foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

LP Si Siriyano header

หลวงปู่สี สิริญาโณ

หลวงปู่สี สิริญาโณ "พระมหาเถระผู้เดินตามรอยธรรมพระโพธิญาณเถร" แห่งวัดป่าศรีมงคล (วัดป่าบ้านเปือย) อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี เจริญอายุวัฒนมงคลครบ 98 ปี เมื่อวันนี้วันที่ 23 พฤษภาคม​ 2565 ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่เคยได้ออกธุดงค์ติดตามหลวงพ่อชา ไปตามป่าเขาในที่ต่างๆ ด้วยกัน ปัจจุบันนับได้ว่า ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีพรรษามากที่สุดในบรรดาศิษย์ของหลวงพ่อชา สุภัทโท ที่ยังดำรงค์ธาตุขันธ์อยู่

LP Si Siriyano 11

LP Si Siriyano 01ชาติกำเนิดของท่าน

หลวงปู่สี สิริญาโณ มีนามเดิมว่า นายสี นามนาง เกิดเมื่อวันที่ 23 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช 2467 ตรงกับ วันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 6 ปี ชวด ที่บ้านเปือย หมู่ที่ 3 ตำบลโนนกาเล็น อำเภอวารินชำราบ (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ อำเภอสำโรง) จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของโยมพ่ออินทร์ - โยมแม่นาง นามนาง มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน 9 คน โดยท่านเป็นบุตรชายลำดับที่ 2 ของครอบครัว ชีวิตในวัยเด็ก เด็กชายสี นามนาง เป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทของพ่อ-แม่ ว่านอนสอนง่ายเสมอ ด้วยเหตุที่ เด็กชายสี เป็นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างผี คือ พี่สาวและน้องชาย ที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เด็กชายสีได้เป็นพี่คนโตของน้องๆ โดยปริยาย คนเฒ่าคนแก่สมัยนั้นเรียกเด็กชายสี ว่า เป็นคนหามผี หรือหาบผี

ในฐานะที่เป็นพี่คนโต เด็กชายสี จึงมีหน้าที่รับผิดชอบมากกว่าน้องคนอื่นๆ หน้าที่หลักคือ งานเลี้ยงควาย ทำไร่อ้อย และหาอาหาร ควายกินหญ้าทุกวันก็ต้องไปเลี้ยงทุกวันไม่มีวันจบสิ้น และทุกๆ วันที่ไปเลี้ยงควาย เด็กชายสีก็จะหาอาหารไปด้วย เพื่อมาเป็นอาหารสำหรับครอบครัว ด้วยความอัตคัดขัดสนนี่เองที่ทำให้เด็กชายสีต้องขยันอดทน ว่องไวใจกล้า แก้ปัญหาเป็น เมื่อวันใดครอบครัวขาดเขิน "ข้าวขาดแลง แกงขาดหม้อ" เด็กชายสีก็จะแบ่งห่อข้าวที่ไปเลี้ยงควายไว้ครึ่งหนึ่ง เพื่อเก็บไว้กินตอนเย็น ซึ่งเป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่ง อย่างน้อยอาหารมื้อเย็นในส่วนของตนน้องก็อิ่มได้หนึ่งคน

ชีวิตเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม เมื่อน้องโตขึ้นพอที่จะเลี้ยงควายแทนได้แล้ว นายสีก็เอาใจใส่ในการดูแลไร่อ้อยเป็นหลัก จะเป็นคนที่มีรูปร่างเล็ก แต่ก็แข็งแรง บึกบึน ขยัน อดทน กระฉับกระเฉง ว่องไว ไฟแรง ชอบแสวงหารู้จากรุ่นพี่ คนเฒ่า คนแก่เป็นประจำ จึงได้ฝึกหัดงานช่างจักสานและช่างไม้ด้วย สมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนจึงได้อาศัยพระ-เณรในวัดเพื่อจะได้เล่าเรียนเขียนอ่านหวังจะให้ตัวเองอ่านออกเขียนได้

LP Si Siriyano 08

ในแต่ละวันจะต้องออกไปดูแลถากถางดายหญ้าในไร่อ้อยที่มีอยู่ประมาณ 3 ไร่ ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษในช่วงต้นอ้อยยังเล็ก ต้องถอนหญ้า พรวนดิน ใส่ปุ๋ยจนกว่าจะโตสมบูรณ์ เมื่อต้นอ้อยโตแล้วจึงมีเวลาว่าง ก็จะถางป่าเพิ่มขยายไร่อ้อยไปอีก จนวันหนึ่ง "ขวาน" ที่ใช้ถางป่า ได้ฟันเข้าที่เท้าซ้ายจนเป็นรอยแผลเป็นถึงปัจจุบัน พอตกเย็น นายสีก็จะไปพูดคุยเล่นกับคนเฒ่า คนแก่ในหมู่บ้าน ด้วยความขยันขันแข็งในการงาน หลายๆ คนจึงชอบพอรักใคร่ บางคนก็อยากได้มาเป็นเขยด้วยซ้ำ

การทำไร่อ้อยของนายสี เป็นช่องทางหนึ่งที่สร้างรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว ที่เหลือก็จะเก็บไว้ซื้อนา ซื้อควาย ซึ่งในสมัยนั้นถ้าใครมีนามากหรือมีควายมาก ก็ถือว่ามีฐานะดีร่ำรวย เมื่ออ้อยโตเต็มที่ก็ตัดเอาไปบดคั้นเอาแต่น้ำเพื่อเอาไปต้มเคี่ยวให้เหลวเหนียว จากนั้น จึงนำมาปั้นเป็นก้อนตากให้แห้ง เพื่อนำไปขายที่อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ขณะนั้นมีราคากิโลกรัมละ 25 สตางค์ 4 กิโลกรัม ได้ 1 บาท และ 12 กิโลกรัมก็จะได้เงินแค่ 3 บาท (ในยุคนั้นเงินมีค่ามากกว่าปัจจุบันหลายเท่านัก)

