คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
คนในยุคสมัยก่อนนั้นจะใช้เครื่องมือในการทำมาหากินจากวัสดุใกล้ตัว เช่น เรื่องจักสานจากไม้ไผ่ หวาย ที่สามารถสาน ถัก ทอ เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ง่าย มีน้ำหนักเบา ถ้าต้องการให้กันน้ำหรืออุ้มน้ำได้ก็ทาด้วยขี้ซี (ชันโรง น้ำมันยาง) อุปกรณ์บางชิ้นที่ต้องการความคงทนถาวรก็ทำจากไม้เนื้อแข็ง ด้วยการถาก ขุดเป็นหลุม เป็นท่อน เช่น ครก สาก คราด ไถ ด้ามมีด/พร้า ขวาน เป็นต้น ต่อมาเมื่อความเจริญทางเทคโนโลยีมีมากขึ้น สิ่งของที่ทำจากแผ่นโลหะสังกะสี เหล็ก พลาสติก ก็เข้ามาแทนที่จนเครื่องใช้ที่ทำด้วยภูมิปัญญาจากไม้เริ่มหายไป เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เลยขอนำเรื่องราวของเครื่องใช้ในอดีตมาบันทึกไว้ให้ลูกหลานได้ย้อนระลึกถึงวันวานดังนี้
คนอีสานในยุคโบราณเก่าก่อนมีความรู้ความสามารถในด้านการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งมีการปลูกทั้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ มีการผลิตเครื่องมือเพื่อการเพาะปลูกโดยใช้แรงงานคน และแรงงานสัตว์เพื่อทุ่นแรง และประหยัดเวลา จากวัสดุที่เป็นไม้เนื้อแข็ง ไม่ไผ่ ต่อมามีการนำเอาโลหะมาเป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มความทนทาน และแข็งแรงยิ่งขึ้น พอยุคอุตสาหกรรมรุ่งเรืองและการส่งเสริมของภาครัฐให้ทำการผลิตเพื่อขายให้มากขึ้น เครื่องมือโบราณเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป จากคราด ไถ ที่เป็นไม้ใช้แรงงานสัตว์อย่างวัว ควาย ก็มาเป็นควายเหล็กตดเป็นควันแทนที่ จากเคยก้มหน้าเกี่ยวข้าวก็กลายมาเป็นรถเกี่ยวที่สีออกมาเป็นข้าวเปลือกได้ทันที นี่คือต้นทุน และหนี้สินที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ชาวบ้านในสมัยโบราณ ได้คิดทำเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพในกลุ่มของเกษตรกรรม การทำนาปลูกข้าว เป็นหนึ่งในอาชีพของชาวบ้านในชนบททั่วไป เกือบทุกครอบครัวจะมีการทำนาเพื่อให้ได้ข้าวไว้กินตลอดปี ที่เหลือจากการสำรองไว้เพื่อครอบครัวแล้วก็นำออกจำหน่าย เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างอื่นบ้าง การทำนาในสมัยก่อนเป็น การทำเกษตรแบบพอมีพอกิน ยั่งยืน (ตรงตามพระราชดำริของในหลวง ล้นเกล้า รัชกาลที่ ๙)
ดังนั้นเครื่องมือในการทำนาก็ได้ปะดิษฐ์คิดทำขึ้นใช้กันเอง ในบรรดาเครื่องมือในการประกอบอาชีพทั้งหลาย เครื่องมือที่ใช้ในการไถนา หรือคันไถ ก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใครเป็นคนคิดทำเป็นคนแรกไม่มีใครรู้ แต่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา การสร้างเครื่องมือเหล่านี้ต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหาไม้เนื้อแข็งที่เหนียว และมีลักษณะใกล้เคียงกับชิ้นส่วนที่ต้องการทำ ซึ่งแต่ละชิ้นส่วนจะมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันไป นำมาถาก ขัด ตกแต่งให้ได้รูปแบบตรงตามที่ต้องการ ทั้งความคดงอสำหรับผลในการใช้งาน การบิดตัวของดินเมื่อผ่านผานไถ หรือคราด การช่วยเพิ่มแรงฉุดลากดึงจากสัตว์ที่ใช้แรงงาน ความเหมาะมือสำหรับการจับถือของคนผู้วบคุม แต่เมื่อรวมกันเป็นชุด จะประกอบด้วย หัวหมู หางยาม คันไถ แอก คราด
การทำนาข้าวนั้น ต้องมีการใช้แรงงานมาก จากการที่ต้องไถพลิกดินจากข้างล่างขึ้นข้างบน เพื่อให้ดินร่วน กำจัดวัชชพืช (ไถพลิกกลบให้หญ้าเน่าตายกลายเป็นปุ๋ย) การใช้จอบขุดดินเอาก็ทำได้ แต่คงไม่ไหวเพราะผืนนาค่อนข้างกว้างใหญ่ จึงจำเป็นต้องหาเครื่องทุ่นแรงมาช่วย แล้วนำแรงงานสัตว์มาเสริม ก็คงไม่พ้น วัว ควาย นั่นเอง ชาวนาอีสานนิยมใช้ควายมากกว่าวัว เพราะควายชอบน้ำและโคลนตม รวมทั้งมีความบึกบึนแข็งแรงกว่า ส่วนวัวนั้นไม่ชอบน้ำแต่กลับทนแดดได้ดีกว่า เลยนิยมนำไปใช้เทียมเกวียนเดินทาง แต่ในบางประเทศ เช่น พม่า เขมร นิยมใช้วัวเทียมไถนา บางแห่งใช้ช้างก็มี เช่น ชนเผ่าปะกากะญอ หรือกะเหรี่ยง ในจังหวัดตาก
จากนั้น จึงมีการคิดประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นมาเรียก "ไถ" ด้วยการไปเลือกหากิ่งไม้เนื้อแข็งทีมีลักษณะความโค้งงอตามที่ออกแบบไว้ เช่น พวกไม้ประดู่ ชิงชัน พยุง เป็นต้น นำมาถากเหลาเป็นคันไถตามที่ต้องการ เหมาะสมกับขนาดของสัตว์ที่ใช้เทียมลาก ลักษณะดังภาพประกอบ
คันไถแบบเทียมควายตัวเดียว
ตัวไถ จะเป็นไม้สามชิ้น ได้แก่ คันไถ หางไถ และ หัวหมู ประกอบกันด้วยการเข้าลิ่ม และส่วนที่ผูกติดกับควายอีกสามชิ้นส่วนประกอบของไถมีดังนี้
"ผานไถ" ที่ทำจาก "ขาง" ซึ่งเป็นโลหะเหล็กผสมพลวงที่นำไปหล่อเป็นใบขาง ผานไถ สำหรับสวมเข้ากับหัวหมูไม้ใบไถมีขนาดประมาณ 8 x 6 นิ้ว ปลายแหลม ให้สามารถจิกลงในเนื้อดินเพื่อให้วัวควายลากกดหัวไถให้จมดิน แล้วค่อยขยับให้ดินพลิกหงายขึ้น (ไทอุบลฯ บ้านผมเอิ้นว่า "บักสบไถ") ผานไถหรือสบไถที่ผมเคยเห็นมามีอยู่ 2 แบบ
ส่วนขนาดก็จะแปรเปลี่ยนไปตามขนาดของคันไถ ซึ่งจะมีเดือย "หัวหมู" ที่เหลาให้ปลายเรียวแหลมเพื่อสอดเข้าไปในรูของผานไถได้พอดี แล้วจะตอกยึดตัวผานไถเข้าหัวหมูด้วยตะปูเกลียวอีกทีให้แน่นหนา
คันไถแบบเทียมวัวสองตัว
คราด เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำสำหรับทำให้ดินที่ไถแล้วละเดียด ประกอบด้วยตัวคราด ลูกคราด คันคราด และเสาจับคราด และมือจับ
ส่วนที่ผูกกับคอควายก็ใช้แอกและผองคอควายมาจากชุดเดียวกันของไถนั่นเอง
เคียวเกี่ยวข้าว คือเครื่องมือทางการเกษตรชนิดหนึ่ง ใช้สำหรับเก็บเกี่ยวพืชผลประเภทข้าวและธัญพืช มีลักษณะเป็นมีดทำด้วยเหล็ก โค้งคล้ายตะขอและมีคมอยู่ด้านใน มีด้ามจับสำหรับถือ มีชื่อที่แตกต่างไปในแต่ละภาค เช่น ตรูด กรูด ผู้ใช้งานจะใช้เคียวเกี่ยวไปที่ฐานของต้นพืชและตัดออก เคียวแบบด้ามสั้นอาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง เมื่อใช้เป็นระยะเวลานานเนื่องจากต้องยืนก้มอยู่ตลอด (ด้วยเหตุนี้จึงเรียกชาวนาว่าเป็น "กระดูกสันหลังของชาติ") จึงมีเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งคือ เคียวด้ามยาว (scythe) ซึ่งมีด้ามจับยาวกว่าและไม่ต้องก้มให้ปวดหลัง
เคียวเกี่ยวข้าว ที่ใช้ในประเทศไทยมีหลายชนิด ดังนี้
ไม้หาบกล้า (ทางอีสานเรียก ไม้คันหลาว) ไม้ที่ทำเป็นคานหลาวใช้ไม้ไผ่ลำตรงๆ คานหลาวแต่ละอันมีความยาวประมาณ 2 - 2.5 เมตร ชาวบ้านจะนำไม้ไผ่ไปผึ่งแดดให้แห้ง หรืออาจลนไฟก็ได้ เหลาข้อไม้ไผ่ให้เรียบไม่ให้มีเสี้ยน จากนั้นจะใช้มีดเสี้ยมปลายไม้ไผ่ทั้งสองข้าง ตรงส่วนล่างที่ตอกมัดข้าวหรือบางแห่งก็ใช้ต้นข้าว มัดขมวดไว้ไม่ให้หลุด ซึ่งเรียกกันว่า เขน็ดข้าว ปากฉลามทั้ง 2 ข้างจะมีความยาวประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร
ใช้สำหรับหาบต้นกล้าเพื่อนำไปปักดำ ใช้หาบฟ่อนข้าวที่เกี่ยวมัดรวมไว้ในคันนาไปรวมที่กองข้าว ซึ่งรวมกันไว้เป็นกองใหญ่ๆ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อจะใช้เกวียนหรือรถบรรทุกฟ่อนข้าวไปลานนวด นอกจากใช้หาบฟ่อนข้าวแล้วชาวนายังใช้หาบแฝก หาบหญ้าคา และฟ่อนหญ้า ใช้สำหรับเสียบตรงกลางฟ่อนข้าวเพื่อใช้หาบ การที่จะใช้กระบุงแล้วใช้ไม้คานหาบฟ่อนข้าวนั้น หาบได้ครั้งละไม่กี่ฟ่อนก็เต็มกระบุงแล้ว การใช้คานหลาวจึงมีความเหมาะสมกว่า เพราะหาบได้ทีละหลายๆ ฟ่อน
ไม้หนีบ หรือ เรียกแบบไทอุบลฯ ว่า ไม้ค้อนตีข้าว หรือเรียกภาษาโคราชว่า ไม่ตีหัวข้าว ทำด้วยไม้ขนาดกำถนัด (จะเป็นไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ก็ได้) ยาวประมาณศอกครึ่ง 2 อัน ข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างหนึ่งประมาณหนึ่งคืบ ผูกติดกันด้วยเชือกยาวประมาณหนึ่งคืบ ใช้สำหรับรัดฟ่อนข้าวเวลาตี ดังภาพ
การตีข้าวแบบโบราณอีสานบ้านเฮา
การนวดข้าว โบราณนั้นมักจะใช้วิธีการลงแขก ช่วยกันด้านแรงงานของชาวบ้าน ทำให้เกิดความรักความสามัคคีของชุมชน หนุ่ม-สาวในหมู่บ้านได้มีโอกาสพบปะกันในการมาช่วยงาน หนุ่มๆ มานวด (ตี) ข้าว สาวๆ มาช่วยกันพัดวีข้าวลีบออกจากลานนวด กวาดเศษฟาง และกวาดกองข้าวรวมกัน มีการเลี้ยงอาหารผู้มาช่วยงาน ในนาของทิดหมูเองจะใส่ เหล้าสาโท ไว้หลายไห เก็บไว้ภายในกลางกองข้าว เมื่อนวดข้าวเสร็จก็จะได้เวลาฉลองกัน ทำให้เพื่อนบ้านขยันทุ่มเทเป็นพิเศษเพื่อให้ได้พบไหเหล้าสาโทในกลางกองข้าวนั่นเอง คนที่พบก่อนจะได้ชิมน้ำหัว (น้ำเหล้าที่อยู่ด้านบนซึ่งมีรสหวานอร่อย หรืออาจจะขม หรือเปรี้ยว ขึ้นอยู่กับฝีมือผู้หมักสาโทนั่นเอง) พ่อทิดหมูเองมีฝีมือขึ้นชื่อเรื่องหมักเหล้าหวาน ได้กิน(ดื่ม)แล้วคลานกลับบ้านทุกคน เพราะเมาไม่รู้ตัวนั่นเอง
การตีข้าวสะนุออกจากฟางที่ผ่านการตีรอบแรก
ในยุคปัจจุบันนี้หาดูภาพแบบนี้ยากแล้ว เพราะมีเครื่องจักรทุ่นแรงเข้ามาช่วยตั้งแต่การไถ ปักดำ เก็บเกี่ยว และสีข้าว วัว ควาย ก็เลี้ยงเพื่อขายเป็นอาหาร เอาเงินมาซื้อน้ำมันใส่ควายเหล็กที่ตดออกมาเป็นควันเต็มทุ่ง
รายการอยู่ดีมีแฮง : เฮ็ดนา เฮ็ดหยัง
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)