foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

khun tueng header

Khun tueng 01“ขุนทึง” หรือ “ขุนทึงขุนเทือง” เป็นชื่อวรรณคดีลาว–อีสาน อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ประเด็นที่น่าสนใจมีหลายเรื่อง แต่ในที่นี้ขอเสนอจุดเดียวคือเรื่องเกี่ยวกับ เมืองนาค ซึ่งความเชื่อเรื่อง “นาค” หรือ พญานาค (ดั้งเดิมคือ “เงือก”) นี้ฝังลึกในวัฒนธรรมลาว-อีสานมาเนิ่นนาน จึงมีเรื่องเล่าหรือนิทานที่เกัยวกับ "นาค" หรือ "พญานาค" มากมายหลายเรื่อง รวมทั้งมีการนับถือบูชา สักการะ หรือนำเอาความเชื่อนี้ มาเป็นกุศโลบายในการก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ มากมายในแถบสองฝั่งโขงนี้ ซึ่งท่านจะพบได้ทั่วไปทั้งทางฝั่งไทยและฝั่ง สปป.ลาว

ขุนทึง - ขุนเทือง

ปริวรรตจาก อักษรธรรม ๔ ผูก วัดอาภาราม อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี

ยังมีนครแห่งหนึ่งชื่อ เชียงเงื้อม หรือ เชียงใหญ่ มีกษัตริย์ปกครองนามว่า ขุนเทือง และมีมเหสีชื่อ นางบุสดี ได้ปกครองบ้านเมืองมีความร่มเย็น ไพร่ฟ้าประชาชีล้วนอญู่อย่างเป็นสุข เมื่อกาลต่อมา ขุนเทือง มีความปรารถนาจะออกเดินทางท่องเที่ยวป่า จึงได้ออกเดินทางจากบ้านเมืองไปในป่าใหญ่ประมาณ 2 เดือน จนไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสวนของพญานาค ที่สวยงดงามดังคำกลอนที่ว่า

เป็นที่อัศจรรย์แท้         อุทิยานสวนดอก
หอมฮ่วงเฮ้า                ใผเข้าบ่อยากหนี ได้แล้ว
ฮสทะฮ่วงเฮ้า              เท้าทั่วอุทิยาน
บาคราญพระ               ล่ำดูใจสะอื้น
อันนี้เมืองใดสร้าง        อุทิยานสวนดอก ไว้นี้
อยู่ขอกน้ำ                  ชัยกว้างแม่ชะเล นี้เด
มีดอกไม้                    หลายส่ำนานา
มาลาหลาย                จ่อจีเจือก้าน
บางพ่องบานเหลือต้น  จูมจีหอมอ่อน
ทองเทศอ้วน              เขียวอ้วนอ่อนหอม "

แล้วขุนเทืองก็ได้พบกับลูกสาวพญานาค ชื่อว่า นางแอกใค้ ซึ่งขณะนั้นนางได้จำแลงกายมาเป็นหญิงสาวงาม ดังบทกวีบรรยายว่า

ตาคมค้อม          คอคางคิ้วก่อง
งามล้องค้อง      สองแก้มดั่งคำ
ย่องย่องเนื้อ      ขาวเกิ่งฟองสมุทร
สอยวอยสุด       ยอดญิงตรองไว้
แสนแวนหน้า     งามดีเสมอแว่น
แขนก่องส้วย       ขาวแจ้งแจ่มพระจันทร์
งามอ้อนแอ้น      แมนหล่อเหล่าโฉม
ตระโนมพรรณ     ฮูปคำซาวเบ้า

