คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
การระบาดของโคโรนาไวรัส (COVID-19) ที่เมืองวู่ฮั่นในประเทศจีน แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกด้วยความทันสมัยและก้าวหน้าในการเดินทางของยุคปัจจุบัน ทำให้เกิดการติดต่อแพร่เชื้อไปทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยเราก็ไม่เว้นมีจำนวนผู้ติดเชื้อหลายราย ที่รักษาหายไปแล้วก็มี ที่เสียชีวิตก็มี และที่กำลังอยู่ในการกักตัวรักษาอีกจำนวนมาก ลำพังการเดินทางของคนทั่วไปทั้งชาวไทยเองและนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ประเทศไทยเราก็รับศึกหนักในการดูแล รักษา ป้องกัน จนเกิดความขาดแคลนทั้งยารักษา และหน้ากากอนามัย เจลล้างมือทำความสะอาดในการป้องกันโรค แต่วันนี้เรายังต้องรับศึกกับ "ผีน้อย" ที่ทะลักกลับเข้าประเทศจำนวนมหาศาลจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
หลายคนคงสงสัยว่า "ผีน้อย" คืออะไร? มีข้อมูลจากหลากหลายแหล่งแหล่งที่มา ต่างก็นิยามคำว่า “ผีน้อย” ในความหมายที่ใกล้เคียงกัน แยกเป็น
นิยามที่ 1 : “ผีน้อย” เป็นศัพท์เรียกแทนคนไทยที่ใช้วีซ่าท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ แล้วโดดวีซ่า (หนีกรุ๊ปทัวร์) ลักลอบเดินทางไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย มีข้อมูลจากกระทรวงแรงงานของไทย ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2562 มีคนไทยทำงานในเกาหลีใต้ประมาณ 160,000 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมี “ผีน้อย” มากถึง 140,000 คนเลยทีเดียว
นิยามที่ 2 : “ผีน้อย” เป็นคำที่ใช้เรียกแรงงานไทยในเกาหลีที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน ใช้เรียกทั้งตัวเองและคนที่มีสถานะแบบเดียวกัน ที่อาศัยอยู่ในเกาหลีใต้แบบไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมาย พวกเขามักจะระมัดระวังตัวในการพูดคุย ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และ "ผีน้อย" เป็นเหมือนรหัสลับที่รู้กันในกลุ่มใช้สื่อสารกันเฉพาะทั้งผู้จ้างงานและแรงงาน
นิยามที่ 3 : “ผีน้อย” คือ ผู้ถือพาสปอร์ตไทยที่อ้างว่า "ไปเที่ยวเกาหลี แต่อยู่เกินเวลา และไม่ต่อวีซ่าท่องเที่ยว" เกิดการลักลอบเข้าไปทำงานแบบไม่มีใบอนุญาตทำงาน อยู่กันแบบหลบๆ ซ่อนๆ และไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมายจากรัฐบาลเกาหลี ถ้าถูกจับได้จะมีโทษและถูกส่งกลับประเทศต้นทาง (ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยนะครับ มีทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า ฯลฯ)
นิยามที่ 4 : "ผีน้อย" มาจากการเรียกของนายจ้างเกาหลีที่เรียกแรงงานต่างชาติ ซึ่งในเกาหลีนั้นแรงงานต่างชาติที่เข้าไปทำงานกลุ่มแรกคือ ชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งชาวฟิลิปปินส์เองนั้นมีคำเรียกแบบไม่เป็นทางการคือ ปินอย (Pinoy) หมายถึง ชาวฟิลิปปินส์ในฟิลิปปินส์และวัฒนธรรมของพวกเขา รวมทั้งยังหมายถึงชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศ ที่ไปทำงานในต่างประเทศหรือฟิลิปปินส์พลัดถิ่นด้วย เมื่อมีการเรียกใช้แรงงานจึงเรียกรวมๆ ว่า "Pinoy come here." และเมื่อมีคนงานชาติอื่นเข้าไปทำงานด้วย ก็ยังคงถูกเรียกว่า "ปินอย" เช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าเรียกติดปากจนเคยชินแล้ว หรือคนงานต่างชาติเหล่านี้หน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด ไม่เหมือนคนเกาหลี (ยิ่งฟิลิปปินส์กับไทยนี่แยกไม่ออกเลย) คนงานไทยอาจจะฟังว่าเป็น "ผีน้อย" ด้วยคล้ายคลึงกัน รวมทั้งสถานะของตนเองก็คล้าย "ผี" ที่ไร้ตัวตน ไร้ร่องรอย ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ คำว่า "ผีน้อย" ก็ตรงตามสภาพแล้วเลยยอมรับมันซะเลย [ อ้างอิง ]
ส่วน "ปินอย (Pinoy)" ในกลุ่มวัยรุ่นไทยที่นิยมเล่นเกมออนไลน์นั้น จะเรียกพวกเล่นเกมที่หยาบคาย ถ่อย ขี้โกง ว่าพวก "ปินอย" ซึ่งมาจากกลุ่มเกมเมอร์วัยเกรียนของฟิลิปปินส์ที่มีนิสัยแบบนี้ จนเลื่องลือกัน รวมทั้งในวงการประกวดนางงามระดับโลกที่เรามักจะเห็น "วิวาทะของกองเชียร์" ไทย-ฟิลิปปินส์ในสื่อออนไลน์อยู่เสมอ ก็มักจะเรียกกองเชียร์ฝั่งฟิลิปปินส์ว่า "ปินอย" เช่นกัน
ส่วนอาชีพที่ “ผีน้อย” ชาวไทยมักจะลักลอบเข้าไปทำงานกัน ได้แก่ กลุ่มแรงงานในภาคการเกษตร แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมร พนักงานขาย พนักงานร้านนวด ลูกจ้างทั่วไป และอื่นๆ ในขณะที่แรงงานไทยที่ไปทำงานแบบถูกกฎหมายก็มี ซึ่งถูกจัดหา-ส่งไปจากบริษัทที่รับรองโดยกระทรวงแรงงานของไทย ได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองตามกฎหมายของเกาหลี แรงงานที่เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมายนี้จะมีความรู้และทักษะที่ดี สื่อสารทางภาษาได้บ้าง จากการจัดอบรมและสอบที่เมืองไทยก่อนการเดินทาง
“ผีน้อย” ชาวไทยนั้น เริ่มลักลอบเข้าไปหางานทำในเกาหลีใต้แบบผิดกฎหมายกันมา ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2555 มีข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีใต้ พบว่า ในปี 2560 มีคนไทยในเกาหลีใต้จำนวน 168,711 คน ในจำนวนนี้รวมถึงนักท่องเที่ยวและคนที่อยู่เกินวีซ่า โดยเป็นแรงงานถูกกฎหมายเพียง 24,022 คนเท่านั้น
หมายความว่า นอกจากนั้นอาจเป็น แรงงานผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่า “ผีน้อย” ที่มีจำนวนมากถึง 140,000 คน ซึ่งแรงงาน “ผีน้อย” ส่วนใหญ่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวนมาก รองมาคือ แรงงานในภาคการเกษตร และถัดมาคือ "ร้านนวด" โดยเป็นคนไทยจาก ภาคอีสาน มากสุด รองมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคกลาง
กระแสของคนไทย(บางกลุ่ม)ที่นิยมไปทำงานที่เกาหลีใต้นั้น เกิดขึ้นมาจากแรงงานกลุ่มหนึ่งมีการปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น ได้แต่งงาน มีการเรียนภาษา และได้คลุกคลีกับชนชั้นแรงงานของเกาหลี เปิดช่องทางให้ชักชวนเพื่อนๆ หรือญาติคนไทยด้วยกันมาทำงานโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย จนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ประกอบกับเหตุผลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศไทยไม่ดีต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้คนชนชั้นแรงงานเลือกที่จะออกมาหางานทำนอกประเทศแม้จะเสี่ยงกับการกระทำผิดกฎหมาย โชคร้ายอาจถูกจองจำหรือบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และอาจถึงกับเสียชีวิตโดยไม่มีการคุ้มครอง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา ก็พบว่า มีแรงงาน “ผีน้อย” ชาวไทยเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ เพื่อไปทำงานแบบผิดกฎหมายอยู่เรื่อยๆ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณปี 2560-2561 ทางการเกาหลีใต้จับตานักท่องเที่ยวไทยอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อสกัดไม่ให้กลุ่ม “ผีน้อย” ผ่าน ตม. เกาหลีใต้ไปได้ เพราะส่วนใหญ่มักจะแฝงตัวมาในฐานะนักท่องเที่ยว ในครั้งนั้น ทางการเกาหลีตรวจจับ “ผีน้อย” ไทยได้หลายร้อยคน และดำเนินการส่งตัวกลับไทยทันที แต่ก็มิวายที่มีบางกลุ่มบางจำนวนเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้ และลักลอบทำงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ได้อย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน
จากกรณีดังกล่าวนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยในวงกว้าง เพราะ การลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมายของแรงงานไทยในเกาหลี ส่งผลเสียไม่เฉพาะแต่ตัวแรงงานเอง แต่ยังส่งผลต่อประเทศชาติอีกด้วย กล่าวคือ
นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทยในเกาหลี ยังมีภาระค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยผิดกฎหมาย โดยปี 2560 ให้เงินกู้ยืมเพื่อช่วยเหลือกว่า 3 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการเจ็บป่วยเนื่องจากแรงงานผิดกฎหมายไม่มีประกันสุขภาพ และส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ค่าทดรองค่าฌาปนกิจศพ ค่าจัดส่งอัฐิกลับประเทศไทยในกรณีแรงงานเสียชีวิต และในการส่งกลับแรงงานไทยผิดกฎหมาย โดยแรงงานที่ถูกส่งกลับจะต้องเซ็นสัญญารับสภาพหนี้ และสัญญาว่าจะคืนเงินให้กับรัฐบาลไทย ซึ่งคืนได้ยาก ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงเป็นภาระทางการคลังของประเทศไทย
แรงงานไทยที่ทำงานในเกาหลี ในปี 2560 ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 85) อายุอยู่ในช่วง 18-40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ อุดรธานี นครราชสีมา เชียงราย ขอนแก่น และหนองบัวลำภู ตามลำดับ ส่วนใหญ่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม (ร้อยละ 82.6) เกษตรกรรม (ร้อยละ 9.7) และก่อสร้าง (ร้อยละ 7.7) โดยสัดส่วนภาคเกษตรกรรมและก่อสร้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2547 - 2560 โดยไม่มีการทำงานประมงหรือภาคบริการ เพราะแรงงานไม่ประสงค์จะทำงาน หรือเพราะไม่สามารถสื่อสารภาษาเกาหลีได้ดีพอ รายได้ของแรงงานตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเกาหลีประมาณเดือนละ 5 หมื่นบาท
สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้แรงงานไทยไม่สามารถไปเกาหลีอย่างถูกกฎหมาย คือ การที่ไม่สามารถสอบผ่านภาษาเกาหลี TOPIK (Test of Proficiency in Korean) โดยมีอัตราการสอบผ่านเพียงร้อยละ 20 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยในปี 2557 มีแรงงานไทยสอบผ่านภาษาเพียง 4,119 คน จากผู้เข้าสอบประมาณ 20,000 คน ทำให้ไม่สามารถส่งแรงงานไปทำงานได้ตามโควต้าที่ได้รับจำนวน 5,400 คน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงงานไทยเองไม่มีความกระตือรือร้น ที่จะฝึกฝนภาษาเพื่อเตรียมตัวในการสอบ แรงงานไทยใช้เวลาเตรียมตัวสอบเพียง 2 เดือน ซึ่งแตกต่างจากแรงงานเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ทุ่มเทเรียนภาษาเกาหลีเป็นระยะเวลาหลายเดือน และสามารถสอบได้คะแนนสูงๆ ครูสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทยเองไม่ได้มีความรู้ภาษาเกาหลีลึกซึ้งนัก และแค่สอนให้ทำข้อสอบได้ แต่ไม่ได้สอนเพื่อให้นำใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน (ซึ่งสำคัญมาก)
