![]()
|
อาจารย์สมพงษ์ พละสูรย์ หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม "ครูคำหมาน คนไค" เป็น อดีตครูประชาบาลโรงเรียนบ้านนอก ในสมัยปี พ.ศ. 2502 อดีตศึกษานิเทศก์ นักคิด นักเขียน นักวิชาการ ผู้ที่ได้นำประสบการณ์ในอาชีพครูที่ยากลำบากยิ่งนักในสมัยนั้น มาเขียนเป็นเรื่องสั้นชุด "บันทึกครูประชาบาล" และเมื่อมีผู้สนใจจะนำไปสร้างภาพยนตร์ จึงได้นำมาเรียบเรียงเป็นนวนิยายอีกครั้งในชื่อว่า "ครูบ้านนอก" ที่ถูกนำไปถ่ายทอดแปลออกไปตีพิมพ์อีกหลายภาษาในหลายประเทศ
แต่ที่ทำให้คนไทยรู้จัก "ครูคำหมาน คนไค" และสะเทือนวงการวิชาชีพครูมากที่สุด ก็เมื่อนวนิยายถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเรื่องเดียวกันคือ "ครูบ้านนอก" กำกับการแสดงโดย สุรสีห์ ผาธรรม และมีดารานำรุ่นใหม่ที่ใครๆ ก็ไม่รู้จัก คือ ปิยะ ตระกูลราษฎร์ และวาสนา สิทธิเวช มาแสดงนำ พ่วงด้วย ครูใหญ่คำเม้า ที่รับบทโดยศิลปินอาวุโสภาคอีสานตำนานพิณ นพดล ดวงพร
(เสริมเพิ่มนิดหนึ่ง มีแฟนๆ ถามเข้ามาว่าชื่อ "คำหมาน คนไค" นี่หมายถึงอะไร โดยเฉพาะคำ "คนไค" นี่อยากทราบความหมาย ชื่อ คำหมาน นี่ไม่แปลกเพราะคนอีสานส่วนใหญ่มักจะมีชื่อพยางค์เดียว เช่น สี สา มี มา หมาน ฯลฯ คำว่า "คำหมาน" จะแยกออกมาเป็น 2 คำ 2 ความหมาย คือ หมาน หมายถึง ความมีโชคดี ทำอะไรไม่ขัดข้อง ไปหาปลาได้ปลา ไปล่าสัตว์ได้เก้ง กวาง เรียกว่า ทำอะไรๆ ก็หมานเบิด ส่วน "คำ" ที่ใช้นำหน้าหมายความว่า คนดี ลูกที่ดีของพ่อแม่ จึงมักเอามานำหน้าชื่อเช่นเดียวกับคนจีนมักใช้คำว่า "กิม" นำหน้าชื่อนั่นเอง ส่วนคำว่า "คนไค" นั้นมี 2 คำเช่นกัน คือ คน กับ ไค หมายความว่า ดี ดีกว่า รวมแล้วคือ คนดีกว่าหมู่ ชื่อ "คำหมาน คนไค" จึงหมายถึง คนดีมีโชค คนดีกว่าผู้อื่น นั่นเอง)
นายสมพงษ์ พละสูรย์ เกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2480 ที่บ้านดอนเมย ตำบลนาจิก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ในขณะนั้น) เป็นบุตรคนเดียวของ นายยอด กับนางทุม พละสูรย์
เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ที่ โรงเรียนประชาบาลตำบลนาจิก 4 วัดบ้านดอนเมย นายสมพงษ์เป็นเด็กฉลาด ฝักใฝ่ในการเรียน เมื่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 บิดา-มารดาได้อพยพครอบครัวไปทำมาค้าขายในตัวจังหวัดอุบลฯ เพื่อให้นายสมพงษ์ ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด คือ โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ใน พ.ศ. 2492 ในระหว่างเรียนชั้นมัธยม บิดาได้ถึงแก่กรรมไปก่อน แต่มารดาก็ยังคงทำมาค้าขายอยู่ในตัวเมืองอุบลฯ ซึ่งต่อมาได้ถึงแก่กรรมในอีกปีถัดมา
นายสมพงษ์ก็ได้มาอาศัยอยู่กับญาติ คือ นายมนูญ-นางยุวพงษ์ ผาสุขมูล โดยนางยุวพงษ์เป็นญาติฝ่ายมารดามีศักดิ์เป็นป้า ส่วนนายมนูญรับราชการกรมทางหลวง ที่แขวงการทางอุบลราชธานี นายสมพงษ์นับถือบุคคลทั้งสองเสมือนพ่อ-แม่ และอาศัยอยู่กับครอบครัวนี้ตลอดมา และได้ส่งเสียให้เรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 ใน ปี พ.ศ. 2498
เนื่องจากนายสมพงษ์เป็นนักเรียนเรียนดี จึงได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุนไปเรียนต่อระดับฝึกหัดครูที่ โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ใน พ.ศ. 2498 ได้รับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) เป็นรุ่นแรกในปี พ.ศ. 2500 แล้วได้รับทุนเรียนต่อชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) ในวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และในปีเดียวกันนั้นเอง นายสมพงษ์ก็สมัครสอบชั้นประโยคเตรียมอุดมศึกษา แผนกอักษรศาสตร์ได้อีกด้วย