ทั้งสองเกิดความรักใคร่กัน ขุนเทือง จึงได้ติดตามนางลงไปยังเมืองบาดาล และอยู่ที่นั่นยาวนานถึง 2 ปีกว่า จนกระทั่งคราวหนึ่งนางนาคลืมตัว ไปเล่นน้ำ จนต้องถูกเตือนเพราะโลกเกิดความแห้งแล้ง มนุษย์และสัตว์ประสบความเดือดร้อน เมื่อขุนเทืองเห็น "นาค" เล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ จึงตระหนักว่าตนเป็นคน ไม่น่าจะอยู่กับนาค ประกอบกับในขณะที่ขุนเทืองไม่อยู่ในบ้านเมืองนี้ นางบุสดี เป็นห่วงจึงได้เรียกหาหมอมอ (โหร) มาทำนายทายทักดูว่า ขุนเทืองไปอยู่ที่ใด เมื่อได้รู้ว่า ขุนเทืองอยู่ที่เมืองพญานาคกับลูกสาวพญานาค นางบุสดีจึงทำการบนบานให้พวกผีต่างๆ เช่น ผีน้ำ ผีเสื้อ ผีตายาย (บรรพบุรุษ) ผีเมือง เป็นต้น ตามไปบอกท้าวขุนเทืองกลับมาบ้านเมืองของตน ขุนเทืองจึงได้ลานางแอกใค้และพญานาคเจ้าเมืองบาดาลเพื่อจะกลับเมืองมนุษย์

Khun tueng 02

นางแอกใค้ได้มาส่งขุนเทืองถึงท่าน้ำ ก่อนจะลาจากกัน นางได้ล้วงเอาลูกในท้องออกแล้วเอาใบตองทึงห่อ ให้ขุนเทืองตอนกลับเมืองเพื่อเอาไปเลี้ยงดู เมื่อมาถึงเมืองแล้วนางบุสดีไม่พอใจจึงพยายามหาเรื่อง เพื่อทำอันตรายต่างๆ นานา ขุนเทือง เห็นท่าไม่ดี จึงให้เสนาอำมาตย์เอาลูกชายชื่อ "ขุนทึง" ไปปล่อยไว้ในป่า ขุนทึง อยู่ในป่าอย่างสุขสบาย เพราะมีเทวดาและเหล่าสัตว์ต่างๆ มาดูแลรักษาเลี้ยงดู ต่อมาประมาณ 1 ปี ขุนเทือง คิดถึง "ขุนทึง" ผู้เป็นลูกชาย จึงให้พวกอำมาตย์ออกไปสืบหาว่า ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เมื่อทราบว่ายังมีชีวิตอยู่จึงไปเชิญกลับเข้ามาอยู่ในเมือง

ขุนทึง เมื่อโตเป็นหนุ่มขึ้น ต้องการอยากจะพบแม่ที่แท้จริง จึงไปถามพ่อถึงที่อยู่ของแม่ พอทราบว่าแม่นั้นเป็น "นาค" อยู่ที่เมืองบาดาล จึงอำลาพ่อเพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียนถามข่าวคราวแม่ แล้วออกเดินทางไปตามที่พ่อบอกจนถึงท่าน้ำ แล้วเอาไม้ตีน้ำเรียกพวกนาคให้มาหา พวกนาคถามดูรู้ว่า "เป็นลูกของนางแอกใค้" จึงพาขุนทึงไปเมืองบาดาล ขุนทึงได้พบแม่ ตา และยาย แล้วอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอสมควร จึงได้ลาแม่เพื่อกลับเมืองเชียงเงื้อมของพ่อ นางแอกใค้แนะนำให้ลาตาแล้วขอของวิเศษ เพื่อเป็นเครื่องติดตัวในการเดินทาง

Khun tueng 03

เมื่อขุนทึงไปลาตา ได้ให้ของที่วิเศษ 3 อย่าง มี หม้อทองแดง ดาบ และของ้าว และได้มาถามวิธีใช้กับแม่ นางแอกใค้ จึงบอกวิธีใช้ว่า

  • หม้อ นั้นมีของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใน ถ้าต้องการอยากได้อะไรให้ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วเคาะเบาๆ ของที่ต้องการนั้นจะออกมา
  • ดาบนั้นใช้ในการต่อสู้กับข้าศึกศัตรู
  • ส่วนของ้าวนั้นให้ลากไปอย่าแบกหรือถือไป ขณะที่ลากนั้นถ้าไม่เกี่ยวอะไรก็ให้เดินทางไปเรื่อยๆ ห้ามนอน แม้จะกี่วันก็ตาม แต่ถ้าง้าวไปเกี่ยวกับอะไรแล้วจึงหยุดนอน

