foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

pra tam tesana header

ผลที่สุดแล้วพระศาสนาของพระศาสดานั้นเจริญไปด้วยอนิจจัง ที่เป็นมาทุกวันนี้ ทันสมัยทุกเวลา ครั้งพุทธกาลก็ดี อดีตที่ผ่านมาก็ดี อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็ดี ปัจจุบันนี้ก็ดี มันจะต้องเป็นตัวอนิจจังเป็นผู้ควบคุมอยู่ อันนี้ต้องไปภาวนาสามารถที่จะเห็นในคัมภีร์อะไรก็ไม่รู้สมัยนั้น

mee seen mee panya

sit 3คำพูดของนักปราชญ์ที่ถูกต้องไม่ขาดจากอนิจจังอันนี้ก็จริง ถ้าไม่มีอนิจจังไม่ใช่คำพูดของนักปราชญ์ หรือไม่ใช่คำพูดของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำพูดของพระอริยเจ้านั่นเอง คือเป็นคำพูดที่เรียกว่ายังไม่เป็นความจริงที่ยอมรับ สิ่งทั้งปวงก็ต้องมีทางระบาย คิดพิจารณาไปหลายๆ อย่าง มีเรื่องไม่ใช่เรื่องจิต มีเรื่องระบาย จิตใจของเรานี้เหมือนกัน อารมณ์ที่ไม่ระบายอารมณ์ จิตที่ไม่ได้ระบายอารมณ์นี้เรียกว่า เมา จิตมึนเมา ปฏิบัติอะไรทุกอย่าง หมายความว่า อย่าเมา ถ้าเมาเป็นผิดเป็นไม่ถูกละ

เราจะทำอะไรอันหนึ่งเกิดขึ้นมา ให้เป็นไปตามอำนาจที่ความรู้สึกของเรา เมื่อเข้าใจแล้วแต่อย่าเมา ถ้าเมาแล้วไม่ถูกต้องตามสัจธรรม ฉะนั้น ถ้าเราซึ่งปฏิบัติธรรมะ พระพุทธองค์สอนว่าอย่าให้เมา ถ้าเมาแล้วผิด ถึงเป็นเรื่องดีก็อย่าเมาดี ถ้าเมาดีมันก็จะเกิดไม่ดี อย่าให้มันเมา ให้รู้มันก็เหมือนการสร้างเขื่อนที่มีทางระบายน้ำ ไม่ปิดตายตัวมันซะ อันนั้นเป็นเขื่อนที่ดีมาก เป็นเขื่อนที่ไม่ทรมาน

เราผู้ประพฤติปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน ฉันนั้น เรื่องบังคับจิตนี้ก็เรียกบังคับจิตเป็นขณะ อย่าเมา ไม่ใช่บังคับจิต สอนจิตให้จิตค่อยๆ รู้สึกขึ้นมา บังคับจิตมันจะเป็นบ้าเอา ให้ค่อยๆ จิตมันก็รู้สึกขึ้นมา นี่ว่าถึงปฏิปทาของเรา ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

มีส่วนเทียบหลายๆ อย่างซึ่งมารวมกัน การก่อสร้างข้างนอกนี่ก็เหมือนกัน อะไรหลายๆ อย่างก็เหมือนกัน มันมารวมจุดอันเดียวกันทั้งนั้น ดังนั้นได้ประโยชน์หลายในการที่เราภาวนา ในการที่เราตามรักษาจิตของเรานี้ มันเป็นเบื้องต้น ถึงแม้ว่าเราจะศึกษาเล่าเรียนมามันก็ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันเป็นขั้นที่ 2 เช่น พระอภิธรรม พระไครปิฎกต่างๆ ก็ดี แต่ว่ามันเป็นขั้น 2 ที่คนไปบรรยายจากความจริง ไอ้เรื่องจริงยิ่งกว่านี้มันยังมีอยู่ อันนี้คือถอดจากเรื่องจริง อาจารย์ที่ท่านถอดมานั้น บางทีลุ่มๆ ดอนๆ ก็มี นานๆ ไปมันลุ่มๆ ดอนๆ

