foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

philosopher header

martin 01Martin Wheeler

มาร์ติน วีลเลอร์ หนุ่มอังกฤษปริญญาตรีเกียรตินิยม ผู้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรไทยยึดหลักพอเพียง แม้เติบโตจากระบบทุนนิยม แต่แนวคิดกลับแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง แม้เป็นชาวอังกฤษแต่มุมมอง “ความเป็นไทย” กลับเฉียบคมยิ่ง กว่า 30 ปีในเมืองไทย ได้หล่อหลอมฝรั่งคนนี้เป็นคนไทยเกือบสมบูรณ์กว่าคนไทยอีกหลายคน ในอดีตเขาเคยถูกยกว่าเป็น "นักปราชญ์ด้านเศรษฐกิจพอเพียง" แต่จริงๆ แล้วมิใช่หรอก "เขาเป็นเพียงฝรั่งที่คิดนอกกรอบ ชอบความเรียบง่าย" และความเรียบง่ายนี่เองที่ทำให้เขาแตกต่างกว่าคนไทยอีสานบ้านๆ โดยทั่วไป

ปัจจุบัน มาร์ติน วีลลเลอร์ ไม่ได้ปลูกผัก ไม่ได้ปลูกข้าว ไม่ได้เลี้ยงงัว ไม่ได้ปรับปรุงบำรุงดิน แต่มุ่งทำไร่อ้อยอย่างเดียวเพื่อหาเงิน คนที่ชื่นชอบมาร์ตินเพราะภาพการเป็น “มิสเตอร์ออร์แกนิกฟาร์มเมอร์” (Mister Organic Farmer) อาจรู้สึกแปลกใจเป็นล้นพ้น ภาพของบ้านเถียงนาน้อย ภาพของชีวิตแสนสุขที่ปฏิเสธอำนาจเงินตรา ภาพของพ่อ-แม่ ลูก ผู้เจริญรอยตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บัดนี้หายไปไหนแล้วเล่า?

แต่สำหรับเจ้าตัวแล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ตนเลิกปลูกข้าว แล้วหันมาปลูกอ้อยเมื่อหกปีที่แล้ว ก็ในเมื่อเขาอยู่ตัวคนเดียว ปักหลักอยู่บ้านนอกเพราะอยากอยู่กับคนธรรมดา และในเมื่อใครๆ ในหมู่บ้านล้วนแต่ปลูกอ้อยกันหมด พอเขาหันมาปลูกอ้อยโดยใช้ปุ๋ยเคมีบ้าง ชาวบ้านรอบข้างย่อมเห็นเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดา

ด้วยมุมมองและทัศนคติของเขาที่บอกกับเราว่า

ผมคล้ายๆ ถูกล่อหลอกให้มาพัวพันกับเรื่องทั้งหมด เพราะว่าผมทำการเกษตรและใช้ชีวิตเรียบง่าย เหตุผลที่ผมใช้ชีวิตเรียบง่ายก็เพราะผมชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย ”

[ “I got sort of roped into all this because I was doing the farming and I lived a simple life. The reason I lived a simple life is because I like to live a simple life.” ]

ตลอดระยะเวลาประมาณสามปีที่เขาและครอบครัวเคยปลูก "ข้าวอินทรีย์" ส่งขายโรงพยาบาลอุบลรัตน์ ก็อาศัยการจ้างเพื่อนบ้านมาทำเป็นหลัก

“ต้นทุนสูงเพราะว่าต้องจ้างคนมาช่วยเยอะนะ เพราะว่าผมกับเมียก็ไม่ค่อยถนัด ลูกก็ตัวเล็กๆ ต้นทุนก็ค่าแรงอย่างเดียว… ทำนามันหลายขั้นตอนแหลว หลกกล้าแหน่ ดำนาแหน่ เกี่ยวเข้าแหน่ มันเกี่ยวไม่ทันดอก มันเกี่ยวเล่นๆ… แต่ก่อนมีไร่หนึ่งอยู่นั่นแล้วก็สองไร่ เดี๋ยวนี้ก็บ่เฮ็ดละ”

