foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

provinces header

จังหวัดนครราชสีมา

เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน "

nakon rajasima logoจังหวัดนครราชสีมา หรือที่เรียกกันว่า "เมืองโคราช" เป็นเมืองใหญ่บนดินแดนที่ราบสูง ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบ ผู้มาเยือนจะได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่งดงาม จนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก สนุกสนานไปกับกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลาย ได้ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมขอมโบราณ เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้าน ได้ความรู้ด้านการเกษตร จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ทั้งยังได้อิ่มอร่อยกับอาหารอีสานต้นตำรับ และเลือกซื้อหาสินค้าเกษตรและหัตถกรรมพื้นบ้าน ในดินแดนที่เปรียบเสมือนเป็นประตูสู่ภาคอีสานแห่งนี้

ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน จังหวัดนครราชสีมา จึงเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวพักผ่อนวันหยุด ที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ แห่งหนึ่งของชาวเมืองหลวง และจังหวัดใกล้เคียงในปัจจุบัน

จังหวัดนครราชสีมา มีเนื้อที่ประมาณ 20,494 ตารางกิโลเมตร หรือ 12,808,728 ไร่ เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย สภาพพื้นที่มีทั้งบริเวณที่สูงทางตอนกลาง พื้นที่ลูกคลื่นและที่ราบลุ่มทางตอนเหนือ และบริเวณเทือกเขาและที่สูงทางตอนใต้ของจังหวัด อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำลำธารหลายสายที่ไหลไปทางตะวันออกของภูมิภาค มีแม่น้ำสายสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำมูล แม่น้ำลำเชียงไกร ลำแซะ ลำพระเพลิง ลำตะคอง และลำปลายมาศ

จากหลักฐานทางโบราณคดี ที่พบอยู่ทั่วไปในเขตจังหวัดนครราชสีมา ทำให้เชื่อได้ว่า บริเวณนี้เคยมีชุมชนโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ จนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ก็ยังคงความเจริญรุ่งเรืองมาตลอด ตั้งแต่สมัยทวารวดี โดยมีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองเสมา เป็นเมืองใหญ่อยู่ในบริเวณที่เป็นอำเภอสูงเนินในปัจจุบัน

korat 01

ต่อมาในสมัยขอมเรืองอำนาจ มีการสร้างเมืองโคราฆะปุระ หรือเมืองโคราช ขึ้นในบริเวณใกล้เคียง และมีเมืองพิมายเป็นเมืองใต้ปกครองที่สำคัญ จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองขึ้นใหม่ โดยเอาชื่อเมืองเสมากับเมืองโคราฆะปุระมาผูกกันเป็นนามเมืองใหม่ เรียกว่า "เมืองนครราชสีมา" แต่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "เมืองโคราช"

โคราชมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จนมีฐานะเป็นเมืองเจ้าพระยามหานคร และเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ได้ก่อการกบฏ ยกกองทัพมาตีเมืองนครราชสีมาและกวาดต้อนพลเมืองกลับไปเป็นเชลย คุณหญิงโม ภริยาปลัดเมืองนครราชสีมาในขณะนั้น ได้คิดอุบายแสร้งทำกลัวและประจบเอาใจทหารลาว จนกระทั่ง เมื่อขบวนเชลยถูกกวาดต้อนมาหยุดพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ในเขตอำเภอพิมาย เมื่อสบโอกาส คุณหญิงโมก็นำทัพชาวเมืองโจมตีกองทหารเวียงจันทน์จนแตกพ่ายไป วีรกรรมอันหาญกล้าของคุณหญิงโมในครั้งนี้ เป็นที่เลื่องลือและสรรเสริญไปทั่ว ต่อมารัชกาลที่ 3 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาฐานันดรศักดิ์ให้คุณหญิงโมเป็น "ท้าวสุรนารี"

korat 02

โคราชมีความเจริญรุ่งเรือง ต่อมาจนกลายเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลาง จนในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งมณฑลนครราชสีมาขึ้น เป็นมณฑลแรกของประเทศ เพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองในบริเวณใกล้เคียง

ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมาเป็นเมืองศูนย์ราชการที่สำคัญ รองจากกรุงเทพมหานคร และเป็นศูนย์กลางทางด้านต่างๆ ของภูมิภาค รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกองกำลังรบหลักของกองทัพบกและกองทัพอากาศด้วย

จังหวัดนครราชสีมาแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 32 อำเภอ (2564) ได้แก่

  • อำเภอเมืองนครราชสีมา
  • อำเภอครบุรี
  • อำเภอเสิงสาง
  • อำเภอคง
  • อำเภอบ้านเหลื่อม
  • อำเภอจักราช
  • อำเภอโชคชัย
  • อำเภอด่านขุนทด
  • อำเภอโนนไทย
  • อำเภอโนนสูง
  • อำเภอขามสะแกแสง
  • อำเภอบัวใหญ่
  • อำเภอประทาย
  • อำเภอปักธงชัย
  • อำเภอพิมาย
  • อำเภอห้วยแถลง
  • อำเภอชุมพวง
  • อำเภอสูงเนิน
  • อำเภอขามทะเลสอ
  • อำเภอสีคิ้ว
  • อำเภอปากช่อง
  • อำเภอหนองบุญมาก
  • อำเภอแก้งสนามนาง
  • อำเภอโนนแดง
  • อำเภอวังน้ำเขียว
  • อำเภอเฉลิมพระเกียรติ
  • อำเภอเมืองยาง
  • อำเภอบัวลาย
  • อำเภอสีดา
  • อำเภอเทพารักษ์
  • อำเภอพระทองคำ
  • อำเภอลำทะเมนชัย

korat flower

ดอกไม้ประจำจังหวัดนครราชสีมา คือ ดอกสาธร (ชื่อวิทยาศาสตร์: Millettia leucantha) เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่ว พบในประเทศลาว พม่า และไทย เป็นพันธุ์ไม้พระราชทาน (สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดพระราชทานกล้าไม้มงคล พระราชทานประจำจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจังหวัดได้ทำพิธีปลูกเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา) และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพฯ ด้วย

มีเรียกชื่ออื่นเช่น ขะเจ๊าะ กระเจา ขะเจา กะเซาะ สาธร (ภาคเหนือ, กลาง) ขะแมบ คำแมบ (เชียงใหม่) กระพีเขาควาย (ประจวบคีรีขันธ์) สะท้อน, กระท้อน, ไม้กระทงน้ำผัก มีลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 18 - 20 เมตร เรือนยอดกลมหรือทรงกระบอก พบขึ้นในป่าเบญจพรรณใกล้แหล่งน้ำทั่วๆ ไป ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ออกดอกในช่วงเดือน มีนาคม - พฤษภาคม เป็นฝักแก่ช่วงเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นสาธรไว้ที่หน้าบ้าน จะช่วยให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี และยังมีความเชื่ออีกว่า ใบของต้นสาธรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้ในพิธีทางโหราศาสตร์ ใช้ทำน้ำพุทธมนต์ สะเดาะเคราะห์ได้ผลดี ดังนั้นจึงถือว่า ต้นสาธร เป็นไม้มงคลนาม ที่ควรค่าแก่การปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นสาธรไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หรือบริเวณหน้าบ้าน