แต่เรื่องจริงๆ ของมันนั้น ไม่มีใครควบคุมมัน มันก็เป็นเรื่องของเก่าคือธรรมชาติ ไม่มีเสื่อม ไอ้เรื่องคนที่ถอดมาเป็นขั้นที่ 2 ที่ 3 ถึงว่ามันดี มันเจริญมันก็มีการเสื่อม

ก็เหมือนกันที่คนเรามีมากเข้ามากเข้า มันก็ทำความยุ่งยากขึ้นมา ตามเรื่องของมัน เพราะว่ามันมาก เคยมีคนสอนให้ดี ดีเท่าไหร่เป็นต้น มันก็สอนได้ แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนความจริงของมัน

cha 07สัจธรรมนี่มันเป็นจริงของมัน ไม่มีอะไรที่จะเสื่อมทราม เพราะอันนั้นมันคงที่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนั้นมันเป็นต้นตอ เป็นสัจธรรมที่ว่ามันเกิดขึ้นมาอยู่ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

สาวกองค์ใด ผู้ประพฤติปฏิบัติองค์ไหนก็ตามจะต้องพยายามไปรู้ตรงนั้น เห็นตรงนั้น ปฏิบัติตรงนั้นเทียบเคียงกันออกมา นานๆ ไปมันก็ช่วยระบายออกไป เสื่อมไป ต้นตอมันก็ยังอยู่อย่างเก่า อันนั้นมันก็อยู่อย่างเก่า เช่นเดิมของมัน

ฉะนั้น พระพุทธองค์ของเราจึงสอนว่า ให้กำหนดและให้พิจารณา ผู้ปฏิบัติหาความจริงนั้นอย่าติดในความเห็นของเรา อย่าติดในความรู้ของเรา อย่าติดในความรู้ของคนอื่น อย่าติดในความรู้ของใคร ให้รู้เป็นพิเศษอันนี้ไว้ คือปล่อยให้สัจธรรมความเป็นจริง ระเบิดขึ้นเต็มที่มันอยู่เสมอ ไม่ได้ไปยัดเยียดตรงไหน อันนี้ก็เหมือนกัน เราอบรมจิตของเรานี้ ตัวเราพิจารณาตัวเห็นสัจธรรมจริงๆ คือเรื่องของจิตใจของเรานี้ เราจะเห็นชัด

ถ้าหากว่าใครสงสัยอะไรตรงไหนก็ดี ก็คือให้กำหนดรู้จิตของเรา ความรู้สึกของเรา นี่ให้เป็นที่พึ่งรู้จัก อันอื่นก็เป็นเรื่องผิวเผิน เช่นว่า พูดง่ายในวาระหนึ่ง เราเป็นผู้ปฏิบัติให้มันถูกอะไรขึ้นมาหลายอย่าง มีทั้งกลัว มีทั้งอะไรหลายๆ อย่างอันนี้เราจะอาศัยอะไรไหม ไม่มีเรื่องจะอาศัย อันนี้เรื่องเคยเป็นมาแล้ว เรื่องตัวก็เคยผ่าน ไอ้เรื่องจิตที่มันหลงมันกลัว กลัวจนหาที่พึ่งไม่ได้ จะพึ่งอะไรตรงไหน ไม่มีที่พึ่งแล้วมันจะมาจบอยู่ตรงไหน มาจบอยู่ที่มันเกิดขึ้นมานั่นเอง มันเกิดตรงไหน มันก็ดับตรงนั้น มันกลัวตรงไหน มันก็หายกลัวอยู่ตรงนั้น