อยู่มาวันหนึ่ง ความคิดของนายสีก็เริ่มเปลี่ยนไป เกิดความเบื่อหน่ายกับการงานที่ทำ จำเจไม่จบไม่สิ้น อยากจะบวชเรียนเขียนอ่าน หาความรู้ใส่ตัว จึงพูดทีเล่นทีจริงกับพ่อแม่ว่า "อยากไปอยู่วัด คัดทหารแล้วไปบวช" พ่อแม่ยังไม่อยากให้บวช เพราะนายสีเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว เพื่อเติมเต็มให้น้องๆ ได้เติบใหญ่สมบูรณ์ได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงอายุ ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ชายไทยทุกคนต้องรับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารกองเกิน ผลการตรวจเลือกออกมาว่า ไม่ต้องเป็นทหาร ทั้งพ่อ-แม่และนายสีต่างก็โล่งใจ

อยู่ต่อมา ความฝันที่คิดจะบวชก็ใกล้ความจริง เมื่อพ่อพานายสีไปฝากเป็นศิษย์วัดกับหลวงพ่อกลม เจ้าอาวาสวัดบ้านเปือย หมู่ 3 ตำบลโนนกาเล็น อำเภอวารินชำราบ (อำเภอสำโรง ในปัจจุบัน) จังหวัดอุบลราชธานี นายสีจึงมีโอกาสศึกษากฎระเบียบ วินัย กิจวัตรประจำวันของสงฆ์ และท่องหนังสือ 7 ตำนาน พอถึงวันที่กำหนดบวชก็จัดงานบวชให้ ท่ามกลางความปีติยินดี ของญาติพี่น้องทุกคนโดยเฉพาะนายสีเอง เพราะมีจิตศรัทธาแรงกล้าที่คิดจะบวชมานานแล้ว

LP Si Siriyano 07

เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์

นาคสี ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่ออายุ 21 ปี เมื่อวันที่ 19 เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช 2488 ที่ สิมวัดบ้านเปือย (สิม เป็นศาลากลางน้ำใช้ในการทำสังฆกรรม เช่น การบวชพระ - บวชเณร เป็นต้น ในกรณีที่วัดยังไม่มีโบสถ์ถาวร) สมัยนั้นวัดบ้านเปือยยังไม่มีโบสถ์ โดยมี พระครูศรีระสุนทร (ทา) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกลม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อสงค์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ ฉายาว่า "สิริญาโณ" เมื่อบวชได้ 3 พรรษา ตามประสาพระหนุ่มไฟแรงก็อยากเรียนโน่นเรียนนี่ เรียนคาถาอาคมบ้าง ตามความนิยมในสมัยนั้น จึงไปเรียน "สนธิ มูลกระจาย" แต่ก่อนเรียกว่า "เฮียนสนเฮียนนาม" (ศาสตร์ชั้นสูง พระไตรปิฎก หลักไวยากรณ์ ภาษาบาลี - มคธ) ที่สำนักวัดบ้านโพธิ์ ตำบลโพธิ์ อำเภอกันทรารมย์ (ปัจจุบันอยู่ใน อำเภอโนนคูณ) จังหวัดศรีสะเกษ โดยมี ญาถ่านพิมพ์ โพธคุณ กับ พระครูโสภณ เจ้าอาวาสวัดบ้านโพธิ์ เป็นครูอาจารย์

นอกจากนั้นยังเรียนปริยัติและบาลี สอบได้นักธรรมชั้นโท ต่อมาคิดอยากจะท่องปาฎิโมกข์ จึงหาหนังสือมาท่องประมาณ 2 เดือนเศษ ก็ท่องได้ขึ้นใจ พระสี บวชได้ 3 พรรษา หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดบ้านเปือยก็มรณภาพ พระสีก็รักษาการแทนต่อมา พระสีเป็นพระที่มีความมุมานะ ชอบทำงานใหญ่พาญาติโยมบ้านเปือย กั้นน้ำร่องชี - ร่องบักยาง (ห้วยควร) ถ้าไม่มีความขยันอดทนสูงจะทำไม่ได้แน่ เพราะบริเวณนี้มีพื้นที่กว้างและยาวมาก และยังใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา แสวงหาพระเถระผู้ใหญ่ ที่มีความรู้ความชำนาญ เพื่อจะขอเป็นศิษย์และศึกษาธรรมะด้วย จนในละแวกเขตใกล้เคียงไม่มีที่ใดน่าไปศึกษา พระผู้ใหญ่ก็ไม่มีอะไรจะสอนอีก กระทั้งปี พ.ศ. 2495 ขณะนั้นพระสีบวชได้ 8 พรรษา มีความรู้มากขึ้น อายุมากขึ้น และพรรษามากขึ้น ญาติโยมก็เริ่มเรียกพระสีว่า "พระอาจารย์สี" สุดท้ายก็เรียก "ญาถ่านสี"

ญาถ่านสี นอกจากจะขยันหมั่นเพียรศึกษาธรรมะ หาความรู้ และยังช่วยงานพระอุปัชฌาย์ทามาตลอด จนได้รับความไว้วางใจเป็นพิเศษ พระอุปัชฌาย์ทา จึงคิดที่จะให้ญาถ่านสีมาเป็นอุปัชฌาย์แทนตน เพราะอายุมากแล้ว แต่ยังไม่พูดอะไร และในปีนี้เอง (2495) ญาถ่านสีคิดอยากเปลี่ยนไปสถานที่ไกลๆ เผื่อจะได้มีโอกาสพบปะ พระเถระผู้ใหญ่ พอจะศึกษาธรรมะด้วย จึงตัดสินใจไปที่บ้านคอแลน อำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ที่นี้เป็นเวลา 4 ปี แต่จำพรรษาจริงๆ แค่ 2 พรรษา ช่วงที่อยู่วัดคอแลน ได้พาพระเณร ญาติโยมพัฒนาวัด สร้างศาลา กุฏิให้กว้างขวางขึ้น เพราะศาลาหลังเก่าคับแคบไม่พอที่จะให้โยมมาทำบุญ เจ้าคณะอำเภอบุญฑริกเห็นว่า ญาถ่านสี เป็นพระที่มีความรู้ ความสามารถ เลยจะแต่งตั้งให้เป็น เจ้าหน้าที่ผู้เผยแพร่พระพุทธศาสนาของอำเภอบุญฑริก แต่ ญาถ่านสี ไม่ชอบในลาภยศสรรเสริญ จึงไม่ขอรับตำแหน่งและกลับมาที่บ้านเปือยในปี พ.ศ. 2498

LP Si Siriyano 06

คราวนี้ ญาถ่านสี คิดที่จะสร้างโบสถ์วัดบ้านเปือย จึงปรึกษาหาหรือกับผู้นำหมู่บ้านตอนนั้นมี พ่อใหญ่ดี (ด่าง) กุลบุตรดี เป็นผู้ใหญ่บ้านท่านมีธุระมาก ไม่มีเวลาที่จะดูแลการก่อสร้างโบสถ์ได้ จึงยังไม่ให้สร้างเลยต้องล้มเลิกไป ญาถ่านสี เสียความตั้งใจ จึงออกท่องเที่ยวไปในเขตตำบลอื่น จึงได้มาพบกับหลวงพ่อพระครูวัด วัดบุ่งหวาย ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และสนทนากันเรื่องธรรมะ หลวงพ่อพระครูวัดบุ่งหวาย จึงได้หยิบหนังสือธรรมะของเจ้าคุณพุทธทาส มาอ่านให้ฟัง ท่านเกิดความรู้สึกชอบในหนังสือเล่นนั้นเพราะมีแต่ธรรมดีๆ คิดอยากจะเห็นหน้าท่านเจ้าคุณพุทธทาสขึ้นมา จึงตัดสินใจเดินทางไปที่ วัดสวนโมกข์พลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับอาจารย์ศักดิ์ เมื่อไปถึงเข้ากราบนมัสการท่านเจ้าคุณพุทธทาส เพื่อฝากเนื้อฝากตัว และแจ้งวัตถุประสงค์การครั้งนี้ พอเริ่มศึกษาไปได้พักหนึ่งจิตใจเริ่มไม่ชอบ คำเทศน์คำสอนของท่านดีมีสาระ แต่ไม่ชอบที่ไม่ถือวินัย เช่น การขุดดิน พรากของเขียวด้วยตัวเอง เป็นต้น จึงขอกราบลาท่านเจ้าคุณพุทธทาสกลับสู่อุบลราชธานี ดังเดิม

เมื่อปี พ.ศ. 2500 ได้พบกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นคนชอบฟังธรรม ที่ไหนมีการแสดงธรรมเทศนาของพระดังๆ ก็จะเดินทางไปฟังเป็นประจำ ขณะนั้น วัดหนองป่าพง เริ่มมีคนรู้จัก หลวงปู่ชา สุภัทโท เริ่มมีคนกล่าวถึง ในสาระเนื้อหาการแสดงพระธรรมเทศนาของท่าน พระอาจารย์อินทร์จึงชวนญาถ่านสีไปฟังธรรมหลวงปู่ชา ที่วัดหนองป่าพง เดินทางโดยทางเท้าเพราะยังไม่มีถนน มีแต่ทางเกวียนเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน บางหมู่บ้านก็ไม่มีเลย ต้องเดินลัดเลาะตามป่าละเมาะ ทุ่งไร่ ทุ่งนา ใช้เวลาเดินทางเกือบค่อนวันจึงลำบากพอควร พอไปถึงวัดหนองป่าพง เข้าไปกราบหลวงปู่ชา บอกท่านว่า อยากมาฟังธรรมครูบาอาจารย์ (สมัยนั้นพระชอบเรียก-พระผู้มีพรรษามากกว่าว่า ครูบาอาจารย์) ปีนั้นคนฟังธรรมยังไม่มีมาก จึงมีเวลาสนทนาเรื่องธรรมะมากพอสมควร

วันนั้นหลวงปู่ชาได้เทศน์เรื่อง อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น และเรื่องของการปล่อยวางอุปาทาน การไม่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นอนัตตา ญาถ่านสีได้ฟัง เกิดความคิดขัดแย้งขึ้นในใจ และด้วยมานะทิตฐิในตัวที่เข้าใจว่า ตนได้ศึกษาเล่าเรียนมาเหมือนกัน จึงถ่ามขึ้นว่า

ญาท่านสี "แล้วที่ครูบาอาจารย์ ฉันในบาตร อยู่ในป่า ห่มผ้า 3 ผืน มันบ่แม่นการมีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นบ้อ"

หลวงปู่ชาจึงพูดว่า "เอ๋า.....! เป็นจังได๋ว่าไปเบิ่ง"

ญาถ่านสีจึงได้พูดว่า "การฉันในบาตร บ่ยอมฉันในภา อยู่แต่ในป่าบ่อยู่ในบ้าน ถือผ้าแค่ 3 ผืน บ่ยอมเปลี่ยนแปลง ถึงสิมีผู้หามาถวาย กะบ่ยอมเปลี่ยน ยังคงเฮ็ดคือเก่า แล้วสิบ่ให้เอิ้นว่า อุปาทานได้จักได๋"

หลวงปู่ชา "ท่านเคยไปตลาดบ่" ญาถ่านสีตอบ "เคย"

หลวงปู่ชา "เห็นคนเขาซื้อกล้วยบ่" ญาถ่านสี "เห็น"

หลวงปู่ชา "เขาซื้อกล้วยเขาปอกเอาแต่เนื้อมันบ้อมา เปลือกเขาบ่กิน เขาเอาอยู่บ้อ เป็นหยังเขาจังเอาเปลือกมันมานำ เป็นหยังเขาบ่เอาเปลือกมันถิ่ม เอาแต่เนื้อมันมา มันกะเป็นแนวของมันจังซี่ อันนี้มันกะคือกัน อันนี้กะแนวของพระกรรมฐาน บ่แม่นแนวเอา เป็นแนวใช้ มันกะเป็นของมันแนวนี้"

แล้วหลวงปู่ชาจึงได้เทศน์อธิบายเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ และธรรมะนานพอสมควร ท่านได้ฟังแล้วทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นลง เกิดความเคารพศรัทธาในหลวงปู่ชาขึ้นมา (หลวงปู่ชาได้พูดกับญาถ่านสีภายหลังว่า "เทศนาวันนั้น พลิกแผ่นดินเทศน์เลยนะ")

LP Si Siriyano 02

หลังจากได้ฟังธรรมแล้ว ทำให้ท่านเกิดความศรัทธาอยากประพฤติปฏิบัติ จึงได้กลับมาสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นมาที่บ้านเปือย (ปัจจุบันคือ ที่ตั้งโรงเรียนบ้านเปือย) จากนั้นก็เข้าไปฟังธรรมจากหลวงปู่ชาอยู่เนืองๆ มิได้ขาด จนมั่นใจว่าทางนี้แหละที่ท่านจะก้าวเดินต่อไป ท่านคิดว่า การที่จะไปอยู่วัดหนองป่าพงดื้อๆ ง่ายๆ นั้น ไม่ได้แน่ เพราะผู้ใหญ่ดี (ด่าง) เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านเปือยสมัยนั้นเป็นคนที่อิทธิพลมีอำนาจมาก สั่งอะไรต้องได้หมดไม่มีใครไม่เกรงกลัวผู้ใหญ่ดี

ญาถ่านสีจึงคิดหาอุบายที่จะไปจึงคิดว่า ต้องสร้างโบสถ์วัดบ้านเปือย เมื่อสร้างเสร็จก็จะย้ายที่อยู่หรือไปจำพรรษาที่อื่นก่อน จึงจะกลับมาที่เดิมได้ เพราะตามประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติของพระสงฆ์ รูปใดสร้างถาวรวัตถุ อะไรแล้วเสร็จต้องย้ายไปจำพรรษาที่อื่น ช่วงจังหวะนี้คงพอจะมีโอกาสไปวัดหนองป่าพงได้ พอคิดได้ก็เริ่มวางแผนงานดูสถานที่ จุดที่จะสร้างพร้อมทั้งโครงการ กำหนดไว้ 5 ปีต้องแล้วเสร็จ และในการสร้างโบสถ์ครั้งนี้ มีการกำหนดไว้ว่า ชาวบ้านเปือยครัวเรือนใด ที่มีคนหนุ่มคนสาวอยู่ในครอบครัวจะต้องจายเงินช่วยสร้างโบสถ์ ใช้ดินบริเวณร่องชี ตัดต้นไม้ในป่าสาธารณะ (ป่าช้า) ใกล้ๆ มาเป็นเชื้อเพลิงในการเผาอิฐ ในปี พ.ศ. 2505 เริ่มเผาอิฐ วางผังตอกเสาเข็มเทคาน ก่ออิฐ จนการสร้างโบสถ์แล้วเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี พ.ศ. 2509 เสร็จตามกำหนด 5 ปี

LP Si Siriyano 12

จากนั้นชาวบ้านโคก (บ้านดอนผึ้ง) ก็มานิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่วัดบ้านโคก เพื่อเป็นการย้ายที่อยู่ หลังจากสร้างโบสถ์เสร็จ จำพรรษาอยู่วัดบ้านโคก 2 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2510-2511 สมัยที่ท่านอยู่วัดบ้านโคก ก็ได้พาพระ เณร ญาติโยม สร้างศาลา 1 หลัง กุฏิ 1 หลัง เพราะญาติโยมบ้านโคกเริ่มจะเข้าวัด ท่านไม่ใช่คนนิ่งดูดาย มีเวลาก็จะเข้าไปศึกษาธรรมะกับหลวงปู่ชา และระยะหลังๆ นี้ เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ

ในคืนวันหนึ่งที่วัดบ้านโคก วันนั้นเป็นคืนธรรมสวนะ หลังจากทำวัตรเสร็จญาติโยมลากลับบ้านกันหมด เหลือแต่ท่านอยู่พับพระลูกวัด ท่านจึงเข้าพักในกุฏินั่งสมาธิ ภาวนาตามดูจิตเองนึกคิด สมัยนั้นท่านยังไม่ได้ฝึกหัดศึกษาการทำสมาธิภาวนาอย่างถูกต้องและเข้าใจพอ นั่งไปถึงเวลาตีหนึ่ง ตีสอง จิตเกิดความสงบสบายใจและว่างเปล่า จึงนั่งต่อไปอีกจนถึงตีสาม ตีสี่ ตอนหลังเกิดความผิดปกติจิตใจว้าวุ่น ไม่สงบ กระวนกระวายเหมือนจะเป็นบ้า กลัวธรรมจะแตก เหมือนโบราณว่า

พอรุ่งเช้าวันใหม่ หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ จึงชวนญาติโยมออกเดินทางไปหาหลวงปู่ชา ที่วัดหนองป่าพง ในเวลาช่วงบ่ายๆ ขณะนั้น หลวงปู่ชากำลังมีแขกอยู่พอดี จึงเข้าไปกราบ หลวงปู่ชาจึงถามญาถ่านสีว่า "มีเหตุฮ้อนประการแท้สิ่งใด๋น้อ" (มีเหตุเดือดร้อนอะไร) ท่านจึงเล่าเรื่องการนั่งสมาธิภาวนาให้ฟัง ว่ามันเหมือนจะเป็นบ้า แล้วถามหลวงปู่ชาว่า "มันเป็นเพราะหยังครูบาอาจารย์"

หลวงปู่ชาตอบทันทีว่า "มันเป็นภวตัณหากะบ่ฮู้จัก" เพราะการที่อยากได้โนนได้นี่ เป็นนั้นเป็นนี่ เป็นตัณหา พอได้ฟังท่านก็เกิดความกระจ่างสว่างขึ้นในใจ ความวิตกกังวลก็พลันหายไป หลวงปู่ชาจึงพูดกับท่านว่า "ถ้าบ่มาอยู่กับผมบ่เป็นด่อก" เพราะท่านมาติดขัดที่การปฏิบัติ การภาวนาต้องฝึกหัดปฏิบัติจริงๆ มันจึงจะเป็นญาถ่านสีตัดสินใจว่า จะต้องอยู่ปฏิบัติให้ได้

พอกลับถึงวัดบ้านโคก ความก็รู้ถึงพระอุปัชฌาย์ทาว่า ญาถ่านสีจะหนีไปอยู่วัดหนองป่าพง ท่านจึงไม่สบายใจ เพราะความตั้งใจที่จะให้ญาถ่านสีมาเป็นอุปัชฌาย์แทนตน วันต่อมาจึงให้ญาติโยม บ้านโพนงาม และบ้านโพนเมือง จัดเตรียมเกวียน 9 เล่ม มารับญาถ่านสีไปเป็นอุปัชฌาย์ ตามคำสั่งของอุปัชฌาย์ทา ส่วนผู้ใหญ่ดี บ้านเปือย ก็เข้ามาขวาง ชาวบ้านโคกก็หวงไม่อยากให้ไป ญาถ่านสีก็เลยพูดขึ้นว่า "หลายทางโพด จักสิไปทางใด๋ สิตัดสินใจเองดอกมื้อแลง" พอตกตอนเย็น ญาถ่านสี ก็ไปหาอุปัชฌาย์ทา ที่วัดบ้านโนนกาเล็น เพราะวันนั้นท่านไปธุระที่บ้านโพนเมืองบ้านเกิดของท่านอุปัชฌาย์ ญาถ่านสีจึงกลับมาวัดบ้านโคกโดยไม่พูดอะไรเพราะตัดสินใจแล้ว

เช้าวันต่อมาจึงเดินทางไปวัดหนองป่าพง พร้อมญาติโยมคณะหนึ่งได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อฝึกหัดปฏิบัติกรรมฐานในวัดหนองป่าพง ซึ่ง หลวงปู่ชา ก็ให้ความอนุเคราะห์เมตตารับเป็นศิษย์ โดยไม่ต้องเป็นพระอาคันตุกะอีกต่อไป ในปี พ.ศ. 2511 หลวงปู่ชาได้บอกกับคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง ในขณะนั้นเลยว่า "พระรูปนี้เคยเข้ามาศึกษาธรรมะกับผมมานานแล้ว ผมจะรับรองเอง"

หลวงปู่สี สิริญาโน - เทศน์โปรดญาติโยมที่วัดป่าศรีมงคล

เริ่มต้นเส้นทางธรรมสายใหม่

เมื่อท่านมาอยู่วัดหนองป่าพงแล้ว เกิดความประหม่า กระวนกระวาย เพราะยังไม่คุ้นเคยกับกลิ่นไอของป่าใหญ่ที่เยือกเย็น จากการเป็น ญาถ่านสี กลับมาเป็น พระสี หรือ พระอาจารย์สี อีกครั้ง มันรู้สึกเขินๆ แต่ด้วยพระอาจารย์สี เป็นพระที่มีพรรษามากกว่าพระสงฆ์รูปอื่นๆ ในขณะนั้น จึงได้นั่งต่อจากหลวงปู่ชา เพราะฉะนั้นการทำอะไรทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขบฉัน การวางตัว จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จึงเป็นเหตุให้ได้ฝึกสมาธิเบื้องต้น ระยะแรกๆ มีความลำบากพอควร เพราะข้อปฏิบัติแตกต่างกับที่เคยปฏิบัติมา ในขณะนั้นท่านจึงเปรียบเสมือนพระที่บวชใหม่ ที่ต้องฝึกหัดและทำความเข้าใจใหม่

