
อาหารอีสาน คือ วัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่เข้มแข็งของชาวอีสาน แต่ปัจจุบันอาหารอีสานถูกเข้าใจในภาพรวมๆ กว้างๆ ว่ามันก็เหมือนกันทุกที่นั่นแหละ โดยมองข้ามความแตกต่างหลากหลายไป รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหารและทุนผูกขาดใหญ่ๆ ทั้งหลาย ก็พยายามทำให้อาหารอีสานมีรสชาติเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ความจริงแล้วแม้จะเป็นอาหารเมนูง่ายๆ เดียวกันอย่าง ส้มตำ หรือ ตำบักหุ่ง ก็ยังมีความต่างกันอย่างมากทั้งในกรรมวิธีการทำเส้นมะละกอ ตั้งแต่บางคนสับฝานให้เป็นเส้นเรียวเล็ก บางคนชอบแบบเส้นหนา ใหญ่ บางคนเอาสะดวกใช้เครื่องมือขูดเป็นเส้น เครื่องปรุงก็เช่นกัน แม้จะมีพริก กระเทียม มะนาว มะเขือเทศ ปลาร้า เช่นเดียวกัน ก็ยังมีเคล็ดลับซ่อนอยู่ในพริกสด พริกแห้ง ปลาร้าต่วง ปลาร้านัว ปลาร้ามีตัวหอมๆ เป็นต้น
ปลา : เนื้อสัตว์ที่อยู่ในวัฒนธรรมอาหารอีสาน
ในบรรดาอาหารของชาวอีสานนับร้อยนับพันเมนูนั้นมักจะมี "ปลา" เป็นเนื้อสัตว์หลักๆ สำหรับการประกอบเมนูอาหารอีสานมากมาย ทั้งเป็นส่วนประกอบหลัก และเป็นส่วนเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติ ความอูมามิ และกลิ่น ถ้าลองกลับไปย้อนอ่านเรื่อง "๑ จังหวัด ๑ เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste" จะพบว่า มีอาหารที่ได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่นอีสานประเภทที่ทำจาก "ปลา" เป็นจำนวนมาก ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เหตุผลคือ ชาวอีสานกลุ่มใหญ่มักจะตั้งชุมชนอยู่ตามที่ราบลุ่มตามริมฝั่งน้ำ หรือหนองน้ำ การประกอบอาชีพจะทำนาปลูกข้าว หาอาหารจากน้ำ เช่น กุ้ง หอย ปลา ปู กบ เขียด ส่วนกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานตามโคก (ที่สูง) ตามป่า ย่อมเหมาะแก่การเลี้ยงชีพด้วยอาหารป่า ล่าสัตว์ หาเห็ด หาหน่อไม้ หาผึ้ง เป็นต้น แล้วคนอีสานไม่บริโภคสัตว์ใหญ่ อย่าง หมู วัว ควาย หรือ? บริโภคครับ แต่จะน้อยมาก เพราะ...
ตั้งแต่อดีต การคมนาคมไม่สะดวกเหมือนยุคปัจจุบัน ความเจริญก็ยังเข้าไม่ถึง ไม่มีน้ำประปา ไฟฟ้า ตู้เย็น ดังนั้น อาหารการกินจึงต้องหาเท่าที่มีในพื้นถิ่น ก็พวกสัตว์เล็ก กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เขียด นี่แหละเหมาะสม รับประทานหมดในแต่ละวัน หาได้ง่าย ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่พวก หมู วัว ควาย นี่จะได้กินก็ต่อเมื่อมีงานบุญใหญ่ประจำหมู่บ้าน เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานบุญกฐิน ฯลฯ ด้วยราคาของสัตว์ขนาดใหญ่มีราคาแพง การจะล้มสักตัวต้องใช้เงินมาก อยากกินจริงๆ ต้องหาตัวหารมาช่วยกัน ชาวบ้านเรียกว่า "การตกพูด" นั่นคือสาเหตุที่ "ปลา" คืออาหารหลัก
วัฒธรรมอาหารปลาคนริมน้ำโขง | MCI
แล้วก็ถึง "เมนูปลา" ที่ถูกเชิดชูใน "๑ จังหวัด ๑ เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste" ช่วงปี 2566-2568 ในส่วนที่ค้นหาข้อมูลมาได้ก่อนหลัง (น่าจะยาวล่ะ งานนี้) ดังนี้
หมกหม้อปลาน้ำโขง
วิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้านอีสานของจังหวัดบึงกาฬ มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สะท้อนผ่านการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากแม่น้ำโขง โดยเฉพาะปลาน้ำจืดหลากหลายชนิด เช่น ปลาคัง ปลาเทโพ และปลาสวาย รวมถึงผักพื้นบ้านที่หาได้ตามป่าและริมน้ำ อาทิ ผักกูด ผักหวาน และผักติ้ว การปรุงอาหารของชาวบึงกาฬมีลักษณะเฉพาะตัว ทั้งการทำลาบปลา ก้อยปลา และการถนอมอาหารด้วยการทำปลาแห้ง ปลาส้ม ซึ่งสะท้อนภูมิปัญญาการถนอมอาหารที่สืบทอดมาแต่โบราณ และเมนู "หมกหม้อปลาน้ำโขง" ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาหารประจำจังหวัดบึงกาฬ เมนูอาหารจากการจัดกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

