิปลาสอีกต่อไป ไม่มีทางแกไข ความจริงตั้งมั่นอยู่อย่างนี้

cha 1เมื่อพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็เทศน์ให้ฟัง เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ท่านก็ได้สั่งไว้โดยปริยายในเบื้องปลาย เพื่อจะให้ประชาชนทั้งหลายได้เข้าใจในธรรม ขนาดนี้ก็ยังเข้าใจได้ยาก นี่อะไรมันบัง อะไรมันปิดบังไว้ อะไรมันปิดดวงตา เช่น ท่านให้พิจารณาสกนธ์ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่สะอาด เป็นของไม่เป็นแก่นสาร สภาพร่างกายตาเรามองเห็น เห็นขน เห็นขา เห็นนี้วมีอนี้วเท้า เห็นทุกส่วน แต่ว่ามันไม่เห็น เห็นแล้วก็ไม่เห็น เห็นแล้วไม่เห็นลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในรูปอันนี้ เมื่อมันวิบัติมาวิบัติไป ก็มีความโศกเศร้าปริเทวนารำพัน ชื่อว่าเราไม่เห็น ไม่ใช่ตาเนื้อ อันนี้ท่านหมายถึงตาใจ คือปัญญาให้พิจารณาทุกสิ่งสารพัด ท่านให้ภาวนา ภาวนาคือคิดให้มันถูก คิดให้มันแม่น การคิดให้มันถูกนั่นแหละคือยอดธรรมะ ยอดของการภาวนา

เราจะเดินจงกรมก็ดี เราจะนั่งสมาธิก็ดี เคลื่อนอิริยาบถต่างๆ ทั้งหลายก็ดี คือพระพุทธเจ้าท่านบังคับให้มีสติรอบรู้ อยู่อย่างนั้น ก็เพราะว่าท่านอยากให้เรามีความเห็นถูกต้องดี ถ้ามีความเห็นถูกต้องดีมันก็เป็น มรรค เป็น สัมมาทิฏฐิ เท่านั้น เมื่อเราทุกข์เราก็จะระบายทุกข์ออก เช่นว่าเราเจ็บไข้ มันเจ็บหัว มันปวดท้องอย่างนี้เป็นต้น หรือมันเฒ่าแก่ชรามาอย่างนี้ เราเห็นแล้วเราก็มีความสบายในธรรมะ เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้เอง มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น

ทุกรูปทุกนามเกิดมาแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ มันจะมีดวามทุกข์เกิดขึ้นมาก็ไม่เมา มันจะมีดวามสุขเกิดขึ้นมาก็ไม่เมา ไม่ไต้เมาในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เพราะเห็นวามันเป็นอย่างนั้นตามเหตุตามปัจจัยของมัน เมื่อความเห็นถูกต้อง ใจก็ไม่ตื่นเต้น ไม่หวาด ไม่กลัว ไม่สะดุ้งต่อเหตุการณ์ทั้งหลายต่างๆ จะเห็นรูปก็ดี จะได้ยินเสียงก็ดี จะได้ลิ้มรสก็ดี ถูกต้องโผฏฐัพพะทางกายก็ดี ธรรมารมณ์อันเกิดขึ้นทางใจก็ดี อิฏฐารมณ์....อารมณ์ที่น่าปรารถนา อนิฏฐารมณ์....อารมณ์ที่ไม่ปรารถนาก็ดี จิตใจของผู้บรรลุธรรมะ จะตรง จะเที่ยง จะมั่น รู้รอบ อยู่ตามจริงนั้น.... พ้นจากทุกข์

lp cha 09

อันนี้คือความคิดถูก เมื่อคิดถูกแล้ว มันสงบทุกสั่งทุกอย่าง นี้คือการประพฤติปฏิบัติของพวกเราชาวพุทธทั้งหลายให้เห็นอันนี้ คำที่ว่า “พ้นจากทุกข์” นั้นก็ฟังยากลำบาก ว่ามันพ้นโดยวิธีอย่างไร ท่าอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ได้ ถ้าภาษาเราง่ายๆ ว่า มันได้อะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามชอบใจแล้วไม่ทุกข์ ว่าอย่างนั้นแล้วไม่คิดว่าอันใดทั้งปวงในโลกนี้ให้มันได้ตามชอบใจนั้น มีไหม? มันไม่มีหรอก หาไม่ได้หาไม่มี นอกจากสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้นเอง