วันหนึ่งญาติโยมทางบ้านเปือย ได้ไปเยี่ยมท่านที่วัดหนองป่าพง พอไปถึง ก็เข้ากราบหลวงปู่ชา จึงถามหาญาถ่านสี หลวงปู่ชาตอบว่า "บ่มีดอก ญาถ่านสี มีแต่พระบวชใหม่" พระอาจารย์สีได้พบกับญาติโยมบ้านเปือยที่ไปเยี่ยมเยียน จึงพูดเล่นๆ ว่า "ข่อยบวชใหม่แล้วใด๋ หลวงปู่ชาบวชให้" เพราะต้องปฏิบัติใหม่หมด จนบางครั้งเกิดความท้อแท้ แต่ด้วยการเป็นพระที่มีพรรษามาก ทั้งยังมีความขยันอดทนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ด้านการศึกษาปฏิบัติ ก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เริ่มเคยชินกับสภาพที่อยู่ใหม่ที่แสงสว่างไสว ให้ก้าวเดินไปตามความปรารถนา สู่เส้นทางธรรมอันทรงคุณค่าของพระอาจารย์สี สิริญาโณ ผู้เปลี่ยนเส้นทางตัวเองสู่ทางวิปัสสนากรรมฐาน ได้อย่างถูกต้องบรรลุผล

ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดหนองป่าพงได้ 3 พรรษา การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็เป็นที่ยอมรับของคณะสงฆ์ในสาขาต่างๆ คณะสงฆ์จึงเรียกคำนำหน้าเป็น หลวงพ่อสี เพราะอายุและพรรษามากแล้ว เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. 2513 ต้นปี พ.ศ. 2514 หลวงปู่ชาได้พาหลวงพ่อสี และพระเณร ไปทำทางขึ้นที่ สำนักสงฆ์วัดถ้ำแสงเพชรบน ซึ่งแต่ก่อนชาวบ้านเรียกว่า "ถ้ำวัวนอน" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำเภออำนาจเจริญ (จังหวัดอำนาจเจริญ) การทำถนนขึ้นไปด้วยความลำบาก อุปกรณ์เครื่องมือ ตามมีตามได้ ไม่มีเครื่องทุนแรง มีแต่จอบเสียมชะแลง บุ้งกี่ ที่สำคัญที่สุดคือกำลังแรงกายและความอดทน ในวันที่มีแสงเดือนก็ทำกลางคืนด้วย ที่พักก็อยู่ตามพะลานหินและชะง่อนผา เมื่อทำถนนขึ้นเสร็จ พอที่พระเณรจะใช้ประโยชน์ได้แล้ว จึงกลับมาวัดหนองป่าพง

หลังจากออกพรรษาในปี พ.ศ. 2514 หลวงปู่ชาได้มอบหมายให้หลวงพ่อสีไปดูแลรักษาป่าวนอุทยาน ซึ่งทางการกำลังสร้างเขื่อนสิรินธร ท่านไปกับพระ 1 รูป ผ้าขาว 1 คน พอไปถึงที่นั้นยังไม่มีอะไรเลย กุฏิก็ไม่มี ตอนนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว วันหนึ่งฝนตกลมแรง ต้องอาศัยซอกหินเป็นที่หลบฝน วันหลังหลวงปู่ชาจึงให้โยมพ่อจวน พ่อคูณ นำเต็นท์มาให้ พ่อจอม พ่อคูณ ได้ช่วยกันเกี่ยวหญ้าคาไปทำกุฏิชั่วคราวพอได้อาศัย และหาเรือไว้ให้ใช้ 1 ลำ หลายวันต่อมาหลวงปู่ชาจึงมาเยี่ยม พร้อมเรือลำใหญ่กว่าเดิมไว้ให้ใช้ 1 ลำ เพราะถ้าลำเล็กอาจจะเป็นอันตราย เมื่อมีฝนตกลมแรงเวลาออกบิณฑบาต

LP Si Siriyano 05

การบิณฑบาตก็ลำบาก หมู่บ้านอยู่ไกลๆ ส่วนหลวงพ่อสีจะเดินไปบิณฑบาตที่ช่องเม็ก ทั้งไปและกลับประมาณ 18 กิโลเมตร กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็สายมาก วันไหนโชคดีหน่อยมีรถทหารมาเจอ เขาก็รับไปส่งที่พัก ระยะหลังญาติโยมเริ่มรู้จักว่า มีพระมาอาศัยอยู่ป่าแห่งนี้ และเริ่มทยอยกันมาช่วยทำงาน และอุปถัมภ์ตามกำลังศรัทธา

ต่อมาหลวงปู่ชาจึงได้ส่งพระเณรและแม่ชีมาอยู่ด้วย หลวงพ่อสีก็ได้พาพระเณร และญาติโยมสร้างศาลานาบุญขึ้น 1 หลัง เป็นศาลาไม้ยกสูงจนแล้วเสร็จ พื้นที่นั้นจึงตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมา ชื่อว่า "วัดป่าโพธิญาณ" หรือ วัดเขื่อนสิรินธร ที่หลายคนชอบเรียก ในคืนวันหนึ่งหลวงพ่อสีนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ คืนนั้นฝนตกหนักลมแรง ต้นไม้ใหญ่ได้โค่นล้มทับกุฏิที่หลวงพ่อสีพำนักพังลงทั้งหลัง พอรู้สึกตัวก็คิดว่า "เฮาตายหรือยัง" และคิดต่อไปว่า ถ้าตายก็สบายไม่เจ็บ ถ้ายังไม่ตายก็จะเดินออกไป ถ้ามีคนถามก็แสดงว่ายังไม่ตาย

