foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

huan sam header

เฮือน ๓ คำสอนโบฮาณเฮา

ฮือน 3 น้ำ 4 เป็นคำสอนของคนโบราณอีสานได้อบรมสั่งสอนให้ลูกหลานได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเป็นอยู่ที่สะอาด สุขภาพอนามัยที่ดี ผู้ใดนำไปประพฤติปฏิบัติครอบครัวก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งปราชญ์โบราณท่านได้สอนเป็นคำกลอนดังนี้

เฮือน 1 นั้นได้แก่ เฮือนครัว ของในครัวให้เรียบร้อยบายเมี้ยนแจบจม อย่าประสมประเสบ่วงจองไหหม้อ ให้มีทอเก็บถ้วยสวยดีมีตู้ใส่ อย่าสุเก็บไขว่ไว้ดูได้บ่งาม ชามหรือหม้อเกลือไหปลาแดก หม้อแตกและบ่วงซ้อนบายได้ให้หม่อมือ อย่าให้ดำปื้อๆ ถ้วยบ่วงเป็นกะหลืน เวลากลืนอาหารโรคสิไหลลงท้อง ของแนวใช้ในครัวให้เกลี้ยงหมื่น อย่าให้ปลาแดกจื้นแมงวันสิแตกวื้นมาขี้ใส่ครัว อย่าให้หมาไก่กั้วเข้าอยู่เฮือนไฟ ถืกห่าหมาจังไฮสิคาบไหเลียซ้อน อย่าให้หนอนไปคั้วแมงวันเข้าคั่ว รักษาครัวให้เรียบร้อยดูละห้อยสู่ทาง อย่าให้มีกระดูกก้างค้างอยู่ในครัว คนสิหัวขวนนางว่าบ่เคยบายเมี้ยน เฮาต้องเพียรปัดแพ้วเฮือนครัวอย่าให้เก่า เป็นดั่งคำเพิ่นเว้า เบิ่งวัดให้เบิ่งฐานเบิ่งบ้านให้เบิ่งครัว หากว่าครัวสะอาดแล้ว ไผก็ย่องว่าดี

เฮือน 2 นั้นได้แก่ เฮือนนอน ทั้งแพรหมอนเสื่อเตียงเพียงพื้น อย่าให้เฮือนเอาจื้นหมองมัวลั้วขี้ฝุ่น เฮาต้องปุนกวาดแผ้วทั้งพื้นนอกใน ให้เจ้าปัดหาดไว้เกลี้ยงหมื่นงามตา ทั้งแจฝานอกในใสเกลี้ยง เตียงหมอนมุ้งสนานอนฟูกเสื่อ เสื้อและผ้าบายเมี้ยนคล่องมือ ให้เจ้าเฮ็ดคู่มื้อปัดกวาดเฮือนนอน ตอนกลางคืนให้แต่งแปลงหมอนมุ้ง อย่าให้ผัวเฮายุ่งยามแลงแต่งบ่อน นอนตื่นแล้วบายเมี้ยนเช็ดถู โต๊ะตั่งตู้อย่าให้ไขว่เกะกะ อย่าให้ของเฮาซะทั่วเฮือนเบียนด้ง ให้เจ้าจงใจเมี้ยนเฮือนนอนให้สง่า สะอาดหูสะอาดตาหาอันใดกะได้ เวลาหายกะฮู้เวลาดูกะโก้เป็นน่านั่งนอน จ่อและแค่งม้อนอย่าให้กีดขวางเฮือน บุง เบียน เขิง ตาทอ บอเมี้ยน อย่าสิได้เอาสิ่นไปวางเทิงหัวบ่อน ผัวสินอนบ่ได้สิสูนขึ้นหยั่งคืน ของต่ำพื้นอย่าไปพาดเทิงหัว มันสิผิดครองคูบ่แม่นแนวเด้เจ้า ให้เจ้าเอาใจเมี้ยนจัดเฮือนนอนให้เป็นบ่อน จังสินอนฮอดแจ้งสิแฝงซอดเซ้าคันเจ้าแต่งดี