ขุนทึงเมื่อแม่มาส่งถึงท่าน้ำแล้วก็เดินทางต่อไป โดยปฏิบัติตามคำบอกของแม่ ใช้เวลาเดินอยู่หลายวันจึงถึงแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ของ้าวได้เกี่ยวหยุดอยู่กับที่ จะดึงอย่างไรก็ไม่ไปจึงหยุดนอน ณ ที่นั้น พอเมื่อตื่นขึ้นที่นั้นกลายเป็นเมืองใหญ่ ชื่อว่า "ศรีสัตนาคนหุต" (อ่านว่า สี-สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด) "เป็นชื่ออาณาจักรล้านช้าง (ลาว: ອານາຈັກລ້ານຊ້າງ) เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาเขตอยู่ในบริเวณประเทศลาวทั้งหมด ตลอดจนพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองการปกครอง ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนพระพุทธศาสนา ที่มีพัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมกันอาณาจักรอื่นๆ ใกล้เคียง ทั้งล้านนา สยาม พม่า และเขมร" ดังนั้น ขุนทึงจึงตั้งจิตอธิษฐานเคาะหม้อทองแดง เพราะอยากได้เพื่อนมาอยู่ด้วย แล้วก็มีหญิงสาวออกมา 2 คน ชื่อ "ทำ" และ "ทอง" จึงอภิเษกเป็นมเหสีทั้งสองคน แล้วขุนทึงก็ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตต่อมาอย่างมีความสุข

นิทาน​ลาว​เรื่อง ขุนทึง​ ขุน​เทือง​ - ນິທານລາວ​ເລື່ອງ​ ຂຸນທຶງ​ຂຸນ​ເທືອ​ງ 1

ต่อมาครั้งหนึ่งขุนทึงออกไปเที่ยวป่าคนเดียว เดินทางไปประมาณ 15 วัน ถึงป่าหิมพานต์ ได้พบ "นางชะนี" ที่อยู่ใกล้กับอาศรมพระฤาษี นางชะนีได้แปลงกายเป็นคน แล้วใส่ยาเสน่ห์ในผลไม้ที่นำมามอบให้เพื่อให้ขุนทึงรัก ขุนทึงได้หลงเสน่ห์ของนางชะนีแล้ว ได้อยู่กับนางชะนีที่ถ้ำในป่าหิมพานต์นั้น ประมาณ 3 ปี ได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อ อำคา หรือ อู่แก้ว ต่อมาขุนทึงได้ลานางชะนีกลับมาเมืองศรีสัตตนาคนหุต พร้อมกับท้าวอำคา ลูกชาย และได้ให้สัญญากับนางชะนีว่า จะมารับไปอยู่ในเมือง นางทำและนางทองต่างก็ดีใจ และรัก "ท้าวอำคา" เหมือนลูกตนเอง

เมื่อขุนทึงกลับถึงเมืองเรียบร้อยแล้ว จึงแต่งขบวนแห่มาเอานางชะนีไปอยู่ในเมืองตามสัญญา และสั่งชาวเมืองทุกคนให้ผูกสุนัขไว้ให้ดี อย่าให้เพ่นพ่าน แต่พอขบวนเข้าไปถึงเมือง นางทำ นางทอง มเหสีสองพี่น้องได้ปล่อยหมาให้ไล่กัดนางชะนีแปลงเป็นคนมานั้น นางชะนีได้วิ่งหนีออกจากเมืองกลับไปอยู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม

 ลำสั้น ขุนทึงเดินดง โดย หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน

อยู่มาไม่นานขุนทึงเกิดเจ็บป่วยไม่สบาย จึงให้ท้าวอำคาไปขอยาวิเศษจากต้นมณีโคตรกับนางชะนีผู้เป็นแม่มาให้กิน และบอกให้เอามามากๆ เพื่อที่จะได้แจกจ่ายชาวเมืองด้วย แต่นางชะนีให้ยามาเพียงนิดหนึ่ง เพราะนางโกรธที่นางทำ นางทอง ปล่อยหมาไล่นางออกจากเมืองแทบเอาชีวิตไม่รอด ขุนทึงได้กินยาแล้วก็หายเป็นปกติ