พูดง่ายๆ ว่ามันกลัวที่สุดแล้ว มันจะไปหยุดอยู่ตรงไหน มันก็กลับมาหยุดที่มันกลัว ไอ้ที่มันไม่กลัวมันก็อยู่ตรงนั้น ตรงที่มันกลัว จิตใจของเรานี้มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ เรื่องที่เราภาวนามันจะเกิดนิมิต เกิดความรู้ ความเห็นสารพัดอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม จิตใจในเวลานี้ท่านให้เพ่งรู้จิตที่อยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นเครื่องหมายอย่าวิ่งออกไปตามอารมณ์ข้างนอกอย่างอื่น เรื่องราวที่เราพิจารณาอันใด สารพัดอย่างที่มันเป็นมานั้นมันก็จบอยู่ที่มันเกิด เพราะเหตุมันอยู่ตรงนี้

sit abroadอันนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากว่าเรามีความกลัว พูดง่ายเห็นง่ายตรงกลัวของเรา กลัวกระทั่งมันหมดกลัวก็เลยไม่กลัว เพราะว่ามันหมดฤทธิ์ของมัน มันก็ไม่กลัว ไอ้ที่ไม่กลัวของมันคือว่ามันวาง มันจะเป็นอะไรๆ มันยอมรับทั้งนั้น มันก็เลยหายกลัว คือเรื่องมันยอมรับ

ทุกอย่างก็เหมือนกันฉันนั้น ที่เรื่องเราปฏิบัตินี้ ความเป็นจริงนั้น พระพุทธองค์ท่านให้เชื่ออย่างนี้ ไม่ให้เชื่ออย่างนั้น เชื่อว่าอย่าไปติดความเห็นของเราเอง อย่าไปติดความเห็นของคนอื่น ให้วางโดยเฉพาะ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราจะพยายามเอาความรู้ ซึ่งมันเกิดจากความจริง จริงๆ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของเรา แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของคนอื่น แต่ว่าเอาเรื่องของเราเรื่องของคนอื่น กระทบกันเข้ามา มันจะเกิดเป็นแสงสว่างขึ้นมาตรงนั้น ให้ดูตรงนั้นที่มันกระทบขึ้นมาตรงนั้น ก็ดูเอาตรงนั้น ไอ้เรื่องที่มันมีอยู่

ฉะนั้น การกำหนดจิตนี้ บางทีมันก็เข้าใจผิดหลายอย่าง เช่น การภาวนา เราบางคนก็ไปกำหนดตรงที่ว่า อาการของจิตนั้นเป็นอย่างไร ก็เลยไปกำหนดทุกอย่าง ทุกประการเลยวุ่นไป เช่นว่า

เราได้พิจารณาขันธ์ ๕ ขยายขันธ์ ๕ เป็นอาการ ๓๒ หลายอย่าง สารพัดอย่าง ครูบาอาจารย์ว่าให้พิจารณาทั้งหมด อาตมาค้นคิดทั่วไปนะ ๕ แล้วก็ยังไม่จบ อาการ ๓๒ ๓๓ สารพัดอย่าง ค้นไปแล้วก็อย่างนั้น

อาตมาจึงเห็นว่า ถ้าว่าก้อนๆ นี้ ขันธ์ ๕ ที่เรานั่งอยู่นี้ มันจะ ๕ จะ ๖ จะ ๗ จะ ๘ ก็ช่างมันเถอะ ก้อนที่เราเห็นอยู่นี้ เราเบื่อมันแล้ว เพราะว่าไม่ได้ตามปรารถนาของเรา เท่านั้น ก็เห็นจะพอ ถึงแม้ว่าจะอยู่ไป ก็ไม่ค่อยดีใจจนมันหลง ถึงแม้ว่า มันจะทำลายไป ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจในก้อนนี้ เราเห็นขนาดนี้ก็พอละมัง ไม่ต้องไปฉีกเอาเนื้อเอาหนังอะไรออกมาหมด