ส่วนผสมสำหรับหมกหม้อปลาน้ำโขง
- ปลากะยอนน้ำโขง 10 ตัว (ปลาสังกะวาด)
- ผักชีลาว
- ใบแมงลัก
- ต้นหอม
- ใบมะกูด
- ตะไคร้
- หอมแดง
- พริกแดง (เผ็ดตามชอบ)
- พริกเขียวอ่อน (ลูกโดด) ไม่ใส่ก็ได้ ตามความชอบ
- น้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- ผงปรุงรส (ตามชอบ)
- เกลือ
- ข้าวคั่ว
- น้ำซุป หรือน้ำเปล่า

วิธีทำหมกหม้อปลาน้ำโขง
- นำปลามาตัดครีบและเอาไส้ปลา ขี้ปลาออกให้หมด จากนั้นล้างทำความสะอาดด้วยเกลือ เพื่อไม่ให้ปลามีกลิ่นคาว แล้วนำปลามาตัดครึ่ง
- นำตะไคร้มาซอย แล้วโขลก ใส่พริกแดง หอมแดง (เกลือเล็กน้อย) โขลกรวมกันพอหยาบ พักไว้
- นำปลาใส่ลงในหม้อ แล้วฉีกใบมะกรูดใส่ลงไป พริกเขียวอ่อน (ลูกโดด) จากนั้นใส่ตะไคร้ พริกแดง หอมแดงที่โขลกไว้ลงไปในหม้อ คลุกให้เข้ากัน คั่วด้วยไฟอ่อนให้มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศ
- ใส่น้ำซุป น้ำปลาร้าลงไป ตามด้วยน้ำปลา ผงปรุงรส (ถ้าชอบ ไม่ใส่ก็ได้เพราะน้ำปลาร้าก็อุมามิเพียงพอ)
- ใส่ใบแมงลัก ผักชีลาว ต้นหอมซอย และเติมน้ำลงไปเล็กน้อย คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง
- จากนั้นนำหม้อไปตั้งไฟ ใช้ไฟกลางค่อนไฟอ่อน ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
- เปิดฝาหม้อแล้วทำการกลับคนปลา (ค่อยๆ ทำอาจทำให้เนื้อปลาเละ) แล้วปิดฝาหม้อทิ้งไว้อีก 5 นาที
- ชิมให้ได้รสตามชอบ (ค่อนไปทางเค็มเล็กน้อย เวลาคลุกข้าวเจ้า หรือปั้นข้าวเหนียวจิ้มจะได้รสพอดี แซบ นัว)
- พอสุกดี ปิดไฟ ใส่ข้าวคั่ว คลุกเค้าเบาๆ ให้เข้ากัน ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟร้อนๆ
วิธีทำหมกหม้อปลาน้ำโขง ปลากะยอน | ครัวแม่หงษ์
** เคล็ดลับการปรุง : ควรนำปลามาลวกก่อนการปรุง เพื่อลด/ดับกลิ่นคาว
ส้าปลาน้ำโขง
ส้า หรือ ส่า หรือ ซ่า (สำเนียงถิ่นในจังหวัดที่ต่างกัน) เป็นอาหารประเภทเดียวกันกับ ลาบปลา พล่าปลา และก้อยปลา เครื่องปรุงและกรรมวิธีทำคล้ายๆ กัน เพียงแต่ส้าจะมีตะไคร้เป็นส่วนประกอบเข้ามาด้วย ส้าปลาน้ำโขง นิยมใช้ปลาเพี้ย หรือ ปลาแคร่ หรือปลาโจก หรือปลาจอก เนื่องจากเป็นปลาเนื้อแน่น ส้าปลาน้ำโขง ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาหารประจำจังหวัดเลย หรืออาหารประจำถิ่น ตามการดำเนินการจัดกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ประจำปี 2566