การเดินทางสู่จังหวัดนครราชสีมา

นครราชสีมาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 259 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดนครราชสีมาได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และรถไฟ

korat 03

  • โดยรถไฟ :
    การรถไฟแห่งประเทศไทยมีบริการรถไฟออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังจังหวัดนครราชสีมาทุกวัน ทั้งรถธรรมดา รถเร็ว รถด่วน และรถด่วนพิเศษ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 เว็บไซต์ www.railway.co.th
  • โดยรถยนตร์ :
    จากกรุงเทพฯ สามารถไปได้ 3 เส้นทาง คือ
    1. ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จนถึงจังหวัดสระบุรี บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 107 แยกขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ไปจนถึงจังหวัดนครราชสีมา เป็นเส้นทางที่นิยมที่สุด
    2. ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านเขตมีนบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอพนมสารคาม กบินทร์บุรี วังน้ำเขียว ปักธงชัย ไปจนถึงจังหวัดนครราชสีมา รวมระยะทางประมาณ 273 กิโลเมตร
    3. ใช้ทางหลวงหมายเลข 305 (รังสิต-นครนายก) จนถึงจังหวัดนครนายก แยกใช้ทางหลวงหมายเลข 33 ไปจนถึงอำเภอกบินทร์บุรี แล้วแยกซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านวังน้ำเขียว ปักธงชัย ไปจนถึงจังหวัดนครราชสีมา
  • โดยรถประจำทาง :
    มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th

การเดินทางภายในนครราชสีมา
ในตัวจังหวัดนครราชสีมามีรถชนิดต่างๆ ให้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการยานพาหนะต่างๆ ได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม

  • รถแท็กซี่มิเตอร์ มีจุดจอดอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 และศูนย์การค้าเดอะมอลล์นครราชสีมา
  • รถสองแถว มีวิ่งบริการภายในเขตเทศบาลและบริเวณใกล้เคียง รวมถึงไปยังอำเภอต่างๆ หลายสาย นักท่องเที่ยวอาจเหมารถสองแถวไปเที่ยวได้ทั้งในเมืองและต่างอำเภอ คิดราคาขึ้นอยู่กับระยะทางและการต่อรอง
  • รถสามล้อเครื่องและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จอดอยู่ตามจุดต่างๆ ในจังหวัด เช่น หน้าตลาดเทศบาล หน้าสถานีขนส่ง ค่าบริการมีทั้งแบบตกลงกันตามแต่ระยะทางและแบบเหมาจ่าย

แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา

จังหวัดนครราชสีมา มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมาย และหลากหลายรูปแบบ ในด้านของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เช่น อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ปรางค์กู่ ปรางค์สีดา ปราสาทพะโค ปราสาทพนมวัน ปราสาทนางรำ ประตูชุมพล อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อนุสรณ์สถานนางสาวบุญเหลือ อนุสรณ์สถานวีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมหาวีรวงศ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท โบราณสถานเมืองเสมา เมืองโบราณที่ตำบลโคราช หรือเมืองโคราชเก่า แหล่งหินตัดสีคิ้ว วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม วัดบ้านไร่ วัดโนนกุ่ม วัดธรรมจักรเสมาราม วัดเขาจันทน์งาม วัดหน้าพระธาตุ (วัดตะคุ) ศาลหลักเมือง และศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

korat 04

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จังหวัดนครราชสีมา มี "อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่" ที่เป็นผืนป่าสำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่ง ภายในมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย โดยเฉพาะน้ำตกต่างๆ และมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแห่งอื่นๆ ในจังหวัดอีก เช่น น้ำตกสวนห้อม น้ำตกวะภูแก้ว น้ำตกห้วยใหญ่ น้ำตกวังเต่า หาดจอมทอง หาดชมตะวัน ไทรงาม เขื่อนลำพระเพลิง และเขื่อนลำตะคอง

นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และเชิงนิเวศอีกหลายแห่ง เช่น หมู่บ้านทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติฯ (เขาแผงม้า) หมู่บ้านปลูกหม่อนเลี้ยงไหมบ้านหลุ่งประดู่สามัคคี กลุ่มอาชีพการเกษตรผสมผสานบ้านหนุก โครงการสวนปู่ย่าน่าอยู่ บ้านสวนหอม และศูนย์หัตถกรรมลานด่านเกวียน รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวประเภทอื่นๆ อีก เช่น ฟาร์มโชคชัย สวนสัตว์นครราชสีมา ทองสมบูรณ์คลับ ไร่องุ่นและสวนไม้ดอกไม้ประดับแห่งต่างๆ ตลาดกลางไม้ดอกไม้ประดับโคกกรวด และตลาดผลไม้กลางดง

เทศกาลและงานประเพณีจังหวัดนครราชสีมา

จังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย แต่ไทยโคราชเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ ที่มีวัฒนธรรมโคราช ได้แก่ มีเพลงพื้นบ้านที่เรียกว่า "เพลงโคราช" ใช้ดนตรีพื้นบ้าน คือ มโหรีโคราช และที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญคือใช้ภาษาโคราชในชีวิตประจำวัน ไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่า กลุ่มชาติพันธุ์โคราชมาจากที่ใด แต่มีหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับชุมชนโบราณ บริเวณจังหวัดนครราชสีมาจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์นี้ นอกจากจะอยู่ที่จังหวัด นครราชสีมาแล้ว ยังมีอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ชัยภูมิ และบางส่วนของจังหวัดลพบุรี บางครั้งอาจ เรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า ไทยเบิ้ง

วิถีชีวิตและภาษา กลุ่มชาติพันธุ์โคราชมีวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนชาวชนบททั่วไป คือ อยู่บ้านใต้ถุนสูงแบบบ้านโคราช ซึ่งเป็นเรือนสามระดับ ใกล้ๆ บ้านปลูกพืชผักสวนครัว ซึ่งอาจมี ทั้งอาหารและยา ใช้ผ้านุ่งโจงกระเบนซึ่งเป็น ผ้าไหมเรียกว่า ไหมหางกระรอก ซึ่งเป็นผ้าทอ ที่เส้นพุ่งเป็นไหมควบสองเส้นทำให้ทอแล้วเกิดเป็นลูกลาย เหมือนหางกระรอก

รายการ พันแสงรุ้ง ตอน คนโคราช

วัฒนธรรมที่สำคัญ คือ ภาษาโคราช ซึ่งมีวงศัพท์ เสียง และสำนวนของตัวเอง เช่น จ่น แปลว่า ไม่ว่างเลย เช่น วันนี้จ่นมาก จื้น แปลว่า จืดชืด หรือ เซ็ง เช่น ส้มตำนี้จื้นแล้ว เซาะเยาะ แปลว่า ผอมโซ ไม่มีเรี่ยวแรง นอกจากนี้อาจเพี้ยนเสียงวรรณยุกต์คำในภาษาไทยกลาง ได้แก่ เพี้ยนเสียงเอกเป็นเสียงตรี เช่น กัด เป็น กั๊ด ดัด เป็น ดั๊ด เพี้ยนเสียงสามัญเป็นเสียงจัตวา เช่น ปลา เป็น ปล๋า กา เป็น ก๋า เกี่ยวกับสำนวนภาษาโคราชมีสำนวนมากมายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น คำเรียกขวัญ ดังตัวอย่างเล็กน้อยดังนี้

ขวัญอีนางเอยมา??กู๊? ขอให่มาเข่าโครงอย่าได้หลาบ ขอให่ มาเข่าคราบอย่าได้ถอย
สิบปีอย่าไปอื่น หมื่นปีอย่าไปไกล ขอให่มาอยู่ซุมพ่อซุมแม่ ซุมพี่ซุมน่อง
ให่มาอยู่เรือนใหญ่ หัวกะไดสูง.."

