พายุฟ้าฝนยังไม่หมดไป
กรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายอากาศทั่วไป วันที่ 11 – 17 กันยายน พ.ศ. 2568 ดังนี้
- ในช่วงวันที่ 12 – 17 กันยายน 2568 ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะเริ่มมีฝนลดลง ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคตะวันออก เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยยังคงมีกำลังปานกลาง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
- ในช่วงวันที่ 15 – 17 กันยายน 2568 ประชาชนบริเวณภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ในช่วงวันที่ 12 – 17 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40 - 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากทางตอนล่าง
- ลมแปรปรวน ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม.
- อุณหภูมิต่ำสุด 23 – 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32 - 35 องศาเซลเซียส
ขอให้พี่น้องที่อยู่อาศัยในที่ราบลุ่มริมน้ำ หรือพื้นที่เชิงเขา ได้โปรดระมัดระวังน้ำหลากท่วม น้ำหลากจากการสะสมของปริมาณน้ำฝนในช่วงที่ผ่านมา มีดินโคลนถล่มได้ โปรดเตรียมความพร้อมและฟังข่าวสารพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา
แผ่นดินไทยยกตัวสูงขึ้นฉับพลัน
นอกจากพายุฟ้าฝนปกติที่มีมาแล้ว ฟ้าฝนมืดมนทางการเมืองก็มาไม่มียั้งเช่นเดียวกัน เมื่อบ่ายของวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เกิดการยกตัวของแผ่นเปลือกโลกที่ชื่อว่า "แผ่นดินไทย" ยกตัวสูงขึ้นในทันทีทันใด ทำให้นักกินเมืองเกิดการตกหล่นระนาวจากเก้าอี้เป็นจำนวนมาก ท่ามกลางการโห่ร้องดีใจของคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศต่างแซ่ซ้องในปรากฏการณ์นี้อย่างอื้ออึง เรียกได้ว่าวงการสื่อโทรทัศน์ วิทยุ โซเชียลทั้งหลายแทบจะจุดพลุฉลองกันเลยทีเดียว
แต่ในท่ามกลางฝุ่นตลบนี้ก็ยังมีคนจำพวกหนึ่งวิ่งกันฝุ่นตลบ นับตั้งแต่ช่วงค่ำวันศุกร์ยันมาถึงเวลาที่เขียนบทความนี้ และคาดว่าจะยังคงวิ่งฝุ่นคลุ้งไปจนถึงวันพุธ (3 กันยายน) ที่จะถึงนี้ นอกจากจะมีนักวิ่งแล้ว ก็ยังมีข่าวว่า "งูเห่า" จากหลายๆ ดงก็กำลังชูคอแผ่แม่เบี้ยกันสลอน นี่แผ่นดินไทยจะยุบลงอีกครั้งล่ะหรือ? พี่น้องรู้สึกยังไงกันบ้าง เลือกตั้งครั้งหน้าจะสั่งสอนพวกผีเปรตนี้อย่างไร?
การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน 2 ขั้วเดินเกมตั้งนายกฯ ฟอร์มรัฐบาลอย่างดุเดือด จากที่เคยตระบัดสัตย์ ลั่นวาจาว่าจะไม่มีวันเผาผีกันอีก ตอนนี้กับวิ่งเข้าหาสวมกอดจูบกันดูดดื่ม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โอ้! อนิจจา ประชาชนที่หลงเลือกพวกเอ็งมา ใยพวกเจ้าทำเช่นนี้เล่า???
กติกาการเลือกนายกรัฐมนตรี
ที่เขาวิ่งกันฝุ่นตลบนี้ก็เพื่อแย่งชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ว่างลงฉับพลัน สิ่งที่จะต้องรวบรวมสรพพกำลังคือเสียงข้างมากที่เอามาจากอีกฝ่าย (ล้วงคองูเห่า ให้มาเป็นพวกนี่แหละ) ใครจะได้พรรคพวกมากกว่ากัน โดยมีเงื่อนไขแห่งความสำเร็จดังนี้
- พรรคการเมืองที่มี ส.ส. อย่างน้อย 25 คน สามารถเสนอชื่อบุคคลที่อยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีที่ยื่นไว้ต่อ กกต.
- ส.ส.ทั้งหมด 495 คน (ปัจจุบัน) มีสิทธิลงคะแนนแบบ ขานชื่อ เปิดเผย
- ผู้ที่จะได้รับตำแหน่ง ต้องได้เสียงเกิน ครึ่งหนึ่งของสภา หรืออย่างน้อย 248 เสียง
- หากไม่มีผู้ใดได้เสียงเกินครึ่ง จะต้องโหวตรอบใหม่ โดยสามารถเสนอชื่อคนเดิมหรือเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นที่อยู่ในบัญชีได้
- เมื่อมีผู้ได้เสียงข้างมากแล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
นี่ขนาดบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญที่หมดไปคือ "อำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีโดยสมาชิกวุฒิสภา" ไม่มีแล้ว ยังยุ่งขิงๆ ขนาดนี้ ส่วนประชาชนอย่างเราก็นั่งบนภู ดู... ทะเลาะกัน ใครมีกระสุนหรือเงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าดีกว่า ก็คงชนะไป แต่คาดว่า "การเลือกตั้ง" ในครั้งหน้า พรรคการเมืองต่างๆ จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปจับมือกันใหม่ พรรคใหม่ ที่เคยได้เกินร้อยก็คงจะร่วงเป็นเบี้ยหัวแตก เพราะประชาชนอย่างเราได้เห็นสันดานสันดอนที่ขูดไม่ออกในวันนี้แล้ว หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเทอญ