คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำมูลไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวนาแห่งหนึ่ง "บ้านก่อ" อยู่ในเขตตำบลธาตุ (ปัจจุบันเป็น ตำบลแสนสุข) อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ณ หมู่บ้านแห่งนั้น พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท) ได้ถือกำเนิดในสกุล ช่วงโชติ เมื่อ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ท่านเป็นบุตรคนที่ 5 ของพ่อมา แม่พิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดา 10 คน
ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพกสิกรรม มีฐานะมั่นคง บิดา มารดา มีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี มักเอื้อเฟื้อทั้งวัตถุและไมตรีแก่เพื่อนบ้านเสมอ รวมทั้งมีใจบุญสุนทานเข้าวัดฟังธรรมอยู่เป็นประจำ อันเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของชาวชนบทอีสานโดยทั่วไป
หลวงพ่อเติบโตในบรรยากาศอบอุ่นมั่นคงของครอบครัวใหญ่ แวดล้อมด้วยหมู่วงศาคณาญาติ ที่ต่างพึ่งพาอาศัย เคารพรัก นับถือกันและกัน ครอบครัวของท่านจึงเป็นครอบครัวหนึ่งในชนบทที่มีความสงบสุขตามอัตภาพ
ในวัยเด็ก หลวงพ่อมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดู ด้วยรูปร่างอ้วนกลม พุงพลุ้ย และปากกว้างที่เชิดขึ้นเล็กน้อย เพื่อนๆ จึงขนานนามท่านว่า "อึ่ง" น้องชายของท่านเล่าถึงลักษณะและอุปนิสัยของ พี่ชายว่า
เป็นคนมีรูปร่างลักษณะแม้ไม่หล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่ ดูได้ทั้งวันไม่น่าเบื่อ และเป็นคนพูดเก่ง อารมณ์ดี ชอบสนุก รวมทั้งมีอารมณ์ขัน ชอบนำเรื่องตลกมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้หัวเราะครื้นเครงอยู่เสมอ "
หลวงพ่อมีลักษณะของผู้นำมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเล่นกับเพื่อนๆ ชอบเป็นหัวหน้า แต่ก็เป็นผู้นำที่ฝักใฝ่ธรรมาธิปไตย ไม่นิยมความรุนแรง รักสันติ มีความเป็นกลาง มักช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาและความขัดแย้งของเพื่อนๆ
เอกลักษณ์โดดเด่นอีกอย่างคือ เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ชอบการโกหก มีนิสัยตรงไปตรงมา รักในความเป็นธรรมและเสียสละ เวลาเฉลี่ยแบ่งปันสิ่งของในหมู่เพื่อน มักขอส่วนแบ่งที่น้อยกว่าผู้อื่น และมีนิสัยเช่นนี้เสมอต้นเสมอปลาย
นอกจากมีนิสัยชอบเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมแล้ว บางครั้งยังชอบเล่นเป็น "พระ" อีกด้วย หลวงพ่อ เล่าให้ฟังว่า
ตอนเด็กๆ คิดอยากจะเล่นเป็นพระ ก็เลยตั้งตนเป็นสมภารขึ้นมา เอาผ้าขาวม้ามาห่มเป็นจีวร ถึงเวลาฉันเพลก็ตีระฆังแก๊งๆ ให้เพื่อนๆ ที่เล่นเป็นโยมอุปัฏฐาก เอาน้ำมาให้ฉัน แล้วรับศีลรับพร "
ท่านเล่าถึงอดีตในครั้งกระโน้นและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ต่อมา หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จากโรงเรียนบ้านก่อแล้ว เด็กชายชาได้รบเร้าให้พ่อแม่พาตนไปฝากเป็นศิษย์วัด พ่อมาและแม่พิมพ์ก็ไม่ขัดข้อง กลับรู้สึกยินดีที่ลูกใฝ่ใจ เรื่องวัด เรื่องวา จึงนำเด็กชายชาไปฝากฝังกับท่านอาจารย์ลี ที่วัดบ้านก่อนอก
ครั้นได้เป็นเด็กวัดดังปรารถนาแล้ว เด็กชายชาก็มีโอกาสได้เรียนรู้ความเป็นอยู่ของชาววัด พร้อมทั้งฝึกหัดไหว้พระ สวดมนต์ และอุปัฏฐากรับใช้ครูบาอาจารย์ ท่านอาจารย์ลีเฝ้าจับตามองอยู่หลายเดือน เห็นว่า เป็นเด็กเรียบร้อย และขยันหมั่นเพียรดี จึงจัดการบวชเณรให้พร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาณี (พวง) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2474 ขณะนั้นอายุได้ 13 ปี
เมื่อบรรพชาแล้ว ได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรม และเรียนหนังสือพื้นเมืองที่เรียกกันว่า หนังสือตัวธรรม รวมทั้งท่องบ่นบทสวดมนต์ต่างๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญ บวชเณรได้สามปี ก็ลาสิกขาบท กลับไปใช้ชีวิตทางโลกอีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้ได้ศึกษาบทเรียนชีวิตหลายอย่าง ซึ่งต่อมามันได้กลายเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่า ที่ท่านนำมาเป็นหลักพิจารณา ให้เกิดศรัทธาและปัญญาอันเป็นประโยชน์
..ถ้าท่านติดอยู่ในความสงบ แล้วท่านจะเป็นทุกข์เพราะ..
..จิตไม่สงบ.. ฉะนั้นจงปล่อยวางทุกสิ่ง แม้แต่ความสงบ... "หลวงปู่ชา
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)