ส่วนผสมสำหรับทำส้าปลาน้ำโขง
- ปลาเพี้ย หรือ ปลาแคร่ หรือปลาโจก หรือปลาจอก
- ผักปรุงรสและกลิ่น (ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง กระเทียม หอมแดง ใบมะกรูด พริกขี้หนู ตะไคร้)
- น้ำปลา
- น้ำปลาร้า
- เกลือ
- ข้าวคั่ว
- มะนาว
เครื่องเคียง/ผักสด
- ใบชมพู่มะเหมี่ยว ต้นหอม ผักชี มะเขือพวง มะเขือ มะเขือเทศ
เตรียมส่วนผสม
- นำปลามาขอดเกล็ด ลอกหนัง แยกเนื้อปลาออกจาก ก้าง และหัว
- เอาเนื้อปลามาสับให้ละเอียด
- นำหนังปลาไปลวกให้สุก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้น
- หั่นต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่ง กระเทียม หอมแดง ใบมะกรูด พริกขี้หนู ตะไคร้หั่นซอยเตรียมไว้
- นำผักสดครื่องเคียงมาล้างให้สะอาด เตรียมไว้

การปรุงส้าปลาน้ำโขง
- นำเนื้อปลาสับแล้วมาใส่หม้อปรุง บีบมะนาวใส่เนื้อปลา คั้นให้เนื้อปลาสุกจากมะนาว (สีเนื้อปลาจะเปลี่ยนเป็นสีขาว) แล้วบีบน้ำออก
- นำน้ำที่ได้จากการบีบออกในข้อ 1. ผสมกับน้ำปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปตั้งไฟ คนให้เข้ากันจนแตกมัน เรียกว่า “ออด” (จะนำไปทำน้ำปรุง และน้ำจิ้ม)
- เนื้อปลาที่สุกขาว (เนื้อปลาที่คั้นน้ำออกแล้ว จะมีลักษณะเป็นก้อน ใช้มือหรือทัพดีให้แตกจากกัน) ก่อนจะนำไปขยำกับตะไคร้ ให้เข้ากันดี
- ใส่น้ำปลาร้า 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ แล้วขยำให้เข้ากัน
- ใส่หอมแดง กระเทียม พริกขี้หนูสดซอย ลงไป แล้วขยำให้เข้ากันอีกครั้ง
- ใส่น้ำออดที่เตรียมไว้ 2 ทัพพี หนังปลา ที่หั่นไว้ ลงไปคนให้เข้ากัน
- ใส่ใบมะกรูด ต้นหอม ผักชี ผักชีฝรั่งที่ซอยไว้ และข้าวคั่ว ผสมให้เข้ากัน
การปรุงน้ำออด (สำหรับจิ้มหรือราด)
- นำน้ำออดที่เหลือจากการทำส้า มาผสมกับพริกป่น ต้นหอม ผักชี คนให้เข้ากัน

