- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 1222

ไทโย้ย เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โย้ย เป็นกลุ่มชนเก่าแก่มีถิ่นฐานในมณฑลไกวเจา-กวางสี ชาวจีนจะเรียกชาวโย้ยว่า "สร้อง" แต่บางแห่งในเวียดนามเรียกว่า "โด้ย" โย้ยยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีกว่า "อี้" หรือ "ไย" โดยสรุปไม่ว่าจะเป็นโย่ย อี้ ไย สร้อง และโด้ย รวมความหมายถึง "ไทโย้ย" ทั้งสิ้น
แต่ชาวโย้ยมักเรียกตัวเองว่า "โย่ย" แม้ว่าชาวไทโย้ยจะมีชื่อที่ใช้เรียกตัวเองที่หลากหลายชื่อ เช่น โย่ย โย้ย ไทย้อย ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ชื่อเรียกเหล่านี้ล้วนหมายความถึง “ไทโย้ย” ทั้งสิ้น หากแต่มีมิติทางภาษาศาสตร์และสำเนียง ที่ส่งผลให้ออกเสียงและสะกดคำแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ คำว่า “ไทโย้ย” แปลว่า “คน คน” การซ้อนคำเช่นนี้เพื่อให้ความหมายชัดเจน ในฐานะของ “คนที่มีอารยะ”

กลุ่มชาติพันธุ์ไทโย้ย จัดอยู่ในตระกูลภาษาไท-กะได แต่เดิมมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองภูวา (ภูวดลสอางค์) ใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว และเมืองหอมท้าวในดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ปัจจุบันอยู่ในแขวงคำม่วน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งในอดีตดินแดนในแถบนี้เป็นของประเทศสยาม เมื่อเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นจำนวนมาก (มีบางส่วนก็ข้ามมาโดยสมัครใจเพื่อหาถิ่นที่อยู่ใหม่ที่มีความอุดมสมบูรณ์) ไทโย้ยที่อพยพเข้ามาในช่วงนั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
- กลุ่มแรก เป็นไทโย้ยที่อพยพมาจากเมืองห้อมท้าวฮูเซ แล้วไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านม่วงริมห้วยยาม ต่อมาใน พ.ศ. 2380 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองอากาศอำนวย ก่อนจะลดฐานะเป็นอำเภออากาศอำนวยในเวลาต่อมา
- กลุ่มที่สอง เป็นไทโย้ยที่อพยพติดตามพระสุนทรราชวงศาไปอยู่เมืองยโสธร ได้ตั้งชุมชนอยู่ที่บ้านกุดลิง อำเภอเสลภูมิ ภายหลังได้ย้ายกลับมาบริเวณที่ตั้งบ้านม่วงริมยาม ยังคงใช้ชื่อบ้านเดิม ใน พ.ศ. 2404 ได้รับโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองวานรนิวาส
- กลุ่มที่สาม เป็นไทโย้ยที่อพยพมาจากเมืองภูวาใกล้เมืองมหาชัยกองแก้ว ได้มาตั้งบ้านเรือนที่บ้านโพธิ์สว่างหาดยาวริมน้ำปลาหาง เมื่อพ.ศ. 2405 ทรงโปรดเกล้าฯ ยกขึ้นเป็นเมืองสว่างแดนดิน ต่อมาได้ย้ายที่ตั้งเมืองอยู่หลายครั้งจนมาตั้งที่บ้านหัน (อำเภอสว่างแดนดินในปัจจุบัน) นอกจากนี้ยังมีชุมชนโย้ยขนาดเล็กที่กระจัดกระจายทั่วไปในอำเภออากาศอำนวย อำเภอสว่างแดนดิน อำเภอวานรนิวาส และอำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร

การดำรงชีวิตของชาวไทโย้ย
การตั้งถิ่นฐานของชาวไทโย้ยในอดีต จะนิยมตั้งหมู่บ้านใกล้กับแหล่งน้ำ โดยเฉพาะแหล่งน้ำไหล เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำศรีสงคราม แม่น้ำยาม แม่น้ำชี หรือลำห้วยต่างๆ ซึ่งถือเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เพราะมีการสั่งสมทับถมของซากพืชซากสัตว์ พื้นที่ดังกล่าวจึงเป้นทั้งแหล่งอาหารและพื้นที่ทำกิน โดยเฉพาะการทำประมงและการทำนา
ชาวไทโย้ย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่จึงทำการเกษตร โดยมีอาชีพทำนาและประมงเป็นหลัก การปลูกข้าวในอดีต นิยมปลูกเฉพาะข้าวเหนียว แต่ปัจจุบันได้ปลูกทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว โดยจะเก็บข้าวเหนียวเอาไว้บริโภคในครัวเรือน ส่วนข้าวเจ้าจะปลูกเอาไว้ขาย นอกจากนี้ยังนิยมทำไร่ทำสวน เช่น ไร่ฝ้าย สวนคราม และปลูกผักสวนครัวตามตลิ่งแม่น้ำ และยังทอผ้าไว้ขาย
สำหรับการทำประมง ตั้งแต่อดีตชาวโย้ยมักทำมาหากินจับปลาตามลำน้ำยาม (ลำน้ำสาาขาของแม่น้ำสงคราม) เป็นหลัก รองลงมาคือ ห้วย หนอง คลอง บึง ด้วยรูปแบบของระบบนิเวศโดยรวมเป็นพื้นที่ทาม (น้ำท่วมถึงในช่วงฤดูน้ำหลาก) ทำให้ก่อเกิดภูมิปัญญาการทำประมง และเครื่องมือในการจับปลาที่มีการปรับให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของธรรมชาติดังกล่าว เช่น ซวาง ส่อน ไซ จั่น ตุ้ม โทงขา ลอบ เสือนอนกิน ผีน้อย ลัน แห มอง แหลมสอด เบ็ดโก่ง เบ็ดคัน เบ็ดเผียก เบ็ดสะโน สุ่ม จะดุ้ง (ยอ) โดยต้องจดจำ ทดลองและสังเกตว่า ในการจับปลาชนิดใด ต้องใช้เครื่องมือชนิดใด เช่น ปลาไหลต้องใช้ลัน ปลาค่าวต้องใส่ซวางหรือเบ็ดโก่ง ไทโย้ยจัดเป็นกลุ่มที่วางรากฐาน "วัฒนธรรมปลาแดก" ได้ชัดเจนที่สุดกลุ่มหนึ่ง
ลักษณะของภาษา
ภาษาโย้ย จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาย้อ และคล้ายกับภาษาอีสานบางคำ แต่สำเนียงจะต่างกัน แต่สำเนียงของชาวโย้ยจะอ่อนหวานและช้ากว่ามักจะพูดลากเสียงยาว คำพูดบางคำไม่สามารถใช้ตัวหนังสือเขียนให้ตรงสำเนียงได้ เสียงพูดของชาวโย้ยนั้น เสียงดังมากขึ้นจะอยู่ใกล้กัน ภาษาโย้ยจะไม่มี ฟ แต่จะใช้ พ แทน สามารถเปรียบเทียบภาษาโย้ยกับภาษาไทยกลางได้ ดังนี้
| ภาษาโย้ย | ภาษาไทยกลาง | ภาษาโย้ย | ภาษาไทยกลาง |
| พัง | ฟัง | ผาย | ฝาย |
| เอ็ดพิสัง ,เอ็ดเผียง | ทำอะไร | ไปบั้ง | ไปไหม |
| โพ๊ะ | พ่อ | เม๊ะ | แม่ |
| เอ้ย | พี่สาว | ควี่รถ | ขี่รถ |
| คือเดียว | เหมือนกัน | เหิง | นาน |
| น่ำ | น้ำ | จบเจือ | ดีที่สุด, ถูก |
| บักโอ๊น | ฟักทอง | คนโซ | ไม่สบาย |
| อืน | เปียก | เตง | ตัวเอง |
| โต | ท่าน | เผียง | นั่นคืออะไร |
| หอง | สูง | พะโล | กลั่นแกล้ง |
นอกจากสำเนียงภาษาที่ใช้ การพูดช้าๆ ทำให้ชาวโย้ยมีลักษณะเด่นเฉพาะกลุ่มมาก ซึ่งยังคงรักษาเอกลักษณ์ดังกล่าวนี้ไว้ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า จากลักษณะการพูดช้าๆ ทำให้สอดคล้องกับอุปนิสัยใจคอขอชาวโย้ยที่มีลักษณะเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูความเป็นอยู่จะสอดคล้องกันด้วย ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการแข่งขันอยู่อย่างสบาย จะเอาอาหารมากินร่วมกัน ไม่มีการแบ่งแยกกันเหมือนสังคมเมือง และยังปรากฏในทุกวันนี้ เช่น เครื่องเมือทอผ้ายังสามารถหยิบยืมกันได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาตลอด แม้สังคมจะพัฒนาไปแต่ชาวโย้ยยังรักษาเอกลักษณ์ทางสังคมได้เหมือนเดิม
Tai Yoi, A case study of preserving the disappearing language. | Payai TV
โครงสร้างทางสังคม
ไทโย้ย จะอาศัยอยู่รวมกันในลักษณะเป็นแบบเครือญาติ จะมีการสืบสกุลทางพ่อและเป็นสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกชายคนสุดท้องมักจะเป็นคนเลี้ยงดู และรับมรดกทั้งจากฝั่งพ่อและฝั่งแม่ด้วย มีการแบ่งงานกันทำตามเพศ โดยผู้ชายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะทำหน้าที่ทอผ้าและเลี้ยงดูลูก หลังจากเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ผู้หญิงจะทำอาชีพเสริม เช่น ทอผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม ส่วนผู้ชายจะไปทำงานรับจ้างต่างๆ เช่น ช่างไม้ ก่อสร้าง และอื่นๆ หากไปทำงานต่างจังหวัดจะกลับมาบ้านในช่วงฤดูเพาะปลูก
ในอดีตครอบครัวไทโย้ยมีลักษณะอยู่กันเป็นครอบครัวขยาย ประกอบด้วย ปู่ ย่า ลุง ป้า พ่อ แม่ ลูก หลาน แม้ว่าจะมีการแต่งงานแยกบ้านไปตั้งบ้านเรือนแต่ยังคงอยู่ในละแวกเดียวกัน ซึ่งเหตุผลในการมาอยู่รวมกันนั้น เกิดจากเงื่อนไขหลายประการ เช่น ที่ดินทำกินยังไม่เพียงพอสำหรับการออกเรือนใหม่ หรือการขาดแรงงาน หรือไม่มีคนอยู่ดูแลปู่-ย่า ตา-ยาย