ฉะนั้น เรื่องประพฤติปฏิบัติของพวกเราทั้งหลายนั้น มันจึงไม่ก้าวหน้า อาตมาเห็นว่ามันเหนื่อยหน่าย มันไม่บรรลุธรรมะอย่างแท้จริง ไม่บรรลุซึ่งธรรม ถ้าบรรลุซึ่งธรรม ปฏิบัติไปนานๆ มันจะเบื่อหน่าย เบื่อไป....เบื่อไป....เป็นต้น มันไม่ขี้เกียจ แต่คนเราไม่เป็นอย่างนั้น ปฏิบัติธรรมแล้วขี้เกียจ พอใครว่าหน่อยก็โกรธเลย ของใช้ไม่ได้ ขี้เกียจมันจะเป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเอาออกได้ยาก เพราะไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาของเจ้าของ ผลของการปฏิบัติก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ เต็มอยู่ในใจ เครื่องหมายของผู้ปฏิบัติมันน้อยหรือมันมาก มันเจริญหรือมันเสื่อม ทั้งหลายเหล่านี้จะต้องพาก้นรู้จักตัวเอง

ถ้าเราพากันรู้เรื่องธรรมะแล้ว เราทั้งหลายจะเป็นผู้มีกำไร เป็นผู้มีกำไรมากทีเดียว มันจะไม่ตื่นเต้น จะไม่ทุกข์ในสิ่งใดๆ ทั้งสั้น เพราะว่าเห็นโลกตามเป็นจริง เช่นว่า “โลกวิทู เป็นผู้รู้โลก อย่างแจ่มแจ้ง” แต่เราไม่รู้ว่าโลกมันอยู่ตรงไหน มันพ้นจากโลก มันพ้นอย่างไร เราไม่รู้จัก รู้แต่ว่า เออ....ถ้าตายคงสบายหรอก อยู่ในโลกนี้มันยาก พวกเราทั้งหลายเลยเห็นว่าดินฟ้าอากาศนี้เป็นโลก โลกที่อยู่ไกล้ไม่เห็น โลกอันนี้มันโลกคือแผ่นดิน โลกที่ทำให้สัตว์หมุนเวียนอยู่ในโลกคืออารมณ์ อารมณ์ที่มันเกิดอยู่รอบๆ เรานี้ อารมณ์ที่มันเกิดทางหูบ้าง ทางตาบ้าง ฯลฯ เข้ามารวมที่จิตใจ ถ้ามันหลงมันก็เกิดโลภและโกรธขึ้นมา อันนี้เป็นเครื่องหมาย ถ้าเรารู้ไม่เท่าเอาไม่ทัน กำลังกิเลสทั้งหลายเหล่านี้มันจะเต็มตื้ออยู่อย่างเก่า

cha supatto 01

เมื่อเรารู้ตามเป็นจริงของมันแล้ว ไม่มีอะไร อารมณ์นี้ไม่ให้โทษ อารมณ์ก็เหมือนนั้าที่มันไหลไปตามเรื่องของมัน เหมือนลมที่พัดไปตามอากาศ เราไปโทษว่ามันไหลเร็วไหลช้า ไปโทษว่ามันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้ ความเป็นจริงเรื่องของมันเป็นอย่างนี้ ถึงแม้สกนธ์กายของเรานี้ก็เช่นก้น มันจะแปรไปไหนก็ช่างมัน เกิดโรคอะไรก็ตาม โรคอ้วนก็ตาม โรคผอมก็ตาม โรคตับโรคปอด มันตายเพราะโรคอันนั้น มันตายเพราะโรคอันนี้ มันเป็นแขนงของมันต่างหากหรอก ถ้าพูดให้มันถูกจุดเดียว โรคนี้ก็ไม่มืมาก คนนี้ตายเพราะอะไรหนอ? มันตายเพราะมันเกิด ไม่มีโรคอะไร โรคเกิด เขาตายเพราะโรคอะไร? ตอบว่า โรคเกิด เท่านี้ก็พอ โรคอะไรก็ตามมันเป็นโรคอันเดียว คือเกิด....พอ ถ้าเราว่าโรคเกิดมันก็จบ เพราะถ้ามันไม่เกิดมันก็ไม่ตาย ถ้าพูดง่ายๆ ก็ตามพูดอย่างนี้ เป็นโรคอะไร? โรคเกิดก็จบ ถ้าภาวนา ภาวนาอย่างไร? คือทำให้มันถูก แค่นี้ก็หมดเรื่องภาวนา ถ้าพูดให้มันสั้นก็ต้องพูดอย่างนี้ เอวัง.

redline

backled1