วิธีการรับประทานส้าปลาน้ำโขง
- นำผักสดมาห่อ เช่น ใบชมพู่มะเหมี่ยวมาวางไว้ใส่ผักชี มะเขือ มะเขือพวง มะเขือเทศ พริกสด แล้วตักส้าปลาน้ำโขง น้ำออดราด แล้วทำการห่อ รับประทานได้เลย
- หากไม่รับประทานแบบดิบ สามารถนำส้าไปคั่วให้สุก (แต่รสชาดจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย)
ส้าปลาน้ำโขง รสชาติที่เลือนหายไป อำเภอปากชม จังหวัดเลย
เคล็ดลับการปรุง
- การทำส้าปลาในส่วนใหญ่จะใช้ปลาเพลี้ยหรือปลาแคร่ ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำโขง มีเนื้อแน่น สีเนื้อปลาออกเหลือง และใช้ปลาสดๆ ถึงจะได้รสชาดที่ดี
- การคั้นเนื้อปลากับมะนาว ต้องคั้งจนกว่าจะเห็นว่าเนื้อปลาจะเปลี่ยนเป็นสีขาว เพราะมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับเนื้อปลา จนปลาสุกมะนาว (คิดเอา สมมุติ) ทำให้ปลาไม่มีกลิ่นคาว
- เมื่อผสมส่วนที่เป็นผักลงไป ให้ใช้มือคนเบาๆ
- ส่วนก้างปลา/หัวปลาที่ติดเนื้อจะนำไปแกงใส่หน่อไม้ตอง หรือจะต้มส้มซดน้ำร้อนๆ จะเข้ากันดี
หลามปลาน้ำโขง
หลายๆ คนคงทราบกันดีและได้ลิ้มชิมรสของ "ข้าวหลาม" เป็นขนมชนิดหนึ่งนิยมทำรับประทานกันในฤดูหนาว เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวได้ข้าวใหม่ ก็ใช้ไผ่ข้าวหลาม หรือไม้ป้าง เป็นกระบอกใส่ข้าวหลาม ข้าวหลามแบบชาวบ้านจะใช้ข้าวสารเหนียวกับน้ำเปล่าและเกลือเท่านั้น สำหรับข้าวหลามที่ทำขายกันโดยทั่วไป จะใส่น้ำกะทิ และเติมถั่วดำ หรืองาขี้ม้อน เผาไฟจนสุก เมื่อผ่าออกมาจะได้ข้าวเหนียวนุ่ม หอมกลิ่นไม้ไผ่ รสหวานมันจากกระทิและถั่ว ส่วน การหลามปลา ก็เป็นการปรุงอาหารโดยใช้ภาชนะเป็นไม้ไผ่ เช่นเดียวกับการทำข้าวหลาม

กลิ่นหอมรัญจวนใจของเครื่องเทศ ผสมผสานใบตองที่ถูกเผา โชยผ่านกระบอกไม้ไผ่ที่เรียงรายอยู่ในเตาถ่าน ภายในกระบอกไม้ไผ่จะอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบสมุนไพร อาทิ ใบแมงลัก หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกูด น้ำปลาร้า พริกขี้หนู ที่ขาดไม่ได้ คือ เนื้อปลาคัง ใช้ส่วนลำตัวที่แล่หั่นเป็นเส้นบางๆ คลุกเคล้าเป็นอย่างดีกับสมุนไพรและเครื่องปรุงรส แล้วยัดปิดปากกระบอกด้วยใบตองชั้นแรก ห่อหุ้มปากกระบอกชั้นที่สองด้วยแผ่นใบตองผนึกให้แน่นพันด้วยไม้ตอกเป็นลำดับสุดท้าย หมุนไปหมุนมาบนเผาถ่าน ใช้เวลาเพียง20นาที เมนู หลามปลาน้ำโขง เป็นอันเสร็จสิ้น เปิดปากกระบอกไม้ไผ่ ยิ่งทำให้กลิ่นสมุนไพรทะลักออกมาแตะจมูก ก่อนจะเทลงจานหาผักเครื่องเคียงมาเป็นกับแกล้ม นี่แหล่ะที่มาของ หลามปลาน้ำโขง