การตั้งครรภ์และคลอดบุตร
ความเชื่อเรื่องการคลอดบุตรนั้น ชาวไทโย้ย เชื่อว่า ผู้ที่ตั้งครรภ์กำลังเตรียมคลอดบุตรนั้น ให้ไปนั่งตรงทางแยกโดยใส่ผ้าถุงสองผืนซ้อนกัน นั่งคุกเข่าเอาหินหรือทรายมาถูท้อง แล้วลุกขึ้นยืน ถอดผ้าถุงผืนหนึ่งออกโยนทิ้งไป เชื่อว่าจะทำให้คลอดได้ง่าย
นอกจากนี้ หลังคลอดยังมีขะลำหรือข้อห้าม เช่น การอยู่ไฟ หรือการ “อยู่คำ” (อยู่กำ) เมื่อคลอดลูกต้องอาศัยไฟ ความร้อนภายนอกและภายใน ทั้งอาบทั้งกินนั่งใกล้ไฟทั้งวันทั้งคืน ถ้าคลอดลูกคนแรกต้องอยู่นาน 1 เดือน ควบคุมอาหารการกิน โดยให้กินเฉพาะปลาตัวเดียวป่นใส่หัวข่าเผา หรือปลาป่น ปูป่น ข้าวจี่ เพราะมีความเชื่อว่าถ้ากินของคาว น้ำนมแม่และตัวเด็กจะเหม็นคาว อีกทั้งทำให้มดลูกเข้าอู่ช้า จะต้องกินน้ำร้อนและอาบน้ำร้อนที่ต้มด้วยเปลือกไม้ต่างๆ เช่น ไม้จิก ไม้กะเบา ดังนั้น คำว่า “อยู่คำ” จึงหมายถึง อยู่เพื่อขะลำ (สิ่งต้องห้าม) อาหารและรักษาร่างกาย เมื่อออกคำแล้วได้กินอาหารที่มีประโยชน์ไม่ต้องขะลำอีกร่างกายจึงคืนสู่สภาพเดิม
ในขณะที่ภรรยาอยู่คำ สามีต้อง “ปัวหม้อคำ” หมายถึง การดูแลรักษาผู้อยู่ไฟจนกว่าจะถึงกำหนดออกคำ ทั้งยังดูแลงานประจำทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้าน สามีจะต้องรับภาระคนเดียว ต้องตักน้ำจากบ่อน้ำ ต้องหายาสมุนไพรจากหมอยาประจำหมู่บ้านนำมาต้มกิน เช่น ไม้หมากเป็น ยาชักมดลูกเข้าอู่เร็ว ยาแก้กินผิด และต้องเตรียมหายาต้มอาบวันละ 2-3 ครั้ง เช่น ใบเป้า ใบหนาด เปลือกแดงไม้กะเบาต้องดูแลและหาอาหารให้กินทั้งแม่ทั้งลูก นอกจากนี้ต้องทำ “พะซี” คือ การป่นขี้ซี (ชัน) ให้ละเอียด ในช่วงค่ำจะใช้มือหนึ่งถือกะบอง (ขี้ไต้) อีกมือหนึ่งหยิบขี้ซีป่นซัดสดหว่านผ่านไฟกะบอง เมื่อไฟไหม้ขี้ซีจะมีแสงสว่างวาบดูน่ากลัว โดยต้องเดินทำล้อมตัวเรือนบ้านที่ภรรยาอยู่คำ เพื่อป้องกันภูตผีเป้ามิให้มารังควาญลูกและภรรยา ชาวโย้ยเรียกว่า “ผอกผีพาย หนายผีเป้า” โดยให้เดินรอบบ้านคืนละ 1 รอบ ทำอยู่อย่างนี้ไม่ต่ำกว่า 7 คืน เมื่ออยู่คำครบตามกำหนด จะมีการทำอาหารการกินอย่างดี เช่น ต้มไก่ขวัญ ถ้าได้ลูกชายให้ใช้ไก่ตัวเมีย ถ้าได้ลูกสาวให้ใช้ไก่ตัวผู้ และเชิญญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิด และหมอตำแยมาร่วมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ โดยมีการผูกข้อต่อแขนให้หมอตำแย แม่อยู่คำและลูกน้อย เมื่อญาติผู้ใหญ่ให้ศีลให้พรเสร็จจึงจะรับประทานอาหารร่วมกัน
การแต่งงานและการหย่าร้าง
ในอดีต ก่อนการแต่งงาน ต้องสืบลำดับญาติกัน โดยฝ่ายชายต้องมีศักดิ์เป็นพี่ถึงจะสามารถแต่งงานได้ และต้องเป็นคนในหมู่บ้านด้วย การจัดพิธีแต่งงานนั้น หากหนุ่มสาวตกลงใจที่จะแต่งงานกันก็จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เรียกว่า “พ่อล่าม” ไปสู่ขอตกลงเรื่องค่าสินสอดและกำหนดวันแต่งงาน ก่อนการจัดพิธีแต่งงานฝ่ายหญิงจะเตรียมเครื่องสมมา เช่น ซิ่นหมี่ ผ้าขาวม้า เสื่อ ฯลฯ เพื่อมอบให้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เมื่อใกล้วันแต่งงานทั้งสองฝ่ายจะเตรียมอาหารเพื่อไว้เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน และก่อนวันจัดงานหนึ่งวันทั้งบ้านเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเตรียมพาขวัญหรือพานบายศรี ตอนกลางคืนจะเชิญญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากินข้าวที่บ้านหรือเรียกว่า “งันดอง”
![]()
นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ชายหญิงที่รักกัน ตั้งใจจะเลี้ยงดูอยู่ด้วยกัน แต่ฝ่ายชายไม่มีเงินค่าสินสอด (ค่าดอง) หรือพ่อแม่ไม่เห็นดีเห็นชอบด้วย ชายหญิงมักจะตกลงแต่งกันเอง ซึ่งเรียกว่า “ซู” กล่าวคือ ผู้ชายไปตกลงกับหญิงว่า คืนนั้น เวลาเท่านั้น จะมาหาที่บ้าน ขอให้พาดบันไดไขประตูให้ ตอนนี้หญิงจะต้องระวังชายให้มาก เพราะเคยปรากฎว่า ฝ่ายชายแอบหนีไปโดยไม่บอกกล่าวหลังเสร็จกิจ ดังนั้น พอสว่างหญิงจะต้องไปบอกพ่อแม่ให้รู้ว่ามีชายมาซู พ่อแม่จะจัดให้คนไปบอกญาติพี่น้องของตน และพ่อแม่ของชายมาพูดจากันเป็นหลักฐานรับรองว่า จะทำตามจารีตประเพณีบ้านเมือง จึงปล่อยให้ผู้ชายออกจากห้องได้ นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้หญิงไปซูผู้ชาย เรียกว่า “ไปซูผู้บ่าว” หรือ “แล่นนำผู้บ่าว” ซึ่งจะใช้วิธีการจัดการให้เรียบร้อยเหมือนฝ่ายชายจึงเป็นอันสิ้นสุด
มื่อแต่งงานแล้ว ฝ่ายหญิงจะมาอยู่บ้านฝ่ายชายเพื่อมาดูแลพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าบ่าว ในลักษณะครอบครัวขยายแบบปิตาลัย (patrilocal) เมื่ออยู่จนมีเงินเก็บแล้ว จึงจะแยกตัวออกไปสร้างบ้านหลังใหม่ หลังแต่งงานเรียบร้อยแล้ว หากอยู่กันไปแล้วมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน พ่อล่ามจะเป็นคนอบรมและไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคืนดีกัน (สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นพ่อล่ามจะต้องมีชีวิตการสมรสที่ดีไม่หย่าร้าง)
ความตายและการทำศพ
เมื่อมีชาวไทโย้ยเสียชีวิต จะนำผ้ามามัดร่างผู้เสียชีวิต 3 ท่อน แล้วจึงจะบรรจุศพลงในโลง จากนั้นปิดหน้าศพด้วยผ้าขาวแล้วแต่จำนวนผืนที่ลูกต้องการให้ปิดหน้าศพ ซึ่งผ้าที่ปิดหน้าศพดังกล่าวเชื่อว่า เป็นสมบัติของพ่อกับแม่ ถ้าหากลูกอยากเก็บเอาไว้บูชากราบไหว้ก็ให้ก้มแล้วใช้ปากคาบจากหน้าศพเอาเอง เมื่อจะนำร่างผู้ตายใส่โลงก็จะเขียนคาถาบนมือซ้าย มือขวา และปาก เพื่อเป็นคาถาไปสวรรค์ และจะใส่เงินในปาก มือและเสื้อของผู้ตาย ด้วยเชื่อว่าจะเป็นค่าจ้างทางเพื่อไปสู่สวรรค์ การจัดพิธีศพส่วนใหญ่จะทำกัน 3 วัน 3 คืน เมื่อครบตามกำหนดจึงจะนำศพไปทำพิธีที่ป่าช้า เมื่อไปถึงป่าช้าจึงนำศพออกจากโลง วางศพไว้บนกองฟอน จากนั้นจึงนำโลงมาครอบศพแล้วราดหน้าร่างผู้เสียชีวิตด้วยน้ำมะพร้าว จากนั้นพระจะสวดทำพิธีทางศาสนา เมื่อจะเผาจึงให้หันหัวผู้ตายไปด้านตะวันออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้ได้ไปเกิดใหม่ เมื่อจุดไฟเผาจะจุดด้วยกระบองหรือไต้ เรียบร้อยแล้วจึงค่อยกลับบ้าน
ศาสนาและความเชื่อ
ชาวไทโย้ย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผี เช่น ผีบรรพบุรุษที่ช่วยดูแลลูกหลานในครอบครัว นับถือผีเจ้าปู่ และเชื่อเรื่องขวัญ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวได้สะท้อนออกมาเป็นประเพณีต่างๆ ทั้งในชีวิตประจำวันตามโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันขึ้นบ้านใหม่บ้าน เจิมรถใหม่ เป็นต้น หรือปรากฏผ่านประเพณีในแต่ละเดือนของรอบปีเรียกว่า “ฮีตสิบสอง” ทั้งนี้ บางชุมชนอาจไม่ได้ปฏิบัติครบทุกประเพณี
นอกจากนี้ชาวโย้ยยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโชค ลาง ดวงชะตา การสะเดาะเคราะห์ หรือแต่งแก้ รวมทั้งความเชื่อในฤกษ์ยามเพื่อใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับขวัญ โดยเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ย่อมมีขวัญไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ เชื่อกันว่า ถ้าขวัญอยู่กับเนื้อกับตัวย่อมทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น จึงมีพิธีทำขวัญหรือเรียกขวัญ การทำขวัญมีหลายประเภท เช่น ทำขวัญคน ทำขวัญข้าว และทำขวัญควาย ซึ่งนิยมทำในฤดูทำนา เช่น สู่ขวัญผู้ที่จะบวช การทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แม่และลูกที่เพิ่งคลอดใหม่ พิธีจัดหลังจากเด็กคลอด เมื่ออาบน้ำให้เด็กแล้วจะอุ้มเด็กมาวางลงกระด้งที่ปูผ้าเอาไว้ จากนั้นก็จะให้ผู้สูงอายุประกอบพิธี “พอกหนาย” แล้วก็จะวางปั้นข้าวสุก 1 ปั้นลงที่กระด้งแล้วจะกล่าวว่า “หากเป็นลูกผีก็ให้มารับเอาไป ถ้าเลยวันนี้ไปแล้วก็จะเป็นลูกของคน” จากนั้นจะทำนายชะตาชีวิตของเด็กซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำทำนายที่เป็นศิริมงคลกับชีวิต ต่อมาญาติพี่น้องที่มาร่วมพิธีก็จะให้พรเด็กที่เกิดใหม่ จากนั้นจึงรับประทานอาหารร่วมกัน และเมื่อแม่ลูกอ่อนออกจากการอยู่ไฟจะประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญแม่และเด็กอีกครั้ง
ในส่วนของความเชื่อเรื่องผี ไทโย้ยแบ่งผีออกเป็นผีดีละผีร้าย เช่น “ผีตาแฮก” หรือผีไร่ผีนา เชื่อว่าเป็นผีที่อาศัยอยู่ที่ไร่นาและมีหน้าที่ช่วยดลบันดาลให้เพาะปลูกให้ได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก ไทโย้ยจะเลี้ยงผีตาแฮกก่อนจะเพาะปลูกในไร่นาทุกครั้ง หากไม่ทำพิธีเลี้ยงผี เชื่อว่าจะทำให้เคราะห์ร้าย มีอาการเจ็บป่วย เพาะปลูกได้ผลผลิตไม่ดี หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้วก็จะทำพิธีเลี้ยงผีไร่ผีนา หากปลูกข้าวได้ผลผลิตเป็นจำนวนมากก็จะทำบุญกองข้าว ถ้าหากได้ผลผลิตน้อยก็จะไม่ทำ สำหรับการจัดพิธีจะอยู่ระหว่างเดือน 1 กับเดือน 2
ส่วน “ผีปู่ตา” “ผีแจ” คือ ผีบรรพบุรุษของไทโย้ยจะประจำอยู่ที่บ้าน มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองคนในบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข การทำพิธีเซ่นไหว้จะทำเมื่อคนในบ้านมีอาการเจ็บป่วย หรือกรณีที่ลูกสาวจะแต่งงาน จะมีการทำพิธีบอกผีปู่ตาหรือผีแจได้รับรู้ สำหรับผีปู่ตานั้น ไทโย้ยจะทำเป็นห้องหรือที่เรียกว่า “ซ้อม” เพื่อเชิญผีปู่ตาไว้ที่ห้องนี้ และในห้องนี้ยังเป็นห้องบูชาพระพุทธรูปด้วยเช่นกัน มีลักษณะเป็นห้องโล่งและเจ้าของบ้านจะไม่นอนที่ห้องนี้ “ผีน้ำ” “ผีเงือก” เป็นผีที่อยู่ในแม่น้ำลำคลอง ผีชนิดนี้เป็นผีให้โทษมากกว่าให้ประโยชน์ ในอดีตไทโย้ยจะใช้พูดหลอกลูกหลานเพื่อป้องกันไม่ให้ลงไปเล่นน้ำ โดยมักอ้างว่าในน้ำมีผีน้ำอยู่ เพื่อให้เด็กที่จะลงไปเล่นน้ำกลัว ดังนั้น ไทโย้ยจึงนำมาใช้เพื่อป้องกันลูกหลานที่จะลงเล่นน้ำ ซึ่งอาจได้รับอันตรายจมน้ำเสียชีวิต ซึ่งถ้าหากลงไปเล่นน้ำแล้วไม่สบายมีอาการละเมอ ไทโย้ยจะให้ “หมอจ้ำ” มาทำพิธีเซ่นไหว้ขอขมาผี แล้วเชิญผีให้ไปอยู่แม่น้ำโขงเพื่อจะให้คนในหมู่บ้านไม่ต้องได้รับความเดือดร้อน
![]()
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรม
ประเพณี เทศกาล และพิธีกรรมสำคัญของชาวไทโย้ย มีลักษณะคล้ายคลึงกับชาวอีสานทั่วไปคือ การทำบุญฮีตสิบสองหรือประเพณีประจำเดือน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อพุทธศาสนา ผี และวัฒนธรรมข้าว ไทโย้ยยังมีความเชื่อเฉพาะของตนหลากหลายประเพณี เช่น
- การ “เอาบุญโท่ง” หรือ การทำบุญที่ทุ่งนา คล้ายคลึงกับบุญคูณลาน ไทโย้ยจะออกเสียงยาวว่า “โท่ง” การจัดพิธีจะจัดในเดือนยี่ หรือเดือนสาม หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต พราะยังไม่ขนข้าวเข้าเก็บในยุ้ง เรียกว่า บุญเดือน 3 ออกใหม่ 3 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของชาวโย้ยอากาศอำนวย เชื่อว่า เป็นวันศิริมงคล ดังคำกล่าวที่ว่า “วันหมากขามป้อมสุกหวาน แม่มานท้องแวบ ครกป่งใบ หัวจะไคออกดอก” ถือเป็นวันที่ขวัญของสรรพสิ่งต่างๆ แข็งแกร่งที่สุด จุดประสงค์ของการทำเพื่อแสดงความเคารพคุณข้าว เพื่อความเป็นมงคลแก่ทุ่งนาและเรียกขวัญข้าวขวัญนามารับส่วนบุญด้วย รวมทั้งสร้างความเป็นศิริมงคลแก่ครอบครัว ให้มีชีวิต เจริญก้าวหน้าและทำบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
ดนตรีโย้ยกลองเลง | โฮมสินถิ่นบ้านเก่า
กลองเลงทำด้วยไม้ประดู่ มีลักษณะเป็นกลองสองหน้าหุ้มด้วยหนังวัว หนังควาย
กลองเลงใช้ตีในงานบุญมหาชาติ งานบุญพระเวสสันดร (บุญตูบ)
- ประเพณีไหลห้าน (ร้าน) บูชาไฟ หรือบุญไหลเรือไฟ ชาวไทโย้ยมีความเชื่อที่เกี่ยวกับแม่น้ำ เป็นความเชื่อที่มีความโดดเด่นและเป็นที่นิยมของชาวไทโย้ยเกือบทุกชุมชนที่ตั้งใกล้แม่น้ำ ประเพณีไหลห้าน (ร้าน) บูชาไฟ หรือบุญไหลเรือไฟ ซึ่งจะจัดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 จุดมุ่งหมายเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าและบูชาแม่น้ำ เพื่อให้สิ่งอัปมงคลต่างๆ ออกจากหมู่บ้าน คงเหลือแต่สิ่งที่เป็นมงคล สำหรับการทำเรือไฟนั้นในอดีตจะทำด้วยต้นกล้วย เอามาต่อเข้าด้วยกันเป็นหลากหลายรูปทรง มีความยาวประมาณ 5-6 เมตร ใส่สิ่งต่างๆ ลงไปในเรือ เช่น ข้าวต้มมัด ขนม กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน เผือก และอื่นๆ ส่วนด้านนอกเรือตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ตะเกียง ขี้ไต้หรือผ้าชุบน้ำมันขี้ไต้ หรือที่ไทโย้ยเรียกว่า ”ก้านจู้” เพื่อจุดไฟในตอนกลางคืนช่วงไหลเรือไฟ ส่วนบนเรือไฟจะมีการเล่นดนตรีพื้นเมืองตีกลอง ฉิ่ง ฉาบ และอื่นๆ รวมทั้งมีคนเต้นรำอยู่บนนั้น
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 1047

“ญัฮกุร” (Nyah Kur) ออกเสียงว่า “ยะ-กุร” ภาษาของคนกลุ่มนี้อยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) เป็นมอญ-เขมร จากการศึกษาของนักภาษาศาสตร์พบว่า ภาษาญัฮกุร เป็นภาษาย่อยของมอญโบราณที่ใช้พูดในสมัยทวารวดี อาณาจักรเก่าแก่ในแผ่นดินสยาม มีคำพูดหลายคำที่ทำให้เห็นความเชื่อมโยงในด้านเสียง และความหมายกับคำในศิลาจารึกของมอญโบราณ
ญัฮกุร หรือ เนียะกุร เป็นคำที่ชาวญัฮกุรเรียกตนเอง คำว่า “ญัฮ” และ “เนียะ” แปลว่า “คน” ส่วนคำว่า “กุร” แปลว่า “ภูเขา” รวมความจึงแปลว่า “ชาวเขา” หรือคนภูเขา ขณะที่ชื่อที่คนส่วนใหญ่รู้จักคือ ชาวบน หรือ ชาวดง หมายถึง คนที่อยู่ในเขตภูเขาเช่นเดียวกัน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค ที่ใช้ภาษามอญโบราณ อยู่บนภูเขาแถบแม่น้ำป่าสักในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครราชสีมา และโดยเฉพาะที่อำเภอหนองบัวระเหวและอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

กลุ่มชนดังกล่าวเรียกตนเองว่า ญัฮกุร แปลว่า "คนภูเขา" คนไทยในเมืองเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "ชาวบน" ซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจนักของชาวญัฮกุร คนไทยภาคต่างๆ ฟังภาษาของชนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ
ถิ่นอาศัยในปัจจุบัน
ปัจจุบัน กลุ่มชนญัฮกุรจะตั้งหลักแหล่งที่แน่นอน แต่การไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนและการนับเครือญาติในหมู่ญัฮกุรในบริเวณสามจังหวัด พบว่า ชาวญัฮกุรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุดที่บ้านน้ำลาด หมู่ที่ 4 ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ นอกจากนี้ยังมีที่บ้านวังกำแพง ในอำเภอบ้านเขว้า ที่บ้านท่าโป่ง บ้านห้วยแย้ ในอำเภอหนองบัวระเหว ที่บ้านสะพานหิน บ้านสะพานยาว ในอำเภอเทพสถิต บ้านกลาง บ้านพระบึง บ้านวังตะเคียน บ้านตะขบ อำเภอปักธงชัย บ้านมาบกราด ตำบลโคกกระชาย บ้านตลิ่งชัน ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี บ้านไทรย้อยพัฒนา อำเภอหนองบุนนาก (อพยพมาจากบ้านไทรย้อย ตำบลจระเข้หิน อำเภอครบุรี เพราะน้ำเหนือเขื่อนน้ำมูลท่วมหมู่บ้านเดิม) จังหวัดนครราชสีมา บ้านน้ำเลา บ้านห้วยไคร้ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนบ้านท่าด้วงถิ่น ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมอยู่ในป่าแถบเทือกเขาพังเหย มีอาณาบริเวณคาบเกี่ยวต่อเนื่อง 3 จังหวัดคือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดเพชรบูรณ์
ชาวญัฮกุรมีลักษณะผิวค่อนข้างดำ ตาโตกว่าคนไทย แต่ไม่ต่างจากคนไทยมากนัก รูปร่างสูงปานกลาง ผู้หญิงจะหน้าตาดี การแต่งกาย สมัยก่อนผู้ชายชาวบนมักนุ่งกางเกง แบบไทย หรือไม่ก็โจงกระเบนแบบเขมร ไม่สวมเสื้อ หรือนุ่งผ้าโสร่งตาหมากรุก วิธีการนุ่งแบบเหน็บธรรมดา ผู้หญิงนิยมนุ่งผ้า ผืนสีสด เช่น สีแดง แดงเข้ม หรือน้ำเงินเข้ม เป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า พันอ้อมร่างแล้วทำเป็นหัวพกโตๆ เหน็บชายไว้ด้านข้าง สวมเสื้อที่เรียกว่า เสื้อเก๊าะ สีน้ำเงินเข้ม หรือสีดำ แขนกุด ปักกุ๊นรอบแขนและรอบคอเสื้อด้วยสีแดง หรือสีอื่น คอเสื้อด้านหลังมักเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วปล่อยเศษด้ายเส้นยาวๆ ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 เส้น ไว้ผมยาวเกล้ามวย เครื่องประดับนิยมเครื่องเงิน สวมสร้อยเงิน แต่ก่อนหญิงชายชาวบนนิยมเจาะใบหูเป็นรูกว้างๆ เพื่อสวมตุ้มหูใหญ่ ญัฮกุร เรียก กะจอน ทำด้วยไม้มีกระจกติดข้างหน้า เพื่อให้มีแสงแวววาว ซึ่งจะใส่เฉพาะในงานพิธีหรืองานบุญ ปัจจุบันมีแต่ชาวบนที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนขึ้นไปเท่านั้นที่ยังแต่งกายด้วยผ้าผืนและเสื้อเก๊าะอยู่

