คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
นืทานพื้นบ้านของชาวกูย เรื่อง หมาขี้เรื้อน (อาจอคีเฮือน) ที่ให้แง่คิดและคติธรรมที่น่าสนใจ โดย อารีย์ ทองแก้ว
กาลครั้งหนึ่ง มีหมาขี้เรื้อนอาศัยอยู่กับฤาษีในอาศรมแห่งหนึ่ง ธรรมชาติของหมาขี้เรื้อนจะมีอาการคันเป็นประจํา และชอบนอนอยู่ตามใต้ถุนที่มีอากาศเย็นหรือขี้เถ้า วันหนึ่งขณะที่หมาขี้เรื้อนนอนอยู่ที่ใต้ถุนอาศรม เจ้าหมาขี้เรื้อนก็มองเห็นเมฆไหลเรื่อยๆ พลันมันก็คิดว่า "ก้อนเมฆคงจะมีความสุขมาก เพราะลอยไปเรื่อยๆ ตามกระแสลมคงจะเย็นสบายดี"
จึงเอ่ยปากกับท่านฤาษีว่า "การเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนมีแต่คนรังเกียจ คันก็คัน ร้อนก็ร้อน หนาวก็หนาวไม่ได้หลับได้นอน มันอยากจะเป็นก้อนเมฆแทนคงจะสนุกดี ขอให้ฤาษีเสกให้มันเป็นก้อนเมฆด้วยเถิด"
ฤาษีตกลงและกล่าวเป็นคาถาว่า “โอม มะรูๆๆ เพี้ยง”
หมาขี้เรื้อนก็กลายเป็นก้อนเมฆตามต้องการ เมื่อหมาขี้เรื้อนกลายเป็นก้อนเมฆก็ถูกความกดอากาศ ลม แดด ฝน พัดกระจายไปหลายทิศทาง ไม่ได้หลับได้นอน และสุขสบายอย่างที่คิดไว้ มันก็เลยลอยกลับมาบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นลม เพราะลมได้พัดต้นไม้และคนพังระเนระนาดอย่างมีความสุข ขอให้ฤาษีเสกเป็นลมอีกครั้งหนึ่ง"
ฤาษีก็ตามใจเสกก้อนเมฆให้กลายเป็นลมตามความต้องการ ลมได้พัดไปเรื่อยๆ พัดใส่บ้านคน และต้นไม้พังระเนระนาดอย่างมีความสุข แต่เมื่อลมพัดภูเขาและจอมปลวกให้ล้มไม่ได้อย่างที่คิด จึงสร้างความโกรธแค้นให้กับลมเป็นอย่างมาก จึงไปบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นจอมปลวก เพราะลมพัดไม่พัง" ฤาษีก็ตกลงเช่นเคย จึงเสกลมให้กลายเป็นจอมปลวกตามความต้องการของหมาขี้เรื้อน
แต่เมื่อถึงฤดูฝนน้ําท่วมทุ่ง ชาวบ้านได้จูงควายมาผูกใกล้จอมปลวก ควายทั้งขี้ เยี่ยว ขวิด และเหยียบย่ําจอมปลวกจนกระจุยกระจาย จอมปลวกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงบอกฤาษีว่า "มันอยากเป็นควายแทน เพราะควายสามารถทําลายจอมปลวกได้" ฤาษีก็ตกลงเช่นเดิม พร้อมกับเสกหมาขี้เรื้อนให้ได้เป็นควายตามต้องการ
อยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาได้จูงควายไปไถนา เมื่อปลดจากไถนาก็พาควายไปลากเกวียนต่อ ทําให้ควายเหนื่อยล้ามาก จึงบอกฤาษีว่า "ตนอยากเป็นหนังควาย เพราะได้ขี่ช้าง" เนื่องจากขณะนั้นได้มีควาญช้างเอาหนังควาย ขึ้นหลังช้างพอดี จึงเป็นเหตุให้ควายอยากเป็นหนังเพื่อจะได้ขี่ช้าง ฤาษีก็ตกลงอีกเช่นเคย
แต่อยู่มาวันหนึ่งฝนตกหนักทําให้หนังเปียก ควาญช้างได้เอาหนังไปตากแดดให้แห้ง หนังตากแดดอยู่นานก็มีหมามากินหนัง หนังจึงบอกฤาษีว่า "มันเป็นหนังก็ไม่ดีเพราะถูกหมากิน"
ฤาษีจึงถามว่า "แล้วอย่างนั้นเจ้าจะเป็นอะไรดีล่ะ" มันบอกว่า "ขอเป็นหมาขี้เรื้อนอย่างเดิมดีกว่า"
ว่าแล้วฤาษีก็เสกคาถาให้ "หนัง" กลายเป็น "หมาขี้เรื้อน" เหมือนเดิม
จาก วารสารศิลปะวัฒนธรรม ลุ่มน้ำมูล
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลายท่านเห็นไหมว่า เมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่... เห็นไหม มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบายมันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน”
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุกๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อยๆ แล้ว ผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้ มันเป็นประโยชน์มาก
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)