นายสมพงษ์ พละสูรย์ สำเร็จการศึกษาได้รับวุฒิ ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ. สูง) เป็นรุ่นแรก อีกเช่นกัน ใน พ.ศ. 2502 และได้รับการบรรจุเข้าเป็นครูในปีนี้เอง ได้เข้ารับราชการตำแหน่งครูตรี โรงเรียนบ้านอำนาจ ตำบลอำนาจ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดกองการประถมศึกษา กรมสามัญศึกษาได้มุ่งมันในการทำงาน และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม จนเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ดังนี้
แม้จะพ้นวาระการดำรงตำแหน่งที่คุรุสภา นายสมพงษ์ก็ยังได้ปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ทางราชการอีกหลายปี เช่น พ.ศ. 2542 – 2544 เป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2544 เป็นกรรมาธิการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของวุฒิสภา และระหว่างปี พ.ศ. 2544 – 2546 เป็นผู้ชำนาญการในสำนักงานปฏิรูปการศึกษา ฯลฯ นอกจากนั้นยังปลีกเวลาให้แก่ภาคเอกชน โดยรับเชิญเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานทางวิชาการ เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชน เป็นต้น
อาจารย์สมพงษ์เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถทั้งในการสอน การนิเทศการศึกษา การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ เป็นนักพูด นักคิด นักเขียน มีผลงานในด้านวิชาการ วิชาชีพ และการสื่อสารสัมพันธ์ เป็นจำนวนมาก ที่สำคัญและสร้างชื่อเสียงให้มากที่สุดคือ งานเขียน ซึ่งอาจารย์สมพงษ์ได้เล่าไว้ในหนังสือ “ชีวิตสมพงษ์ พละสูรย์ 'คำหมาน คนไค' มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ความตอนหนึ่งว่า
“...ข้าพเจ้าเขียนหนังสือหลายเล่ม ทั้งเรื่องสั้น บทความ สารคดี เช่น จดหมายจากครูบ้านนอก (ได้รับรางวัลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2522) บ้านโพนทราย (ได้รับรางวัลสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2524) ... หนังสือของข้าพเจ้ามีดังนี้
งานเขียนของอาจารย์สมพงษ์ที่เป็นบทความ และเรื่องสั้นในช่วงระยะเวลา 20 กว่าปี ตั้งแต่ พ.ศ.2521 เป็นต้นมา มีมากมาย และได้ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และ รายเดือน ที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย เป็นบทความเกี่ยวกับการศึกษา สังคม และวัฒนธรรม ประมาณ 2,500 เรื่อง ส่วนที่เป็นเรื่องสั้นที่ลงพิมพ์ในวารสารรายเดือนมีประมาณ 350 เรื่อง
ในบรรดางานเขียนประเภทนวนิยาย เรื่องที่สร้างความโด่งดังให้แก่อาจารย์สมพงษ์มากที่สุดก็คือ นวนิยายเรื่อง "ครูบ้านนอก" ซึ่งนอกจากจะโด่งดังอยู่ในประเทศไทยหลายทศวรรษแล้ว ยังแพร่หลายไปยังนานาประเทศอีกด้วย ซึ่งอาจารย์สมพงษ์ได้เล่าไว้ในคำนำของผู้ประพันธ์ ในการพิมพ์ครั้งที่ 12 ของนวนิยายเรื่อง “ครูบ้านนอก” ความตอนหนึ่ง ว่า
“...นิยายเรื่อง ครูบ้านนอก มีความเป็นมาดังนี้ ในปี 2518 ในขณะที่ผมเป็นข้าราชการครูในจังหวัดอุบลราชานี ผมได้เขียนเรื่องสั้นชุดหนึ่ง จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตนเอง ผสมผสานกับเรื่องราวที่ผมได้รับรู้ จากคำบอกเล่าของครูและชาวบ้านที่เคยรู้เห็นเหตุการณ์ และเรื่องราวของครูประชาบาลในท้องถิ่น เรื่องสั้นชุดนั้น มีสาระเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครูประชาบาลจังหวัดอุบลฯ ในช่วง พ.ศ. 2500 – 2519 หนังสือเล่มนั้นชื่อ "บันทึกของครูประชาบาล" ประกอบด้วยเรื่องสั้น 69 ตอนๆ ละประมาณ 1 หน้ากระดาษฟุลสแก๊ป ผมขอให้ ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง (ขณะดำรงตำแหน่ง รองอธิบดีกรมสามัญศึกษา) เขียนคำนำ และท่านได้กรุณาเขียนคำนำให้ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2519 หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลชมเชย "หนังสือดีเด่นประเภทนวนิยาย" ในงาน สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2519