อีกสาเหตุหนึ่ง แม้แรงงานจะสามารถสอบภาษาผ่าน ก็ต้องรอการคัดเลือกจากนายจ้างเป็นเวลาค่อนข้างนาน และอาจจะไม่ได้รับการคัดเลือกจากนายจ้างเลยก็ได้ โดยเฉพาะแรงงานหญิงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับคัดเลือก และต้องรอนานกว่าแรงงานชาย เนื่องจากค่านิยมและลักษณะของงานที่ต้องไปทำ ส่งผลให้แรงงานหญิงลักลอบไปทำงานผิดกฎหมายมีสัดส่วนสูงกว่าแรงงานชาย อีกทั้ง "โควต้านำเข้าแรงงาน" ที่รัฐบาลเกาหลีกำหนดไว้ ก็ต่ำกว่าความต้องการใช้แรงงานภายในประเทศค่อนข้างมาก ส่งผลให้แรงงานลักลอบเข้าไปทำงานอย่างผิดกฎหมายมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ กระบวนการส่งแรงงานของไทยที่ล่าช้า โดยเฉพาะในส่วนของ "การออกหนังสือรับรองความประพฤติ" จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องใช้ประกอบการขอรับการตรวจลงตรา (ในวีซ่า) ซึ่งบางกรณีใช้เวลานานถึง 1 เดือนก็มี และภายใต้ระบบ EPS (Employment Permit System) ของเกาหลี นายจ้างมีอำนาจต่อรองเหนือแรงงานในการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาจ้าง โดยแรงงานมีสิทธิเพียงตอบรับหรือปฏิเสธเพียง 2 ครั้งในการรับข้อเสนอการจ้างงาน แต่ไม่มีโอกาสเจรจาให้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างต่างๆ และการจะย้ายงานได้ก็ต่อเมื่อนายจ้างเซ็นยินยอมให้ย้ายได้เท่านั้น
และมีหลายกรณีที่งานที่ไปทำ ก็ไม่ตรงกับลักษณะงานตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้าง อีกกรณี การไม่อนุญาตให้คนไทยไป "ทำงานนวด" (นวดแผนไทย แผนโบราณ ไม่ใช่นาบนะครับ) ภายใต้ระบบ EPS ทั้งๆ ที่มีความต้องการสูงภายในประเทศ ทำให้เกิดการลักลอบเข้าไปทำงานของอาชีพหมอนวดจำนวนมากจากประเทศไทยด้วย
การทำงานและการดำรงชีวิตของ "ผีน้อย" ในเกาหลี ไม่ได้สวยงามโรยด้วยดอกกุหลาบ ยิ้มหวานในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่ต้องอยู่กันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ในป่าเขา (สำหรับกลุ่มผีน้อยในงานเกษตรกรรม) กลุ่มที่ทำงานในเขตเมืองหรือเขตอุตสาหกรรม ก็จะอาศัยกันอย่างแออัดในห้องเช่าเล็กๆ ใกล้ๆ กับสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถหลบหนี ตม. ของเกาหลีซึ่งจะออกจู่โจมตรวจตรากันแทบทุกสัปดาห์ เคยมีโศกนาฏกรรมชายไทยวัย 29 ปี ตกเขาเสียชีวิตขณะพยายามหลบหนีการจับกุมในโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองกิมแฮ จังหวัดคย็องซังใต้ เมื่อเจ้าหน้าที่ลงจากรถ คนงานตะโกนบอกกันว่า “เจ้าหน้าที่มาแล้ว” ก่อนรีบวิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น ปฏิบัติการในวันนั้น เจ้าหน้าที่จับกุมผีน้อยได้ 8 คน เป็นคนไทย 3 คน จากจีน 4 และเวียดนามอีก 1 คน แต่ต่อมา พบชายไทยหมดสติอยู่บริเวณภูเขา ห่างจากโรงงานประมาณ 100 เมตร ก่อนถูกนำตัวส่งรพ. และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่ไม่เสียชีวิตก็ได้รับบาดเจ็บทางร่างกายกันก็มี
ในปี 2020 นี้ก็ยังพบแรงงานไทยผิดกฎหมาย "ผีน้อย" ในเกาหลีใต้เป็นจำนวนมาก และเมื่อมีการระบาดของโคโรน่าไวรัสในเกาหลีที่เมืองแทกู และเมืองคย็องซังเหนือที่อยู่ใกล้กัน และในเมืองเหล่านี้มีบรรดา "ผีน้อยไทย" ทำงานอยู่จำนวนมาก พวกเขาได้เข้ายื่นขอความจำนงกับสถานกงสุลของไทยในเกาหลีใต้เพื่อขอเดินทางกลับประเทศ หลังจากเชื้อไวรัสโควิด19 ได้ระบาดอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ และมีบางส่วนทยอยเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อหนีโรคร้ายดังกล่าว จนเป็นประเด็นร้อนแรงอย่างที่หลายคนทราบกัน