เฮือน 3 นั้นได้แก่ เฮือนกาย ให้มีความละอายอย่าสิป๋านมโต้น คนสิเห็นผางฮ้ายเฮือนกายน้องฮั่ว รักษากายให้กุ้มกายหุ้มห่อแพร เสื้อกะอย่าสิแก้ปะปล่อยไว้หลาย ให้รักษาเฮือนกายอย่าให้เฮือนเฮาฮ้าง ให้เจ้าปุนปองล้างเฮือนกายให้สะส่วย ให้มันสวยอยู่เรื่อยดูได้สู่ยาม ให้เจ้าหมั่นอาบน้ำชำระตนโต หัวของนางให้หมั่นสระสรงน้ำ ให้มันงามเหลือล้ำดำดีอยู่คือเก่า ผมให้งามฮอดเฒ่าหวีเรื่อยอย่าเซา อย่าว่าเป็นผู้เฒ่าขายขาดมีผัว ปะให้หัวแดงหยองกะบ่งามเด้เจ้า ว่าโตมีผัวแล้วบ่สระหัวจักเถื่อ เกิดขี้คร้านนุ่งเสื้อแนวนั้นบ่ดี ครั้นพิถีพิถันไว้รักษากายให้โก้คล่อง ผัวกะมองอยู่เรื่อยเห็นหน้ากะว่างาม เฮือน 3 นี้ นารีควรฮ่ำ ธรรม 3 ข้อนี้ จำไว้อย่าหลง

น้ำ ๔ นั้นให้หมั่นเพียรทำ จำคำสอนฮ่ำฮอนเด้อเจ้า

  • น้ำ 1 นั้นแม่น น้ำอาบสรงศรี อย่าให้มีทางอึดให้หมั่นหามาไว้ เมื่อเวลาเฮาใช้สระสีล้างส่วย อย่าให้มวยขาดแห้ง อย่าให้แอ่งขาดเกลี้ยง เมืองบ้านสิกล่าวขวัญ
  • น้ำ 2 นั้นแม่น น้ำดื่มเฮากิน ขอให้ยินดีหาใส่เติมเต็มไว้ รักษาไห หรือหม้อ ถัง ออม อุแอ่ง อย่าให้แมงง้องแง้งลงเล่นแอ่งกิน ขัดให้เกลี้ยงอย่าให้เกิดมีไคล ดูให้ใสซอนแลนแอ่งกินดูเกลี้ยง อย่าให้มีกะหลึนเหมี่ยงสนิมไคลใต้ก้นแอ่ง อย่าให้น้ำขอดแห้งแลงเช้าให้เกื่อยขน ก้นแอ่งน้ำอย่าให้เกิดมีตม อย่าให้มีแนวจมอยู่เนาในน้ำ อย่าให้ไผเอาข้าว ของไปหว่านใส่ บาดมันไข่พุขึ้นสิปานน้ำฮากหมา ให้รักษาแอ่งน้ำยามดื่มอย่ามีอึด คึดอยากกินยามใด๋ก็เล่าตักกินได้ มีแขกไปไทยค้าคนมาเซาแหว่ ก็ได้แวใส่ได้เอาน้ำรับรอง
  • น้ำ 3 นั้นได้แก่ น้ำเต้าปูน ผู้ที่เป็นแม่เฮือนให้เหล่าหามาพร้อม ให้คอยดอมเด้อหล่า หาปูนใส่กระบอก อย่าให้ซอกขาดแห้งหาไว้ใส่ขัน พันพลูพร้อมพันยาไว้ถ้าพี่ พันดีๆ ให้เรียบร้อยคอยต้อนแขกคน
  • น้ำ 4 นั้นแม่น น้ำกลั่นอมฤต คือน้ำจิตน้ำใจแห่งนางหนูน้อย ให้เจ้าคอยหาน้ำในใจใสแจ่ม เพียงดั่งน้ำเต้าแก้วใสแล้วบ่ขุ่นมัว อย่าให้มีหมองมัว ผัวว่าอย่าโกรธา รักษาน้ำใจดีอย่าให้มีแข็งกระด้าง ขอให้นางคานน้อยใจดีอยู่อ่องต่อง คือดั่งน้ำหมากพร้าวบ่มีเปื้อนแปดตม อย่าให้มีคำขมต่อไผพอน้อย อย่าได้คอยหาข้องอแงฮ้อยแง่ เคียดข่อหล่อแข่แหล่แนวนั้นบ่ดี คันเฮ็ดได้จั่งสี้สิมีแต่ความสุข ผัวกะสุขเมียกะสุขสิค่อยมีเงินล้าน ผัวกะหวานเมียกะอ้อยออยกันเข้าบ่อน เมียกะนอนอยู่ใกล้ผัวได้ผ่างพา ขอให้นางคานหล้าทำตามโบราณเก่า จังสิมีขึ้นได้ความไฮ้บ่แล่นเถิง