ภาษาของชาวญัฮกุร
ภาษาของชาวญัฮกุร จัดอยู่ในตระกูลภาษามอญ-เขมร สาขามอญ เพราะมีความใกล้เคียงกับภาษามอญโบราณ และภาษามอญปัจจุบันมากกว่าเขมร ชาวญัฮกุรที่ชัยภูมิจัดอยู่ในภาษาญัฮกุรถิ่นใต้ ในปัจจุบันชาวญัฮกุรถูกกลืนด้วยประเพณีวัฒนธรรมอีสานอย่างรวดเร็ว มีบางหมู่บ้านเท่านั้นที่พูดภาษาถิ่นของตนเองได้ คนรุ่นใหม่ๆ จะพูดภาษารอบข้างที่คนส่วนใหญ่พูดกัน อีกประการหนึ่งภาษาของชาวญัฮกุรไม่มีระบบการเขียน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวญัฮกุรถูกกลืนได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันชาวญัฮกุรพูดภาษาญัฮกุรเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นใช้ภาษาไทยโคราช เช่นเดียวกับชาวมอญ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ภาษาญัฮกุร: ‘เสียง’ ของทวารวดีที่ยังหลงเหลือ
การดำรงชีวิต
แต่เดิมชาวบนอยู่แต่เฉพาะในกลุ่มของตน ไม่ชอบคบค้ากับชนกลุ่มอื่น ตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่ม มีบางพวกอพยพหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึก หรือบนภูเขาสูงขึ้นไป บ้านเรือนมักปลูกคล้ายเรือนผูกของชาวอีสานทั่วไป แต่มีเอกลักษณ์ในส่วนที่เรียกว่า “กะต๊อบเมียว” ที่เป็นฟ่อนหญ้าคาแห้งมัดเป็นเป็นห่วง 3 ห่วง ผูกติดกันเป็นหัวกลม ปล่อยหาง เป็นปอยยาว คล้องไว้บนขื่อหน้าจั่วบ้าน ชาวบ้านใช้แสงไฟจากตะเกียงเป็นส่วนใหญ่ อาศัยแหล่งน้ำตามธรรมชาติอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ฤดูแล้งจะใช้น้ำซับซึ่งมีตลอดปี

ชาวญัฮกุรมีอาชีพทำไร่ปลูกข้าวตามไหล่เขา ใช้วิธีปลูกแบบขุดหลุมหยอดที่เรียก ข้าวไร่ ตอนเก็บเกี่ยวก็ใช้มือรูดเมล็ดข้าวออกจากรวง ใส่กระบุงแทนการเกี่ยวข้าว นอกจากข้าวแล้วยังปลูกข้าวโพด กล้วย ละหุ่ง มันสำปะหลัง มะเขือ พริก เป็นต้น มีการเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย หมู เป็ด ไก่ และหาของป่า เช่น หน่อไม้ เห็ด ผักหวาน ผึ้ง กบ เขียด และมีความสามารถในการจักสานโดยเฉพาะสานเสื่อ
ปัจจุบันชาวญัฮกุรนับถือศาสนาพุทธ เชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณ เวทย์มนต์คาถา เครื่องรางของขลัง ฤกษ์ยาม ความฝัน และมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการประกอบอาชีพ

ชาวญัฮกุรนิยมแต่งงานในหมู่ชาวญัฮกุรด้วยกัน โครงสร้างทางสังคม ชาวญัฮกุรนับถือญาติฝ่ายแม่เป็นหลัก การสืบทอดของหมอทำนายที่เรียกว่า “จะป๊อก” จึงอยู่กับเพศหญิง มีการนับถือปู่กับยาย ในภาษาญัฮกุรปู่เรียกว่า “เปญ” และยายเรียกว่า “ยอง” ชาวญัฮกุรมีธรรมเนียมเมื่อมีลูกหลาน จะต้องพาไปเยี่ยมญาติตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้ลูกหลานได้รู้จักกับเครือญาติ โดยเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้ชายจะพาเดินทางไปเยี่ยมญาติยังหมู่บ้านที่ห่างไกล
การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร โดยประเพณีการคลอดของชาวญัฮกุร หมอตำแยจะใช้ผิวไม้ไผ่ลนไฟตัดสายรก แล้วนำรกไปฝังไว้ที่ข้างบันไดบ้าน และมีการก่อไฟบนหลุมที่ฝังรกอีกที จากนั้นหมอตำแยจะทำการเซ่นผี และทำการรับขวัญเด็ก
ประเพณีเกี่ยวกับความตาย ในอดีตเมื่อมีคนเสียชีวิต ชาวญัฮกุรจะห่อศพด้วยฟากไม้ไผ่ ใช้เถาวัลย์มัดด้านหัว กลางลำตัว และด้านเท้า จากนั้นจะรื้อฝาบ้านเพื่อนำศพออกจากบ้าน ชาวญัฮกุรจะไม่หามศพลงทางบันไดโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความเชื่อว่าผีจะแรง เมื่อนำศพลงจากบ้านแล้ว ศพจะถูกนำไปที่ป่าช้า (หากมีผู้เสียชีวิตจะต้องย้ายบ้านหนี โดยจะขนฝาบ้าน โครงหลังคา และพื้นบ้านไปด้วย ส่วนเสาเรือนจะทิ้งเอาไว้ ไม่นำไปด้วย เพราะเชื่อว่าจะนำความหายนะมาสู่ครอบครัว) แต่เดิมชาวญัฮกุรจะใช้วิธีการฝังศพ ไม่เผา เพราะไม่มีพระและไม่มีวัด ส่วนในปัจจุบันจะใช้การฝังในพื้นที่ป่าช้าด้านหลังหมู่บ้าน โดยแบ่งแยกพื้นที่ป่าช้าเด็กกับป่าช้าของผู้ใหญ่ออกจากกัน
การนำศพไปฝัง ชาวบ้านจะมากันประมาณ 3-4 คน ศพจะถูกวางบนหินก้อนใหญ่ หากมีพระสงฆ์จะทำการสวด เมื่อพระสวดจบ ชาวบ้านจะช่วยกันขุดหลุมฝัง บางครั้งจะเอามีดมาช่วยขุดดิน หลุมที่ขุดจะลึกประมาณ 1-1.5 เมตร ศพจะถูกวางในเสื่อหวาย คว่ำหน้าลง หันหัวของศพไปทางทิศตะวันตก จากนั้นเอาดินกลบ เอาไม้ปูทับ สะกดวิญญาณ สาดข้าวสาร เอาดินกลบอีกชั้นหนึ่ง และหนามวางด้านบนสุด เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์มาคุ้ย
เมื่อฝังไว้ประมาณ 3-5 ปี หากมีพระธุดงค์ผ่านมาจะนิมนต์ขุดกระดูกขึ้นมา แล้วนำไปไว้ที่บ้านเพื่อทำบุญ แต่ถ้าไม่มีก็จะขุดขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นจะเอากระดูกเก็บใส่หม้อธาตุไปไว้ที่ถ้ำ กรณีชาวญัฮกุรที่บ้านไร่จะนำไปวางไว้ที่ซับหวาย ซึ่งถือกันว่าเป็นป่าช้าของชาวญัฮกุร มีการนำสิ่งขอเครื่องใช้ของผู้ตายมาใส่หรือวางไว้ด้านข้าง ถ้าเป็นผู้หญิงจะนำสร้อย ต่างหู กำไล เครื่องประดับ ซึ่งลูกหลานสามารถขอยืมกลับนำไปใช้ได้ในวันเทศกาลต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ เมื่อพ้นเทศกาลก็นำกลับมาคืน

การละเล่นมีการเป่าใบไม้ ซึ่งบางครั้งจะเป่าเป็นสัญญาณเรียกหากัน ในยามค่ำคืนชายหญิงจะนั่งล้อมวง มีการเล่นเพลงพื้นบ้านเรียกว่า กระแจ๊ะ หรือ ปะเรเร ใช้กลองโทนหรือ “ตะโพน” ให้จังหวะ เป็นการร้องโต้ตอบกันระหว่างชาย-หญิง ฝ่ายหญิงเป็นผู้ตีโทนให้จังหวะ เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เกี่ยวกับความเหงา ว้าเหว่ แม่ม่ายหรือเป็นไปทำนองชมธรรมชาติ เป็นการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว
ประเพณีชาวญัฮกุร มีประเพณีสงกรานต์ ประเพณีกระแจ๊ะหอดอกผึ้ง ประเพณีแห่พระและจุดพลุ ประเพณีแต่งงาน ชาวญัฮกุรไม่รู้จักกรรมวิธีการทอผ้า แต่จะปลูกฝ้ายเพื่อไปแลกกับผ้าทอของคนกลุ่มไทย และลาว ปัจจุบันชาวญัฮกุรแต่งกายเหมือนคนไทยทั่วไป

ฟ้อนผีฟ้า นิยมจัดเป็นงานประจำปีในเดือน 5 (ประมาณเดือนเมษายน) ลักษณะความเชื่อเป็นการเซ่นสรวงต่อผีฟ้า "พญาแถน" หรือ เทวดาที่สถิตอยู่บนท้องฟ้าเพื่อขอความเป็นสิริมงคล และอัญเชิญท่านให้ลงมาเข้าร่างทรง เพื่อช่วยปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยแก่ชาวบ้านที่มาชุมนุมในพิธี นอกจากนี้เพื่อเชิญเจ้าเข้าทรงรักษาอาการเจ็บไข้ของผู้ป่วยเป็นราย ๆ ไป
พิธีกรรมผู้ฟ้อนผีฟ้ามีทั้งชายและหญิง เป็นผู้สูงอายุ แต่งกายด้วยชุดพื้นเมือง แบ่งเป็นกลุ่มละ 14–15 คน มีคนเป่าแคนหนึ่งคน เมื่อพร้อมจะนำเครื่องเซ่นได้แก่ ขันหมากเบ็ง หรือพานบายศรี ดอกไม้ธูปเทียน ผ้าไตรจีวร แป้งหอม น้ำอบไทย อาหารคาว-หวานซึ่งประกอบด้วยข้าวเหนียว ไข่ต้ม และของกินพื้นเมืองนำไปตั้งบูชา นำดาบที่สะพายติดตัวมา 3–4 เล่มวางรวมกัน จุดธูปเทียน ผู้นำทำพิธีเป็นแม่ใหญ่หรือคุณยายซึ่งเรียกว่า หมอทรง หรือนางทรง หรือนางเทียม นำสวดมนต์อาราธนาศีลรับศีลห้า กล่าวขอขมาลาโทษที่รบกวนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และขออัญเชิญเจ้าผู้เป็นใหญ่ให้มาเข้าทรง เอาแป้งโรยไปบนเครื่องเซ่น แจกแป้งหอมและน้ำอบไทยทากันทั่วทุกคน การฟ้อนรำแบบง่ายๆ ต่างคนต่างรำ บางคนกระทืบเท้าให้จังหวะตามเสียงแคน โดยฟ้อนเป็นวงกลมเวียนไปทางขวามือของหมอแคน คนฟ้อนจะหยุดเมื่อแคนหยุดเป่า และจะเดินไปกราบที่เจ้าพ่อพระยาแล เป็นการเซ่นสรวงต่อผีฟ้า "พญาแถน" หรือเทวดา
การละเล่นพื้นบ้าน
การวิ่งขาโถกเถก อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์ ไม้ไผ่กิ่ง 2 ลำ ถ้าไม่มีก็เจาะรูแล้วเอาไม้อื่นๆ สอดไว้เพื่อให้เป็นที่วางเท้าได้ วิธีการเล่นผู้เล่นจะเลือกไม้ไผ่ลำตรงๆ ที่มีกิ่ง 2 ลำที่กิ่งมีไว้สำหรับวางเท้าต้องเสมอกันทั้ง 2 ข้างผู้เล่นขึ้นไปยืนบนแขนงไม้ เวลาเดินยกเท้าข้างไหนมือที่จับลำไม้ไผ่ก็จะยกข้างนั้น ส่วนมากเด็ก ๆ ที่เล่นมักจะมาแข่งขันกันใครเดินได้ไวและไม่ตกจากไม้ถือว่าเป็นผู้ชนะ

โอกาสที่เล่นการวิ่งขาโถกเถก ถือเป็นการละเล่นที่เล่นได้ทุกโอกาส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการออกกำลังกายบริหารส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี เดิมผู้ที่ใช้ขาโถกเถกเป็นชายหนุ่มไปเกี้ยวสาว เสียงเดินจากไม้เมื่อสาวได้ยินก็จะมาเปิดประตูรอ เพื่อพูดคุยกันตามประสาหนุ่มสาว หรือบ้านสาวเลี้ยงสุนัขไม้โถกเถกยังเป็นอุปกรณ์ไล่สุนัขได้
การเล่นจานช้อนใบ อุปกรณ์และวิธีการเล่น อุปกรณ์การเล่นผ้าขาวม้าฝั้นเกลียวให้แน่นใช้สำหรับตีวิธีการเล่นหนุ่มสาวยืนล้อมวง เป็นวงกลมซ้อนกัน 2 วง คนหน้าและคนหลังยืนตรงกัน เรียกคนหน้าว่าจานใบที่ 1 และเรียกคนหลังว่าจานใบที่ 2 จะมีคนเกินอยู่ 1 คนและคนไล่ 1 คนเมื่อเริ่มเล่นคนที่เป็นเศษ จะต้องวิ่งไปซ้อนหน้าคนที่ยืนซ้อนกันอยู่แล้ว เมื่อซ้อนเข้าไปแล้วคนที่อยู่หลังสุดก็จะกลายเป็นเศษ คือเป็นจานใบที่ 3 ก็จะถูกไล่ตีเพราะฉะนั้นคนที่เป็นคนที่ 3 จะต้องวิ่งหนีเพื่อซ้อนคนอื่นต่อไป
กติกาการเล่น คนที่เป็นคนเศษแล้วถูกซ้อน ต้องซ้อนข้างหน้าเท่านั้น คนที่อยู่ที่ ถ้าตีถูกหรือถูกตีถือว่าตาย ต้องกลับมาเป็นผู้ไล่ต่อไป โอกาสที่เล่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ส่วนใหญ่ผู้เล่นคือหนุ่มสาวเพื่อที่จะได้เกิดความใกล้ชิดและชอบพอกัน ในปัจจุบันยังมีการละเล่นจานช้อนใบอยู่บางหมู่บ้าน เช่นบ้านเดื่อบ้านบัว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ นอกเหนือจากความสนุกสนานแล้วยังเป็นการละเล่นที่ปลูกฝังเรื่องการเคารพกฎกติกา ฝึกให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ

การแข่งเรือบก อุปกรณ์และวิธีการเล่นไม้กระดาน 2 แผ่น ยาวประมาณ 1 วาเศษ พร้อมเชือกที่จะใช้รัดหลังเท้าติดกับไม้ วิธีการเล่น ผู้เล่นแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 2–5 คน โดยจะรัดเท้าทั้ง 2 ข้างไว้กับกระดาน 2 แผ่นมือจับเอวหรือจับไหล่ของผู้ที่อยู่ข้างหน้าอาศัยความพร้อมเพรียงจะยกเท้าซ้ายพร้อมๆ กัน ดันไม้กระดานไปข้างหน้ากลุ่มใดถึงเส้นชัยก่อนถือว่าชนะ โอกาสหรือเวลาที่เล่น ส่วนใหญ่จะเล่นในเทศกาลสงกรานต์ นอกจากจะเป็นการออกกำลังขาแล้วยังสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสร้างความสนุกสนาน การแข่งเรือบกจะเล่นกันในพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่าน
พันแสงรุ้ง ตอน ภาษาญัฮกุร
![]()
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 1353

กลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้ง ไทเดิ้ง และไทโคราช เป็นชื่อเรียกแทนกลุ่มคน ที่มีความคล้ายคลึงกันทางด้านวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ที่คงเอกลักษณ์ ต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ มีภาษาที่สำเนียงเสียงคล้ายภาษาของกลุ่มคนภาคกลาง แต่มีสำเนียงการใช้ภาษาเป็นสำเนียงของชาวเวียงจันทน์ เมื่อศึกษาแหล่งข้อมูลอื่นๆ พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้ง มีการประกอบกิจกรรมในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น ข้อสันนิษฐานว่า การตีหม้อที่มีอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของภาคอีสานนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่อพยพมาจากโคราชทั้งสิ้น จนมีคำกล่าวว่า “ไทโคราชชอบตีหม้อ ตีมีด แต่ลาวชอบทอผ้า” (วิโรฒ ศรีสุโร, 2528)
ไทเบิ้ง มีถิ่นฐานดั้งเดิมในเวียงจันทน์ สปป.ลาว (เดิมเรียกกันว่า "ลาวเวียง" = ชาวลาวที่มาจากเมืองเวียงจันทน์) ถูกกวาดต้อนมายังประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก มีความเชื่อต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องผี เมื่อเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการแพทย์สมัยใหม่ ชาวไทเบิ้ง จะทำพิธีกรรมเสี่ยงทาย หรือ "การบูน" โดยมีหมอบูนเป็นผู้นำพิธีกรรม
ไทเบิ้ง หรือ ไทเดิ้ง เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสัก คำว่า “เบิ้ง” มีความหมายตรงกับคำว่า “บ้าง” ในภาษาไทยกลางคำว่า ไทเบิ้ง จึงหมายถึง มีความเป็นไทยอยู่บ้าง ส่วนคำว่า “เดิ้ง” มีความหมายว่า “ด้วย” ในภาษาไทโคราช คำว่า ไทเดิ้ง จึงหมายถึง มีความเป็นไทยด้วย ทั้งสองคำนี้มักปะปนในภาษาพูด จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้

