คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ภาษิตอีสานบทนี้ กระตุ้นเตือนเจตนาอันแรงกล้าของหลวงพ่ออยู่เสมอ เมื่อท่านกำหนดวิถีชีวิต ลงในเพศบรรพชิตแล้ว จึงคิดสร้างรากฐานให้แก่ตนเอง ด้วยการศึกษาพระธรรมวินัย ให้รู้แจ้งเสียก่อน ครั้นได้พิจารณาเห็นว่า ครูบาอาจารย์ในท้องถิ่นที่แตกฉานและชำนาญในการสอน ปริยัติไม่ค่อยมี ดังนั้นในปี พ.ศ. 2484 หลวงพ่อจึงตัดสินใจไปแสวงหาความรู้ในต่างถิ่น สำนักแรกที่เข้าพำนัก คือ วัดสวนสวรรค์ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี แต่เนื่องจากวัดนี้ยังไม่มีสำนักเรียน หลวงพ่อจึงต้องใช้วิธีเดินไปเรียนที่ วัดโพธิ์ตาก ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักแล้วกลับมาพักที่ วัดสวนสวรรค์
วัดสวนสวรรค์ในสมัยนั้น มีกุฏิสองหลัง และศาลาโรงธรรมหนึ่งหลัง มีภิกษุ สามเณร และศิษย์วัด พักเต็มไปหมด ประกอบกับขณะนั้น กำลังอยู่ในระหว่างสงครามเอเชียมหาบูรพา บางครั้ง มีพวกทหารเข้ามาขอพักอาศัยด้วย บรรยากาศของวัดจึงไม่สงบเท่าที่ควร และอาหารขบฉัน รวมทั้งน้ำดื่ม น้ำใช้ ขาดแคลนมาก แต่หลวงพ่อก็อดทน ตั้งใจเล่าเรียนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 1 พรรษา
ปี พ.ศ. 2485 หลวงพ่อจึงได้เดินทางไป สำนักเรียนวัดหนองหลัก ตำบลเหล่าบก อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมี พระครูอรรคธรรมวิจารณ์ เป็นเจ้าอาวาส
แต่ระยะนั้นเป็นฤดูแล้ง อาหารการขบฉันฝืดเคือง เพื่อนที่ไปด้วยออกความเห็นว่า อยากไปอยู่สำนักอื่น หลวงพ่อไม่อยากขัดใจสหธรรมิก จึงตกลงเห็นด้วย ทั้งที่มีความรู้สึกชอบอัธยาศัย และสนใจในอุบายการสอนของครูอาจารย์ที่วัดหนองหลักมาก ในปีนั้นจึงจำพรรษาและศึกษา นักธรรมชั้นโท รวมทั้งบาลีไวยากรณ์ ที่ วัดบ้านเค็งใหญ่ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) โดยมี พระมหาแจ้ง เป็นครูสอน ในปีนั้นสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นโท
ปี พ.ศ. 2486 ได้กลับไปวัดบ้านหนองหลักตามที่ตั้งใจไว้ ในพรรษานี้หลวงพ่อพากเพียรทุ่มเท จิตใจให้กับการศึกษาอย่างเต็มที่ เพราะได้พบครูบาอาจารย์ที่มากด้วยความสามารถ บรรยากาศ ในวัดก็เหมาะต่อการพำนักอาศัย พรรษานั้นได้เรียนทั้งนักธรรมเอก และบาลี ไวยากรณ์ ได้รับสาระประโยชน์จากสำนักเรียนนี้มาก หลังออกพรรษาและกรานกฐินผ่านไป หลวงพ่อได้รับข่าวจากทางบ้านว่า โยมพ่อป่วยหนัก จึงเกิดความพะว้าพะวงห่วงทั้งพ่อและการศึกษา แต่เกิดความคิดว่า
โยมพ่อนั้น เป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวง ควรที่เราจะตอบแทนพระคุณท่าน ตามฐานะที่จะพึงกระทำได้ ส่วนเรื่องการเรียน หากเราไม่ตายเสียก่อน คงมีโอกาสได้ร่ำเรียนอีกตามที่เราปรารถนา "
ในที่สุดหลวงพ่อจึงตัดสินใจหยุดพักการเรียนและการสอบนักธรรมไว้ แล้วรีบเดินทางกลับบ้าน เพื่อดูแลและช่วยพยาบาลโยมพ่อ
เมื่อมาถึงบ้าน ได้พบเรือนร่างร่วงโรยซีดเซียวของโยมพ่อ นอนแน่นิ่งหายใจรวยรินอยู่บนที่นอน แม้ญาติมิตรและหมอจะเยียวยารักษาอย่างไร อาการป่วยไข้ของพ่อมาก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทีท่าว่าร่างกายที่ถูกบีบคั้นด้วยความชราและพยาธินั้น จะคืนสู่ธรรมชาติเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ โดยส่วนเดียว
ธรรมะบนต้นไม้ มีอยู่ทั่วไปในป่าของวัดหนองป่าพง
วัวควายตาย เหลือไว้ เพียงเขาหนัง ช้างตายยัง เหลืองา เป็นศักดิ์ศรี
คนเราตาย เหลือไว้ แต่ชั่วดี บรรดามี ประดับไว้ ในโลกา "
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)