เพลง "เฮือน ๓ น้ำ ๔" โดย พรศักดิ์ ส่องแสง

ถ้าผู้ใดนำไปประพฤติปฏิบัติจักมีชีวิตที่รุ่งเรือง แม้ว่าบางสิ่งจะพ้นสมัยไปแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังสามารถประยุกต์นำมาใช้ได้อยู่เสมอ อย่าพึ่งไปคิดว่านี่เป็นของโบราณไม่เห็นจะต้องไปตักหาบน้ำ หรือเตรียมเต้าปูนกินหมากแต่อย่างใด เราก็ยังสามารถประยุกต์ของใหม่ให้รับกับคำสอนของเก่าได้อยู่มิใช่หรือ?

 

เฮือน ๓ น้ำ ๔ คุณสมบัติผู้หญิงพึงมี

เฮือน ๓ น้ำ ๔ ยุคสมัยปัจจุบัน

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้เสริมความหมายของ "เฮือน 3 น้ำ 4" ยุคปัจจุบันว่า ในสมัยก่อนเมื่อหญิงชายจะแต่งงานกัน พ่อแม่หรือผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะสอนให้ฝ่ายหญิงรู้จักประพฤติปฏิบัติตนด้วย "เรือน 3 น้ำ 4" ซึ่งเรือน 3 ก็ได้แก่ เรือนผม, เรือนกาย และเรือนที่อยู่ หรือบางแห่งก็ว่าหมายถึง เรือนผม, เรือนไฟ และเรือนนอน ส่วนน้ำ 4 ก็ได้แก่ น้ำมือ, น้ำใจ, น้ำคำ และน้ำเต้าปูน แต่บางแห่งก็ตีความว่า น้ำกิน, น้ำใช้, น้ำใจ และน้ำเต้าปูน

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีความหมายอย่างไหนข้างต้น การประพฤติปฏิบัติด้วยเรือน 3 น้ำ 4 นี้ แท้ที่จริงก็คือ การอบรมให้หญิงสาว ที่จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา รู้จักหน้าที่ของความเป็นแม่บ้านแม่เรือน เพื่อผูกใจสามีให้รักใคร่เอ็นดู ผู้เป็นภริยานั่นเอง

sao laoสำหรับเรือนแรก อันได้แก่ เรือนผม ก็คือ การรู้จักดูแลรักษาผมเผ้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากกลิ่น โดยคอยหวีให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยเป็นกระเซิง มิใช่พอตื่นขึ้นมา หันมาอีกที อ้าว! สามีคิดว่าสิงโตที่ไหนมานอนด้วย การจัดทำทรงผมให้ดี จะช่วยให้บรรดาเมียๆ น่ามองยิ่งขึ้น อีกทั้งตอนหวีผม คนเราก็ต้องดูกระจก จะได้ใช้เวลานั้นผัดหน้าทาแป้ง ให้สดชื่นสวยงาม ซึ่งสาวๆ พอได้แต่งหน้าทาปาก ก็จะรู้สึกว่าตัวสวยขึ้น เกิดความมั่นใจ ขณะเดียวกันเมื่อสามีเห็น ก็พลอยสบายตาไปด้วย

เรือนที่สอง คือ เรือนกาย หมายถึง การรักษาทรวดทรงองค์เอว ให้น่ามองอยู่เสมอ มิใช่พอได้แต่งงาน มีสามี คิดว่าไม่ต้องอยู่คานทองนิเวศน์แล้ว ก็เลยสบายใจ กินตามใจปาก ยิ่งพอมีลูก ยิ่งเลี้ยงยิ่งเหนื่อย ยิ่งกิน เผลอแผล่บเดียวหุ่นเพรียวลมที่เขาเคยโอบได้รอบ กลายเป็นตุ่มสามโคกโอบไม่มิด หรือเป็นโอ่งลายมังกร ให้สามีมองด้วยความสะท้อนใจ จริงอยู่ การครองรักครองเรือน มิใช่จะอยู่ที่รูปร่างหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่หากภริยาจะรู้จักดูแลรูปทรงตัวเองให้ดี ไม่ปล่อยปละละเลย จนเป็นยายเพิ้งหรือนางผีเสื้อสมุทร ตอนยังไม่แปลงกาย ก็น่าจะเป็นเสน่ห์ผูกใจสามีได้อีกทางหนึ่ง เพราะเวลาพาเมียไปไหนๆ คนชมว่าเมียว่าหุ่นดี ภริยาก็หน้าบาน สามีก็ภูมิใจ