วัตถุดิบสำหรับการทำหลามปลาน้ำโขง
- ปลาแม่น้ำโขง
- พริกแห้ง
- ตะไคร้ซอย
- หอมแดง
- ใบมะกรูดซอย
- ใบแมงลัก
- ปลาร้า
- เครื่องปรุงรส
- น้ำเปล่า
- กระบอกไม้ไผ่ตัดเป็นท่อน
- ใบตองสำหรับปิดปากกระบอกไม้ไผ่
การเตรียมส่วนผสมหลามปลาน้ำโขง
- นำปลาแม่น้ำโขงมาล้าง แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
- โขลกเครื่องแกง โดยนำพริกแห้ง ตะไคร้ หอมแดง โขลกรวมกันพอละเอียด
- ตัดไม้ไผ่เป็นท่อน ทำความสะอาด
1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น #หลามปลาน้ำโขง หนองคาย
วิธีทำหลามปลาน้ำโขง
- เตรียมภาชนะสำหรับคลุกส่วนผสม ใส่เนื้อปลาที่หั่น เครื่องแกงที่โขลกไว้ ผงปรุงรส น้ำปลาร้า ใบมะกรูด ใบแมงลัก คนส่วนผสมให้เข้ากัน
- นำส่วนผสมกรอกใส่ในกระบอกไม้ไผ่ โดยใส่ใบแมงลักลงไปก่อน แล้วจึงนำส่วนผสมใส่ลงไป เติมน้ำสะอาดเล็กน้อย
- ปิดกระบอกไม้ไผ่ ด้วยใบตองแล้วมัดปาก
- นำไปเผาไฟอ่อนจนเนื้อปลาสุก
- เปิดปากกระบอกไม้ไผ่ แล้วเทใส่จาน หรือจะผ่าครึ่งกระบอกไม้ไผ่ก็ได้เช่นกัน

หลามปลาน้ำโขง ได้รับการคัดเลือกเป็น "๑ จังหวัด ๑ เมนู" ประจำปี พ.ศ. 2566 ของจังหวัดหนองคาย เป็นอาหารที่ทำจากปลาแม่น้ำโขง คลุกด้วยสมุนไพรมากมายใส่กระบอกไม้ไผ่ เผาไฟ ทำให้ได้ทั้งกลิ่นหอมจากไม้ไผ่ ใบตอง และสมุนไพรมากประโยชน์ ตามสูตรพื้นบ้านที่มีรสชาติอร่อยที่อยากให้ทุกคนได้ลองชิมกัน
อู๋พุงปลา
อู๋พุงปลา อาหารพื้นบ้านอีสาน ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาหารประจำจังหวัดอำนาจเจริญ หรืออาหารประจำถิ่น ตามการดำเนินการจัดกิจกรรม “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

อ๋อ หรือ อู๋ เรียกชื่อต่างกันตามท้องถิ่น แต่วิธีการปรุงเหมือนกัน อ๋อ/อู๋ มีลักษณะคล้ายอ่อม แต่น้ำน้อยกว่า กล่าวคือ การอ๋อ หรือ อู๋ นิยมทำกับพุงปลา ไข่ปลา ปลาตัวเล็ก หรือเครื่องในสัตว์ เป็นต้น วิธีการทำให้นำพุงปลา ไข่ปลา หรืออื่นๆ ใส่หม้อ ผสมเครื่องปรุงน้ำพริก (คล้ายอ่อม) และน้ำปลาร้า อาจใส่ผักที่ให้รสเปรี้ยว เช่น ใบมะขามอ่อน ใบติ้ว นำเครื่องปรุงที่ผสมแล้วทั้งหมดยกขึ้น ตั้งไฟ ปิดฝาให้เครื่องปรุงสุก แต่งกลิ่นด้วยใบอีตู่ (ใบแมงลัก) เช่นเคย
อ๋อ/อู๋ นอกจากใช้เนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักแล้ว อาจใช้ผัก เช่น หน่อไม้ต้มขูดฝอย เป็นส่วนประกอบหลักแทนเรียกว่า อู๋หน่อไม้ หากจะเพิ่มปลาเนื้ออ่อนและน้ำกระทิบ้างเล็กน้อย จะทำให้อู๋หน่อไม้มีรสชาติที่อร่อยสุดแสนทีเดียว
ส่วนผสมของเครื่องแกง
- พริกสด
- ข่า
- ตะไคร้
- หอมแดง
- กระเทียม

ส่วนผสม/เครื่องปรุงอู๋พุงปลา
- พุงปลาน้ำจืด (ส่วนเครื่องใน ตับ ไข่ และส่วนนื้อพื้นทอง ถ้าเป็นพุงปลาคัง ปลาแข้ ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ หรือปลาช่อน นำมาต้มล้างทำความสะอาดเรียบร้อย จะอร่อยมาก)
- น้ำปลาร้า
- เกลือ
- ต้นหอม
- ผักชีลาว
- ใบแมงลัก
- ตะไคร้
- พริกสด
- หอมแดง
- น้ำสะอาด
ขั้นตอนวิธีทำอู๋พุงปลา
- หั่นข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม พริกสด โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด พักไว้
- ตั้งกระทะ ใส่ตะไคร้หั่นเป็นท่อน พริกสด หอมแดง พุงปลา (เครื่องใน ตับ ไข่ เนื้อพื้นท้อง) ต้นหอมหั่นเป็นท่อน ลงไป
- เติมน้ำพร้อมกับใส่เครื่องแกง น้ำปลาร้า เกลือ ลงไป ต้มให้เดือดจนปลาสุก
- ใส่ผักชีลาว ต้นหอม ใบแมงลัก คนให้เข้ากันสักครู่ แล้วปิดไฟ
- ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