หมายความว่า ขวัญลูกเอยจงมาเถิดขอให้มาอยู่กับร่างกาย สิบปี หมื่นปีอย่าได้ไปไหน ขอให้อยู่กับพ่อ แม่พี่น้อง บนเรือนหลังใหญ่บันไดสูง ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์โคราชมีความภาคภูมิใจในความเป็นคนโคราช ร่วมกันสร้างสรรค์สังคม รักษาและสืบทอดวัฒนธรรมโคราช ให้คงอยู่

ชาวโคราชแต่งกายแบบไทย นั่นคือ ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อคอกลมไม่ผ่าอก ส่วนสตรี นุ่งผ้าโจงกระเบนเช่นเดียวกัน ไม่นิยมนุ่งผ้าซิ่น ในสมัยอดีตสวมเสื้อแขนกระบอก ห่มสไบทับเสื้อ ถ้าอยู่กับบ้านจะใช้ผ้าผืนเดียวคาดอก

ชาวโคราชทั้งในจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ นิยมรับประทานข้าวจ้าว อาหาร หลักคือ น้ำพริก อาจจะมีเครื่องจิ้มแบบลาวบ้าง กับผักเท่าที่หาได้ อาหารพิเศษอื่นๆ คล้ายกับอาหาร ไทยภาคกลาง

งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ช่วงเวลาระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี ความสำคัญ เป็นงานประจำปีของจังหวัด ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นเวลาที่ ท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) ได้รับชัยชนะจากข้าศึก เพราะวันที่ 23 มีนาคม พุทธศักราช 2369 คือวันที่เจ้าอนุวงศ์ยกทัพออกจากเมืองนครราชสีมา จึงเป็นงานประเพณีทำให้ระลึกถึงความกล้าหาญในวีรกรรมครั้งนั้น

นอกจากนี้ ในงานยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมเพลงโคราช การออกร้าน จัดนิทรรศการของหน่วยราชการและภาคเอกชน รวมทั้งกิจกรรมบันเทิงที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ซึ่งเมื่อเอ่ยถึงของฝากจากเมืองโคราชต้องนึกถึง ผ้าไหม เครื่องปั้นดินเผา เส้นหมีโคราช เทียนหอม ดอกไม้ประดิษฐ์จากดินหอม อาหาร/ขนม

korat 05

นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี และแหล่งธรรมชาติ อีกทั้งผู้คนในท้องถิ่นก็ยังคงรักษาขนบธรรมเนียม และประเพณีดั้งเดิมอันงดงามไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ตลอดทั้งปีจึงมีการจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองและงานประเพณีที่สำคัญ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศหลายงาน โดยมีงานเด่นดังประจำปีที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือ งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี งานประเพณีแข่งเรือพิมาย งานเทศกาลเที่ยวพิมาย งานประเพณีแห่เทียนพิมาย งานน้อยหน่าและของดีเมืองปากช่อง เป็นต้น

[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์จังหวัดนครราชสีมา | แผนที่จังหวัดนครราชสีมา | เอกสารการท่องเที่ยว ]

korat 06

แนะนำให้คลิกไปชม : ภาพเก่าเล่าเรื่อง "เมืองโคราชา : นครราชสีมา" new1234

redline

 

นอกจากรายละเอียดในแต่ละจังหวัดแล้ว ภาคอีสานยังมีสาระความรู้มากมายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ชนเผ่าไทยในอีสาน ศิลปวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง และอื่นๆ อีกมาก หาความรู้เพิ่มเติมได้จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้านล่างนี้

รู้จักภาคอีสานของไทย | ชาติพันธุ์เผ่าไทยในอีสาน | ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน | ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี

redline

backled1

provinces header

จังหวัดนครพนม

พระธาตุพนมล้ำค่า วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูภูไท เรือไฟโสภา งามตาสองฝั่งโขง " 

nakon panom logoนครพนม เมืองนครแห่งอีสาน ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงแถบนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของอาณาจักรศรีโคตรบูร ตัวเมืองตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของลำน้ำโขง (ฝั่งลาว) บริเวณทางใต้ปากเซบั้งไฟ ตรงข้ามกับพระธาตุพนมในปัจจุบัน ตามประวัติเล่ากันว่า เมื่อพญานันทเสนผู้ครองศรีโคตรบูรสวรรคต เสนาอำมาตย์และประชาชนต่างก็เห็นว่า บ้านเมืองเกิดเภทภัยหลายครั้ง ควรที่จะย้ายไปสร้างเมืองใหม่อยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีป่าไม้รวกขึ้นอยู่เป็นดง จึงได้เรียกชื่อเมืองใหม่นี้ว่า "มรุกขนคร" หมายถึงเมืองที่อยู่ในดงไม้รวก มรุกขนครในสมัยพญาสุมิตรธรรมเมื่อ พ.ศ. 500 นั้นรุ่งเรืองมาก มีเมืองขึ้นมากมาย และมีการบูรณะพระธาตุพนมขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย โดยการก่อพระลานอูบมุงชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แล้วสร้างกำแแพงล้อมรอบ มีงานสมโภชใหญ่โต

หลังจากพญาสุมิตรธรรมแล้ว ก็มีผู้ครองนครต่อมาอีก 2 พระองค์ แต่ก็เกิดมีเหตุอาเพศแก่อาณาจักรศรีโคตรบูรจนกลายเป็นเมืองร้าง กระทั่งถึง พ.ศ. 1800 เจ้าศรีโคตรบูรได้สร้างเมืองมรุกขนครขึ้นใหม่ ใต้เมืองท่าแขก บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ในพ.ศ. 2057 ผู้ครองเมืองมรุกขนครคือ พระเจ้านครหลวงพิชิตทศพิศราชธานีศรีโคตรบูรหลวง ได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่กลายเป็น "เมืองศรีโคตรบูร" ตรงตามชื่ออาณาจักรดั้งเดิม ในยุคสมัยนี้ยังได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมอีกด้วย ต่อมา พ.ศ. 2280 พระธรรมราชา เจ้าเมืองศรีโคตรบูรองค์สุดท้าย ได้ย้ายเมืองมาตั้งบนฝั่งขวา (ฝั่งไทย) เยื้องเมืองเก่าขึ้นไปทางเหนือ แล้วให้ชื่อว่า "เมืองนคร" ซึ่งก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีการโยกย้ายอีกหลายครั้ง ดังเช่น พ.ศ.2321 ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ได้มีการย้ายเมืองอีกครั้ง ไปตั้งที่บ้านหนองจันทร์ ห่างขึ้นไปทางทิศเหนือ 52 กิโลเมตร

nakon panom 1

จนถึงสมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2333 เมื่อผู้ครองเมืองนครถึงแก่พิราลัย เมืองนครก็ได้ขอขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร รัชกาลที่ 1 พระราชทานนามให้ใหม่ว่า "นครพนม" ชื่อนครพนมนั้นมีข้อสันนิษฐานว่า เคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อน และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จึงได้ใช้คำว่า "นคร" ส่วนคำว่า "พนม" ก็มาจากพระธาตุพนมปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน บ้างก็ว่า มรุกขนครเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ้อนจึงนำคำว่า "พนม" ซึ่งแปลว่าภูเขามาใช้ ส่วนคำว่า "นคร" ก็เป็นการดำรงชื่อเมืองไว้ คือ เมืองมรุกขนคร นครพนมจึงหมายถึง "เมืองแห่งภูเขา" นั่นเอง

nakon panom 2

แบ่งการปกครองท้องที่เป็น 12 อำเภอ (2564) ดังนี้

 อำเภอเมืองนครพนม  อำเภอปลาปาก  อำเภอท่าอุเทน  อำเภอบ้านแพง
 อำเภอธาตุพนม  อำเภอเรณูนคร  อำเภอนาแก  อำเภอศรีสงคราม
 อำเภอนาหว้า  อำเภอโพนสวรรค์  อำเภอนาทม  อำเภอวังยาง