ต่อจากนั้นหลวงพ่อสีจึงได้ถือบาตรจีวรเดินออกจากกุฏิ พอเดินไปได้สักพัก โยมได้ถามขึ้นว่า "หลวงพ่อสิไปไส" หลวงพ่อสีอุทานขึ้นว่า "ฮึอ! ยังบ่ตาย" โยมจึงถามต่อว่า "หลวงพ่อเป็นจังได๋ต้นไม่ใหญ่ล้มทับ" หลวงพ่อสีตอบว่า "นึกว่าตายแล้ว ถ้าบ่ตายย่างไปคือสิมีคนถามยุ" หลวงพ่อสีอยู่ที่วัดป่าโพธิญาณนี่สองปีเศษ เมื่อปลายปี พ.ศ. 2514 ถึงปลายปี พ.ศ. 2516 (ไปเป็นหมู่ลิง อยู่หั่นสองปี หลวงปู่เล่าให้ฟัง) หลวงพ่อสีได้ถือโอกาสกลับมาเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ และญาติพี่น้องทุกคนว่า สุขสบายดีหรือไม่ วันนั้นหลวงพ่อสีขอนอนพักที่บ้านเปือยสักคืน

แต่ความเคยชินที่ หลวงพ่อสี เคยอยู่ป่ามาหลายปี หลวงพ่อสีจึงพาญาติโยมคณะหนึ่ง เพื่อสำรวจสถานที่พักปักกลดในคืนนั้น จึงไปสำรวจที่ดอนปู่ตา หรือป่าดงกุด เป็นบริเวณกว้างมีหนองน้ำใหญ่กลางป่า มีคนเคยเข้าไปในป่าได้เห็นจระเข้ใหญ่เชื่อกันว่าเป็น เจ้าที่ ถ้ามีใครไปลักขโมยล่าสัตว์ป่าและไม่ขออนุญาต บางคนถึงกับลอยบก (เพราะเห็นพื้นที่ดินเป็นพื้นน้ำ) จึงทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวไม่กล้าเข้าไปคนเดียวกลัวเป็นอันตราย ในบริเวณนั้นชาวบ้านเคารพนับถือ เวลาชาวบ้านที่ผ่านไปบริเวณนั้นจะเก็บดอกไม้บอกทุกครั้งทุกคน เพราะกลัวตนเองจะมีภัย และมีเสาลักษณะแหลวฝังไว้เป็นสัญลักษณ์ "ปัจจุบันเสานั้น นำไปฝังไว้ใกล้ๆ รูปเหมือนหลวงปู่"

LP Si Siriyano 03

แล้วคืนนั้นหลวงพ่อสี ก็ได้ปักกลดในบริเวณนั้น เป็นบริเวณโคนส้มป่อย (โพนส้มป่อย) ไกลจากกุดหินแห่ไม่มาก นับเป็นการปักกลดครั้งแรกของท่านกลางดงกุดหินแห่แห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2514 "ปัจจุบันจุดที่พักปักกลดนี้ เป็นที่ตั้งรูปเหมือนหลวงปู่" ต่อมาจึงเดินทางกลับวัดหนองป่าพงแล้วจำพรรษาต่อ ชาวบ้านเปือยเมื่อเวลาทราบว่าหลวงพ่อสีกลับมาพักที่บ้านเปือย ก็พากันออกมาทำความสะอาดตรงที่หลวงพ่อปักกลด เพื่อรักษาไว้เป็นอนุสรณ์ จะได้จดจำให้ลูกหลานได้ฟัง

หลังจากออกพรรษาที่วัดหนองป่าพง ท่านได้มาร่วมงานกฐิน ที่วัดหนองไฮ สาขาที่ 4 วัดหนองป่าพง ซึ่งในขณะนั้นสาขายังไม่มีพระมาก พระสงฆ์แต่ละวัดก็มาช่วยกันทุกวัด ในช่วงก่อนหน้านี้ บริษัทรับเหมาสร้างถนนสายเดชอุดม-โชคชัย หรือถนนสายยุทธศาสตร์ 24 ได้มาตั้งแคมป์ที่พักที่บ้านไทพัฒนา อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อสร้างถนนเสร็จก็ย้ายไปที่อื่น จึงทำให้บริเวณที่ตั้งแคมป์ว่างเปล่า เจ้าของที่ดินเลื่อมใสศรัทธาในหลวงปู่ชา จึงถวายที่ดินบริเวณนั้นให้กับหลวงปู่ชา หลวงปู่ชาจึงมีคำสั่งให้ หลวงพ่อสีไปปรับพื้นที่บูรณะให้เป็นที่พักสงฆ์

หลวงพ่อสีเมื่อได้รับคำสั่ง ท่านก็เข้าไปสำรวจบริเวณรอบๆ ที่ตั้งแคมป์ มีแต่ ป่าตำแย (หมามุ้ย) หลวงพ่อสีคิดว่า "ไม่อย่ากมาอยู่มีแต่ตำแย" หลังจากนั้นพระสงฆ์วัดหนองป่าพง ก็ลงมาช่วยรวมทั้งญาติโยมบ้านใกล้เคียง ช่วยกันสร้างศาลา 2 หลัง กุฏิ 5 หลัง ก็แล้วเสร็จในเวลาไม่นาน แล้วจึงตั้งเป็นที่พักสงฆ์ ชื่อว่า "วัดแคมป์" ปัจจุบัน คือ วัดไทยพัฒนา