ทุกวันนี้ มาร์ตินอยู่ที่บ้านตัวคนเดียวกับรถไถนาเดินตามหนึ่งคัน สมาชิกครอบครัวไม่มีใครทำการเกษตร และย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมด จะให้เขาดันทุรังปลูกข้าวต่อไป ก็ต้องหมดเงินไปกับค่าจ้างแรงงานเท่านั้น และจะให้เขาเลี้ยงวัวได้อย่างไร ถ้าต้องเดินสายไปทำอย่างอื่น จะจ้างคนเลี้ยงวัวเป็นรายวันก็ไม่คุ้ม

martin 02

เขาจึงบอกว่า ปราชญ์ด้านเกษตรพอเพียงที่แท้จริงไม่ใช่เขา แต่เป็นเพื่อนบ้านของเขานู่น

แม้เขาไม่ใช่ปราชญ์การเกษตรที่แท้จริง แต่การดำรงชีวิตของเขากับชีวิตเรียบง่าย มีความสันโดษ คล้ายกับมีความพอเพียง นี่มันก็เป็นเรื่องที่ "ฅนอีสาน" ทั้งหลายควรนำมาเทียบเคียงฉุกคิดให้เข้ากับชีวิตของตนได้ เพื่อให้รอดพ้นจากกับดักทุนนิยม หนี้สินได้บ้าง นี่เป็นการสัมภาษณ์เขาเมื่อหลายปีก่อนเอามาให้รับรู้ "ชีวิตและแนวคิดของ มาร์ติน วีลเลอร์" กัน

Q: เล่าชีวิตความเป็นมาให้ฟังหน่อย

A: ผมชื่อ มาร์ติน วีลเลอร์ (Martin Wheeler) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2504 ที่เมือง Blackpool ประเทศอังกฤษ จบการศึกษาปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University เคยสมรสอยู่กินกับภรรยาคนไทยชื่อ นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น มีบุตร 3 คน คือ อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler), แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) และ ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) ปัจจุบันได้แยกทางกันกับภรรยาแล้ว ยังอยู่คนเดียวที่ บ้านคำปลาหลาย ตำบลบ้านดง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น (ตรงรอยต่อระหว่างเขตจังหวัดขอนแก่นกับหนองบัวลำภู) อาศัยที่เคยคุ้นเคยกับหน่วยราชการ เขาให้ไปเป็นวิทยากรเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างพอได้ค่าตอบแทนเล็กน้อย และได้สิทธิต่อวีซ่าอยู่ในประเทศไทยปีต่อปี ไม่คิดจะกลับบ้านที่อังกฤษแล้ว เพราะพ่อ-แมเสียชีวิตหมดแล้ว กระดูกของพ่อก็เอามาไว้ในธาตุที่วัดบ้านคำป่าหลายนี่เหมือนกัน

martin 04

Q: อยากให้เล่าประวัติส่วนตัวอีกสักหน่อย

A: ผมเป็นชาวอังกฤษ เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมียาฆ่าแมลง มีลูกน้อง 20,000 กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ พอปีที่ 3 ผมย้ายไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็นแบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง และมีชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรมแบบขุนนางอยู่ เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา 200-300 ปีแล้วแต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่องสังคมเล็กๆ ของพวกเขาในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดีเพราะพ่อแม่ของผมบังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อยๆ เพิ่ม ไอ.คิว. ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยมเพราะพ่อแม่มีเงินช่วยไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

Q: มีความรู้สึกนึกคิดต่อสังคมอังกฤษอย่างไร?

A: ผมปฏิวัติค่านิยมเก่า ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมีครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ เมื่อก่อนไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่าเขาเรียก "มักน้อย สันโดษ" ที่อังกฤษเขาว่า ผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือแต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่าเด็กที่ไม่คิดทำงานนั้นนิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐ แบกปูนอยู่ 10 ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า "ผมบ้า" แน่ครับ

แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเองว่า มีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง มี่กี่คัน คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน ลูกของคุณเรียนที่ไหน เอาลูกมาแข่งขันกันจบจากที่ไหนบ้าง จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมาวันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็งให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น 60% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาจะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านาย ตลอดชีวิต 98% ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน จะไปทำอะไรช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

martin 09

Q: แล้วทางครอบครัวไม่สนใจเลยหรือที่ออกไปเป็นกรรมกร

A: ในครอบครัวผม ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมคิดว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง เขาได้เงินเดือนเยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่งมีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน ตกเย็นไปประชุมอีกกลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่มไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียวไม่ให้ใครรบกวน พ่อมีเมียและลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบผมไม่ได้คุยกับพ่อแม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมากตอนนี้หายแล้ว แม่เข้าใจผมแต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยวสัก 1 ปี จะเดินทางไปในประเทศที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย คิดว่าจะไปออสเตรเลียก่อนเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบเหมือนกับอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือ ประเทศไทย

Q: มาไทยได้เที่ยวทั่วประเทศไหม?