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศตะวันตก : ติดต่อกับอำเภอกุสุมาลย์ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร
  • ทิศตะวันออก : ติดต่อกับแขวงคำม่วนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดน
  • ทิศเหนือ : ติดต่อกับอำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ
  • ทิศใต้ : ติดต่อกับอำเภอดงหลวง กิ่งอำเภอหว้าน ใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร

nakon panom flower

ดอกไม้ประจำจังหวัดนครพนม คือ ดอกกันเกรา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Fagraea fragrans) เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็นช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ต้นกันเกรามีชื่อเรียกอื่นว่า มันปลา ตำเสา มะซูไม้ต้น

กันเกรา มีชื่อเรียกต่างกันไปคือ ภาคกลางเรียก กันเกรา ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียก มันปลา ส่วนภาคใต้เรียก ตำแสง หรือตำเสา มูซูเป็นภาษาถิ่นทางภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง อันมีชื่อเป็นมงคลและมีคุณสมบัติที่ดีในการใช้ประโยชน์ คือชื่อ 'กันเกรา' หมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใดๆ ชื่อ 'ตำเสา' คือ เป็นมงคลแก่เสาบ้านไม่ให้ปลวก มอด แมลงต่างๆ เจาะกิน ชื่อ 'มันปลา' น่าจะเป็นลักษณะของดอกที่เหมือนกับไขมันของปลาเมื่อลอยน้ำ ไขมันของปลาในถ้วยน้ำแกง โดยเฉพาะช่วงข้าวใหม่ปลามันที่ปลาจะมีความมันและเอร็ดอร่อยเป็นที่สุด

ประเพณีและเทศกาลน่าสนใจ

ประเพณีโส้ทั่งบั้ง

เป็นประเพณีของพวกโซ่ (โส้) การเต้นโส้ทั่งบั้งนี้เป็นการรำในงานศพ เพื่อที่จะส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่สุคติ การเต้นรำมีทั้งชายและหญิง พวกโซ่เป็นชนเผ่าข่าพวกหนึ่ง ลักษณะผิวคล้ำ มีภาษาเป็นของตนเอง ภาษาที่ใช้คล้ายภาษามอญปนเขมร หมู่บ้านชาวโส้นี้ตั้งอยู่ที่บริเวณอำเภอท่าอุเทน อำเภอนาแก และอำเภอศรีสงคราม

sotungbung

งานนมัสการพระธาตุพนม

กำหนดจัดขึ้นในวันขึ้น 10 ค่ำถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปีซึ่งถือเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญยิ่งงานหนึ่งของชาวนครพนม และจังหวัดใกล้เคียง เสร็จจากเที่ยวชมงานแล้วแวะที่แก่งกะเบา ชิมหมูหัน เป็นอาหารกลางวันที่น่าลิ้มลอง

 

ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ บูชาพระธาตุพนม

ประเพณีแสกเต้นสาก

เป็นประเพณีของชนเผ่าแสก ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอาจสามารถ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมประมาณ 4 กิโลเมตร ประเพณีแสกเต้นสาก เป็นการเต้นบวงสรวงเจ้าที่ จะเต้นการเป็นประจำทุกปี ในเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ การแสกเต้นสากนอกเทศกาล จะต้องทำพิธีขอขมาก่อน ของที่ใช้ ได้แก่ หัวหมู เงิน 20 บาท และเหล้า ซึ่งจะทำพิธีที่ศาลเจ้าประจำหมู่บ้าน โดยการเสี่ยงทายไม้สี ถ้าได้สีเดียวกันแสดงว่าเจ้าไม่อนุญาต การเต้น "แสกเต้นสาก" ใช้ไม้สีแดงสลับขาวเรียก "สาก" นำด้วยเสียงกลองจังหวะเร็ว ผู้เต้นจะซอยเท้าถี่ๆ ลงไปตามจังหวะการกระทบไม้คล้ายการเต้นลาวกระทบไม้แต่จะเร็วกว่ามาก

sak tent sak

ประเพณีการแข่งเรือ

การแข่งเรือ (ส่วงเฮือ) เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านาน โดยจัดขึ้นระหว่างงานบุญออกพรรษา มีความมุ่งหมายให้ชาวบ้านได้สนุกสนานร่วมกัน ก่อให้เกิดความสามัคคีความเสียสละ และเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง ประชาชนชาวลาวและชาวไทย จัดขึ้นในลำน้ำโขง บริเวณหน้าเขื่อนนครพนม มีระยะทางแข่งขัน 3 กิโลเมตร ในร่องน้ำที่ไหลเชี่ยวยากลำบากมากในการแข่งขัน ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าผู้ชนะคือ "ผู้เก่งที่สุดในแถบลุ่มน้ำโขง"

nakon panom 4

งานประเพณีไหลเรือไฟนครพนม

เรือไฟ (เฮือไฟ) จัดขึ้นในวันออกพรรษา คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด ริมแม่น้ำโขงบริเวณเขตเทศบาล การไหลเรือไฟถือเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจากเทวโลก หลังจากที่พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ดาวดึงษ์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา เมื่อออกพรรษาแล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จลงมาสู่มนุษย์โลก โดยบันไดทิพย์ทั้ง 3 วันนี้เรียกว่า "วันพระเจ้าโปรดโลก" พระองค์เสด็จมา ณ เมืองสังกัสสะ สถานที่นั้นเรียกว่า "อจลเจดีย์" (อ่านว่า อะ-จะ-ละ-เจ-ดี) ทวยเทพทั้งหลายส่งเสด็จ มวลมนุษย์ทั้งหลายรับเสด็จด้วยเครื่องสักการะบูชามโหฬาร

การไหลเรือไฟ ก็คือการสักการะบูชาอย่างหนี่งในวันนั้น และได้ทำเป็นประเพณีสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีตำนานการไหลเรือไฟที่แตกต่างกัน ก็ถือว่าทำให้ได้รับอานิสงฆ์เหมือนกัน เดิมเรือไฟทำด้วยท่อนกล้วย หรือไม้ไผ่ต่อเป็นลำเรือยาวประมาณ 5-6 วา ข้างในบรรจุไว้ด้วยขนม ข้าวต้มมัด หรือสิ่งของที่ต้องการจะบริจาคทาน ข้างนอกเรือมีดอกไม้ ธูป เทียน ตะเกียง ขี้ไต้ สำหรับจุดให้สว่างไสวก่อนจะปล่อยเรือไฟ ปัจจุบันมีการจัดทำเรือไฟเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ขนาดใหญ่โตขึ้น มีวิธีการประดับตกแต่งให้วิจิตรตระการตามากยิ่งขึ้น เมื่อปล่อยเรือไฟเหล่านี้ลงกลางลำน้ำโขง ภายหลังการจุดไฟให้ลุกโชติช่วง จะเป็นภาพที่งดงามติดตาติดใจผู้พบเห็นไปตราบนานเท่านาน ไม่มีที่ไหนๆ ในประเทศไทยจะยิ่งใหญ่เหมือนที่จังหวัดนครพนม