LP Si Siriyano 09

ในระหว่างหลวงพ่อสีอยู่วัดแคมป์ ได้มีคณะญาติโยมทางบ้านเปือย นำโดย นายคำ เสนาพันธ์ (กำนันตำบลโนนกาเล็น ในสมัยนั้น) ได้เข้าไปหาหลวงปู่ชาที่วัดหนองป่าพง เพื่อจะนิมนต์หลวงพ่อสีไปอยู่ที่บ้านเปือย เพราะมีพื้นที่ป่าใหญ่สมบูรณ์เหมาะที่จะสร้างวัดได้ และได้เตรียมการไว้เบื้องต้นแล้ว พอถึงวัดหนองป่าพง คณะญาติโยมก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ชา แล้วบอกความประสงค์ว่า "สิมานิมนต์ญาถ่านสี โอ๊ะ! หลวงพ่อสี ไปอยู่บ้านเปือย ข้าน้อย" หลวงปู่ชาตอบว่า "บ่แม่นสิเอาพระข่อยไปถิ่มบ้อ" ญาติโยมตอบว่า "บ่ดอกข้าน้อย จังใด๋หลวงพ่อสีกะเป็นคนบ้านเปือย พี่น้องกะมีหลายอยู่" หลวงปู่ชาจึงพูดกับญาติโยมบ้านเปือยว่า "ข่อยกะยังบ่รับปากด้วย ให้คุยกับเพิ่นเบิ่งก่อน" แล้วคณะญาติโยมก็พากันกลับบ้าน

วันต่อมา หลวงปู่ชาจึงให้โยมไปตามหลวงพ่อสีที่วัดแคมป์ กลับมา วัดหนองป่าพง หลวงปู่ชาจึงแจ้งข่าวให้ทราบว่า ญาติโยมบ้านเปือยมานิมนต์ให้กลับไปอยู่บ้านเปือย หลวงพ่อสีบอกว่า "บ่อยากไปอยู่ปานได๋แหลว แนวเคยอยู่มาแล้ว" แต่ด้วยความเคารพนับถือหลวงปู่ชา จึงรับปากว่าจะไป วันต่อมาหลวงปู่ชาก็พาหลวงพ่อสีมาส่งที่ ป่าดงกุดหินแห่ ญาติโยมบ้านเปือยคณะหนึ่งก็ออกมารับ และจัดเตรียมสถานที่พอได้พักอาศัยก่อน เลือกจุดที่หลวงพ่อสีมาปักกลดครั้งแรก เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2514 เป็นจุดเริ่มต้นตั้งวัด บริเวณนั้นจึงถือกำเนิดเป็น วัดป่าศรีมงคล เมื่อปี พ.ศ. 2517 มาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาหลวงปู่สี สิริญาโณ ก็ได้อยู่ที่วัดป่าศรีมงคลมาโดยตลอด และมีวัดที่หลวงปู่เคยไปสร้างไปบูรณะอีกหลายแห่ง และอยู่จะพรรษา เช่น

  • วัดป่าเลิงแฝก บ้านเลิงแฝก ตำบลหนองหัวช้าง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ
  • วัดเขาภูแพน บ้านหนองยาง ตำบลท่าเกวียน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว
  • วัดป่าภูตามุย บ้านตามุย ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

LP Si Siriyano 04

  • วัดป่าสิริพะลานทราย บ้านหนองฆ้อง ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
  • ศรีมงคลธรรมสถาน (ริมโขง) บ้านตามุย ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

ที่ วัดป่าศรีมงคล (วัดป่าบ้านเปือย) อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านได้สร้างฌาปนสถานไว้สำหรับองค์ท่านเองไว้แล้ว เป็นการเตรียมการอย่างไม่ประมาทและเพื่อไม่ให้รบกวนแก่ศิษย์ในภายหลัง ถือเป็นการสอนมรณานุสติให้แก่ศิษยานุศิษย์ด้วย

ที่มา : หนังสือ "สิริญานุสรณ์ ๒" พิมพ์โดย พระเสกสรรค์ มหาปุญโญ และคณะสงฆ์วัดป่าศรีมงคล

ข้อคิดธรรมะ จากหลวงปู่สี สิริญาโน

มีโยมชาวต่างชาติพำนักอยู่ทางใต้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาถามท่านว่า "ท่านเป็นธรรมยุติ หรือมหานิกาย" หลวงปู่สีท่านตอบว่า "หลวงพ่อชา ท่านพาว่า ไม่เป็นธรรมยุติ ไม่เป็นมหานิกาย เป็น 'พุทธนิกาย' นิกายของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้น ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ไม่เอา สุขทุกข์ก็ไม่เอา อยู่กับความว่างดีที่สุด"

..อันตัวเราก็มี ๒ อย่าง รูปธรรมก็คือ ธาตุดินกับธาตุน้ำ สำหรับธาตุไฟกับธาตุลม เป็นนามธรรม รวมกันเป็นธาตุทั้ง ๔ ที่ทุกคนมีเหมือนกันหมด ฉะนั้นอย่าได้ยึดมั่นถือมั่น ให้เจริญภาวนารักษาศีล มีสติด้วย นั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา.."

LP Si Siriyano 10

..การทำบุญ ถ้าพูดตรงๆ บุญก็คือความสุข บาปก็คือความทุกข์ บุญหมายถึงสภาพความสุข ความรื่นเริงพอใจในตนเอง อารมณ์ที่ชอบใจก็เป็นบุญ อารมณ์ที่ขัดใจก็เป็นบาป สวรรค์นรกมันไม่มีจริง แค่พูดตามกันไปเฉยๆ พูดตรงๆ ตามธรรมะของพระพุทธเจ้า สวรรค์กับนรก ก็คือ ทุกข์กับสุข..”

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ โปรดพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์ หลวงปู่สี สิริญาโณ วัดป่าศรีมงคล จังหวัดอุบลราชธานี เป็น พระราชวัชรสิริมงคล มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 4 รูป คือ พระครูปลัด 1 พระครูสังฆรักษ์ 1 พระครูสมุห์ 1 พระครูใบฎีกา 1

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)