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2520 บุคคลคณะหนึ่งไปพบผมที่บ้านพักในเมืองอุบลฯ บุคคลดังกล่าวขอซื้อลิขสิทธิ์หนังสือ บันทึกของครูประชาบาล เพื่อนำไปสร้างภาพยนตร์ ผมแย้งว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นรวมเรื่องสั้น ไม่มีพระเอก นางเอก คงไม่เหมาะที่จะนำไปสร้างภาพยนตร์ ผมเสนอว่า ถ้าบุคคลคณะนั้นเห็นว่าสาระของบันทึกของครูประชาบาล ควรสร้างเป็นภาพยนตร์ ผมจะเขียนนิยายขึ้นใหม่ให้มีสาระตามบันทึกของครูประชาบาล
บุคคลคณะนั้นเห็นด้วย แต่ขอร่วมวางโครงเรื่องพร้อมทั้งขอตั้งชื่อเรื่องว่า "ครูบ้านนอก" ผมขอให้บุคคลคณะนั้นเขียนบทภาพยนตร์ และผมก็จะเริ่มเขียนนิยาย หนังสือครูบ้านนอกพิมพ์เสร็จ พร้อมกับภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" ฉายในกรุงเทพฯ ในต้นปี 2521 หนังสือครูบ้านนอกได้ถูกพิมพ์หลายครั้ง โดยหลายสำนักพิมพ์ การพิมพ์ครั้งนี้ จึงถือเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 12 ของสำนวนภาษาไทย
การแปลและพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศมีดังนี้ ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) พิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น ครั้งแรกในชื่อออกเสียงว่า “อินาคาโนคิโอชิ” (Inaka no Kyoshi) โดยสำนักพิมพ์สถาบันอิมูรา และพิมพ์อีกถึงครั้งที่ 5 เมื่อ ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) สำนวนภาษาอังกฤษชื่อเรื่อง The Teachers of MadDog Swamp พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) พิมพ์ครั้งที่ 2 โดย Silkworm Book สำนักพิมพ์สุริวงศ์ เชียงใหม่ ค.ศ. 1992 (พ.ศ.2535) สำนวนภาษาอูดู (Urdu) ชื่อเรื่อง The Death of Dream พิมพ์โดยสถาบัน MASHAL เมือง Lahore ประเทศปากีสถาน เมื่อ ค.ศ. 2003...”
งานสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์สมพงษ์ ที่ทำควบคู่ไปกับงานเขียนก็คือ การเป็นวิทยากร โดยเป็นวิทยากรมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นครูในโรงเรียนประชาบาล เป็นศึกษานิเทศก์ เป็นนักวิชาการ เป็นผู้บริหารที่คุรุสภา นอกจากเป็นวิทยากรในประเทศแล้ว ท่านยังได้รับเชิญร่วมประชุม และเป็นวิทยากรในต่างประเทศหลายครั้งที่สำคัญ เช่น
อาจารย์สมพงษ์ได้ให้ข้อคิดในการทำงานของตน ตลอดจนความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจไว้ในประวัติซึ่งนำมาลงไว้ในหนังสือ ชีวิตสมพงษ์ พละสูรย์ฯ เล่มเดียวกันความตอนหนึ่งว่า “...ข้าพเจ้าไม่อาจอ้างตนได้ว่า ทำงานเพื่อสังคม เพราะงานที่ทำส่วนใหญ่เป็นงานราชการ ซึ่งข้าพเจ้าต้องทำตามระเบียบและกฎหมาย ข้าพเจ้าทำงานด้วยความสำนึกสุจริต คำสอนของพ่อแม่และเครือญาติ ทำให้ข้าพเจ้าทำงานด้วยใจสุจริต ข้าพเจ้าทำงานโดยไม่ยึดมั่นในยศตำแหน่ง แต่ถือประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ เมื่อมีโอกาสจึงคิดและทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอยู่เสมอ
ตำแหน่งทางราชการของข้าพเจ้าไม่ใหญ่ ไม่เล็ก งานราชการที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมีส่วนร่วมคิด และร่วมทำ (อย่างมาก) ที่มีคุณค่าต่อการศึกษา และวงการครูของชาติได้แก่ หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 แผนการสอนชั้น ป. 1 – ป. 6 ของกรมวิชาการ มาตรฐานวิชาชีพครู พ.ศ. 2537 ของคุรุสภา และจรรยาบรรณครู พ.ศ. 2539 ของคุรุสภา...”