การฟ้อนผู้ไทเรณูนคร

nakon panom 5ลักษณะการฟ้อนภูไทเรณูนคร ชายหญิงจับคู่เป็นคู่ๆ แล้วฟ้อนท่าต่างๆ ให้เข้ากับจังหวะดนตรี โดยฟ้อนรำเป็นวงกลม แล้วแต่ละคู่จะเข้าไปฟ้อนกลางวงเป็นการโชว์ลีลาท่าฟ้อน ส่วนเครื่องดนตรีจะใช้แบบดั้งเดิม ประกอบด้วย แคน กลองสองหน้า กลองหาง ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ ส่วนในวงโปงลาง ก็ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายลมพัดพร้าว เครื่องแต่งกายฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อสีน้ำเงิน คอตั้งขลิบแดงกระดุมเงิน มีผ้าขาวม้าไหมมัดเอว สวมสายสร้อยเงิน ข้อเท้าทำด้วยเงิน ประแป้งด้วยแป้งขาว มีดอกไม้ทัดหูอย่างสวยงาม

เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความสามัคคีในหมู่คณะเดียวกัน โดยจะฟ้อนในงานเทศกาลเดือน 5 และเดือน 6 สมัยก่อนจะฟ้อนกันตามความถนัด และความสามารถแต่ละบุคคล ไม่ได้เน้นความเป็นระเบียบ หรือความพร้อมเพรียงกัน แต่เน้นลีลาการฟ้อนรำของชายหญิงคู่กัน ยึดการรำแบบดั้งเดิมเป็นหลัก นับเป็นศิลปะที่สวยงามหาชมได้ยากในปัจจุบัน นอกจากนี้ชาวผู้ไทยยังมีการต้อนรับด้วยการบายศรีสู่ขวัญ การเลี้ยงอาหารแบบพาแลง การชวนดูดอุ (สาโทหวาน ชนิดหนึ่ง)

สำหรับ การฟ้อนผู้ไทและการเลี้ยงอาหารแบบพาแลงนี้ สามารถติดต่อชมได้ที่บ้านผู้ไท คุณชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ อำเภอเรณูนคร โทร. 0 4257 9174 , 0 1263 2458 (การฟ้อนภูไทและการเลี้ยงอาหารแบบพาแลง ต้องมีการจองตั้งแต่ 35 คนขึ้นไป)

font poothai 02

[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง : เว็บไซต์จังหวัดนครพนม | แผนที่จังหวัดนครพนม | เอกสารการท่องเที่ยว ]

new1234แนะนำให้ชม "ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองนครพนมในอดีต"new1234

 

 

นอกจากรายละเอียดในแต่ละจังหวัดแล้ว ภาคอีสานยังมีสาระความรู้มากมายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ชนเผ่าไทยในอีสาน ศิลปวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง และอื่นๆ อีกมาก หาความรู้เพิ่มเติมได้จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้านล่างนี้

รู้จักภาคอีสานของไทย | ชาติพันธุ์เผ่าไทยในอีสาน | ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน | ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี

redline

backled1

provinces header

จังหวัดชัยภูมิ

ชัยภูมิทิวทัศน์สวย รวยป่าใหญ่ มีช้างหลาย ดอกไม้งาม
ลือนามวีรบุรุษ สุดยอดผ้าไหม พระใหญ่ทราวดี "

chaiyapum logoชัยภูมิ ตั้งอยู่บนสันขอบที่ราบสูงอีสาน ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับภาคกลางและภาคเหนือ เป็นดินแดนแห่งทุ่งดอกกระเจียวแสนงาม และสายน้ำตกชุ่มฉ่ำยามหน้าฝน เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน มีเทือกเขาที่สำคัญได้แก่ ภูพังเหย ภูแลนคา ภูพญาฝ่อ อันเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำชี

ด้านประวัติศาสตร์ ชัยภูมิมีอารยธรรมซ้อนทับกันหลายสมัย ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยขอม จนถึงอิทธิพลลาวล้านช้าง มีการค้นพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ มากมายในหลายพื้นที่ของจังหวัด ต่อมาปรากฏชื่อเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังจึงร้างไป และมาปรากฏชื่ออีกครั้งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีชาวเวียงจันทน์เข้ามาสร้างบ้านแปงเมือง "บ้านไชยภูมิ์" มีผู้นำชื่อ แล ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองคนแรกของชัยภูมิ

ชัยภูมิอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 342 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 12,778 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองเป็น 16 อำเภอ คือ อำเภอเมืองชัยภูมิ อำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ อำเภอหนองบัวแดง อำเภอจัตุรัส อำเภอภูเขียว อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอบ้านแท่น อำเภอแก้งคร้อ อำเภอคอนสาร อำเภอเทพสถิต อำเภอหนองบัวระเหว อำเภอภักดีชุมพล อำเภอเนินสง่า และอำเภอซับใหญ่ (2564)

chaiyapum flower

ดอกไม้ประจำจังหวัดชัยภูมิ คือ ดอกกระเจียว, กระเจียวแดง, อาวแดง หรือ ว่านมหาเมฆ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Curcuma sessilis) เป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) ลำต้นเป็นเหง้าใต้ดิน ช่อดอกชูออกจากปลายลำต้นเทียมโดยมีริ้วประดับ ริ้วประดับตอนปลายมีสีแดงอมม่วง กลีบดอกสีครีม ปลายกลีบปากมีแต้มสีเหลือง ช่อดอกนำไปลวกจิ้มน้ำพริก หน่อใช้ประกอบอาหาร ภาษากะเหรี่ยงเรียก เพาะพอ ชาวกะเหรี่ยงนำช่อดอกอ่อนและหน่ออ่อนไปลวกจิ้มน้ำพริก ขยายพันธุ์ด้วยเหง้า เกิดตามป่าดิบทั่วไป ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม

อาณาเขต

ทิศเหนือ : ติดกับจังหวัดเพชรบูรณ์ และจังหวัด ขอนแก่น
ทิศใต้ : ติดกับจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันออก : ติดกับจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดนครราชสีมา
ทิศตะวันตก : ติดกับจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดลพบุรี

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

โรงพยาบาลชัยภูมิ : โทร. 0 4481 1005-8
ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดชัยภูมิ : โทร. 0 4481 2516, 0 4481 1376
สำนักงานจังหวัดชัยภูมิ : โทร. 0 4481 1418
สถานีขนส่งชัยภูมิ : โทร. 0 4481 1493
สถานีตำรวจ : โทร. 0 4481 1242

เทศกาลงานประเพณีและวัฒนธรรม 

chaiyapum 01ประชาชนในจังหวัดชัยภูมิ ประมาณร้อยละ 95 เป็นคนท้องถิ่นเดิม มีวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งมีลักษณะผสมผสานระหว่าง ความเชื่อดั้งเดิมของท้องถิ่น กับ หลักปฏิบัติทางพุทธศาสนา ประกอบกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของจังหวัด มีลักษณะเด่นชัดที่เน้นและเชิดชูวีรกรรม ความซื่อสัตย์กตัญญูของเจ้าพ่อพระยาแล ทำให้มีงานประจำปีและงานประเพณี ซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมของจังหวัด ดังต่อไปนี้