ชนกลุ่มไทเบิ้ง หรือ ไทเดิ้ง นี้เป็นชาวลาวกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ พร้อมกับชาวลาวกลุ่มอื่นๆ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีการทำสงครามเพื่อการกอบกู้เอกราช และปราบปรามหัวเมืองต่างๆ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อมีชัยชนะในการทำศึกสงครามแต่ละครั้ง จะมีการกวาดต้อนผู้คนกลับมา และให้ตั้งถิ่นฐานในเมืองต่างๆ บริเวณภาคกลาง และภาคอีสาน ส่งผลให้ผู้คนแถบนี้มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ และสำเนียงภาษา นับได้ว่า "ไทเบิ้ง" มีถิ่นฐานอยู่ในแถบนี้มานานกว่าสองทศวรรษ ปัจจุบัน ไทเบิ้งกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก กระจายตัวในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
- จังหวัดลพบุรี ในเขตอำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล อำเภอสระโบสถ์
- จังหวัดสระบุรี ในเขตอำเภอวังม่วง
- จังหวัดเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี
- จังหวัดบุรีรัมย์ ในเขตอำเภอนางรอง อำเภอเมือง อำเภอลำปลายมาศ
- จังหวัดชัยภูมิ ในเขตอำเภอจัตุรัส อำเภอบำเหน็จณรงค์
- จังหวัดนครราชสีมา ในทุกอำเภอ ยกเว้น อำเภอหนองบัวใหญ่ อำเภอสูงเนิน
จากการตั้งถิ่นฐานของชาวไทเบิ้งในพื้นที่เขตรอยต่อระหว่างภูมิภาค ส่งผลให้ผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวมีความผสมผสานทางวัฒนธรรม ระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีสำเนียงภาษาพูดที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานระหว่างสำเนียงสุพรรณบุรี สำเนียงภาคใต้ ซึ่งเป็นสำเนียงที่ไม่สะท้อนความเป็นอีสาน ในขณะเดียวกันก็มีคำที่แตกต่างจากภาษากลาง
ไทยเบิ้ง ในอีสาน 'เบิ้ง' ที่มีภาษาไทยลาวปะปนอยู่บ้าง แต่คำพื้นฐานทั่วไปของชาวไทยเบิ้งตรงกับภาษาไทยภาคกลาง ซึ่งชาวไทยเบิ้งมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และศิลปะวัฒนธรรมที่คล้ายกับกลุ่มชนไทยภาคกลาง และกลุ่มชนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก และกลุ่มชนที่มีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ พบการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำชี

จาากศึกษาข้อมูลการตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติม พบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเบิ้งและไทเดิ้ง มีถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลพบุรีมานานมากกว่าสองทศวรรษ ซึ่งพื้นที่ของกลุ่มไทยเบิ้งอยู่ในเขตรอยต่อของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีเส้นทางการติดต่อระหว่างภูมิภาคทั้งสอง ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่แถบนี้ จะมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่งมีลักษณะวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง
ชุมชนไทยเบิ้ง เป็น ชุมชนเกษตรกรรม ในอดีตทำการเกษตรและหาของป่าเป็นหลัก ต่อมา สังคมเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ทำให้วิถีการผลิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่ปลูกเพื่อยังชีพในครัวเรือนก็กลายเป็นการผลิตเพื่อขาย วิถีการดำรงชีพของชาวไทเบิ้งจึงมีความหลากหลายทั้งการทำนา การทำประมง และงานจักสานและการทอผ้า

การทำนา ในอดีตชาวไทเบิ้ง นิยมปลูกข้าวแบบนาปีเพื่อบริโภคในครัวเรือน ส่วนที่เหลือจะแบ่งขาย ส่วนในปัจจุบัน การปลูกข้าวเพื่อขายได้กลายเป็นอาชีพหลักของผู้คนในชุมชน จะมีความเชื่อเรื่อง การไหว้แม่โพสพ จะจัดขึ้นในช่วงข้าวตั้งท้อง การไหว้จะมีการจัดเตรียมผ้าหรือกระดาษสีแดงตัดเป็นธงใช้สำหรับปักติดก้านธง ภายในกระทงกรวยใส่ข้าวสุก ส้ม กล้วย อ้อย หมากพลู ขนมตามที่มี สิ่งที่ขาดไม่ได้จะต้องมีส้ม เพราะเป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่คนท้องนิยมรับประทาน เนื่องจากเปรียบต้นข้าวที่กำลังออกรวงเป็นแม่โพสพที่กำลังตั้งท้อง ติดกระทงกับก้านธงแล้วนำไปปักรับท้องแม่โพสพที่คันนา ก่อนปักธงก็จะพูดแต่สิ่งที่ดีๆ การไหว้แม่โพสพเป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติอย่างเข้มข้นในอดีต และเลือนหายในปัจจุบัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม วัฒนธรรมและระบบนิเวศชุมชน (ภูธร ภูมะธน, 2541, คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559) อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมา มีการสร้างเขื่อน สร้างฝายและอ่างเก็บน้ำ มีการเวนคืนพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นา จากข้อจำกัดด้านพื้นที่ทำกินเชิงพื้นที่ ทำให้ชาวไทเบิ้งมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหันไปเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมกันมากขึ้น
การทำประมง ในอดีตชาวไทยเบิ้งมีความชำนาญในการจับปลาจากแม่น้ำเพื่อยังชีพ ภายหลังจากการสร้างเขื่อน มีอ่างเก็บน้ำ ทำให้จำนวนปลาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ปัจจุบันมีชาวบ้านหลายครัวเรือนหันมาทำอาชีพประมงเป็นอาชีพหลักเพิ่มมากขึ้น
งานจักสานและการทอผ้า ในอดีตชาวไทยเบิ้งมองว่า งานจักสานเป็นงานของผู้ชาย ส่วนงานทอผ้าเป็นของผู้หญิง ฝ่ายชายจึงมักจะทำหน้าที่สานเครื่องมือเครื่องใช้ขึ้น เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ในการดำรงชีพ เช่น อุปกรณ์จับสัตว์หรือของใช้ทั่วไป ประกอบด้วย ข้อง ไซ หงอบ ตะกร้า เป็นต้น
ส่วนฝ่ายหญิงมีหน้าที่ทอผ้า เพื่อนำมาเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ให้กับตัวเองและสมาชิกในบ้าน เอกลักษณ์การแต่งกายผู้หญิงนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อ “อีหิ้ว หรืออีแปะ” ใช้ผ้าขาวสไบเฉียงห่มทับเสื้อ ผมทรงดอกกระทุ่ม ที่ไม่เหมือนชุมชนไหนๆ และใช้ย่ามเป็นวิถีควบคู่กันมา เช่น ไปตลาด ไปป่า หรือเข้าเมือง และใช้ผ้าขาวสไบเฉียงไปวัด ไว้นุ่ง ไว้ห่มตัว อุ้มเด็กเล็ก ใช้โพกหัว ใช้ห่อข้าว ส่วนเด็กๆ สะพายย่ามใส่หนังสือไปโรงเรียน

จนถึงปัจจุบัน ยังรักษาภูมิปัญญาการทอผ้าด้วยกี่โบราณ เรียกว่า “ทอหูก” มีลวดลายสืบต่อมาแต่โบราณ คือ ผ้าขาว (ผ้าขาวม้า) ลายตาสองลอน ลายตาเดี่ยว ลายตาราย ลายแปะ และลายตาห่าง ส่วนย่าม มีลายไส้ปลาไหล และลายข้างกระแต โดยนำสีธรรมชาติมาย้อมกับผ้าฝ้าย และพัฒนาต่อยอดมาเป็นสินค้า จนกลายเป็นสโลแกนว่า “ผ้าขาวม้างาม ถุงย่ามสวย ทอด้วยกี่โบราณ บ้านโคกสลุง” ปัจจุบันจากเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงของสภาพ เศรษฐกิจ สังคม ทำให้ค่านิยมดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป จากการผลิตเองกลายเป็นการหาซื้อจากตลาดแทน
ครอบครัวและระบบเครือญาติ
ระบบครอบครัวของชาวไทยเบิ้ง มีลักษณะคล้ายคลึงกับชุมชนท้องถิ่นทั่วไป คือ มีลักษณะครอบครัวขยาย สมาชิกในครอบครัวถือเป็นแรงงานสำคัญในการทำการเกษตร ดังนั้น ทรัพย์สินที่ดิน วัว ควาย และเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับประกอบอาชีพ จึงกลายเป็นสินทรัพย์ส่วนกลาง โดยสมาชิกภายในครอบครัวช่วยเหลือเกื้อกูล และร่วมแรงร่วมใจทำมาหากิน ในฐานะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

การจัดการและแบ่งงานกันทำภายในครอบครัว จะให้ความสำคัญกับ พ่อในฐานะผู้นำครอบครัว ที่มีอิทธิพลและอำนาจเหนือกว่าสมาชิกคนอื่นๆ อีกทั้งเป็นผู้หารายได้และจัดการทรัพย์สินเงินทอง รวมถึงอุปการะเลี้ยงดูสมาชิกทุกคนในครอบครัว ส่วนผู้เป็นแม่ถือเป็นผู้ตาม มีหน้าที่จับจ่ายใช้สอยเงินที่สามีหามาให้ จัดอาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน ทำงานบ้านและเลี้ยงดูลูก ลูกสาวมีหน้าที่ช่วยเหลือการงานภายในบ้าน ช่วยเลี้ยงน้องและดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า ขณะที่ลูกชายมีหน้าที่เป็นหัวเรียวหัวแรงในเรื่องการทำงาน ทั้งทำไร่และทำนา โครงสร้างสังคมเช่นนี้เรียกว่าเป็นสังคมชายเป็นใหญ่เช่นเดียวกันสังคมไทย
การแต่งงาน
วิถีชีวิตของชาวไทยเบิ้งในอดีต ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาหาเลี้ยงชีพตลอดเวลาช่วงกลางวัน โอกาสที่ชายหนุ่มจะได้พบปะพูดคุยเกี้ยวพาหญิงสาวจึงมีน้อย เว้นแต่โอกาสในงานบุญ งานวัด งานตรุษ สารท และช่วงเวลากลางคืนที่บ้านหญิงสาวจะจุดตะเกียงสว่างไสว ทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน เช่น ทอผ้า ตำข้าว กรองแฝก กะเทาะเปลือกละหุ่ง ชายหนุ่มจะไปเที่ยวบ้านหญิงสาว ช่วยทำงานหรือนั่งคุยเป็นเพื่อนขณะหญิงสาวทำงาน เป็นโอกาสที่หนุ่มได้พบปะเกี้ยวพากัน หรือบางครั้งเพื่อนบ้านในหมู่บ้านมีงานบวช งานศพ หญิงสาวจะไปช่วยงานที่บ้านเจ้าภาพ เช่น ทำอาหาร ทำขนม ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ชายหนุ่มได้มีโอกาสพบปะพูดคุยทำความรู้จักกัน เมื่อรู้จักสนิทสนมกันแล้ว ถ้าชายหนุ่มพึงพอใจ จะติดตามไปพูดคุยพบปะหญิงสาวถึงบ้านในโอกาสต่อไป เพื่อศึกษานิสัยใจคอ

เมื่อชายหนุ่มตกลงใจต้องการหญิงสาวนั้นเป็นคู่ชีวิต ชายหนุ่มจะบอกบิดามารดา ให้จัดหาเถ้าแก่ไปทาบทามและสู่ขอ เถ้าแก่ที่ไปทาบทามจะเป็นบุคคลที่มีศีลธรรม เป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ในการทาบทามนั้น ฝ่ายหญิงก็จะมีผู้ใหญ่ที่นับถือเป็นพยานรับรู้ด้วย เมื่อทาบทามแล้วเห็นว่า ฝ่ายหญิงสาวไม่รังเกียจก็จะมีการพูดจาสู่ขอ และนัดหมายวันที่จะหาฤกษ์งามยามดี เพื่อกำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานต่อไป
เมื่อได้ทาบทามสู่ขอแล้ว จะให้พระสงฆ์หรือหมอดูกำหนดฤกษ์ เพื่อเป็นวันหมั้น ซึ่งจะต้องเป็น “วันฟู” เพราะตามความเชื่อไทยเบิ้งจะไม่จัดใน “วันจม” วันฟู หมายถึง วันอธิบดี วันธงชัย ส่วนวันจม หมายถึง วันอุบาทว์และวันโลกาวินาศ สำหรับเดือนที่นิยมจัดงานจะเป็นเดือนคู่ ทั้งนี้ จะไม่จัดงานระหว่างเข้าพรรษา เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีสำหรับการหมั้นแล้ว ฝ่ายชายจะจัดเถ้าแก่และเตรียมเงินทองและของหมั้นตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้อง นำไปทำพิธีที่บ้านฝ่ายหญิง ซึ่งอาจจะหมั้นไว้นาน 3-5 ปี แล้วจึงแต่งงาน แต่ส่วนมากในยุคปัจจุบันจะนิยมหมั้นพร้อมด้วยการแต่งงาเลยทีเดียว
หนุ่มสาวบางคู่ที่ชอบพอกัน แต่บิดามารดาของหญิงสาวไม่ชอบหนุ่มผู้นั้น อาจจะเพราะยากจน หรือบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่อาจจะชอบชายหนุ่มคนอื่นมากกว่า หญิงสาวอาจจะหนีตามชายหนุ่มคนที่ตนรักไป ซึ่งจะทำให้บิดามารดาของฝ่ายหญิงอับอาย เมื่อหนีไปอยู่ด้วยกันระยะหนึ่งแล้ว ฝ่ายชายจะจัดผู้ใหญ่ไปขอขมาต่อบิดามารดาของฝ่ายหญิง ซึ่งจะไม่กล้าเรียกร้องเงินทองขอขมานี้มากนัก

เมื่อใกล้ถึงวันแต่งงาน ทั้งบ้านฝ่ายชายและบ้านฝ่ายหญิงจะมีการเตรียมตำข้าว หาฟืน หาปลา หาผักป่า เพื่อเตรียมทำอาหารในวันงาน เนื้อสัตว์ที่ใช้ทำอาหารของชาวไทยเบิ้งนิยมใช้ "ปลา" จะไม่มีการฆ่าหมู วัว หรือควาย อาหารที่ทำเลี้ยงพระและเลี้ยงแขกในงานแต่งงาน จะเป็นอาหารพื้นบ้านที่เรียบง่าย เช่น แกงหัวค้อ แกงหัวลาน แกงขนุน แกงหน่อไม้ป่า ขนมจีน และแกงบอน ส่วนขนมหวานที่นิยม ได้แก่ ลอดช่องน้ำกะทิ ข้าวตอก ข้าวโป่ง ข้าวเหนียวแดง อาหารทั้งคาวและหวานนั้นจะจัดทำกันเองโดยมีเพื่อนบ้านช่วยกันทำ
ขบวนขันหมาก เมื่อขึ้นไปบนเรือนพร้อมทั้งมอบของขันหมากแก้ฝ่ายเจ้าสาวแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวจะมอบแป้งกระสอบหนึ่งถุง เป็นดินสอพองปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ บรรจุในซองกระดาษแก้วสีต่างๆ เป็นของชำร่วย จากนั้นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวจะตรวจนับสินสอดที่ฝ่ายเจ้าบ่าวนำมา เมื่อตรวจสอบว่าครบถ้วนถูกต้อง จึงจะทำพิธีผูกข้อมือ โดยบิดามารดาของฝ่ายเจ้าสาวจะผูกข้อมือเจ้าบ่าว เรียกว่า ผูกเอาเขย และมอบเงินรับไหว้ จากนั้นบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวจะผูกข้อมือเจ้าสาว เรียกว่า ผูกเอาสะใภ้
หลังจากนั้น จะเชิญญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือผูกข้อมืออวยพรให้แก่บ่าวสาว เมื่อเสร็จพิธีผูกข้อมือ จึงจะยกสำรับอาหารเลี้ยงผู้มาร่วมงาน และจะมีพิธีเกี่ยวกับบ่าวสาวอีกครั้งในตอนเย็น ซึ่งเป็นพิธีมอบที่นอน หรือพิธีส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นที่น่าสังเกตว่าพิธีแต่งงานของชาวไทยเบิ้งในอดีต จะไม่มีพิธีรดน้ำหรือหลั่งน้ำสังข์ แต่ในระยะเวลาต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันจะมีพิธีหลั่งน้ำสังข์เช่นเดียวกับเพราะจำลองคนลพบุรี (ภูธร ภูมะธน, 2541)
หลังจากการแต่งงานมีการออกเรือน ฝ่ายชายจะเข้ามาอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง หรือปลูกเรือนอยู่บริเวณใกล้เคียงกับบ้านพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องฝ่ายหญิง โดยครัวเรือนดังกล่าว จะได้รับมรดกที่ดินมาจากพ่อแม่ของตน ซึ่งลูกสาวมักจะได้รับมรดกมากกว่าลูกชาย เนื่องจากถือว่า ลูกชายจะต้องแต่งงานเข้าไปอยู่กับฝ่ายหญิง ปัจจุบันพบว่า มีการแต่งงานทั้งแบบดั้งเดิมที่ฝ่ายชายแต่งเข้ามาอยู่กับฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงแต่งออกไปอยู่กับฝ่ายชาย