ต่อมา ขุนทึงได้ทำพิธีอภิเษกให้ท้าวอำคาขึ้นครองราชย์แทนตน และอยู่มาอีกนาน ขุนทึงไม่สบายอีกหน จึงให้ท้าวอำคาไปขอยากับนางชะนีมากินอีก แต่ท้าวอำคาไปในครั้งนี้ไม่พบนางชะนีอีก เพราะนางชะนีได้ตายไปแล้ว จึงกลับมามือเปล่า ขุนทึงเมื่อไม่ได้ยากินก็ตายไปอีกคน ส่วนท้าวอำคานั้นได้ครองเมืองเป็นสุขต่อมา

นิทาน​ลาว​เรื่อง ขุนทึง​ ขุน​เทือง​ - ນິທານລາວ​ເລື່ອງ​ ຂຸນທຶງ​ຂຸນ​ເທືອ​ງ 2

เกร็ดเกี่ยวกับ 'ต้นมณีโคตร'

ต้นมณีโคตร หรือ มณีโครธ หรือ มะนีโคด (ภาษาลาว) ในตำนานที่คนสองฝั่งโขงเชื่อว่ามีอยู่นั้นคือ ต้นไทร ที่มีลักษณะของ “ไทรกร่าง” ซึ่งรากและลำต้นแข็งแรงยืนหยัดคงทนสูงใหญ่ ใบแข็งหนาแผ่กิ่งก้านมณฑลสาขาได้เป็นอาณาบริเวณกว้างมาก

ต้นไม้ที่ว่านี้ “พระอินทร์” นำมาจากสวรรค์เอามาปลูกไว้ที่กลางน้ำตก “หลี่ผีสีทันดร” ลำน้ำโขงแห่งนี้ ตำนาน “ขุนทึง ขุนเทือง” ก็เล่าไว้ว่าเดิมนั้นเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ ที่ขึ้นอยู่ริมสระอโนดาตในป่าหิมพานต์เท่านั้น มิใช่สมบัติของชาวดินที่จะเชยชมกันได้ง่ายๆ ไม้นี้มีเพียง 3 กิ่งใหญ่ และมีความศักดิ์สิทธิ์ คือ

  • กิ่ง 1 ทอดเอนชี้ไปก้ำ(ทาง)ตะวันออก แม้นใครกินผลมณีโครธจากกิ่งนี้เข้าไปจะกลายเป็น ลิง
  • กิ่ง 2 ทอดเอนไปก้ำ(ทาง)ตะวันตก แม้นใครกินผลมณีโครธจากกิ่งนี้เข้าไปจะกลายเป็นนกกระเจาหรือ นกกระยางขาว
  • กิ่ง 3 ชี้ตรงขึ้นเมืองฟ้า(บนฟ้า) แม้นใครกินผลมณีโครธจากกิ่งนี้เข้าไป จะกลายเป็นคนวัยหนุ่มสาวงามนัก เป็นผู้ดี และมีศักดิ์สูง อายุนั้นจะยืนยาวมั่นแข็งแรงไม่แก่ไม่เฒ่า

เชื่อกันว่าผู้ที่ได้ไปถึงก็มีแต่ “สมเด็จลุน” เพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนในมิติโลกมนุษย์เราที่นักท่องเที่ยวไปชมและกราบไหว้กันก็มีอยู่จริง

Khun tueng 04

ทุกวันนี้ มีคนไปเที่ยว คอนพะเพ็ง ใน สปป.ลาว และได้เห็น ต้นมณีโคตร ซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีคำกล่าวเล่าขานกันว่า

ในวันธรรมดาทั่วๆ ไปนั้น นกที่บินมาจับต้นมณีโคตรจะเป็นนกสีดำ (หรืออาจจะมีสีอื่นๆ บ้างผู้เขียนก็ฟังไม่แน่ชัด) แต่ในวันศีลวันพระ (วันโกณวันพระ) นั้น นกที่บินมาจับจะเป็นนกสีขาว "

ข่าวล่าสุด : เมื่อปี 2555 ต้นมณีโคตร นี่ได้โค่นล้มลงแล้ว อ่านเพิ่มเติมที่นี่

 

redline

backled1

 

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)