อาตมาเคยเปรียบเรื่อยๆ อยู่เสมอว่า บางคนไม่ต้องการให้มันรู้อย่างนั้น ให้มันเห็นอย่างนั้นแต่ว่ายกต้นไม้ขึ้นมาให้ดู โดยมากนักศึกษาอยากจะรู้บุญก็อยากจะรู้ตัวว่ามันเป็นยังไง บาปอย่างนั้นก็รู้ตัวว่ามันเป็นยังไง อันนี้ตัวมันไม่มีหรอก ตัวมันคือความพอใจของเราที่ถูกต้อง เท่านั้นแหละ เขาอยากจะรู้แจ้งขนาดนั้น

เช่นว่า ต้นไม้ต้นหนึ่ง อาตมาเคยเทียบให้ฟังว่า มันมีราก มันมีใบ มันอยู่ด้วยรากของมัน นักศึกษาจะต้องรู้ว่ารากมันมีกี่ราก รากน้อยๆ รากฝอยมีกี่ราก ใบมันมีกี่ใบ เขาจึงจะรู้ว่า เขารู้ชัดรู้แจ้งว่าในต้นไม้นั้นมีกี่ราก พระพุทธองค์ท่านเห็นว่า อยากจะรู้อย่างนั้น ท่านว่าเป็นคนโง่ ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่จะรู้อย่างนั้น รู้ว่ารากไม้ก็พอแล้ว ใบมันก็พอแล้ว ว่ารากอันเดียวกัน ใบมันเต็มต้นจะไปนับมันได้ไหม ดูใบๆ หนึ่งก็แล้วกัน ก็เป็นใบก็พอแล้ว รู้แล้วว่าใบประดู่ต้นนี้มันมีใบเดียวเช่นนี้ รากประดู่ก็มีรากเดียวเท่านี้เป็นรากของมัน รากอื่นๆ นอกไปก็เหมือนรากนี้ ใบอื่นๆ นอกไปก็เหมือนใบนี้

peopleคนเรานี้ก็เหมือนกัน ฉันนั้น รู้เราคนเดียวเท่านั้น ก็รู้คนหมดทั้งโลกทั้งจักรวาลนี้ ไม่ต้องไปดูใคร พระพุทธองค์ให้ดูตนเท่านี้แหละ มันก็เห็นตนอันเดียวเท่านี้แหละ ใครๆ ก็เป้นอย่างนี้ ก้อนนี้ก็เป็นอย่างนี้ สามัญลักษณะ ธรรมะท่านก็กล่าวว่า มันมีลักษณะเสมอกันอย่างนี้ สังขารทั้งปวงมันเป็นอย่างนี้

อันนี้วกมาพูดว่าเราทำสมาธิกัน เพื่อจะละกิเลส เพื่อจะเกิดความรู้ให้เกิดความเห็นเพื่อจะละขันธ์ ๕ มี ๒ อย่าง บางทีก็เรียกสมถะ นี่แบ่งกันเสีย ๒ ก็วิปัสสนา ก้เลยมาทำให้มันยุ่งมากที่สุดตามความรู้สึกอย่างนี้

อย่างผู้ที่นั่งสมาธิ ก็สรรเสริญในสมาธิ นั่งสมาธิ เพื่อให้จิตสงบ ก็เพื่อให้มันรู้อันนั้น บางคนก็เห็นว่าฉันไม่ต้องนั่งสมาธิหรอก ฉันว่าภาชนะใบนั้นมันต้องแตกตรงเบื้องหน้าเท่านี้ไม่ได้หรือ ไม่ต้องนั่งหลับตาหรอก ภาชนะมันต้องแตกข้างหน้ามันก็ต้องแตกข้างหน้า ฉันไม่ต้องนั่งขนาดนั้น ฉันรู้แล้วว่าภาชนะอันนี้ข้างหน้ามันต้องแตก ความแตกของภาชนะอันนี้เป็นเบื้องหน้า จะต้องเป็นอย่างนี้อันนี้ฉันจะไปไม่ได้เหรอ สมาธิฉันไม่เป็นละ แต่ฉันรู้ว่าภาชนะใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว ฉันก็รักษามันไว้ กลัวมันจะแตกเหมือนกัน รักษาไว้ กลัวมันจะไม่ได้ใช้ ถ้าถึงคราวมันแตกจริงๆ มันก็ไม่มีอะไร เพราะฉันเห็นว่า ภาชนะใบนี้มันแตกอยู่แล้ว เดี๋ยวมันมีความแตกเป็นเบื้องหน้าอยู่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรขึ้นมา ทุกข์ฉันก้ไม่มีแล้ว เพราะฉันเห็นอย่างนี้