ระบบครอบครัวและเครือญาติชาวไทยเบิ้ง จึงอาจพิจารณาได้จากการใช้ นามสกุล กล่าวคือ หลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเก้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศพระราชบัญญัติขนานนามสกุลขึ้น พ.ศ. 2455 และประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2456 พบว่า นามสกุลกลายเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงความเป็นชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้ง นิยมตั้งนามสกุลตามภูมิลำเนาที่เกิดหรือที่อยู่อาศัย โดยใช้ชื่อตำบลเป็นส่วนท้ายหรือส่วนหน้าของนามสกุล เช่น ในอำเภอโคกสลุง จะใช้ สลุงอยู่ เกิดสลุง เดิมสลุง เป็นต้น ส่วนคำท้ายได้มาจากชื่อบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย รวมทั้งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเอง เพราะเชื่อว่า ตระกูลที่นามสกุลที่มีคำว่า “สลุง” ต่อท้าย หรือนำหน้านามสกุล จะต้องมีบรรพบุรุษเป็นชาวไทยเบิ้งโคกสลุง เข้ามาประกอบอาชีพในตำบลโคกสลุง และสร้างที่อยู่อาศัยในตำบลโคกสลุงเป็นเวลานาน จนกลายเป็นคนโคกสลุงในเวลาต่อมา (คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 2559)
นามสกุลอื่นๆ ที่ปรากฏในชาวไทเบิ้งที่กระจายอยู่ในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครราชสีมา ก็จะมี จันทึก สักจอหอ เสือสูงเนิน เติมขุนทด ทอดขุนทด หมิวกระโทก ฯลฯ มีคนรวบรวมไว้ใน Facebook ที่นี่นครราชสีมา ส่วนในจังหวัดบุรีรัมย์ก็จะลงท้ายด้วย รัมย์, ประโคน, ไธสง เป็นต้น
การแต่งกาย
การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้ง เริ่มตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง การแต่งกายคล้ายคนไทยแถบภาคกลาง และแถบนครราชสีมา ทั้งลักษณะของแบบเสื้อ ผ้านุ่ง ทรงผม และการแต่งหน้า เสื้อที่ใช้ในแต่ละวันคล้ายๆ กันเช่น

ผู้หญิง ใช้เสื้อกระโจม เสื้ออีแปะ ต่อมาเป็นเสื้อปกฮาวาย ปกเชิ้ต และปกตามสมัยนิยม ผ้านุ่ง คือ ผ้าโจงกระเบน และนุ่งผ้าถุง (ส่วนใหญ่สตรีสูงอายุนุ่ง)
ผู้ชาย ใช้เสื้อ คอกลม เสื้อกุยเฮง คอกระบอก ต่อมาเป็นปกฮาวาย ปกเชิ้ต นุ่งผ้าโจงกระเบน กางเกงขาก๊วย กางเกงแพร กางเกงขาสั้น กางเกงขายาว และผ้านุ่งตาหมากรุก การแต่งกายของชาวไทยเบิ้งยังคงรักษารูปแบบการแต่งกายไว้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน
อาหาร
อาหารชาวไทยเบิ้งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาตินำมาผลิต และใช้ปรุงอาหาร การปรุงอาหารเป็นวิธีการปรุงอาหารแบบง่ายๆ และกินง่าย นิยมกินอาหารที่สดใหม่ อาหารสุกแล้ว อาหารประเภทเนื้อปลา ผักพื้นเมือง ข้าวเจ้า ไม่นิยมกินอาหารใส่กะทิหรือทอด การเก็บรักษาอาหารไว้หลายๆ วัน โดยมีวิธีการถนอมอาหารแบบธรรมชาติเช่น ตากแห้ง การทำเค็ม หรือการดองเปรี้ยว ไม่มีการใช้สารปรุงแต่งอาหารประเภทสารสังเคราะห์ เช่น สารกันบูด สารกันรา ผงชูรส อาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเบิ้งคือ แกงหัวลาน แกงไก่สามสิบ แกงบุก และแกงมันนก-เหมือดยอดตำลึง-ใส่ปลากาย่าง เป็นอาหารที่หากินได้ง่ายในท้องถิ่น

ประเพณีและความเชื่อของชาวไทยเบิ้ง
ประเพณี หมายถึง สิ่งที่เป็นความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศคติ การประพฤติปฏิบัติตลอดจนประกอบพิธีกรรมในโอกาสต่างๆ ที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมและได้รับการยอมรับจาคนส่วนใหญ่ในสังคมว่าถูกต้อง และยอมรับยึดถือปฏิบัติเป็นแบบแผนสืบต่อๆ กันมา
ประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในสังคมจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ
- ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตส่วนบุคคลในครอบครัว
- ประเพณีส่วนรวมที่กระทำเป็นกลุ่มตามเทศกาล เช่นทำบุญ การรื่นเริง สนุกสนาน ตามเทศกาลต่างๆ
ประเพณีชาวไทยเบิ้งก็ไม่ต่างจากชาติพันธุ์ชาวไทยกลุ่มอื่นๆ มากนัก และในเรื่องความเชื่อบางอย่าง ก็มีเหตุผล และบางอย่างก็ไม่มีเหตุผล ความเชื่อดังกล่าวจึงทำให้เกิดผล 2 ประการ คือ ทำให้เกิดข้อห้ามไม่ควรปฏิบัติ และข้อควรปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดศิริมงคล เกิดผลดี มีความมั่นคงทางจิตใจและเกิดความสามัคคีในหมู่คณะ
ความเชื่อของชาวไทยเบิ้งที่ยึดถือปฏิบัติกันมา คือ
- ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
- ความเชื่อเกี่ยวกับยากลางบ้าน
- ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง
- ความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตและความฝัน
- ความเชื่อเกี่ยวกับไสยาศาสตร์ ของคลัง คาถาอาคม ผ้ายันต์ ตะกรุด ลูกประคำ
- ความเชื่อเรื่องลักษณะของคนและสัตว์
- ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศาสนา
- ความเชื่อเรื่องเคล็ด
- ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ ผีกระสือ
- ความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์
- ความเชื่อด้านโหราศาสตร์ หมอดู
- ความเชื่อเกี่ยวกับการทำมาหากิน
ความคิด ความเชื่อที่ยึดถือปฏิบัติกันมาจนตลอดเป็นประเพณี จึงเป็นรากฐานส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิถีชีวิตของคนในสังคม และปรากฏ ในทุกขั้นตอนของการดำรงชีวิต ซึ่งโบราณได้กำหนดขั้นตอนที่สำคัญของชีวิต มี 4 ครั้ง คือ ตอนเกิด บวช แต่งงาน และตอนตาย เมื่ออายุแต่ละคน ผ่านถึงวัยหรือมาถึงขั้นตอนของชีวิตดังกล่าวจึงนิยมจัดทำพิธีต่างๆ เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง

ประเพณีท้องถิ่นชาวไทยเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งที่อาศัยอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักมีความเชื่อและประเพณีต่างๆ คล้ายกับชาวไทยในภาคกลาง ส่วนชาวไทยเบิ้ง หรือไทยโคราช ก็จะมีความเชื่อและประเพณีต่างๆ คล้ายกับชาวไทยอีสานส่วนใหญ่ เช่นกัน
ความเชื่อเรื่องภูตผี สิ่งลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวไทยเบิ้งที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ยังคงมีความเชื่อเรื่องผีที่สำคัญ ดังนี้
- ผีบ้านผีเรือนหรือผีปู่ย่าตายาย ชาวไทยเบิ้งไม่นิยมตั้งศาลบูชาผีบ้านผีเรือนผีปู่ย่าตายาย หรือศาลเจ้าที่ แต่เชื่อว่ามีผีประจำอยู่ในบ้านเรือน
- ผีปอบ ชาวไทยเบิ้ง มีความเชื่อว่า ปอบมีอยู่จริง ชาวบ้านบางคนเคยพบเห็น และผีปอบเคยสิงคนในหมู่บ้าน คนที่ถูกผีเข้าบางคนยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน คนที่ถูกสิงจะมีอาการแปลกประหลาก เช่น กินของดิบบางคนเดินแก้ผ้า
- ผีนางไม้ ส่วนใหญ่ชาวไทเบิ้งมีความเชื่อเรื่อง ผีนางตะเคียน มากที่สุด และต่างเชื่อกันว่า ตามต้นไม้ใหญ่จะมีผีประจำอยู่ หากมีผู้ใดไปทำอะไรไม่ดีจะถูกลงโทษ
- ผีกระสือ ชาวไทยเบิ้งเล่าว่า เคยพบเห็นผีกระสือเข้ามาในหมู่บ้านช่วงค่ำๆ หรือตอนกลางคืน ในลักษณะของดวงไฟแวบๆ ลอยมาวนเวียนใต้ถุนบ้าน บางทีก็ดูดกินตับไตไส้พุงของสัตว์ที่เลี้ยงไว้ในใต้ถุนบ้านจนตาย
- ผีพราย หรือ ผีเงือก ผีพรายหรือผีน้ำหรือผีเงือกจะมีความเหมือนกัน ชาวไทเบิ้ง เชื่อว่า ผีเงือกอยู่ประจำวังน้ำ หากผู้ใดไปหาปลา ลงเล่นน้ำหรือถ่ายปฏิกูลลงแม่น้ำ อาจจะถูกผีเงือกหลอกหลอนได้
- ผีปะกำ หรือ ผีประกำ ในอดีตชาวไทยเบิ้งโคกสลุงเชื่อว่า ผีปะกำเคยมีอาชีพเกี่ยวกับการคล้องช้าง ก่อนจะออกไปคล้องช้างจะต้องทำพิธีเซ่นสรวงบูชาผีปะกำ จึงจะเกิดผลดีต่อการไปคล้องช้าง
- ผีโรงผีโลง เป็นผีของบรรพบุรุษ ของแต่ละบ้านชาวไทเบิ้ง เชื่อว่า ผีพวกนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใดแต่ต้องกราบไหว้บูชา
- ผีตายโหง หมายถึงคนที่ตายแบบผิดปกติ ผีเหล่านี้จะมาหลอกหลอนคนอื่น ไม่ยอมไปผุดไปเกิดง่าย ๆ
- ผีตะมอย ชาวบ้านบางหมู่บ้านเชื่อเรื่องผีตะมอย แต่ไม่สามารถระบุรูปร่างได้แน่ชัด แต่เป็นผีขี้ขโมย ชอบลักขโมยกินข้าวของชาวบ้าน
ความเชื่อในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ในอดีตชาวไทยเบิ้งมีความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อ และศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ศาลเหล่านี้สร้างขึ้นจาก การที่ชาวบ้านบนบานศาลกล่าวต่อเจ้าพ่อองค์ใดองค์หนึ่งที่ตนรู้จัก หลังจากได้รับผลสมตามที่ต้องการ จะมีการตั้งศาลถวาย ต่อมาจึงมีผู้คนมากราบไหว้บูชาบนบานศาลกล่าวให้พ้นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ หลังจากได้ตามที่ขอจึงพากันเซ่นสรวงบูชาเป็นการบำรุงศาล ภายหลังไม่มีคนดูแล ศาลจึงถูกทิ้งให้ชำรุดและทรุดโทรม
ความเชื่อในเรื่องการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
ชาวไทยเบิ้งมีประเพณีความเชื่อเกี่ยวกับการเกิด (ภูธร ภูมะธน, 2541) นับตั้งแต่ผู้หญิงท้องจะมีข้อห้ามต่างๆ คือ คนท้องห้ามทำบาป ไม่ตกปลา ไม่ฆ่าสัตว์ ห้ามเตรียมของใช้ของลูกไว้ก่อน เช่น ผ้าอ้อม ที่นอน หมอน ถ้าจะเตรียมที่นอนและหมอนไว้ต้องไม่เย็บปิดปากที่นอน หรือปากหมอน เมื่อคลอดแล้วจึงจะเย็บปิดปากหมอนปาก
นอกจากนี้ ยังห้ามคนท้องข้ามขอนไม้ใหญ่ ไม่ไปเยี่ยมคนไข้หนัก ไม่ไปงานศพ ถ้าจะไปงานศพต้องหาเข็มกลัด กลัดผ้าถุงด้านในบริเวณท้อง เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เกิดในท้อง ไม่ไปดูคนอื่นคลอดลูก เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก ห้ามอาบน้ำตอนกลางคืนเพราะกลัวจะเกิดแฝดน้ำ ส่วนการรับประทานอาหารตต้องรีบอิ่มก่อนบุคคลอื่น แม้ว่าจะยังไม่อิ่ม แล้วจึงกลับไปกินต่อภายหลังเพราะมีความเชื่อว่า อิ่มก่อนจะทำให้คลอดง่าย
อีกทั้งยังมีความเชื่อว่า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หากได้ลอดท้องช้างหรือดื่มน้ำในรอยเท้าช้างจะทำให้คลอดง่าย ในอดีตหากมีคนเข้าป่าแล้วพบรอยเท้าช้างมีน้ำขังอยู่จะตักน้ำในรอยเท้านั้นใส่กระบอกกลับบ้านให้หญิงตั้งครรภ์ได้ดื่มกิน รวมถึงเมื่อเกิดจันทรคราสหรือสุริยคราสจะต้องปลุกลูกในท้องให้รู้ตัวด้วยโดยเอามือตบท้องเบา ๆ และบอกให้ลูกรู้ว่าเกิดคราสจะทำให้คลอดง่าย โดยมีเนื้อความว่า “เกิดจันทรคราสแล้วลูกเอ๊ย อยู่เย็นเป็นสุข สนุกสบายนะ ลูกนะ เกิดมาก็ขอให้มาค้ำมาคูณกันเน้อ”
ส่วนการกินอาหาร เชื่อว่า คนท้องไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด และไม่ให้กินอาหารพร่ำเพรื่อ ห้ามกินกล้วยแฝด กลัวว่าจะมีลูกแฝด ทำให้คลอดยาก ไม่ให้นั่งหรือยืนบริเวณบันไดหรือประตู
ขั้นตอนการเตรียมการคลอด เมื่อท้องแก่ ผู้เป็นสามีต้องทำงานบ้านที่หนักแทนภรรยา เช่น หาบน้ำ ตำข้าว หาปลาไว้ทำปลาแห้ง เพื่อเป็นอาหารสำหรับคนอยู่ไฟ และหายาประเภทว่านไพลเตรียมไว้ให้ภรรยา และเตรียมตัดฟืนไว้เพื่อใช้ในการอยู่ไฟ ส่วนมากจะใช้ไม้แสมสาร ไม้สะแก
นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์บางคน โดยเฉพาะการตั้งครรภ์ลูกคนแรกจะกลับไปคลอดที่บ้านแม่ตนเอง โดยจัดเตรียมห้อง “ในเรือน” เป็นห้องคลอด บางบ้านจะทำด้วยสายสิญจน์วนรอบห้องคลอด บางคนอาจทำสายสิญจน์คล้องคอคนท้องไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผีมารบกวน ภายในห้องที่ถูกใช้เป็นห้องคลอดต้องทำเตาไฟ โดยเอาไม้ขอนวางขวางกันเป็นคอกหมู เอากาบกล้วยปูรองพื้นและนำดินใส่จนเต็ม เตรียมแคร่นอนไว้ข้างเตาไฟ ใต้ถุนของห้องคลอดจะขุดหลุมตรงกับร่องสำหรับขับถ่ายของเสียไว้ รอบหลุมจะตัดหนามพุทราหรือหนามอื่นมาสะไว้โดยรอบเพื่อป้องกันผีปอบ ผีกระสือไม่ให้มากินเลือด กินของคาว ของเสียที่ถ่ายทิ้งลงมาทางร่องนั้น
การคลอด เมื่อท้องแก่และเริ่มปวดท้องจะไปตามหมอตำแยมาทำคลอด เริ่มด้วยหมอตำแยจะทำพิธีไหว้ผีบ้านผีเรือน เครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วยขนมต้ม ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วย ดอกไม้ ธูป เทียน และเงิน จัดใส่พานเพื่อไหว้ “ปู่ ย่า ตา ยาย ทางพ่อก็ดี ให้มาช่วยให้คลอดง่ายให้มาปกปักรักษาให้คลอดง่าย” การเตรียมตัวคลอดจะนิยมให้คนท้องนั่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก และให้นั่งพิงครกหรือพิงหลังสามีเอาเท้ายันฝาไว้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วผู้เป็นสามีหรือคนในบ้านจะรีบติดไฟต้มน้ำร้อนเพื่อเตรียมอาบน้ำเด็กต่อไป ถ้าการคลอดมีอาการผิดปกติจะใช้หมอพื้นบ้านมาเสกมาเป่า หรือทำน้ำมนต์ให้ดื่มเป็นการสะเดาะเคราะห์ เมื่อเด็กตกฟากแล้วจะเอาด้ายมัดสะดือ 3 เปลาะ ใช้ขมิ้นรองมือ วางสายสะดือบนขมิ้นใช้ผิวไม้รวกตัดออก 2 เปลาะ ใช้รังหมาร่าเผาไฟให้ละเอียดนำไปพอกสะดือ เพื่อให้สะดือแห้งและต้องระมัดระวังไม่ให้สะดือเปียกน้ำ
ส่วน "รก" จะนำใส่หม้อตาลและนำเกลือใส่เพื่อไม่ให้เน่า หลังจากนั้นผู้เป็นสามีหรือแม่ใหญ่จะเป็นผู้นำรกไปฝังไว้ที่ใต้บันได เพราะมีความเชื่อว่า เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะได้เป็นคนรักบ้านเป็นห่วงบ้าน จะไปที่ใดก็ตามจะต้องกลับบ้านเสมอ เมื่อฝังรกใต้บันไดแล้วจะสุมไฟไว้เหนือหลุมที่ฝังรก เพื่อป้องกันสัตว์ไปขุดคุ้ย
ส่วนแม่ เมื่อคลอดและรกออกแล้ว หมอตำแยจะให้ดื่มน้ำมะขามเปียกใส่เกลือซึ่งเป็นยาสมุนไพร หลังจากนั้นจะนำเด็กไปอาบน้ำอุ่น ทาขมิ้นดินสอพอง วางแด็กนอนในกระด้ง ถ้าเป็นผู้ชายจะนิยมจัดหาสมุดดินสอวางในกระด้ง ถ้าเป็นลูกสาวจะหาด้าย เข็ม วางในกระด้ง แล้วหมอตำแยจะทำพิธีทิ้งกระด้ง (ร่อนกระด้ง) และพูดว่า “3 วันเป็นลูกผี 4 วันเป็นลูกคน ลูกใครหลานใครก็มารับไปเด้อ” ว่าดังนี้ 3 ครั้งจะมีคนมารับกระด้งไป คนที่มารับกระด้งนี้จะต้องเป็นคนเลี้ยงลูกง่าย เป็นคนดีมีศีลธรรม เมื่อรับกระด้งมาแล้วจะกล่าวว่า “ลูกฉันเอง ฉันจะผูกเอามิ่งเอาขวัญลูก” เมื่อรับไปแล้ววางกระด้งลงทำพิธีเรียกขวัญ ผูกข้อมือรับเป็นลูก เป็นหลาน “ขวัญเอ๋ยมาเฮอะมาลูกมาแม่จะผูกเป็นลูกเป็นเต้า อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสบาย ความเจ็บก็ไม่ได้ความไข้ก็ไม่มี ตั้งแต่วันนี้ไปให้เลี้ยงง่าย”

หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการอยู่ไฟ การอยู่ไฟ หรือภาษาพื้นบ้านชาวไทยเบิ้งเรียกว่า “อยู่กรรม” เป็นการอยู่ไฟฟืน แม่เด็กจะนอนข้างไฟ โดยนอนเหยียดแขนเหยียดขาบนแคร่ซึ่งส่วนมากจะเป็นไม้กระดานแผ่นเดียว การนอนอยู่ไฟจะไม่ให้งอแขนงอขาและห้ามไม่ให้ออกนอนบริเวณที่อยู่ไฟ เมื่อแข็งแรงดีแล้วจะลุกขึ้นเดินได้เล็กน้อย ผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนห้ามทักถามเรื่องร้อน เช่น “ร้อนไหม” อาหารสำหรับผู้อยู่ไฟ สามารถรับประทานได้เฉพาะข้าวกับเกลือ โดยการกัดก้อนเกลือกินกับข้าวสวย แล้วดื่มน้ำร้อนตามเข้าไป จะทำให้รู้สึกว่าข้าวมีรสหวาน หรือกินข้าวกับปลาช่อนแห้ง น้ำที่ใช้ดื่มจะต้องดื่มน้ำร้อนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามไม่ให้กินของเย็น เช่น แตงโม ฟัก อาหารบางชนิดเป็นอาหารต้องห้าม ได้แก่ ผักประเภทมีมือ เช่น ตำลึง ปลาประเภทที่มีเงี่ยง เช่น ปลาดุก ปลาแขยง เพราะกลัวแสลง เมื่อออกจากไฟแล้วจึงสามารถรับกินหมู ไก่ และแกงเลียง
หมายเหตุ : สำหรับประเพณีความเชื่อนี้ ในอดีตยังหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็มักจะเลือกทำตามผู้เกิดมาก่อน ทำตามกันมา จนบางสิ่งบางอย่างในยุคหลังต่อมา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ก้าวหน้าแล้ว มีความรู้ มีคำตอบที่ชัดเจน ความเชื่อเหล่านี้ก็จางหายไปมากแล้ว (แอบบ่นในฐานะเป็นคนรอยต่อ ที่เคยต้องไปแบกต้นกล้วยมาทำคีไฟให้เมียอยู่กรรม ทั้งหนักทั้งเหนื่อย ไม่ทำก็ไม่ได้ พ่อตา-แม่ยายถมึงตาสั่งอยู่ เมียอยู่ไฟได้ไม่ถึงวัน ทนไม่ได้ตามโบราณ เฮ้อ! เหนื่อยเปล่าจริงๆ)
การรักษาโรค
ชาวไทยเบิ้งในอดีตจะรักษาโรคภัยตามความเชื่อคือ การทำพิธีเสี่ยงทาย ที่เรียกกันว่า "การบูน" คือ พิธีกรรมการเสี่ยงทาย ผู้ทำหน้าที่ในพิธีกรรมนี้เรียกว่า “หมอบูน” ทำหน้าที่เสี่ยงทายสิ่งต่างๆ ที่เป็ความวิตกกังวลของคนในชุมชน โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
แม้ฝนยุคปัจจุบัน เมื่อมีอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการเพทย์สมัยใหม่ ชาวไทเบิ้งจะไปหา “หมอบูน” เพื่อทำพิธีกรรมเสี่ยงทาย เพื่อค้นหาสาเหตุของความเจ็บป่วย ทำให้เกิดสาเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมวิธีการแก้ไข กล่าวคือ เวลาป่วยไปหาหมอแล้วไม่หายจากอาการเจ็บป่วย วิธีการตรวจ หมอบูนจะสอบถามอาการผู้ป่วย ด้วยการตั้งคำถามว่าเป็นโรคใด โดนฤทธิ์จากผีใด หรือเจอภัยจากกระสือ กระหัง เปรต ปอบ ผีพราย ผีบ้านผีเรือน ผีโป่งค่าง ผีเงือก ผีตายโหง ฯลฯ เมื่อสอบถามเสร็จแล้ว หากกรรไกรที่ถืออยู่ในมือของหมอบูนแกว่งไกว แสดงว่า คำตอบ คือ “ใช่” จากนั้นจะถึงช่วงการรักษา จะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไปตามแต่โรค ตามความเชื่อของชาวไทเบิ้งหากโดนผีตายโหงจะให้นำของเซ่นไปไหว้ขอขมา วางไว้บริเวณทางสามแพร่ง จากนั้นอาการเจ็บป่วยก็จะหายส่วนการตรวจโรค นอกจากจะใช้หมากพลูเป็นเครื่องไหว้ครูแล้ว ยังมีค่าครูอีก 1 บาท แต่ชาวบ้านบางรายอาจให้มากกว่านี้ตามกำลังศรัทธา
ความตาย และการทำศพ
การทำศพ หรือ ปลงศพ ของชาวไทยเบิ้ง ในอดีตนิยมเผา หากเป็นศพที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติเช่น การถูกฆาตกรรม ตกต้นไม้ ฟ้าผ่า จมน้ำ คลอดบุตร หรืออุบัติเหตุจะนำศพฝังไว้ 3-5 ปี แล้วจึงทำพิธีเผาในภายหลัง เมื่อมีผู้เสียชีวิต จะเริ่มจากการทำความสะอาดศพด้วยน้ำร้อนต้มใส่ใบมะขาม ใบฝรั่ง การอาบน้ำศพจะทำเฉพาะลูกหลาน และญาติใกล้ชิด จากนั้นจะแต่งตัวศพ ทาขมิ้น ผัดแป้ง หวีผม โดยจะหวีไปในทางตรงข้ามกับตอนมีชีวิตอยู่ ใส่เสื้อผ้ากลับด้านหน้าไว้ข้างหลัง จัดทำกรวยใบตองใส่ดอกไม้ ธูป เทียน ใส่มือพนมไว้เพื่อให้ผู้ตายนำไปบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบอกกับศพว่าใครขอก็ไม่ให้ นำเงินเหรียญใส่ในปากศพ แล้วใช้ผ้าขาวมัดตราสังข์ศพ แล้วทำพิธีเบิกโลงก่อนนำศพลงบรรจุในโลง
การเบิกโลง เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อ โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกเป็นปากกา มีลักษณะเป็นไม้คีบเหมือนไม้ปิ้งปลา 8 อันนำไปคีบตามขอบโลงด้านละ 2 อัน แล้วนำด้ายสายสิญจน์มัดโยงตามไม้คีบปากกาทั้ง 8 อัน ทำกระทงใบฝรั่ง 4 กระทง ใส่ข้าวดำ ข้าวแดง เพื่อวางในโลงเป็นเครื่องสังเวย ทำน้ำมนต์ธรณีสารพรมที่โลงและศพ แล้วใช้เทียนจุดด้ายสายสิญจน์ที่โยงไว้ระหว่างไม้คีบปากโลง ให้สายสิญจน์ขาดเป็นช่อง ๆ เป็นการแสดงว่าได้ตัดขาดจากญาติพี่น้อง ลูกหลานให้หมด ต่อจากนั้นจึงม้วนด้ายสายสิญจน์และนำไม้คีบปากทั้งหมดใส่ในโลงด้วย หลังจากนั้นจะยกโลงไปตั้งบนเรือนหันด้านศีรษะไปทางทิศตะวันตกเพื่อทำพิธีสวดศพต่อไป
การสวดศพ ในอดีตจะตั้งศพที่บ้าน ไม่นิยมตั้งศพที่วัดดังเช่นปัจจุบัน ทั้งนี้ ชาวไทยเบิ้งจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพียง 1-3 วัน เนื่องจากยังไม่มีการฉีดยาป้องกันศพเน่าเปื่อย ตลอดเวลาของการตั้งศพสวดจะจุดธูป หรือจุดตะเกียงตลอดไม่ให้ดับ เมื่อถึงเวลาอาหาร ญาติของผู้ตายจะจัดสำรับอาหารไปวางข้างโลง และเคาะโลงเรียกให้กินอาหาร เมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมก็จะเคาะโลงเรียกให้ฟังพระสวด
การเผาศพ เมื่อสวดศพวันสุดท้ายจะหามศพไปทำพิธีที่วัด ในกรณีที่ผู้เสียชีวิตเป็นพ่อ แม่หรือญาติผู้ใหญ่ หลังจากการหามศพลงจากบ้านแล้วจะคว่ำโอ่งน้ำ 1 ใบ ขบวนศพที่หามไปนั้นจะนำหน้าศพด้วยหม้อไฟ ซึ่งเป็นหม้อตาลใส่ฝ้ายจุดไฟ และมีถาดใส่มะพร้าวปอกเปลือกแล้ว 1 ลูก กระทงใบฝรั่งหรือกระทงใบตองใส่ข้าวดำข้าวแดง และสตางค์กระทงละ 1 บาท แต่ละกระทงจะปักธงสามเหลี่ยม ขณะที่หามศพไปจะโรยข้าวตอกไปตลอดทาง เป็นการนำไปสู่สวรรค์ และตลอดทางที่หามศพไปจะไม่มีการหยุดพักระหว่างกลางทาง
การกำหนดวันเผาศพของชาวไทยเบิ้งจะห้ามเผาศพวันพระและวันคู่ ห้ามเผาวันศุกร์ วันเสาร์และวันอังคาร การเผาศพจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันคี่ การแต่งกายของผู้ไปร่วมงานศพจะแต่งกายสีใดก็ได้ ไม่ถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีแต่อย่างใด ต่อมาชาวไทเบิ้งได้รับเอาประเพณีการแต่งกายสีดำ หรือสีขาว-ดำ ไปงานศพจากคนภาคกลาง
หลังจากเผาศพ 3 วัน จะทำพิธีกลบธาตุหรือกลับธาตุ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์ไปที่เชิงตะกอน สวดบังสุกุลตายพรมน้ำมนต์ที่กระดูก แล้วเขี่ยกระดูกเป็นรูปคนหันศีรษะไปทางตะวันออก แล้วพระสงฆ์สวดบังสุกุลเป็นเพื่อเป็นการแสดงการเกิด แล้วจึงเก็บกระดูกใส่โกศไว้บนหิ้งบูชาหรือ เก็บไว้ที่วัด เมื่อถึงวันตรุษสงกรานต์ แต่ละปีจะนำโกศไปวัดให้พระสงฆ์สวดบังสุกุล หรือนิมนต์พระสงฆ์ไปทำบุญที่บ้าน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ นับเป็นการทำบุญใหญ่ประจำปี
นอกจากนี้ คนไทยเบิ้งยังมีการต่ออายุและการดูใจผู้ป่วยระยะท้ายสุดของชีวิต กล่าวคือ เมื่อมีผู้ป่วยหนักมักจะทำพิธีต่ออายุโดยนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีที่บ้าน มีการทำบุญเลี้ยงพระ สวดต่อชะตา ชักบังสุกุลเป็นการสร้างเสริมกำลังใจผู้ป่วย และยืดอายุผู้ป่วยไปอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการบอก “ทาง” โดยนัยแก่คนใกล้สิ้นใจ เมื่อผู้ป่วยอาการหนักเห็นว่า ไม่มีทางรอดมีอาการใกล้สิ้นใจ ญาติพี่น้องจะบอกทางแก่ผู้ป่วยให้นึกถึงพระอรหันต์ หรือบอกให้ท่องพุทโธๆ หรือจะกล่าวนำดังๆ ให้ผู้ป่วยได้ยินจะได้ยึดคำพุทโธๆ เป็นพุทธานุสติ ให้จิตใจสบายและเชื่อมั่นว่าเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วจะไปสู่ภพภูมิที่ดี (ภูธร ภูมะธน, 2541)
ภาษาไทเบิ้ง
ชาวไทยเบิ้งมีภาษาพูดคล้ายกับภาษาไทยภาคกลาง แต่มีเสียงวรรณยุกต์ต่างไป และนิยมลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "เบิ้ง เดิ้ง เหว่ย ด๊อก" มีผู้เรียกภาษานี้ว่า ภาษาไทยเดิ้ง หรือภาษาไทยโคราช ด้านวรรณกรรมเก่าแก่ที่พบมีรูปแบบตัวอักษรที่เขียนคือ "อักษรไทยและอักษรขอม" เป็นส่วนใหญ่ วัสดุที่ใช้เขียนเป็นสมุดไทยดำ สมุดไทยขาว(สมุดข่อย) และเขียนบนใบลาน เนื้อเกี่ยวกับนิทาน นิยาย คำสอนและคติธรรม ตำรายา ตำราหมอดู และกฎหมาย เป็นต้น

ดนตรีและการแสดง
เครื่องดนตรีพื้นบ้านชาวไทยเบิ้งเขตลุ่มแม่น้ำป่าสักพบน้อยชิ้นที่สำคัญ การละเล่นและการประดิษฐ์จะไม่มีความซับซ้อน เช่น เพี้ย (บางครั้งเรียกจิ้งน่อง หรือ หืน) ปี โทน และกลองยาว อาจจะได้รับอิทธิพลจากชุมชนไทยลาว

เพี้ย, จิ้งน่อง, หืน เป็นเครื่องดนตรีกึ่งดีดกึ่งเป่าอย่างหนึ่งมี ทั้งที่ทำด้วยไม้ไผ่และโลหะเซาะร่องตรง กลางเป็นลิ้นในตัว เวลาเล่นประกบหืนเข้ากับ ปาก ดีดที่ปลายข้างหนึ่งด้วยนิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ อาศัยกระพุ้งปากเป็นกล่องเสียง ทำให้ เกิดเสียงสูงต่ำตามขนาดของกระพุ้งปากที่ทำ สามารถดีดเป็นเสียงแท้คล้ายเสียงคนออกเสียงสระ เครื่องดนตรีนี้มีเล่นกันในพวกชนเผ่ามูเซอ เรียกชื่อว่า เปี๊ยะ ชาวไทเบิ้งเรียก เพี้ย เครื่องดนตรีชนิดนี้มิ ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่มีใน ทุกส่วนของโลก เช่น แถบมองโกเลีย ปาปัว นิวกินี อัฟริกา และยุโรป นับเป็น เครื่องดนตรีโบราณชิ้นหนึ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
ส่วนเพลงพื้นบ้าน มีทั้งประเภทให้อารมณ์สนุกสนาน ครึกครื้น โดยใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะ เช่น เพลงรำโทน แต่เพลงพื้นบ้านบางชนิด ให้อารมณ์แก่ผู้ฟังจากปฎิภานของผู้ขับร้อง ที่คิดเนื้อเพลงขึ้นสดๆ ใช้โต้ตอบหรือเกี้ยวพาราสี เช่น เพลงหอมดอกมะไพ เพลงพวงมาลัย เพลงระบำบ้านไร่ เพลงโนเน เพลงพิษฐาน เพลงช้าเจ้าหงส์ และเพลงโคราช เป็นต้น เพลงโคราชได้รับความนิยมสูงสุดมีผู้เล่นได้บ้างจนถึงปัจจุบัน
ที่มาข้อมูล : กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย โดย เอกรินทร์ พึ่งประชา
การศึกษาการย้ายถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเบิ้งในลุ่มแม่น้ำชี : ศุภโชค สนธิไชย และ อาติยาพร สินประเสริฐ
- Details
- Written by: ครูมนตรี โคตรคันทา
- Category: Ethnos
- Hits: 1768