เรือนที่สาม เรือนที่อยู่ ก็คือ การรู้จักดูแลบ้านช่อง จัดข้าวของในเรือนให้ดูสะอาดเรียบร้อย ไม่สกปรกรกรุงรัง เพราะบ้านที่สกปรก และไม่เป็นระเบียบ แสดงว่าเมียบ้านนั้นมีนิสัยขี้เกียจ ไม่เป็นแม่บ้านแม่เรือน หากมีแขกใครไปมา ก็จะขายหน้าถึงสามี อีกทั้งสุขอนามัยของบ้านนั้นๆ ก็จะไม่ดีไปด้วย ทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยได้ง่าย ข้อสำคัญ สามีบางบ้านอาจเกิดอาการ "ภูมิแพ้เมีย" ต้องออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก ก็จะมีปัญหาตามมา ทางที่ดี เมียทั้งหลาย จึงควรปัดกวาดบ้านช่องให้น่าอยู่น่าอาศัย

krua thaiส่วนบางแห่งที่เขียนว่า เรือนไฟ ก็คือ ครัว ที่หญิงสาวจะต้องใช้ประกอบอาหารให้ครอบครัว คนโบราณเขาก็สอนให้รู้จักใช้ รู้จักเก็บกวาดอุปกรณ์ในครัวให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้รก หรือสกปรก จนมีสัตว์ไม่ได้รับเชิญอย่างหนู หรือแมลงสาบมาเยี่ยมเยียน

ส่วนเรือนนอน ก็คือ ห้องนอน ก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องรู้จักปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดอยู่เสมอ อย่างสมัยนี้ ถึงแม้ไม่ได้ทำเอง มีคนรับใช้ เมียหรือแม่บ้านก็ต้องรู้จักกำกับ และควบคุมดูแลเป็นระยะๆ มิใช่ปล่อยให้ทำตามยถากรรม ไม่งั้นวันดีคืนร้าย เกิดสามีเห็นความดีของผู้ช่วยแม่บ้านมากกว่า อาจเลื่อนขั้นเราขึ้นเป็น "เมียหวง" ถึงตอนนั้น จะเสียใจก็ยังไม่ทัน

ในส่วนของน้ำสี่ นั้น น้ำแรก ได้แก่ น้ำมือ หมายถึง ต้องรู้จักหัดทำข้าวปลาอาหารอร่อยๆ ให้สามีรับประทาน ซึ่งสมัยโบราณ หญิงสาวไม่ว่าจะชาวบ้าน หรือชาววังต่างก็ทำอาหารเป็นทั้งนั้น เพราะสมัยก่อนไม่มีร้านอาหารสำเร็จรูปให้ซื้อ มีแต่วัตถุดิบที่ต้องนำไปปรุงเอง ดังนั้น หญิงสาวส่วนใหญ่ จึงถูกฝึกให้ทำกับข้าวกับปลามาแต่เด็กๆ เสมือนหนึ่งหัดวิชาชีพติดตัว ที่สำคัญ คนรุ่นก่อนมีคติว่า "เสน่ห์ปลายจวัก ผัวรักจนตาย"

หญิงสาวทั้งหลายจึงต้องมี "น้ำมือ" ในการทำอาหารด้วยประการฉะนี้ แต่สำหรับสาวๆ ยุคเตาไมโครเวฟหรือแม่บ้านถุงพสาสติก แม้จะทำอาหารไม่เป็น แต่ก็ควรจะรู้จักเลือกซื้ออาหาร จากร้านเจ้าอร่อยและสะอาด และหากมีเวลาว่างก็ลองหัดทำอาหารง่ายๆ ให้สามีกินบ้าง เพราะจะทำให้เขารู้สึกซึ้งใจที่เราอุตส่าห์ทำในสิ่งที่ยาก สำหรับเราเพื่อเขา (แน่นอนว่า สามีคงทนกินอาหารแกะไปจนตายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ป่นแกะ ต้มแกะ แกงแกะ ยำแกะ แกะจากถุงพลาสติกทุกวัน)