A: ไม่เลย สมัยก่อนผมนิสัยเสียชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้ 1 ปี ภายใน 2 เดือนใช้หมดเลยไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2535 ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่งจะบอกว่า ฝรั่งทุกคนเป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริงฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆ ให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

martin 06

ความจริงฝรั่งที่เขาเรียก "ครู" นั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือแม้แต่คนเดียว และบางครั้งก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสพูดภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว คนไทยก็แปลกดีเหมือนกัน เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ 3 หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมากปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิตเราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา 100 บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่าผมแบกอิฐแผ่นนั้นจากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษามันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ ผมก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไรคุ้มค่าเงินนะ

Q: มีเงินมาใช้จ่ายไม่มีความสุขหรือ?

A: เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ

  • ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
  • จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
  • จะไม่มีกระเป๋าเอกสาร เพราะว่ามันเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม

เขาจะทำงานแบบนั้นทุกคน มีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก ผมเอาสิ่งนี้มาเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลยเพื่อเงินอย่างเดียว ทำอยู่ประมาณ 11 เดือน ชีวิตไม่มีความสุขเหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ขอให้มีเงินแต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรเพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

Q: แล้วชีวิตเปลี่ยนหันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังได้อย่างไร?

A: ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นมาทำงานอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูกด้วยกัน ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อนอยู่คนเดียวไม่มีปัญหา มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก เมื่อมีเมียมีลูกมันต้องรับผิดชอบผู้อื่นด้วย จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ ถ้าผมอยู่ในสังคมเมืองและทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอก แฟนผมมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่าเป็นธรรมชาติดี

martin 03

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้ เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด คนยากจนจึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้นเช่นพ่อของผม มีเงินเยอะแต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้นเพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด ที่อยู่ชานเมืองจะเป็นพวกครู ข้าราชการอะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอกจะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่นเห็นแต่ละคนมีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดาคนเดียวมีถึง 50 ไร่ 200 กว่าไร่ก็มี พ่อแม่ผมมีแค่ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ.. มีเยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า

เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต "

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่อง เงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ คนรวยกวาดเงินไปเยอะจนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัวทำให้มีคนจนเยอะ ถ้ามีคนรวย 1 คนจะมีคนจนเป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ ปัญหาของคนยากจนคือทำยังไงจะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้นจากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ชาวบ้านธรรมดาอาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่ามากกว่าเงินตั้งเยอะ

Q: แล้วจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตครอบครัว

A: แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบากต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ…เหนื่อย เพราะที่อังกฤษถึงจะแดดร้อนแต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ต้องวิ่งก็อุ่นได้ แต่ขอนแก่นช่วงนั้นเป็นเดือน 4 (เมษายน) อากาศร้อนมาก 40 กว่าองศา บางครั้งผมเป็นลมเขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า ทำไมไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่าทำไมต้องมาลำบากขนาดนี้ เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกรไปฆ่าคนที่อังกฤษแล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่ ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิตบางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุขที่เป็นแบบยั่งยืนสักหน่อย

บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่าเราต้องหาคำตอบให้ได้ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ถ้าเรามีลูกเราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก แมงคับ แมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า 1) สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี 2)ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน เมื่อได้เงินแล้วก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน ฝรั่งส่วนมากทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือฝากธนาคาร

Q: ความรวยกับความจนของที่ไทยกับอังกฤษต่างกันอย่างไร?