อันนั้นฉันปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือ ไม่ต้องนั่งสมาธิให้มันมากจนเกินไป ท่านนั่งสมาธิเพื่อเห็นอันนั้นเท่านั้นแหละ อันนี้ฉันก็ไปเห็นอันนั้นแล้วว่า อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น ทุกข์ฉันก็ไม่เกิดขึ้นมา เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น คนที่นั่งสมาธิเห็นภาชนะเช่นนี้ว่า มันจะเป็นไปอย่างนั้นในเบื้องหน้า ภาชนะอันนนี้ก็เป็นอย่างนั้นก็ไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่มีทุกข์ เพราะคนนั่งสมาธิอบรมจิตใจ ให้เห็นแล้วอย่างนั้น ฉันไม่นั่งสมาธิ แต่ฉันมีความมั่นใจว่ามันเป็นอย่างนั้น ไอ้สิ่งทั้งหลายมันเป็นไปตามสภาวะของมัน ฉันว่าไม่มีอะไร เพราะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว

อันนี้มันเป็นปัญหาของนักปฏิบัติของเรา บางทีก็ทำสมาธิสารพัดอย่าง อย่างที่อาจารย์เขาทำกัน อย่างเราได้ยินมา วุ่นไปหมด ไอ้ความเป็นจริงเรื่องที่เห็นอันนั้นตามความเป็นจริงเท่านั้นแหละ เกิดไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น

ฉะนั้น อาตมาจึงเห็นว่า เมื่อเรารู้จักอยู่อย่างนี้ ทำจิตของเราอยู่ใต้บังคับบัญชาของเราอย่างนี้ บังคับบัญชาอะไร บังคับบัญชาเรื่องที่ว่าอนิจจังมันไม่เที่ยง มันจะไปแง่ไหน มันก็รวมกันอยู่ตรงนี้ มันไม่ไปไหนมันอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นมันชัด เป็นเหตุให้เราปล่อยวาง

ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติแล้วหากว่ามันถึงที่ๆ มันสมควรให้ปล่อยมันไว้ตามธรรมชาติของมัน จะมีอะไรหรือไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็เฉยๆ อยู่ ถ้ามีอะไรก็พิจารณามัน ถ้าไม่มีก็วางไว้ตามธรรมดาธรรมชาติ มันอยู่ไปตามธรรมดาเรานี้แหละจะให้มันเกิดขึ้นมามันทุกข์มั๊ย อย่างนั้น มันยึดมั่นถือมั่นมั๊ย ไอ้เครื่องประคับประคองมันมีอยู่แล้ว ถ้าหากว่าไปถึงจุดอันเดียวกัน เห็นว่ามีความสงบเรียบร้อยทุกคน

เมื่อหากว่า เรามาทำภาวนา วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนาธุระ สมถะธุระ มันก็มีเรื่องเท่านี้เอง ๒ อย่างก็เพื่อให้เห็นว่า อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น เท่านั้น

pp 7แต่เรื่องภาวนาของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องพุทธบริษัททุกวันนี้ ถ้าหากพูดตามลักษณะมันฟั่นเฝือกันจนเกินไป อาตมาจึงเห็นว่า มาค้นคว้าเบื้องต้นดีกว่า ออกจากกำเนิดจิตของเรานี้ ดี ไม่มาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อๆ ซึ่งเป็นของจริงอยู่แล้ว จะพูดไปที่ไหนมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ให้มันเห็นชัดเข้าไป ให้มันยอมรับ