ความเป็นห่วงเป็นใยของพี่น้องชาวไทยก็คือ กลัวคนเรานี้จะเป็นพาหะนำโรคมาระบาดขยายเป็นวงกว้างในประเทศไทย ไม่ทำตามกฏกติกาที่ทางการวางไว้ว่า ให้กักกันโรคในสถานที่ปิดก่อนเป็นเวลา 14 วัน หากปลอดภัยจึงค่อยกลับบ้านเกิด ความกลัวนี้คือ กลัวว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ทำตามกฎหมาย เพราะขนาดหนีไปทำผิดกฎหมายในประเทศอื่นมาแล้ว กลับมาบ้านเรามีหรือจะรักษากฎ แม้ว่าจะมีหลายคนที่มี "จิตสำนึกที่ดี" มองเห็นภัยที่จะเกิดกับประเทศชาติ ญาติพี่น้องของตนในวงกว้าง
ที่กลับมาก่อนหลายคนก็ทำตัวขี้อวด ไม่ทำการกักตัวตามกฎจริงๆ ไปเที่ยวโน่นนี่ พาครอบครัวไปช็อปปิ้ง กินอาหาร เข้าผับบาร์ แล้วกลัวคนอื่นไม่รู้ว่า "รวย มีเงินมานะ เป๋าตุง" ก็เซลฟี่อวดการกินหรู ดูดี ลงสื่อออนไลน์เสียหน่อย เป็นเรื่องเลยคราวนี้ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว รถโดยสารที่คนกลุ่มนี้ใช้บริการต้องหยุดให้บริการ ทำความสะอาดกันยกใหญ่เลยทีเดียว ปลาเน่าตัว สองตัว ทำให้ปลาดีๆ เป็นร้อยเดือดร้อน แต่ก็ขอบคุณนะที่ยังอุตสาห์บอกด้วยการเซลฟี่ ทำให้เกิดการป้องกันและตามไปรวบตัวมากักโรคได้ทัน แต่...
แล้วความกลัวนั้นก็เป็นจริงตามคาด ไม่ต้องเดากันอีกต่อไป "เมื่อวันที่ 8 มี.ค.นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า มีผู้โดยสารคนไทยกลับจากเกาหลีใต้แล้ว 200 คน วานนี้ (7 มี.ค.) และได้ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยทั้งหมดจะถูกนำไปที่อาคารรับรอง สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกทุกคน
อย่างไรก็ตามยอมรับว่ามีบางส่วน ไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ พยายามหนีจากการถูกกักกันตัวไว้ ซึ่งสามารถหนีไปได้ประมาณ 70-80 คน ขณะนี้ได้สั่งการให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เร่งตรวจสอบรายชื่อข้อมูลผู้ที่เดินทางมาว่าใครหลบหนีไปได้บ้าง เพื่อนำตัวกลับมากักกันโรค และดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคต่อไป"
ก็ยังมี "ผีน้อย" บางคน รวมทั้งญาติผีน้อยด้วย ออกมาโพนทะนาด่าทอคนอื่นว่า "เดือดร้อนอะไรกับเราผีน้อย เรามันยากจนต้องทนหนีไปทำงานไกลบ้าน กลับมาเมืองไทยจะให้ความสุขกับครอบครัวไม่ได้เหรอ" ถามมาก็ตอบไป จะให้ความรัก ความสุขกับครอบครัว ก็ต้องกักกันโรค คัดกรองก่อนตามที่รัฐบาลกำหนด ตอนนี้มีกฎหมายออกมาควบคุมโรคติดต่อแล้ว พวกคุณผีน้อยต้องทำตามนะ ถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น
ผีน้อย 1 คน มาอยู่ร่วมกับครอบครัว 5 คน แล้วครอบครัว 5+1 คนนี้ ไปพบปะกับคนอีกจำนวนหลายๆ คน ถ้า "ผีน้อย" ตนนี้ติด COVID-19 มา มันจะระบาดกระจายไปอีกเท่าไหร่? "
เอาแค่ลูก 1 คนที่ไปโรงเรียนก็เดือดร้อนกันทั้งโรงเรียนเป็น 100 ต้องถูกกักตัวดูอาการ ทำความสะอาดอาคารเรียนทั้งหมด จะสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลเพียงใด ลองคิดดู การกระจายตัวของโรคมันจะมากเป็นทวีคูณไปเรื่อย คิดสิคิด อีคุณผีน้อย!
ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค ถือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง จึงเข้าข่ายผู้ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคนี้ตามพรบ.โรคติดต่อ 2563 เพราะฉะนั้น จะต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคในพื้นที่นั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท "
สำหรับในช่วงเวลานี้ คนไทยทุกคนที่พบเจอ ประสบปัญหาต่างๆ โปรดใช้หมายเลขโทรศัพท์ข้างบนให้เป็นประโยชน์นะครับ มาช่วยกันในภาวะสุ่มเสี่ยงและยากลำบากเช่นนี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยความปลอดภัยทุกคน ขอบคุณพี่น้องร่วมชาติครับ
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)