คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
หลังจากหลวงพ่อและคณะพำนักอยู่ที่ดงป่าพงได้เดือนกว่า แม่พิมพ์ มารดาของหลวงพ่อ ซึ่งมาอุปัฏฐากช่วยเหลืองานวัดพร้อมกับฝึกหัดภาวนาอยู่เป็นประจำ ได้เกิดศรัทธาในปฏิปทาของพระลูกชาย และเลื่อมใสในคำสอนทางพุทธศาสนามาก จึงชักชวนญาติมิตรอีก 3 คนมาบวชชีที่ป่าพง และได้ร่วมทุกข์ยากลำบากกับพระในรุ่นบุกเบิกนั้นด้วย
วัดหนองป่าพงในสมัยนั้น ผู้คนเข้าวัดน้อยมาก เพราะอยู่ในถิ่นกันดาร ไม่มีใครรู้จัก รวมทั้งชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ และไม่สนใจความเป็นอยู่ของพระป่า หลวงพ่อกับคณะจึงต้องเผชิญ กับปัญหารอบข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นับตั้งแต่เรื่องอาหารขบฉัน ซึ่งหลวงพ่อฟื้นความหลังให้ฟังว่า...
"สมัยนั้น แม้สุนัขก็อยู่ด้วยไม่ได้ ไม่ใช่มันถูกเตะถูกตีหรอก มันไม่มีอะไรจะกิน เพราะอาหารของพระ ก็แทบจะไม่พอจะฉันอยู่แล้ว เมื่อพระฉันเสร็จก็เดินกลับกุฏิกันหมด สุนัขวิ่งตามไป พระท่านก็ขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบ สุนัขมันก็กลัว ไม่รู้จะอยู่กับใคร มันจึงอยู่ไม่ได้ แต่คนอยู่ได้ คิดแล้ว ก็สลดสังเวชเหมือนกัน"
บางวันไปบิณฑบาตได้กล้วยมาสามลูก หลวงพ่อจะหั่นกล้วยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแบ่งกันฉันอย่างทั่วถึง โดยไม่ทิ้งแม้แต่เปลือก หากมีน้ำพริกมาด้วย วันนั้นถือว่าโชคดี แม่ชีจะเก็บผักกำโตๆ มาถวาย แล้วแบ่งน้ำพริกกันคนละนิดฉันกับผักนั้น ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าทุกวัน
ผ้าไตรจีวร ขัดสนมาก ต้องเก็บเอาเศษผ้าทีทิ้งแล้วมาใช้ สิ่งของเครื่องอาศัยต่างๆ เช่น สบู่ ผงซักฟอก รองเท้า เทียนไข ไม้ขีดไฟ ไม่มีเลย ยามค่ำคืน อาศัยแสงเดือนแสงดาวที่ส่องลอดใบไม้ ลงมาแทนแสงโคมไฟส่องทางเดินจงกรม บางครั้งพระเณรเหยียบงูบ่อยๆ แต่ไม่ปรากฏว่ามีใคร เคยถูกงูกัด
หลวงพ่อเล่าว่า "คืนข้างแรมมืดตึ๊ดตื๋อ เวลาจะลงจากกุฏิ ก็พนมมือยกขึ้นเหนือหัว สาธุ ด้วยอำนาจแห่งคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง จงเป็นสุขๆ ทุกตัวตนเถิด อย่าเข้ามาใกล้นะ เวลากลางคืนมันมืดอย่างนี้ มองไม่เห็นอะไร ไม่มีไฟส่อง เดี๋ยวเหยียบเอาจริงๆ นะ"
มีพระรูปหนึ่ง มีธุระลงจากกุฏิไปศาลาในตอนกลางคืน พอเดินไปได้ไม่ไกล ชนเอาต้นงิ้วหนาม หน้าช้ำหมด แต่ไม่มีใครปริปากบ่นถึงความทุกข์ยากนั้น
ในสมัยนั้น ป่าพงมีไข้มาลาเรียชุกชุมมาก พระเณรรวมทั้งแม่ชีป่วยเป็นไข้มาลาเรียกันแทบทุกรูป ยารักษาที่มีและดีที่สุดในยามนั้นคือ น้ำบอระเพ็ดต้ม แม้ไข้ขึ้นสูงจนตัวสั่น ไม่มีใครยอมไปหาหมอ ต่างใช้ความอดทนต่อสู้กับภัยนั้นเรื่อยมา
หลวงพ่อมักพูดให้กำลังใจแก่พระเณรว่า
อดทนเอานะ พระกรรมฐานไม่ต้องกลัว ถ้าตาย ผมจะเผาให้
ถ้าผมตายก็ให้เพื่อนเผาผมด้วยนะ อย่าเอาไว้เลย มันทุกข์ "
ครั้งหนึ่ง พระป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก พอตกกลางคืนนอนหนาวจับสั่น อาการหนักขึ้นเรื่อย จึงรำพึงกับตัวเองว่า "เราคงต้องตายวันนี้แน่!" เมื่อคิดวกไปวนมาหลายรอบ คิดได้ว่า ถ้าเราอยู่ที่กุฏินี่คงจะตายอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ ออกไปหาเพื่อนดีกว่า คิดได้ดังนั้นแล้วก็วิ่งออกไป ทั้งที่ไฟส่องทางไม่มี
พระรูปนั้น วิ่งไปบนไม้แห้ง ชนกิ่งไม้หักไปตลอดทาง เกิดเสียงดังผิดปกติ หลวงพ่อจึงออกมาดู แล้วถามว่า "ใคร เป็นอะไร ?"