ในด้านความเป็นครู อาจารย์สมพงษ์เชื่อมั่นว่า ตนได้รับอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจจากครู โดยได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครูของตน ซึ่งนำมาลงไว้ ในหนังสือชีวิตสมพงษ์ พละสูรย์ฯ เล่มเดียวกันอีกตอนหนึ่งว่า “...เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่เข้าโรงเรียนจนเรียนจบมัธยม ครูทุกคนมีอิทธิพลต่อผมมาก ผมเป็นคนเชื่อฟังครู รักโรงเรียน ไม่อยากขาดเรียน ครูบอกหรือสั่งอะไร ก็ต้องรีบทำถือเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ผมว่าผมสอนง่าย จัดเป็นประเภท เด็กยากจน เรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก...
เพราะความที่ผมเชื่อครู ผมจึงขยันเรียน การบ้านไม่เคยค้าง ให้ปุ๊บทำปั๊บ... ผมว่าถ้าคนเราศรัทธาในตัวครูอาจารย์แล้ว การเรียนมันจะดีขึ้นเอง เพราะเจ้าตัวขยันขึ้น รักการเรียนมากขึ้น ทำงานที่ครูมอบหมาย ถ้าสงสัยก็สอบถาม แต่ถ้านักเรียนไม่ชอบครู หรือไม่ศรัทธาครู ผลมันจะออกมาตรงกันข้ามเลย
การที่ผมเอ่ยถึงครูเก่าของผม เพราะเห็นว่าท่านเหล่านี้เป็นผู้เข้าใจนักเรียน สนใจนักเรียน ตอบสนองต่อปัญหาของนักเรียนแต่ละคนเป็นรายๆ ไป เด็กมีปัญหาอย่างผมเมื่อมีครูดีๆ อย่างนี้ ก็มีกำลังใจ อยากเล่าเรียน และนิสัยที่ว่านี้พลอยติดตามตัวผมมาด้วย คือเมื่อผมเป็นครูผมก็ทำอย่างเดียวกับครูที่ผมศรัทธา ผมให้ความใส่ใจเด็ก รักและเมตตาเด็กเหมือนพี่น้อง เท่าที่สังเกตรู้สึกว่าเด็กๆ ศิษย์ผมเขารักผมมากนะ หลายคนปัจจุบันมีการงานทำรายได้ดีกว่าผมก็มี แต่เขาเรียกผมว่าครู ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ เรียกผมว่า อาจารย์ และเขายังทำตัวเป็นลูกศิษย์เหมือนกับเมื่อ 25 ปีก่อน
ที่ผมพูดมายืดยาวก็เพื่อจะอธิบายว่า ครูมีอิทธิพลต่อผมหลายทาง ทั้งด้านการเรียน ด้านนิสัย และการปฏิบัติตนต่อศิษย์ ผมจึงเชื่อว่า ถ้าบ้านเมืองเรามีครูดีๆ ที่เข้าใจปัญหาของศิษย์ และมีน้ำใจช่วยแก้ปัญหาของศิษย์เท่าที่บทบาทของครูจะทำได้ ผมว่าเด็กๆ เราจะเรียนดี เรียนเก่ง และมีความประพฤติดีมาก ปัญหาสังคมอาจน้อยกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้...”
นายสมพงษ์ พละสูรย์ แต่งงานกับนางสาวมาลัย (บุตรนายผุย นางคำปุ่น กาญจนกัณฑ์) ใน พ.ศ. 2504 มีบุตรสาว 2 คนคือ นางมาริสา ชัยชาญ และนางสาวรสมาลิน หลังจากนางมาลัยถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2509 นายสมพงษ์ได้แต่งงานอีกครั้งกับนางสาวสายัณห์ (บุตรนายสุปัน นางยุ่น พูลพัฒน์) ใน พ.ศ. 2514 มีบุตรสาว 2 คน คือ นางสาวสิริพงษ์ และนางสาววราพงษ์ ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข ไม่เงียบเหงา เพราะการที่เป็นศึกษานิเทศก์ นักวิชาการ นักเขียน นักอภิปราย ฯลฯ ย่อมได้รับการเชิญให้เข้าร่วมในงานสำคัญๆ ของสังคมอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งสูงอายุมากขึ้น ร่างกายจึงทรุดโทรมลง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยขึ้น จนกระทั่งถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 สิริอายุ 78 ปี 8 เดือน 18 วัน