น้ำที่สอง คือ น้ำใจ คือ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ และโอบอ้อมอารี ไม่เห็นแก่ตัว หรือทำใจดำ รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลสามี ทั้งในหน้าที่การงาน และจิตใจ ซึ่งการมีน้ำใจนี้ มิใช่มีต่อสามีคนเดียว แต่ควรเผื่อแผ่ถึงญาติพี่น้องของสามีด้วย เพราะนอกจากจะทำให้สามีสบายใจแล้ว ยังช่วยให้ภริยาเป็นที่รักใคร่ และเป็นเกรงใจอีกด้วย และหากมีปัญหากับสามี ญาติพี่น้องของเขาก็จะเห็นใจและช่วยเรา นอกจากนี้ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ต้องมีน้ำใจต่อเขาด้วย เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

น้ำที่สาม คือ น้ำคำ ได้แก่ การใช้คำพูดที่สุภาพไพเราะหู ไม่กระโชกโฮกฮากหรือด่าทอ รู้จักเจรจาปราศรัย รู้ว่าเมื่อไรควรพูด เมื่อไรควรเงียบ เมื่อไรควรให้กำลังใจหรือปลอบประโลม อันที่จริงแล้ว การพูดจาดีต่อกันโดยไม่ด่าทอ บ่นว่าหรือจู้จี้จุกจิก จะทำให้รู้สึกว่าบ้านร่มเย็นน่าอยู่ ไม่ร้อนหูร้อนใจ ซึ่งการพูดจาไม่ระคายหูนั้น จริงๆ แล้วควรจะใช้พูดกับทุกคนทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่เฉพาะแต่กับสามีเท่านั้น เพราะนอกจากผู้ฟังจะรู้สึกสบายหูแล้ว ยังจะรู้สึกดีๆ กับผู้พูดด้วย

และน้ำสุดท้าย คือ น้ำเต้าปูน หมายถึง การดูแลคอยเติมน้ำในเต้าปูนมิให้แห้ง ในสมัยก่อนคนกินหมาก จึงต้องมีเต้าปูน เป็นภาชนะใส่ปูนแดงไว้ป้ายใบพลู เพื่อกินกับหมาก ซึ่งถือว่าเป็นของรับแขก ดังนั้น หากแม่บ้านบ้านไหนปล่อยให้น้ำในเต้าปูนแห้ง จนไม่สามารถควักออกมาป้ายได้ แสดงว่าทำหน้าที่บกพร่อง แม่บ้านที่ดีจึงต้องคอยดูแลเติมน้ำในเต้าปูนอยู่เสมอ

เช่นเดียวกับคำว่า น้ำกิน น้ำใช้ ที่หมายถึง หญิงสาวที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนจะต้องดูแลให้มีน้ำกิน น้ำใช้ในบ้านพร้อมเสมอสำหรับสามี ลูก และญาติๆ อันแสดงถึงการเอาใจใส่ต่อหน้าที่ภริยาที่ดี เรือน 3 น้ำ 4 แม้จะเป็นเรื่องที่คนโบราณสอน แต่ถือได้ว่าเป็น "เคล็ดลับการครองเรือน" ที่สาวๆ สมัยนี้สามารถนำไปใช้ได้ และยังเป็นวิธี "ผูกใจ" สามีที่ไม่ล้าสมัยหากจะรู้จักประยุกต์ใช้

ลำยาว เฮือน ๓ น้ำ ๔ โดย ทองคำ เพ็งดี - ฉวีวรรณ ดำเนิน - บานเย็น รากแก่น
ดูกลอนลำนี้ได้ที่นี่คลิกเลย