"ผมเองครับ... ผมป่วยหนัก เลยจะออกมาหาเพื่อน"
"เออ... ถูกแล้ว... คนป่วยต้องมาหาหมอ จะให้หมอไปหาคนป่วยจะถูกหรือ ?"
จากนั้น ก็ช่วยกันพยาบาลพระรูปนั้นตามมีตามได้ ถึงกระนั้นก็ไม่ปรากฏว่า พระ เณร วัดหนองป่าพงป่วยเป็นไข้มาลาเรียตายสักที
อยู่ต่อมา หลวงพ่อป่วยเป็นมาลาเรียหนักมาก ท่านออกมานอนบนแคร่ใต้ร่มไม้หน้ากุฏิ อาการไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเนื้อตัวเขียวคล้ำ พระเณรไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะหลวงพ่อไม่ให้เอ่ยถึง โรงพยาบาลและหมอ จึงพากันฝนยาสมุนไพรให้ท่านฉันแล้วนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น
สักพักหนึ่ง อาการไข้ขึ้นถึงที่สุด หลวงพ่อลุกขึ้นนั่งโยกไปโยกมา แล้วคว้าขันน้ำยาสมุนไพรที่ตั้งไว้ข้างตัว ยกขึ้นเทราดศีรษะท่านเอง หลวงพ่อเที่ยงนั่งอยู่ข้างๆ จับไว้ไม่ทัน เนื้อตัวหลวงพ่อเปียกปอนไปหมด จากนั้นท่านก็นั่งสมาธินิ่งเงียบไป
หลายวันต่อมา อาการของหลวงพ่อดีขึ้น แต่โรคร้ายกลับหันไปเล่นงานลูกศิษย์แทน ไม่เว้นว่าพระเณรหรือแม่ชี ป่วยหนักกันแทบทุกคน
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจันทร์ อินฺทวิโร (พระครูบรรพตวรกิต เจ้าอาวาสวัดบึงเขาหลวง สาขาที่ 2 ของวัดหนองป่าพง) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ได้อยู่ร่วมเคียงข้างหลวงพ่อมาโดยตลอด จนวันหนึ่ง หลวงพ่อจันทร์ป่วยเป็นไข้มาลาเรียนอนซมอยู่หลายวัน หลวงพ่อเห็นป่วยนานผิดสังเกต จึงไปเยี่ยมดูอาการที่กุฏิ เพื่อพูดคุยให้กำลังใจ แล้วได้ถามว่า...
ท่านจันทร์ต้องการอะไรไหม ? ถ้าเป็นของที่พอหาได้ ผมจะหามาให้ "
หลวงพ่อจันทร์ตอบทันทีว่า "กระผมอยากฉันต้มไก่ใส่หัวข่าครับ"
"มันก็บ่มีแล้ว...ว...ว" หลวงพ่อลากเสียง
พระอุโบสถวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ต่อมา หลวงพ่อจันทร์ออกไปอยู่วัดสาขาแล้ว เมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าพง ถ้าวันไหนได้นั่งฉันอาหารร่วมกัน แล้วมีชาวบ้านนำต้มไก่มาถวาย หลวงพ่อมักจะพูดสัพยอก หลวงพ่อจันทร์ว่า
เออ... วันนี้ผมขอต้มไก่ถวายท่านอาจารย์จันทร์ด้วยนะ.. ผมเป็นหนี้ท่าน
ตั้งแต่สมัย ท่านป่วยเป็นไข้มาลาเรียคราวนั้น ยังไม่ได้ใช้หนี้ท่านเลย... "
พูดแล้วหลวงพ่อก็หัวเราะไปด้วย ทำเอา หลวงพ่อจันทร์และพระเณรในโรงฉันอมยิ้มไปตามๆ กัน
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)