งานประจำปี ฉลองอนุสาวรีย์เจ้าพระยาแล
จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของเจ้าพ่อพระยาแล ผู้สร้างเมืองชัยภูมิคนแรก จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 12-20 มกราคมของทุกปี ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัด และสี่แยกอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพระยาแล ในการจัดงานนี้ประกอบด้วย พิธีบวงสรวงดวงวิญญาณของเจ้าพ่อพระยาแล ขบวนแห่สักการะอนุสาวรีย์เจ้าพ่อ ขบวนถวายช้างแด่เจ้าพ่อ และขบวนแห่ของอำเภอต่างๆ รวมทั้ง การออกร้าน จัดนิทรรศการของหน่วยราชการและเอกชน การประกวดผลิตผลทางการเกษตร

งานประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อพระยาแล
ที่บริเวณศาลหนองปลาเฒ่า จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-20 พฤษภาคม ของทุกปี ชาวบ้านจะไปเคารพสักการะ ดวงวิญญาณของเจ้าพ่อ และรำถวายเจ้าพ่อที่ศาลหลังเก่ากันเป็นจำนวนมาก

ประเพณีรำผีฟ้า
เป็นการรำบวงสรวงเป็นกลุ่มๆ ที่ภูพระ ซึ่งมีพระเจ้าองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปแกะสลัก ในหินทรายสูงประมาณ 2 เมตร ชาวบ้านถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก การรำบวงสรวงนี้จะมีขึ้นในระหว่าง วันขึ้น 13-15 ค่ำ เดือน 5 คือเดือนเมษายน และในวันเข้าพรรษา ออกพรรษา ซึ่งจะมีประชาชนไปทำบุญกันมาก

 dogkrajeaw
ชัยภูมิ ชวนสัมผัสความงามธรรมชาติเทศกาลฤดูฝน ในงาน..

"หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว"

จังหวัดชัยภูมิ ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ขอเชิญทุกท่านร่วม “หยิบหมอก หยอกดอกกระเจียว” งานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม จังหวัดชัยภูมิ ในทุกๆ ปี ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 สิงหาคม ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต และ อุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ

chaiyapoom dogkrajiew 

สำหรับกิจกรรมทางการท่องเที่ยว ที่หลายคนรอคอย จะได้เดินทางมาเยือนดินแดน ที่เปรียบเป็นสวรรค์แห่งดอกไม้ความสวยงาม ทุ่งหญ้าเพ็กสีเขียว และความสดใสของดอกกระเจียวสีชมพูอมม่วง ที่ล้อสายหมอก หยอกสายลมในช่วงหน้าฝน ที่ใครหลายคนคิดว่าเป็นฤดูที่แตกต่าง “งานเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงาม จังหวัดชัยภูมิ” ที่จัดขึ้นตลอดเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม ของทุกปี ณ อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม อำเภอเทพสถิต และอุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหวจังหวัดชัยภูมิ เป็นกิจกรรมที่จัดต้อนรับฤดูฝน

โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นๆ อาทิ ขบวนแห่กระเจียวคืนทุ่ง, การแสดงดนตรีจากนักเรียนของอำเภอเทพสถิต, การแข่งขันเดินเพื่อการกุศล, การแข่งขันแรลลี่ (โดยหอการค้าจังหวัดชัยภูมิ) การปีน – ไต่หน้าผา “ผาก่อ – รัก” ชมสวนหินงามป่าหินล้านปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติปั้นแต่ง ตามแต่จะสุดจินตนาการ การแสดงและจำหน่ายสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยภูมิ อีกทั้งทุ่งดอกกระเจียวสีขาว สีเขียวและสีชมพูอมม่วง น้ำตกไทรทอง และจุดชมวิวผาหำหด ของอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็เป็นอีกสถานที่ที่รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว

chaiyapum 03

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ประชาสัมพันธ์จังหวัดชัยภูมิ โทร. 044-822-502 องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โทร. 044-812-098 อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม โทร.044-890-105 อุทยานแห่งชาติไทรทอง โทร.089-282-3437 หรือที่ ททท.สำนักงานนครราชสีมา โทรศัพท์ 044-21366, 044-213-030 ทุกวันในเวลาราชการ

[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์จังหวัดชัยภูมิ | แผนที่จังหวัดชัยภูมิ | เอกสารการท่องเที่ยว ]

 chaiyapum 02

new1234ภาพเก่าเล่าเรื่องอดีต "เมืองชัยภูมิ"new1234

 

 

นอกจากรายละเอียดในแต่ละจังหวัดแล้ว ภาคอีสานยังมีสาระความรู้มากมายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ชนเผ่าไทยในอีสาน ศิลปวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง และอื่นๆ อีกมาก หาความรู้เพิ่มเติมได้จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้านล่างนี้

รู้จักภาคอีสานของไทย | ชาติพันธุ์เผ่าไทยในอีสาน | ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน | ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี

redline

backled1

provinces header

จังหวัดขอนแก่น

พระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูน ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว
เที่ยวขอนแก่น นครใหญ่ ไดโนเสาร์สิรินธรเน่ สุดเท่เหรียญทองแรกมวยโอลิมปิก "

khon khan logoจังหวัดขอนแก่น นามเดิม "บ้านโนนทัน" เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นอีกจังหวัดหนึ่งของภูมิภาค นอกจากจะมีทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของภาคอีสานแล้ว ยังเป็นจังหวัดศูนย์กลางทางการศึกษา และเทคโนโลยีของภูมิภาค เนื่องจากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในอำเภอเมืองครบครัน ทั้งที่พักหลายระดับและบริการต่างๆ จำนวนมาก มีทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และด้านอื่นๆ หลากหลายรูปแบบ และที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของสนามบิน

ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวของจังหวัดได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ขอนแก่นในปัจจุบัน เป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะเมืองท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย

จังหวัดขอนแก่น มีเนื้อที่ประมาณ 10,885 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,803,125 ไร่ เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 15 ของประเทศ มีพื้นที่อยู่ในเขตของลุ่มน้ำหลัก 2 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำชี ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ภูเขาสูงทางทิศตะวันตก ในเขตของเขาภูกระดึงและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ส่วนทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีลักษณะสูงต่ำสลับกันเป็นลูกคลื่นลาดเทไปทางทิศตะวันออก และทิศใต้ของจังหวัด พื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 100 - 200 เมตร มีแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำชีและแม่น้ำพอง

 khonkaen 02

จังหวัดขอนแก่นนั้น แม้เพิ่งเริ่มก่อตั้งเป็นเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เพียง 200 กว่าปีที่ผ่านมา แต่แท้จริงแล้วดินแดนบริเวณนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาก จากหลักฐานการสำรวจ พบเครื่องมือเครื่องใช้อายุเก่าแก่และชุมชนเมืองโบราณ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัด ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอาณาเขตบริเวณจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบันนี้ เป็นแหล่งอารยธรรมและดินแดนแห่งวัฒนธรรม ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายพันปี

สันนิษฐานว่า บริเวณยอดเขาภูเวียงเป็นเมืองที่มีชุมชนอาศัยอยู่มาหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เนื่องจากพบเมืองโบราณหลายแห่ง โดยเฉพาะในเขตอำเภอน้ำพอง พบซากเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย (มีขนาดใหญ่เป็นรองเพียงเมืองนครชัยศรีเท่านั้น)

ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี เมืองภูเวียงมีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของนครเวียงจันทน์ ตั้งอยู่บนเส้นทางการคมนาคมระหว่างนครเวียงจันทน์กับกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี ในขณะนั้นอิทธิพลของอาณาจักรขอมได้เสื่อมลง ประกอบกับชุมชนเมืองต่างๆ ทางภาคอีสานได้รับผลกระทบจากภัยสงครามและภัยอื่นๆ จนผู้คนส่วนมากต้องอพยพหนีภัยและละทิ้งบ้านเมืองไป เมืองในแถบนี้หลายเมืองจึงกลายสภาพเป็นเมืองร้าง

 khonkaen 01

ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านบึงบอนขึ้นเป็น "เมืองขอนแก่น" ในปี พ.ศ. 2340 หลังจากนั้นเมืองขอนแก่นได้โยกย้ายที่ตั้งไปมาอยู่หลายครั้งภายในบริเวณ พื้นที่ใกล้เคียง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2451 มีการย้ายศาลากลางเมืองขอนแก่นมาตั้งที่บ้านพระลับ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น (ซึ่งก็คือศาลากลางหลังเก่าในปัจจุบัน) และเปลี่ยนตำแหน่งข้าหลวงประจำบริเวณเป็นผู้ว่าราชการเมือง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2459 มีการเปลี่ยนคำเรียก "เมือง" เป็น "จังหวัด" และในปี พ.ศ. 2507 มีการสร้างศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ขึ้นที่ สนามบินเก่า อยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า "ศูนย์ราชการ" และใช้มาจนถึงปัจจุบัน

khonkaen flower

ดอกไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น คือ ดอกราชพฤกษ์, ดอกคูน, ดอกลมแล้ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia fistula) เป็นไม้ดอกในตระกูล Fabaceae เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียใต้ ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถาน ไปจนถึงอินเดีย ศรีลังกา พม่า และไทย ชื่อของ 'ราชพฤกษ์' นั้นมีการเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น ส่วนใหญ่จะเรียกราชพฤกษ์ว่า 'คูน' เนื่องจากจำง่ายกว่า (แต่มักจะเขียนผิดเป็น คูณ) ทางภาคเหนือเรียกว่า ดอกลมแล้ง (น่าจะมาจากการที่บานสะพรั่งในช่วงหน้าร้อนเมษายน) ทางภาคใต้เรียกว่า ราชพฤกษ์ ลักเกลือ หรือลักเคย ชาวกะเหรี่ยงและในกาญจนบุรีเรียกว่า กุเพยะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูง 10–20 เมตร ดอกขึ้นเป็นช่อยาว 20–40 เซนติเมตร แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4–7 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีเหลืองขนาดเท่ากัน 5 กลีบ ผลยาว 30–62 เซนติเมตร และกว้าง 1.5–2.5 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน และมีเมล็ดที่มีพิษเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ดอกราชพฤกษ์ ยังเป็นดอกไม้และต้นไม้ประจำชาติของประเทศไทย และเป็นดอกไม้ประจำรัฐเกรละ ของประเทศอินเดียอีกด้วย

จังหวัดขอนแก่นแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 อำเภอ  (2564) ได้แก่

  • อำเภอเมืองขอนแก่น
  • อำเภอบ้านฝาง
  • อำเภอพระยืน
  • อำเภอหนองเรือ
  • อำเภอชุมแพ
  • อำเภอสีชมพู
  • อำเภอน้ำพอง
  • อำเภออุบลรัตน์
  • อำเภอกระนวน
  • อำเภอบ้านไผ่
  • อำเภอเปือยน้อย
  • อำเภอพล
  • อำเภอแวงใหญ่
  • อำเภอแวงน้อย
  • อำเภอหนองสองห้อง
  • อำเภอภูเวียง
  • อำเภอมัญจาคีรี
  • อำเภอชนบท
  • อำเภอเขาสวนกวาง
  • อำเภอภูผาม่าน
  • อำเภอซำสูง
  • อำเภอโคกโพธิ์ไชย
  • อำเภอหนองนาคำ
  • อำเภอบ้านแฮด
  • อำเภอโนนศิลา
  • อำเภอเวียงเก่า

การเดินทางสู่จังหวัดขอนแก่น

ขอนแก่นอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 449 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดขอนแก่นได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง รถไฟ และทางเครื่องบิน

  • โดยรถไฟ :
    การรถไฟแห่งประเทศไทยมีบริการรถไฟออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังจังหวัดขอนแก่นทุกวัน ทั้งรถเร็วและรถด่วน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-9 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 เว็บไซต์ www.railway.co.th
  • โดยรถยนตร์ :
    จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จนถึงจังหวัดสระบุรี บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 107 แยกขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมาไปจนถึงจังหวัดขอนแก่น
  • โดยรถประจำทาง :
    มีรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th

 khonkaen 03

การเดินทางภายในขอนแก่น
ในตัวจังหวัดขอนแก่นมีรถชนิดต่างๆ ให้บริการ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการยานพาหนะต่างๆ ได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม

  • รถสองแถว มีวิ่งบริการจากสถานีขนส่งไปยังที่ต่างๆ ในตัวเมือง นักท่องเที่ยวอาจเหมารถสองแถวไปเที่ยวได้ทั้งในเมืองและต่างอำเภอ คิดราคาวันละ 1,000-2,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางและการต่อรอง
  • รถสามล้อเครื่องและมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จอดอยู่ตามจุดต่างๆ ในจังหวัด เช่น หน้าตลาดเทศบาล หน้าสถานีขนส่ง ค่าบริการมีทั้งแบบตกลงกันตามแต่ระยะทางและแบบเหมาจ่าย

ขอนแก่น : ศูนย์กลางการพัฒนาในภาคอีสาน

แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น

จังหวัดขอนแก่น มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีชื่อเสียงมากมายและหลากหลายรูป แบบ โดยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติน้ำพอง อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อุทยานแห่งชาติภูผาม่าน อุทยานแห่งชาติภูเวียง เขื่อนอุบลรัตน์ บึงแก่นนคร บึงทุ่งสร้าง พัทยา 2 บางแสน 2 หาดจอมทอง หมู่บ้านเต่า อุทยานกล้วยไม้ป่าช้างกระ วัดป่ามัญจาคีรี ผานกเค้า และสวนสาธารณะประตูเมือง

 khonkaen 04

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และแหล่งเรียนรู้ที่โดดเด่น ได้แก่ พระธาตุขามแก่น พระมหาธาตุแก่นนคร วัดพระบาทภูพานคำ วัดอุดมคงคาคีรีเขต วัดป่าภูเม็งทอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น หอศิลปวัฒนธรรมและอาคารศูนย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ประจำท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง อุทยานไดโนเสาร์ศรีเวียง พิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ขอนแก่น กู่ประภาชัย หรือกู่บ้านนาคำน้อย ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อนุสาวรีย์พระนครศรีบริรักษ์ น้ำส่างสนามบิน ศาลหลักเมืองเก่า เมืองโบราณโนนเมือง ปราสาทเปือยน้อย ศาลาไหมไทย หรืออาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 หอเกียรติยศรัฐบุรุษพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ และหมู่บ้านผ้าไหมชนบท

 khonkaen 06

เทศกาลและงานประเพณีจังหวัดขอนแก่น

ขอนแก่นเป็นจังหวัดหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี และแหล่งธรรมชาติ อีกทั้งผู้คนในท้องถิ่นก็ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีดั้งเดิมอันงดงาม ไว้ได้อย่างเข้มแข็ง ตลอดทั้งปีจึงมีการจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลอง และงานประเพณีที่สำคัญ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศหลายงาน โดยมีงานเด่นดังประจำปีที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด คือ