อุเอาะปลาน้ำโขง
อู๋ บางที่เรียก อุ หรือ เอาะ อาหารอีสานขลุกขลิกรสชาติจัดจ้าน คล้ายอ่อมแต่น้ำน้อยกว่า จิ้มกับข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยแซบ หรือจะทานกับข้าวสวยก็อร่อยดี เมื่อมาถึงบึงกาฬแล้วต้องมาทานเมนูปลาน้ำโขง เพราะบึงกาฬมีภูมิประเทศอยู่ติดแม่น้ำโขง มีวิถีชีวิตในการจับปลาน้ำโขงมาทำเป็นอาหารหลากหลายเมนู อีกหนึ่งเมนูที่ขึ้นชื่อก็คือ อุเอาะปลาน้ำโขง ทำมาจากปลาเกล็ดหรือปลาหนังก็ได้ ที่เด็ดสุดคือ ปลานาง หรือปลาเนื้ออ่อน

ส่วนผสม/เครื่องปรุงอู๋เอาะปลาน้ำโขง
- ปลาน้ำโขง เช่น ปลาเนื้ออ่อน ขนาดตัวละ 200-300 กรัม
- น้ำปลาร้า, น้ำปลา
- เกลือ
- ต้นหอม, ผักชีลาว, ผักขะแยง, ใบมะกรูด
- ตะไคร้, ข่า
- พริกสด
- หอมแดง
- น้ำซุปต้มปลา
เมนูเชิดชูอาหารถิ่น อุเอาะปลาแม่น้ำโขง
ขั้นตอนการปรุง
- ปลา ให้ทำความสะอาด ล้างขจัดกลิ่นคาวด้วยเกลือให้เรียบร้อย หั่นเป็นชิ้น
- นำเครื่องเทศ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง พริก ตำรวมกันพอแหลก พักไว้
- เติมน้ำซุปเล็กน้อย ตั้งหม้อ ติดไฟให้ร้อน นำเคื่องแกงในข้อ 2 ทั้งหมดใส่ในหม้อ คั่วให้มีกลิ่นสมุนไพรออกมา
- แล้วใส่ปลาคนพอเข้ากัน ลดไฟลงเป็นปานกลาง เติมน้ำเพิ่มเล็กน้อยพอท่วมปลา ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย น้ำปลาร้า น้ำปลา
- ปิดฝาหม้อไว้ 10-15 นาที พอปลาสุก ชิมรสให้พอดี (อาจใส่ผงนัวชูรสตามชอบ)
- ใส่ต้นหอม, ผักชีลาว, ผักขะแยง, ใบมะกรูด คนให้เข้ากัน ปิดฝาหม้อสักครู่
- ยกลงจากเตา ตักใส่จานเสิร์ฟร้อนๆ จะรับประทานพร้อมข้าวเหนียว หรือข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยยกนิ้ว

อู๋เอาะปลาน้ำโขง ได้รับการคัดเลือกเป็น "๑ จังหวัด ๑ เมนู ประจำปี พ.ศ. 2568" ของจังหวัดบึงกาฬ เป็นเมนูที่น่าลิ้มลองสำหรับคนที่ชอบทานปลาจะทำให้ฉลาด อุดมด้วยวิตามินและสมุนไพรพื้นบ้าน ไปลองกันเลย
มีแต่เมนูปลาที่อร่อยๆ ทั้งนั้น ยังไม่หมดนะครับ ยังมีเมนูปลาอีกหลายเมนูที่จะนำมาเล่าให้ฟังอีก โปรดติดตามต่อในตอนที่ 2
ปลา : วัฒนธรรมอาหารอีสาน ตอนที่ 2
![]()
