“ไทยพวน” เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกแทนตนเองด้วยคำว่า พวน (Phuen, Puen) คำว่า พวน (ພວນ) ตรงกับคำว่า โพน (ໂພນ) ในภาษาลาว และ พูน ในภาษาไทย หมายถึง เมืองอันตั้งอยู่บริเวณพื้นที่สูงหรือที่ราบสูง พวนจึงเป็นคำที่เรียกกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแคว้นเชียงขวาง หรือบริเวณที่ราบสูง ในประเทศสาธารณรัฐธิปไตยประชาชนลาว มีอาณาเขตติดต่อกับญวน ได้ชื่อว่า "พวน" เพราะเชียงขวางมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านพื้นที่ ชื่อแม่น้ำพวน ชาวพวนนิยมตั้งถิ่นฐานสร้างที่ทำกิน บริเวณลุ่มแม่น้ำ ด้วยมีอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ไถนา นำมาเรียกชื่อกลุ่มของตน ชื่อเรียกนี้มีทั้งเขียนด้วย “ไทพวน” และคำว่า “ไทยพวน” โดยคำว่า “ไท” นั้นหมายถึง “คน" เมื่อย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยช่วงแรกๆ ถูกเรียกว่า “ลาวพวน” เพื่อบ่งบอกว่ามาจากลาว ภายหลังมีการเรียกใหม่ว่า “ไทยพวน” เพื่อแสดงถึงความเป็นกลุ่มคนเชื้อสายพวนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมีชื่อเรียกอื่นๆ ในอีกหลากหลายบริบท ได้แก่ “ไทพวน” “ลาวพวน” “ไทยพวน” “พวน” “ลาวกะเลอ” และ “ไทยกะเลอ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่หมายถึงชาวไทยพวนทั้งสิ้น
ชาวพวนได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกัน คือ สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. 2322 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงโปรดเกล้าให้ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์และหัวเมืองต่างๆ ซึ่งมีชื่อเรียกรวมกันว่า หัวพันทั้งห้าทั้งหก ประกอบด้วย เมืองคำม่วน เมืองคำเกิด เมืองเวียงไชย เมืองไพศาลลี เมืองซำเหนือ และเมืองเชียงขวาง ได้กวาดต้อนเอาลาวเวียง (ลาวเวียงจันทน์) ลาวพวน และไทดำ (ปัจจุบันนิยมเรียกว่าไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง) มาไว้ที่เมืองร้าง (เพราะถูกพม่ากวาดต้อนราษฎรไปตั้งแต่สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310) เช่น เมืองสระบุรี ลพบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา
ระยะที่สอง ในราวปี พ.ศ. 2335 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมืองแถงและเมืองพวนแข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์จึงได้ยกทัพไปปราบ และกวาดต้อนครอบครัวไทดำและลาวพวนส่งมากรุงเทพฯ ลาวทรงดำถูกส่งไปอยู่ที่เพชรบุรี ลาวพวนถูกส่งมาที่เมืองลพบุรี สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรีและจันทบุรี ด้วย

ระยะที่สาม ในราวปี พ.ศ. 2370 เมื่อเจ้าอนุวงศ์ แห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้ก่อกบฏต่อกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าให้พระยาราชสุภาวดี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) เป็นแม่ทัพขึ้นไปปราบกบฏ และได้กวาดต้อนครอบครัวลาวพวนมาไว้ที่อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดลพบุรี และจังหวัดพิจิตร เป็นต้น

ปัจจุบันชาวไทยพวนในประเทศไทย กระจายตัวและตั้งถิ่นฐานในหลายภูมิภาค ดังนี้
- ภาคกลาง พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี พิจิตร สุโขทัย สุพรรณบุรี นครสวรรค์ และอุทัยธานี
- ภาคเหนือ พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พะเยา เชียงราย และเพชรบูรณ์
- ภาคตะวันออก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
- ภาคตะวันตก พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) พบการตั้งถิ่นฐานของชาวไทพวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี และเลย
สภาพเศรษฐกิจและสังคมชาวไทยพวน
วิถีการดำรงชีพของชาวไทพวนนั้น มีความผูกพันกับอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ปัจจุบัน สังคมคนไทพวนส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทจังหวัดที่มีชาวพวนอาศัยอยู่ นอกจากนี้ ชาวไทพวนยังมีค่านิยมในการส่งลูกหลานให้เข้าสู่ระบบการศึกษาที่สูงขึ้น เนื่องจากมองว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ต่ำกว่าอาชีพอื่น ในปัจจุบัน ลูกหลานชาวไทยพวนหลายคนจึงหันไปประกอบอาชีพตามค่านิยมของสังคม เช่น รับราชการ ทหาร ตำรวจ หมอ และพยาบาล

สังคมคนไทยพวนส่วนมากเป็นสังคมชนบท บางพื้นที่เป็นสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท ในชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเด็ก ส่วนวัยกลางคนและวัยรุ่นนิยมไปศึกษาต่อ และเป็นแรงงานรับจ้างในตัวเมือง ในต่างจังหวัด และกรุงเทพมหานคร
บ้านคนไทพวน มักเป็นเรือนไม้จริง หลังคาจั่วมุงแป้นเกล็ด ยกใต้ถุนสูง ฝาไม้ตีซ้อนเกล็ด หน้าต่างเป็นบานคู่ไม้ขนาดเล็ก ตัวเรือนแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานไม้ และมียุ้งข้าวแยกต่างหากอีกหลังหนึ่ง เรือนชาวไทพวนจะใช้บันไดพาดกันชานด้านในการขึ้นลง และจะเก็บบันไดขึ้นบนเรือนในตอนกลางคืน เพื่อความปลอดภัย เป็นรูปแบบหนึ่งของเรือนพื้นถิ่นในประเทศไทย
ไทพวน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีถิ่นอาศัย ณ แขวงเชียงขวาง ของ สปป.ลาว
ผ้าทอมือไทพวน การทอผ้าแบบโบราณของชาวไทยพวน เดิมจะปลูกฝ้ายและนำฝ้ายมาปั่นด้วยมือ เรียกว่า ฝ้ายเข็น และย้อมสีธรรมชาติ ในการทอผ้าสีที่ใช้ในการทอผ้าส่วนมากจะเป็นสีเข้ม ซึ่งสตรีชาวไทพวนจะนิยมนุ่งผ้าที่ตนเองเป็นผู้ทอขึ้นไว้ใช้เอง มีลวดลายสีสันสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชนได้แก่ ผ้าทอมือไทพวน จังหวัดเลย กลุ่มทอผ้าพื้นเมือง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีการรวมกลุ่มกันและได้สร้างโรงเรือนทอผ้า อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายทอมือสะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ และความประณีตอย่างมีศิลปะของบรรพบุรุษ ในการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติมาแปรรูปที่สวยงามมีคุณค่า และเป็นที่ต้องการของผู้พบเห็นการเชื่อมโยงการทอผ้าและวัฒนธรรมชุมชน

ผ้าขะม้าอีโป้ เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ที่ชาวไทพวนมีใช้กันทุกครัวเรือน ซึ่งผ้าขาวม้าของแต่ละท้องถิ่นก็มีความแตกต่างกัน เป็นผ้าเอกลักษณ์ท้องถิ่น เป็นงานหัตถกรรมของชาวไทยพวน ที่มีความสามารถในการทอผ้าใช้เองจนเก่ง และมีลวดลายสวยงาม ได้ใช้ภูมิปัญญาด้านการย้อมฝ้ายจากเปลือกไม้ ดอกไม้ใบ เมล็ด นำมาย้อมเป็น 9 สี ให้ความหมายเป็นมงคลทั้ง 9 สี ใช้ชื่อว่า ผ้าขะม้าอีโป้มงคล 9 สี มีการนำฝ้ายมาย้อมจากน้ำส้มควันไม้ ทำให้ได้ผืนผ้าทอที่มีกลิ่นหอมของควันไม้ ถือว่าเป็นเสน่ห์ของผ้าทอมืออีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นผ้าสารพัดประโยชน์เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต มีลวดลายสีสันสวยงามประทับใจ ปัจจุบันมีการแปรรูปผ้าขะม้าเป็นเครื่องใช้อื่นๆ เช่น กระเป๋า หมอนอิง และอื่นๆ อีกมากมาย
ผ้าซิ่นไทพวน เป็นผ้าซิ่นทอมือของชาวไทพวน ถือเป็นมรดกภูมิปัญญาที่ชาวไทพวนสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ผ้าซิ่นทอมือและผ้าย้อมครามสไตล์อีสาน
กลับมาได้รับความนิยมอีกในปัจจุบัน เพราะมีการรื้อฟื้นการทอผ้าด้วยมือและรื้อฟื้นลายผ้าไทยในสมัยก่อนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อตอบสนองผู้คนยุคนี้ ที่หันมาให้เคุณค่ากับผ้าไทยมากขึ้น

ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
วิถีชีวิตสังคมวัฒนธรรมประเพณีของชาวไทพวน มีการนับถือปฏิบัติในฮีต-คองเช่นเดียวกับชาติพันธุ์ไท-ลาวอื่นๆ แต่มีข้อปฏิบัติและความเชื่อแตกต่างกันออกไป สังคมไทพวนเป็นสังคมที่นับถือผี มีพิธีกรรมความเชื่อที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้ปัจจุบันไทพวนเหล่านี้จะนับถือพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นการนับถือผีคู่ไปกับนับถือพระ โดยเฉพาะผีปู่ตาหรือผีตาปู่ ยังปรากฏในทุกชุมชนชาวไทพวนในประเทศไทย ที่ปรากฎให้เห็นผ่านการตั้งศาลผีปู่ตาทุกหมู่บ้าน ชาวไทยพวนเชื่อว่าผีปู่ตา คือ ผีอารักษ์ ผู้ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านการตั้งศาลมักหันไปทางทิศตะวันออก หรือทิศเหนือของหมู่บ้าน และจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสามและเดือนหก ประเพณีของชาวพวนส่วนมากยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่ บางประเพณีก็ได้เลิกไปแล้ว บางประเพณีก็ได้ทำแบบไม่ต่อเนื่องกันกระทำเป็นบางครั้งบางคราว บางประเพณีมีปฏิบัติกันในเพียงบางจังหวัดเท่านั้น

ชาวพวนมีนิสัยรักความสงบ ใจคอเยือกเย็น มีความโอบอ้อมอารี ยึดมั่นในศาสนา รักอิสระ มีความขยันขันแข็งในการการประกอบอาชีพ เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนาก็จะทำงานหัตถกรรม คือ ผู้ชายนิยมทำเครื่องจักสาน โดยเฉพาะเครื่องใช้ในครัวเรือน ได้แก่ กระบุง กระบาย ตะกร้า กะโล่ กระด้ง หมวกกะโล่ งอบ ตะแกรง กระชอน คุตักน้ำ บุ้งกี๋ กระจาด หรือพัด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์จับปลา ได้แก่ ข้อง สุ่ม ไซ ชะนาง ตุ้ม อีจู้ กระสุน เป็นต้น ส่วนผู้หญิงจะทอผ้า ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในปัจจุบันคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขะม้าอีโป้

อาหาร ของชาวไทยพวนที่มีประจำทุกครัวเรือนคือ ปลาร้า เมื่อมีงานบุญมักนิยมทำขนมจีน และข้าวหลาม ส่วนอาหารอื่นๆ จะเป็นอาหารง่ายๆ ที่ประกอบจากพืชผัก ปลา ที่มีในท้องถิ่น เช่น ปลาส้ม ปลาส้มฟัก เป็นต้น ในด้านความเชื่อนั้น ชาวพวนมีความเชื่อเรื่องผี จะมีศาลประจำหมู่บ้านเรียกว่า ศาลตาปู่ หรือศาลเจ้าปู่บ้าน รวมทั้งการละเล่นในเทศกาลก็จะมีการเล่นผีนางด้ง ผีนางกวัก ประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวพวนคือ ประเพณีใส่กระจาด ประเพณีกำฟ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงการสักการะฟ้า เพื่อให้ผีฟ้า หรือเทวดาพอใจ เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ

ภาษาไทพวนในภาคอีสาน ภาษาพวนเป็นภาษา 1 ใน 7 กลุ่มใหญ่ภาษาไทยดั้งเดิม สืบทอดมาจากยูนนานเชียงแสนราวพันกว่าปีมาแล้ว ไทพวนมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ปัจจุบันมีเพียงภาษาพูดที่ยังถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ ส่วนภาษาเขียนไม่มีคนเขียนได้ การพูดเป็นสิ่งที่คนไทยพวนยังคงอนุรักษ์ไว้ โดยการถ่ายทอดผ่านกันในครอบครัวจากพ่อ-แม่สู่บุตรหลาน การสื่อสารในชุมชนที่ยังคงใช้ภาษาไทยพวน เป็นภาษาพูดที่มีเอกลักษณ์ มีการปรับตัว ซึมซับเอาวัฒนธรรมให้เข้ากับคนไทย ปัจจุบันมีการใช้ภาษาพูดกันอย่างเปิดเผย พูดคุยในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น และมีความภูมิใจ เนื่องจากเกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย ชมรมไทยพวนแห่งประเทศไทยขึ้น มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน และเป็นตัวแทนในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดการยอมรับเกี่ยวกับความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์
วัฒนธรรมด้านภาษา ชาวพวนจะมีภาษาเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งมีสำเนียงคล้ายเสียงภาษาถิ่นเหนือ อักษร "ร" ในภาษาไทยกลาง จะเป็น "ฮ" ในภาษาพวน เช่น รัก - ฮัก, หัวใจ - หัวเจอ, ใคร - เผอ, ไปไหน - ไปกะเล
ตัวอย่างคำไทพวนเทียบกับภาษาลาว-ไทยกลาง-อีสาน
| ภาษาพวน | ภาษาลาว | ภาษาไทย (กลาง) | ภาษาอีสาน |
| ฮะ | ฮัก | รัก | ฮัก |
| หัวเจอ | หัวใจ | หัวใจ | หัวใจ |
| เผอ | ใผ | ใคร | ใผ |
| ไปกะเลอ/ไปเก๋อ | ไปใส | ไปไหน | ไปใส |
| โบ่ง/ซ้อน | บ่วง | ช้อน | บ่วง/ส้อน |
| เห้อ | ให้ | ให้ | ให้ |
| เจ้าเป็นไทบ้านเลอ | เจ้าเป็นไทบ้านใด | คุณเป็นคนบ้านไหน | เจ้าเป็นคนบ้านใด |
| เอ็ดผิเลอ/เอ็ดหังก้อ | เฮ็ดหยัง | ทำอะไร | เฮ็ดอีหยัง |
| ไปแท้บ่ | ไปอีหลีบ่ | ไปจริงๆ หรือ | ไปอีหลีบ่ |
| เจ๊าแม่นเผอ | เจ้าแม่นใผ | คุณเป็นใคร | เจ้าเป็นใผ |
| ป่องเอี๊ยม | ป่องเยี้ยม | หน้าต่าง | หน้าต่าง |
| มันอยู่กะเลอบุ๊ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ | มันอยู่ไหนไม่รู้ | มันอยู่ใสบ่ฮู้ |
| ไปนำกันบ๊อ | ไปนำกันบ่ | ไปด้วยกันไหม | ไปด้วยกันบ่ |
| มากันหลายหน่อล้า | มากันหลายคือกันน้อ | มากันเยอะเหมือนกันนะ | มากันหลายคือกันน้อ |
| มากี๊ท้อ | มานี้แด่ | มานี่เถอะ | มานี้เด้ |
| บ๊าแฮ้ง | อี่แฮ้ง | อีแร้ง | อีแฮ้ง |
| บ๊าจ๊อน | กะฮอก | กระรอก | กระฮอก |
| หม่าทัน | หมากกะทัน | พุทรา | บักทัน |
| หน้าแด่น | หน้าผาก | หน้าผาก | หน้าผาก |
| หม่ามี้ | หมากมี่ | ขนุน | บักมี่ |
ความเชื่อเรื่องผีและการเซ่นไหว้
ผีย่าหม้อนึ่ง
ผีย่าหม้อนึ่ง หรือ เมื่อย่าหม้อนึ่ง เป็นการเสี่ยงทาย หรือสอบถามเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ อุปกรณ์ในการเสี่ยงทาย ประกอบด้วย มะกวัก ด้ง (กระด้ง) ข้าวสาร เสื้อหม้อห้อม ใส่ให้มะกวัก ขันตั้งที่มีธูป จำนวน 8 คู่ และดอกไม้ ส่วนหมากคำพูลใบ (หมาก 1 คำ พลู 1 ใบ) จะถูกใส่ลงในหม้อนึ่งไหข้าว ปัจจุบันผู้ที่ยังสืบทอดประกอบพิธีเมื่อย่าหม้อนึ่งอยู่
ผีด้ำ (ผีปู่ย่า หรือผีบรรพบุรุษ)
ชาวไทยพวนทุ่งโฮ้งมีความเชื่อและนับถือผีด้ำ (ผีปู่ย่า) มีหลายตระกูล แต่ละตระกูลมีผีปู่ย่าที่นับถือแตกต่างกัน ในส่วนของที่ใช้ในพลีกรรมเลี้ยงผีปู่ย่า ประกอบด้วยอาหาร น้ำมะพร้าว และเงิน ตามสมัครใจของแต่ละหลังคาเรือน นอกจากนี้ยังมีผีปู่ย่า ทั้งนี้ ผีปู่ย่าแต่ละตระกูลจะเลี้ยงพลีกรรมต่างกัน เช่น บางตระกูลเลี้ยงผีย่าวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) ของทุกปี ยกเว้นมีงานศพภายในหมู่บ้านจะเลื่อนวันเลี้ยงผีปู่ย่าออกไป
ผีเสื้อวัด
ผีเสื้อวัด เป็นผีที่รักษาอาณาบริเวณวัด มีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ทุกครั้งที่ตักบาตรวันพระที่วัด จะต้องแบ่งข้าวต้มขนมที่ตักบาตรพระไปยื่นโยงถวาย 1 เป๊าะ (1 สำรับ) จะเลี้ยงขันข้าวและน้ำในวันเข้าพรรษาและออกพรรษา เมื่อมีการบวชจะให้เจ้าอาวาสนำพระสงฆ์ สามเณรที่บวชใหม่ไปบอกกล่าวกับผีเสื้อวัด พร้อมกับของยื่นโยงถวาย ประกอบด้วย ข้าวแคบ และข้าวแตน (ขนมนางเล็ด) ใส่กระทง
ผีเสื้อบ้าน
ผีเสื้อบ้าน เป็นผีอารักษ์ที่ปกปักรักษาดูแลหมู่บ้าน หากคนในชุมชนมีการบวช หรือไปทำงานต่างถิ่น จะมีการมาบอกกล่าว ในการเลี้ยงพลีกรรมผีจะถูกจัดขึ้นในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 เหนือ (ประมาณเดือนมีนาคม) เครื่องพลีกรรม ประกอบด้วย หัวหมู 1 หัวเหล้าไหไก่ 1 คู่ ขันเชิญผีเสื้อบ้าน 1 ขัน ที่มีธูป 16 คู่ ผ้าขาว ผ้าแดง ข้าวสาร และเงิน 36 บาท
นอกจากนี้ชาวพวนยังมีความเชื่อเรื่องผีเสื้อนา ซึ่งเป็นผีที่ดูแลรักษานา ผีเสื้อไร่ หรือผีที่ดูแลรักษาไร่ ผีเตาเหล็ก หรือผีที่อยู่ประจำกับเตาเหล็ก ชาวพวนในอดีตมีความชำนาญในการเป็นช่างตีเหล็ก ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น ผีครู ซึ่งเป็นดวงวิญญาณของครูบาอาจารย์แต่ละแขนงวิชา ที่ล่วงลับไปแล้ว เช่น ผีครูฟ้อนดาบ ผีครูสล่า ผีครูคาถาเสกเป่า ผีคูต่อกระดูก และผีนางด้ง เป็นการเรียกผีนางด้งมาเข้าสิงเพื่อฟ้อนรำอย่างสนุกสนาน เมื่อเลิกเล่นจะจูงแขนเข้าใต้ชายเรือนซึ่งผีนางด้งจะออกจากร่างทันที
ดนตรีลงข่วง ลายแถน หมอเหยา ผีฟ้า
ประเพณีกำฟ้า
ประเพณีกำฟ้า หรือชาวไทยพนวนเรียกว่า “กำแถน กำฟ้า กำลม” หรือ “กำแถน กำน้ำดินไฟลม” เป็นประเพณีโบราณสำคัญที่กระทำตั้งแต่อยู่เมืองเชียงขวาง (เมืองพวน) ประเพณีดังกล่าวจึดขึ้นเพื่อบูชาผีฟ้าพญาแถนและผีเทวดาอารักษ์ เพื่อให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์และเพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยในการดำรงชีวิต
คำว่า “กำ” หมายถึง การสำรวมหรือการงดเว้นด้วยความเคารพ เมื่อถึงวันกำฟ้า ทุกคนภายในหมู่บ้านต้องหยุดการทำงาน เช่น ตำข้าว ตักน้ำ ผ่าฟืน ซักผ้า ถางหญ้า และพรวนดิน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็ห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ ให้นอนเว้นระยะห่างระหว่างกัน หากผู้ใดฝ่าฝืนฟ้าจะผ่าบุคคลผู้นั้น กำฟ้าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงค่ำ ผู้อาวุโสของแต่ละครอบครัวจะบอกสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย ว่า “สูเอย กำฟ้าเน้อ อยู่สุข ขออย่าแซว อยู่ดีมีแฮงเด้อเอ้อ”
ประเพณีกำฟ้า จะถูกจัดขึ้นปีละสองครั้งครั้งที่หนึ่ง ช่วงขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ตามปฏิทินพวน ซึ่งมักอยู่ในช่วงเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสากล ส่วนครั้งนี้สองนั้น ช่วงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 9 ตามปฎิทินพวน ก่อนวันกำฟ้าหนึ่งวัน จะมีการรับหญิงสาวจากหมู่บ้านอื่นๆ มาร่วมการละเล่นต่างๆ เช่น เตะหม่าเบี้ย ขี่ม้าหลังโกง เล่นนางด้ง นางกวัก ลิงลง และตีไก่ ในวันดังกล่าว ชาวไทยพวนจะเตรียมข้าวของเครื่องใช้ อาหารคาวหวาน เพื่อไปทำบุญที่วัดช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น

ในวันกำฟ้า เริ่มตั้งแต่รุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้น จะประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัด อาหารคาวหวานที่นิยมนำไปทำบุญที่วัด เช่น แกงอ่อม แกงฮังเล ลาบ ขนมเทียน ขนมชั้น ข้าวแตน และข้าวแคบ เมื่อทำบุญฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว ช่วงสายจะนำเครื่องนอนเสื้อผ้าไปซักและตาก ระหว่างที่รอเครื่องนอนเสื้อผ้าที่ตาก จะพากันจับกุ้งหอยปูปลา บางคนไปเก็บไข่มดแดง เพื่อเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ช่วงบ่ายที่เครื่องนอนเสื้อผ้าแห้ง จึงกลับบ้าน หลังรับประทานอาหารมื้อเย็น ช่วงกลางคืนจะมีการละเล่นต่างๆ เช่น ผีนางด้ง ผีไต่สาว และไก่หมุน
ช่วงเวลากลางคืน ผู้อาวุโสจะสังเกตเสียงฟ้าร้องว่าจะมาจากทิศใด เรียกว่า “เสียงฟ้าเปิดประตูน้ำ” เพื่อให้น้ำฟ้าสายฝนตกลงมาให้ชาวบ้านได้ทำไร่ทำนา มีคำทำนายเสียงฟ้าร้องตามทิศต่างๆ ดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปีนี้ฝนจะดี ทำนาได้ข้าวบริบูรณ์
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ ปีนี้ฝนจะแล้ง น้ำไม่บริบูรณ์ การทำนาจะเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก ปีนี้ฝนตกปานกลาง นาที่ลุ่มจะดี นาดอนจะได้รับความเสียหาย
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ปีนี้ฟ้าฝนไม่แน่นอน อาจเกิดแห้งแล้งทำนาเสียหาย

ส่วนคำทำนายเหตุการณ์ของบ้านเมือง มีดังนี้
- ฟ้าร้องทางทิศใต้ จะอดเกลือ
- ฟ้าร้องทางทิศเหนือ จะอดข้าว
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก จะเอาจาทำหอก
- ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก จะเอาหอกทำจา
ในปีที่ฟ้าร้องในทางทิศที่ไม่ดี ผู้ใหญ่บ้าน หรือ พ้อบ้าน จะประชุมเพื่อทำพิธีกรรม “เสียมแสง” หรือการเอาดุ้นฟืนที่ไหม้ไฟเกือบสุดท่อน ไปทิ้งที่ร่องน้ำพร้อมกล่าวอ้อนวอนให้เทพยดาอารักษ์เมตตาให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล
ฟ้อนไทพวน กรณีศึกษา ชมรมนาฏศิลป์หนองคาย วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์
ประเพณีการแต่งงานและการหย่าร้าง
ประเพณีแต่งงานของไทยพวน หรือ กินดองไทยพวน เริ่มต้นจากการรักใคร่ชอบพอกันของคนหนุ่มสาว จากนั้นจะบอกให้พ่อแม่มาสู่ขอ อาจจะรักชอบกันตั้งแต่การลงข่วงหรือในช่วงเวลาอื่น บางรายจะหมั้นหมายกันไว้ก่อน แล้วจึงมาแต่งงานกันภายหลัง ทั้งนี้ ส่วนใหญจะสู่ขอและจัดพิธีแต่งงานกันในทันที การแต่งงานของชาวไทยพวนเรียกว่า การเอาผัวเอาเมีย
การหาฤกษ์แต่งาน จะให้พระผู้ใหญ่หรือ ตารย์ ผู้รู้ฤกษ์ยามที่เคารพนับถือหาให้ เมื่อได้ฤกษ์แล้วฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะแจ้งญาติพี่น้องให้มาโฮม (รวม) กันก่อนวันแต่ง 1 วัน ในช่วงเย็นฝ่ายเจ้าสาวจะเตรียมอาหารไว้เลี้ยงแขกที่จะมาในงาน
เช้าวันแต่งงาน ตามฤกษ์ จะมีการแห่เจ้าบ่าวมาที่บ้านเจ้าสาว ที่บ้านเจ้าสาวญาติพี่น้องจะเอาหินมาวางเอาใบตองปู แล้วเอาหญ้าแพรกวางบนใบตอง กั้นประตูเงินประตูทอง (เรียกเงินเรียกเหล้ายา) จากนั้นจึงจะปล่อยเจ้าบ่าวไปเข้าพิธี ฝ่ายเจ้าสาวจะถูกซ่อนตัวอยู่ในห้อง ต้องหาคนผัวเดียวเมียเดียวไปจูงออกจากห้องมาเข้าพิธี
ญาติผู้ใหญ่จะเลือกทิศที่เป็นมงคลให้บ่าวสาวนั่ง เมื่อได้เวลาฤกษ์ หมอพรจะสูดขวัญ เมื่อสูดขวัญเสร็จ พ่อแม่เจ้าบ่าวจะผูกแขนเจ้าสาวรับเป็นลูกสะใภ้ พ่อแม่เจ้าสาวก็จะผูกแขนเจ้าบ่าวรับเป็นลูกเขย จากนั้นจึงจะให้ญาติผู้ใหญ่ รวมทั้งแขกที่มาร่วมงานทำการผูกแขนจนครบ
จากนั้น ญาติผู้ใหญ่หรือเฒ่าแก่ฝ่ายหญิงจะเอาสินสอดของหมั้นมาให้คู่บ่าวสาวถือเป็นสินสร้าง เพื่อก่อร่างสร้างตัว หลังจากการผูกข้อต่อแขนแล้ว จะสมมาผู้ใหญ่ผู้เฒ่าผู้แก่ ฝ่ายหญิงจะเตรียมผ้าแพร ผ้าตุ้ม ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น มาสมมาผู้เฒ่าผู้แก่ ญาติผู้ใหญ่ที่มาในงาน เมื่อถึงช่วงเวลาในการส่งตัวบ่าวสาว ญาติฝ่ายเจ้าสาวจะมาดึงคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ เพื่อรับศีลรับพรจากผู้ใหญ่ และฟังการอบรมสั่งสอนการอยู่กินฉันสามีภรรยา

การนอนต้องให้สามีนอนก่อน ภรรยาจะเข้านอนทีหลัง ถ้าเป็นวันพระ ให้ภรรยานำดอกไม้มาไหว้สามีก่อนนอน กราบสามีก่อนนอน ให้ภรรยานอนต่ำกว่าสามี ตอนเช้า ให้ภรรยาเตรียมน้ำไว้ปลายเตียงให้สามีล้างหน้าล้างตา และเตรียมหมากพลูไว้ด้วย
การกิน ต้องให้สามีกินก่อน 3 คำ ภรรยาจึงเริ่มกินได้ เสื้อผ้า ไม่ให้เก็บปนกัน ไม่ตากผ้าร่วมกัน ไม่ใส่เสื้อผ้าปนกัน ผู้ชาย ไม่ลอดราวตากผ้าจะทำให้การเรียนมนตรี คาถา เสื่อมไป
การกินดองไทยพวน นิยมจัดขึ้นในเดือน 4 เดือน 6 เดือน 12 การงานงานฝ่ายชายมักไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นเขยฝาก แต่หากฝ่ายชายเป็นลูกชายคนเดียวจะแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ค่าสินสอดจะแพงขึ้นกว่าเขยฝาก
ประเพณีเกี่ยวกับความตายและการทำศพ
ในอดีต เมื่อมีผู้เสียชีวิตจะมีการดอยศพ (ตราสังศพ) ตั้งศพมีผ้าปกโลง หรือผ้าปกกะโลง เป็นผ้าทอผืนใหญ่ จำนวน 2 ผืนติดกัน หลังจากเผาศพหรือฝังศพไปแล้วผ้าปกกะโลงจะนำไปถวายพระ เมื่อตั้งศพอยู่ที่บ้านจะมีละเล่นที่มีความสนุกสนาน เพื่อคล้ายความโศกเศร้า หรือเรียกว่า “งันเฮือนดี” รวมทั้งมีพระมาสวดศพ หลังจากที่พระกลับวัดแล้ว จะมีการอ่านหนังสือธรรมโดยผู้รู้ ขณะที่ศพอยู่ที่บ้าน คนในบ้านจะหยุดการทำงานบ้าน เช่น การทอผ้า ตัดผม เข็นฝ้าย และตัดหูก

เมื่อถึงกำหนดวันเผาหรือฝังศพ จะมีการเอาศพลงจากบ้านไปป่าช้า ซึ่งป่าช้าจะไม่อยู่ในเขตวัด แต่จะเป็นบริเวณป่าที่ไกลออกไปจากตัวหมู่บ้าน เมื่อเดินถึงป่าช้า เรียกว่า ป่าเห้ว จะหว่านข้าวตอกนำหน้าศพ เป็นการป้องกันผีตายอดตายอยากที่จะมารับผู้ตายไม่ให้ไปหามศพ การจะทำให้ไม่สามารถหามศพได้เพราะน้ำหนักมากขึ้นและถือเป็นอัปมงคล การเอาศพลงบ้านจะพลิกบันไดกลับข้าง เมื่อศพลงพ้นบ้านก็พลิกบันไดกลับ เป็นการกันไม่ให้ผีกลับบ้านได้ถูก เพราะจำทางขึ้นบ้านไม่ได้
การเลือกพื้นที่เผาหรือฝังศพจะต้องเสี่ยงไข่ ด้วยการโยนไข่ถามทางว่า ผู้ตายชื่นชอบพื้นที่บริเวณใดก็จะเผาหรือฝังบริเวณนั้น เช่นเดียวการตั้งกองฟอนหรือกองขี้เถ้าศพที่เผาแล้ว จะต้องโยนไข่ถามผู้ตายว่า ชื่นชอบบริเวณใด ส่วนการฝังศพ เมื่อฝังเรียบร้อยจะมีธงหน้าวัวปักไว้ทั้ง 4 มุมของหลุมศพ ไม้ที่ใช้หามศพไปป่าช้าจะถูกผ่า เสี้ยม ให้เป็นหลาว แล้วจับซัดไปในหลุมศพให้เต็มแน่นเป็นขวากป้องกันสัตว์ป่ามาขุดคุ้ยศพ
หากเป็นการตายโหง หรือตายทั้งกลมจะนำศพฝังแยกต่างหาก ไม่ร่วมป่าช้าเดียวกัน หากเสียชีวิตด้วยโรคระบาด เช่น ห่าลง ฝีดาษ จะเอาศพไว้ได้ไม่เกิน 1 วัน คือตายเช้าเผาเย็น
เมื่อกลับจากเผาศพหรือฝังศพ จะกลับเข้าบ้านทันทีไม่ได้ ต้องเดินเข้าไปในวัด และผ่านประตูวัดที่ชาวบ้านจะเตรียมน้ำมนต์ รวมทั้งน้ำใบส้มป่อย ใบว่านชน และเอากิ่งหนามพุทราวางที่ถังน้ำ เมื่อกลับจากเผาศพจะเดินเข้าวัด เอากิ่งหนามพุทราจุ่มน้ำแล้วสาดไปข้างหลังไล่ผีไม่ให้ตามกลับบ้าน และขับไล่เคราะห์เข็ญให้หลุดพ้นไป จากนั้นให้ขึ้นไปไหว้พระบนศาลาก่อน จึงจะกลับบ้านได้ ปัจจุบัน ไม่มีการเผาศพบนเชิงตะกอน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ จะถูกนำทำพิธีและเผาเมรุที่วัด
เมื่อบรรพบุรุษเสียชีวิต ลูกหลาน ญาติพี่น้องจะทำบุญให้ เรียกว่า ทำบุญกระดูกหรือทำบุญอัฐิเป็นประจำทุกปีในช่วงวันปีใหม่ไทย หรือวันสงกรานต์ จะนำกระดูกหรืออัฐิมาสรงน้ำมีการทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษ และมีการทำบุญห่อข้าวดำดินในช่วงประเพณีสารทพวน โดยจะมีการทำสลากภัตอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพ่อแม่บรรพบุรุษที่เสียชีวิต
