ถ้ามันยอมรับแล้ว มันก็จะวางของมัน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นินทา สารพัดอย่างมันก็วางเพราะว่ามันยอมรับอยู่แล้ว ถ้าหากว่า เรามาถึงสัจธรรมที่มันเป็นความจริงอยู่อย่างนี้ เราจะเป็นคนที่อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย พูดง่าย ทำง่าย อะไรง่ายๆ ไม่ได้เป็นของยากลำบาก ประพฤติเบาดีสบาย นี่คือที่คนภาวนา ที่มีความสงบแล้ว มันก็ต้องไปในทำนองอันนี้

ฉะนั้น การที่เราทำจิตทุกวันนี้ ที่พระพุทธองค์ของเราท่านทำอยู่ สาวกท่านทำอยู่ ที่ท่านสำเร็จไปแล้วก็ดี อย่างพระพุทธเจ้าของเรา หรือสาวกของท่านก็ดี แม้ท่านดำรงพระชนม์อยู่นั้น แต่ท่านก็ต้องทำของท่าน ประโยชน์เราก็หมดแล้ว ประโยชน์คนอื่นก็หมดแล้ว แต่ท่านก็ต้องทำประโยชน์ตนโดยปริยาย แล้วก็สร้างประโยชน์คนอื่นโดยปริยายไม่ได้ขาดเลย ถึงท่านทำเสร็จแล้ว ท่านก็ยังทำอยู่ ยังเป็นอยู่

อาตมาว่าคงให้ถือเอาอย่างนั้น ที่เราทำปฏิบัติกันอย่างนี้ เรียกว่ามันไม่พอ มันเป็นสันดานอย่างนั้นเสีย ท่านไม่เคยทอดทิ้งความเพียรของท่าน จะเพียรก็เพราะเพียรนั้นเอง ก็มันเป็นอย่างนั้น เป็นลักษณะอย่างนั้น คือนิสัยของปราชญ์ นิสัยของผู้ประพฤติ นิสัยของผู้ปฏิบัติ จะเปรียบประหนึ่งว่า คนเศรษฐีกับคนจน เศรษฐีก็ยิ่งขยัน ยิ่งขยันกว่าคนจน ไอ้คนจนยิ่งไม่ขยัน ไม่เป็นเศรษฐี เศรษฐีเคยรู้จักมาหลายๆ อย่าง ก็ยิ่งขยัน ก็ยิ่งรอบคอบกว่าคนจน มันเป็นซะอย่างนั้น

ฉะนั้น การที่พักผ่อนเรื่องปฏิบัติของเรานี้ มันก้พักผ่อนอยู่ในการปฏิบัติ ถ้าหากว่าเราถึงจุดแล้วก็รู้จุด แล้วก็เป็นจุดอันนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว เราจะเดินไป ก็ไม่มีทางที่จะเสียหาย เราจะนั่งอยู่ ก็ไม่มีทางอะไรจะเสียหาย จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ไม่มีอะไรจะเสียหาย

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็เกิดขึ้น เต็มอยู่มันถึงจุดมันแล้ว ที่ว่าวันนี้ไม่ได้นั่งสมาธิ ใจเขาก็สบายอยู่ สมาธิไม่ใช่ว่ามันนั่งสมาธิอย่างเดียว ยืนเดิน ก็เป็นสมาธิของมันอยู่ได้ ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในอิริยาบถทั้ง ๔ การยืน เดิน นั่ง นอนแล้ว มันเสมออยู่อย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา ในระยะนี้ฉันขาดสติไปแล้ว ฉันไม่ได้ทำความเพียร ไม่มีอย่างนั้น ความรู้สึกอย่างนั้นไม่มี ความคิดอย่างนั้น มันไม่มีในที่นั้น เรียกว่า มันสมบูรณ์ บริบูรณ์อยู่ มันเป็น อยู่อย่างนั้น ความที่เป็นอย่างนั้นไม่ได้สงสัยอะไร ควรจะหยุดอยู่ตรงนั้น พิจารณาอยู่ตรงนั้น

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)