1. เทศกาลดอกคูณเสียงแคน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 -15 เมษายน ของทุกปี บริเวณบึง แก่นนคร ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และชุมนุมสังสรรค์ของชาวขอนแก่น ช่วงเวลาจะจัด ในช่วงระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายนของทุกปี ความสำคัญเป็นงานที่จัดขึ้น เพื่อชุมนุมสังสรรค์ของ ชาวขอนแก่น ในงานนี้จะตกแต่งด้วยดอกไม้หลากสี เพื่อความสวยงามและแนวคิดสร้างสรรค์ จุดเด่นของงานจะเป็นความงามของขบวนรถบุปผาชาติเสียงเพลงและสาวงาม

khonkaen 05

ความเป็นมาของถนนข้าวเหนียว

แต่เดิม จังหวัดขอนแก่น ไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็อยู่ห่างจากตัวเมือง ทำให้เมื่อมีการจัดงานประเพณีต่างๆ จึงไม่มีผู้มาเยือนมากมายนัก เทศบาลนครขอนแก่นมีความคิดที่จะผลักดันให้ จังหวัดขอนแก่นให้เป็นสุดยอดงานสงกรานต์อีสาน จึงได้เสนอถนนสายหลักที่เล่นน้ำสงกรานต์ได้สนุกสนาน เช่นเดียวกับถนนข้าวสารที่กรุงเทพฯ จึงใช้ชื่อสถานที่เล่นสงกรานต์ที่ขอนแก่นว่า "ถนนข้าวเหนียว" เพื่อรองรับการเล่นสงกรานต์ของคนขอนแก่น คนภาคอีสาน และคนจากที่อื่นๆ ในปี 2545 โดยกำหนดสถานที่ที่จัดเป็น ถนนข้าวเหนียว ขึ้นที่ บริเวณถนนหลังสำนักงานเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็น อย่างดีจากประชาชนชาวขอนแก่นและใกล้เคียง แต่เนื่องจากถนนดังกล่าวมีความคับแคบ

การจัดงานในปี 2546 จึงย้ายมาอยู่ที่ถนนศรีจันทร์ ซึ่งมีกิจกรรมจัดขึ้นให้สนุกสนานกัน เต็มที่ตั้งแต่วันที่ 13 - 15 เมษายน โดยมีเวทีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ทำให้ถนนศรีจันทร์แห่งนี้ มีสีสันแห่งความสนุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงได้ปรับรูปแบบการจัดงานเป็น "สุดยอดสงกรานต์ อีสานเทศกาลดอกคูนเสียงแคน และถนนข้าวเหนียว" โดยแบ่งการจัดกิจกรรมเป็น 2 โซนคือ บริเวณบึงแก่นนคร เป็นโซนของวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ส่วนที่ถนนข้าวเหนียว (ถนน ศรีจันทร์) เป็นโซนกิจกรรมตามสมัยนิยม ทำให้งานสงกรานต์ที่จังหวัดขอนแก่น ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ หลั่งไหลมาเที่ยวสงกรานต์เพิ่มขึ้นทุกปี จนได้รับการบรรจุให้เป็นหนึ่งในกิจกรรมสุดยอดประเพณีสงกรานต์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ประชาชนให้ความสนใจมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก

 pooksieaw

2. งานเทศกาลไหมและประเพณีผูกเสี่ยว จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน ถึงต้นเดือนธันวาคม เป็นเวลา 10 วัน 10 คืน บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัด (ช่วงเวลา จะจัดเป็นประจำทุกๆ ปีในระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม บริเวณสนามกีฬา กลางจังหวัด) งานเทศกาลไหมและประเพณีผูกเสี่ยวนี้ สืบเนื่องมาจากประชาชนในภาคตะวันออก เฉียงเหนือ มีอาชีพรองที่นอกเหนือจากการทำนา คือการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าต่างๆ ซึ่งทาง ราชการได้ให้การสนับสนุน จนจังหวัดขอนแก่นเป็นแหล่งผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียง ประกอบกับมี ประเพณีการผูกเสี่ยว ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของภาคอีสาน ที่มุ่งให้คนรุ่นเดียวกันรักใคร่ เป็นพี่เป็นน้องช่วยเหลือกันเรียกว่า "คู่เสี่ยว" เพื่อมุ่งส่งเสริมอาชีพการทอผ้าไหม และรักษาขนบ ธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้ในงาน จะมีขบวนแห่คู่เสี่ยวและพานบายศรีของอำเภอต่างๆ มีพิธีผูกเสี่ยวการประกวดผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน งานพาข้าวแลง (การรับประทานอาหารค่ำแบบพื้นเมืองอีสาน) การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน และการออกร้าน

ความสำคัญประเพณีผูกเสี่ยว เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวอีสาน ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ บรรพบุรุษคำว่า "เสี่ยว" หมายถึงเพื่อนรัก เพื่อนสนิท ที่เกื้อกูลและเอื้ออาทรต่อกันร่วมสุขร่วมทุกข์ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันเหมือนญาติสนิท บางทีเรียกว่า "เพื่อนตาย" ก็มี จังหวัดขอนแก่น จึงขอเชิญชวนชาวอีสานทุกคนได้ร่วมใจผูกเสี่ยว เพื่อสร้างสัมพันธภาพแห่งความรักความผูกพันสืบทอด มรดกวัฒนธรรมอันดีงามของชาวอีสาน ในงานเทศกาลไหม ประเพณีผูกเสี่ยว และงานกาชาด ขอนแก่น

pratat kamkaen 01

3. เทศกาลไหว้พระธาตุขามแก่น จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันเพ็ญเดือนหก (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6) ณ วัดเจติยภูมิ เป็นงานเฉลิมฉลองพระธาตุ เพื่อให้ประชาชนได้สักการะพระธาตุ คู่บ้านคู่เมือง ในงานมีการแสดงศิลปะพื้นบ้าน และการออกร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆ 

[ เรื่องที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์จังหวัดขอนแก่น | แผนที่จังหวัดขอนแก่น | เอกสารการท่องเที่ยว ]

new1234ชมภาพเก่าเล่าอดีต "เมืองขอนแก่น"new1234

 

นอกจากรายละเอียดในแต่ละจังหวัดแล้ว ภาคอีสานยังมีสาระความรู้มากมายทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ชนเผ่าไทยในอีสาน ศิลปวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง และอื่นๆ อีกมาก หาความรู้เพิ่มเติมได้จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้องด้านล่างนี้

รู้จักภาคอีสานของไทย | ชาติพันธุ์เผ่าไทยในอีสาน | ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน | ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี

redline

backled1

Subcategories

ภาพเก่าเล่าเรื่องอีสานบ้านเฮา

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)