A: นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืนจึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจนมันคืออะไรกันแน่?

martin 05

ที่ขอนแก่นเขาว่า ผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า "ไม่ใช่ ผมรวยนะ" เขาถามว่า "รวยได้ยังไง" ผมบอกว่า

  • ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่า ใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับมันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
  • มีที่ดิน แค่ 6 ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมากจริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญเป็นพื้นฐานของชีวิตเราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเราไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออกเราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้านคิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ 25-30 ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ 200 ปีได้เท่านี้เอง (ยกมือสูงเท่าระกับไหล่) เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย.. มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา 1 ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลยแม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

Q: คิดอย่างไรกับการเริ่มต้นใหม่ในเมืองไทย

A: วิธีคิดไม่ธรรมดาของผม เพราะผมมีลูก 3 คน ชาย 2 หญิง 1 สิ่งสำคัญที่สุด 2 เรื่องในชีวิตของเรา คือ 1) ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ 2) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า "ลูกมีงานทำ" คือ การมีที่ทำกินให้เขาและเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น

ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงานเว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากินเขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุดคือ 'งานเกษตร' ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอกเพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัววิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากันด่ากันทุกวันไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงินไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะคือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดีไม่ติดยาไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียน หนังสือไม่เก่ง ปีนั้นคนโตเขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ 19 ในห้องของเขามีนักเรียน 39 คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ)

martin 07

แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อนมันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสานที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกที่ตอนมีอายุแค่ 8 ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้นเป็นความมีน้ำใจ ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่

Q: มาอยู่อีสานรู้สึกอย่างไร?

A: วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา ผมเคยบังคับลูกชายคนแรกตอนอายุประมาณ 3 ขวบ จับมานั่งสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ร้องไห้ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอกจะไม่สอนเขาอีกแต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผมจะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เขายังไม่บอกผมเลย ผมก็มาคิดว่าจะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้านของผมมี 50 ครอบครัว ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูดแล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร

สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้าเอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ภาษาอังกฤษจะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา เขาอยากเอาเงินไปทำงานสูงๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมากคิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ 1)ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย 2) พูดภาษาอังกฤษด้วย 3) เล่นคอมพิวเตอร์ได้ 4) ไปอยู่ในเมือง 5) ไปรับจ้างเขา 6) ไปสร้างหนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา 2-3 ล้านบาท เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย

ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัจจัยที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่าลูกของผมจะมีความคิดสูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน ถ้าเขาเรียนรู้เพื่ออยากจะหาเงินอย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันตลอดชีวิตเราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียนเพื่อเอาความรู้ เอาปริญญาไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

A: มองคนไทยมีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร?

Q: ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่งคุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้านคุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่เป็นพลังแผ่นดิน ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง 6 ไร่ คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา 27 ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียงเอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวงแต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูดเราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะเศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอกเพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย

martin 08

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ 3 เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอแต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

A: อยากบอกอะไรคนไทย

Q: คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก ทั้ง 3 อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จแต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เราถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดีและอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป

พ่อใหญ่มาร์ตินแห่งบ้านคำปลาหลาย : Spirit of Asia

เมื่ออายุมากขึ้นในบั้นปลายชีวิต "พ่อใหญ่มาร์ติน แห่งบ้านคำป่าหลาย" ก็ตกผลึกในชีวิตที่เขาแสวงหา ความสุขสบายในชีวิต ซึ่งไม่ใช่ความพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง ปราชญ์การเกษตรที่ใครๆ พยายามยัดเยียดให้เขาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ชีวิตที่ผ่านมาของเขา ความคิดที่เขาพูดออกมาจากใจของเขาด้วยสำเนียงภาษาอีสานนั้นก็ทำให้ทุกคนได้คิดว่า "คนอีสานนั้นร่ำรวยเพราะมีที่ทำกินจากบรรพบุรุษมอบไว้ให้ มีธรรมชาติ สายลม แสงแดด ฝน และคำสอนดีๆ จากผู้เป็นต้นแบบกษัตริย์หนึ่งเดียวที่ใส่ใจในพสกนิกร มีพุทธศาสนาที่สั่งสอนให้มีสติ ศรัทธา ความรักต่อกัน พึ่งพาตนเองโดยไม่ทำลายธรรมชาติ เราจะก้าวไปด้วยกัน"

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)