นอกจากสามีที่ต้องคอยผูกใจแล้ว หญิงผู้ครองเรือนยังต้องทำหน้าที่ "แม่" คอยดูแลบุตร โดยเฉพาะการอบรมสั่งสอนให้พวกเขาเป็นคนดีของพ่อแม่ และสังคม ดังประโยคที่คนสมัยก่อนบอกว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" การรักลูกให้ตีนี้ พ่อแม่ยุคนี้อาจจะคัดค้านเพราะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกว่า สมัยนี้ต้องพูดกับลูกด้วยเหตุด้วยผล ไม่ควรใช้ไม้ขนาบเด็ก ก็เลยส่งผลให้ครูต้อง "หักไม้เรียว" ทิ้งกันเป็นแถวๆ แล้วลูกๆ ทั้งหลายก็เลยกลายเป็น "ลูกบังเกิดเกล้า" ที่พ่อแม่ยุคใหม่ไม่กล้าตี จะด้วยสงสารหรือรักจนหลงก็ตาม แต่ก็ทำให้เด็กๆ เหลิงจนเอาไม่อยู่ ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่มากมายในปัจจุบัน

เด็กๆ สมัยก่อน หลายคนเมื่อกลับถึงบ้าน พอทำการบ้านเสร็จ ต้องไปช่วยพ่อแม่ขายของหรือช่วยกวาดบ้านถูบ้าน เมื่อกินข้าวเสร็จก็ต้องช่วยล้างถ้วยชาม หรือเก็บโต๊ะ กว่าจะได้ของอะไรสักชิ้น พ่อแม่มักจะให้ค่อยๆ เก็บจากเงินออม เพื่อให้เห็นค่าของเงิน เมื่อทำผิดก็จะถูก "ตี" และดุว่าสั่งสอนเพื่อให้หลาบจำ ซึ่งเด็กๆ ส่วนใหญ่จะยอมรับผิดโดยดุษฎี ไม่กล้าโต้เถียง และระมัดระวัง ที่จะไม่ผิดซ้ำให้ถูกทำโทษอีก

rag lookส่วนเด็กสมัยนี้ จำนวนไม่น้อยที่พ่อแม่จะสงสารลูกไม่ยอมให้ช่วยงานบ้าน ให้อ่านแต่หนังสือ ให้เรียนอย่างเดียว ทำให้เด็กไม่มีส่วนร่วมในงานบ้านจึงขาดความรับผิดชอบ บางคนลูกขออะไรก็มักให้โดยง่าย เพราะกลัวลูกอายเพื่อน อยากได้มือถือรุ่นใหม่ก็ซื้อให้ อยากได้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ทั้งๆ ที่ยังไม่จำเป็นก็ซื้อให้ ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กไม่เห็นคุณค่าของเงิน และปลูกนิสัยใช้จ่ายเกินตัว พ่อแม่บางคนยอมไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อของฟุ่มเฟือยให้ลูก ด้วยกลัวลูกจะไม่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง เมื่อลูกทำผิด ก็ไม่กล้าตี กลัวลูกโกรธ น้อยใจ กลัวลูกฆ่าตัวตาย ดังนั้น เด็กรุ่นใหม่ ถึงแม้จะเป็นเด็กฉลาด เพราะมีสื่อให้เรียนรู้มากมาย รู้จักโต้เถียงอย่างฉาดฉาน แต่ก็อ่อนแอเปราะบาง ขาดความอดทน และเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่ ทั้งนี้ เพราะขาดสิ่งที่เรียกว่า "รักลูกให้ตี" นี่เอง

การ 'รักลูกให้ตี" ในที่นี้มิได้หมายถึง การใช้ไม้ตีเด็กอย่างเดียว แต่หมายถึง การที่พ่อแม่ต้องทำหน้าที่ อบรมสั่งสอนลูกให้รู้จักหน้าที่ ต้องกวดขัน และเข้มงวดต่อการเคี่ยวกรำให้ลูกประพฤติปฏิบัติตนให้ดี ผิดก็ต้องทำโทษ ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนส่งเสริมให้ลูกทำผิด จนกลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" พ่อแม่จะต้องเคร่งครัด แต่ไม่เคร่งเครียดกับลูก

ต้องทำเหมือนช่างปั้นหม้อ ที่ต้องคอยตีดินที่ปั้นให้เข้าที่เข้าทาง จนกลายเป็นหม้อที่สวยงาม ที่สำคัญคือ พ่อแม่ต้องเป็น "แบบอย่างที่ดี" ให้แก่เด็กด้วย ก็หวังว่าเรื่อง "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" นี้ จะเป็นแนวปฏิบัติอีกทางหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างความอบอุ่นในครอบครัว และเพิ่มสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป

 

 อักษรขอม | อักษรธรรมโบราณอีสาน | อักษรไทยน้อย | บุญข้าวสาก | เฮือน ๓ น้ำ ๔

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)