คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ฝน ธนสุนทร เป็นนักร้องหญิงร่วมสมัย ที่ร้องเพลงได้ดีทั้งแนวลูกทุ่งและแนวป็อป เธอเริ่มอาชีพ ในวงการเพลงด้วยการร้องเพลงแนวป็อป แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่เมื่อหันมาจับแนวลูกทุ่ง กลับได้รับความนิยมจนถึงขีดสูงสุด เธอมีผลงานเพลงออกมาเป็นระยะ และได้รับความนิยมจากแฟนเพลงตลอดมา อาจารย์ชลธี ธารทอง นักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดัง ที่ปั้นนักร้องลูกทุ่งประดับวงการมากมาย ยกย่องเธอว่าเป็น 1 ใน 4 นักร้องลูกทุ่งหญิงทีมีมาตรฐานสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับ ผ่องศรี วรนุช , พุ่มพวง ดวงจันทร์ และ สุนารี ราชสีมา
ฝน ธนสุนทร มีชื่อจริงว่า เตือนใจ ศรีสุนทร เกิดเมื่อ 29 มิถุนายน 2517 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิกมากถึง 10 คน โดยพ่อถีบสามล้อ และแม่หาบของขาย เธอเป็นลูกคนโต และก็ได้ช่วยครอบครัวหารายได้ทุกทางที่พอจะทำได้ ระหว่างปี 2524-2529 เรียนชั้นประถมที่ โรงเรียนมุขมนตรี ช่วงปี 2531-2536 เรียนชั้นมัธยมที่ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ฝนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ จาก วิทยาลัยปทุมธานี
ฝน ธนสุนทร ซึ่งมีปู่เป็นผู้ฝึกฝนการร้องเพลงลูกทุ่ง เนื่องจากเคยเป็นนักร้องเชียร์รำวงเก่า เริ่มหารายได้จากการร้องเพลง ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 เมื่อมีผู้ที่ชื่นชอบหน้าตาที่สะสวยของเธอ เข้ามาจีบ โดยนำเรื่องการว่าจ้างให้เธอไปร้องเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง แต่เสียงของเธอก็เป็นที่ยอมรับของคนที่ได้ฟัง ทำให้เธอมีงานมาเรื่อยๆ ในช่วงเดียวกันนั้นเธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการประกวดมิสทีนโอเล่ และได้ตำแหน่งมาครอง หลังจากนั้น จึงได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา "ลูกอมโอเล่"
ต่อมาสมัยเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอได้รับเชิญให้ไปบันทึกเทปเพลงที่จัดทำขึ้นเพื่อฉลอง 100 ปีจังหวัดอุดรของทางจังหวัด โดยเธอได้ร้อง 3 เพลง คือ กราบเท้าพ่อหลวง, อุดรฯ มีของดี และเพลง 3 ส. โดยได้รับค่าเหนื่อยมา 500 บาท ซึ่งการทำงานในงานเพลงชุดนี้ ทำให้อาจารย์ปรีชา อรัญวารี นักจัดรายการวิทยุในสังกัดของบริษัท ชัวร์ออดิโอ ที่อุดรบ้านเกิด และได้ชักนำเธอเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว
ฝน ธนสุนทร ได้เซ็นสัญญาณเป็นเวลา 4 ปี กับบริษัท เคลฟเวอร์เอนเตอร์เทนเม้นท์ บริษัทในเครือของชัวร์ออดิโอ ที่เน้นทำเพลงแนวสตริง เนื่องจากทางต้นสังกัดเห็นว่า หน้าตาของเธอเหมาะกับแนวเพลงแบบนี้มากกว่า ซึ่งฝนก็ทำงานกับเพลงแนวนี้ได้ดี โดยมีผลงานเพลงออกมาในแนวป็อป 2 ชุด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 คือ "มุมหนึ่งของหัวใจ" และ "สายฝนแห่งความรัก" แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
บริษัทจึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวเพลง มาให้เธอมาลองร้องเพลงลูกทุ่งตามแนวที่เธอถนัด โดยให้เริ่มร้องเพลงคู่กับ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย และเกษม คมสันต์ ในชุด "เกี่ยวก้อย" ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากขึ้น จนในที่สุดก็มีผลงานเดี่ยวออกมาในปี พ.ศ. 2544 ชื่อ "ฮักอ้ายโจงโปง" ก่อนจะมาประสบความสำเร็จล้นหลามกับชุด "ใจอ่อน" ซึ่งนับตั้งแต่นั้น เธอก็ผลิตผลงานลูกทุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง จวบจนถึงปัจจุบัน และได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากมาย และทำให้เธอขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของวงการลูกทุ่งปัจจุบัน
รับบทเป็น เพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกชื่อดังของฟ้าเมืองไทย ในละครโทรทัศน์เรื่อง "มิตร ชัยบัญชา มายาชีวิต" ของ เจแอสแอล ทางช่อง7สี โดยประกบคู่กับ "กอล์ฟ พุฒิชัย อมาตยกุล" และ ละครเรื่อง ดาวจรัสฟ้า ทางไทยทีวีสีช่อง 3 รับบทเป็น ฟ้า คู่กับ ปอ ทฤษฎี
ใครจะไปรู้ว่านักร้องสาวเสียงดี ฝน ธนสุนทร จะต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นอย่างที่ใจคิด กว่าจะมาเป็นนักร้องลูกทุกชั้นแถวหน้าในปัจจุบันนี้ เพราะเมื่อนับย้อนไป เมื่อครั้งที่นักร้องสาวเดินทางมาเสี่ยงโชคในเมืองหลวงใหม่ๆ ด้วยความหวังจะเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่เมื่อไม่เป็นดังหวัง เพราะผลงานชิ้นแรกกลับเป็นงานเพลงแนวสตริง ทำให้ไม่ได้รับการตอบรับจนเกือบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน บอกตอนนั้นทั้งร้องไห้และเสียใจ ที่ทำความฝันไม่สำเร็จ แถมยังไม่สามารถหาเงิน ส่งไปจุนเจือทางบ้านได้
''ตอนนั้นฝนลำบากมากค่ะ ครอบครัวก็ลำบาก แม่หาบของขาย กำไรวันละ 60-70 บาท พ่อก็ขี่สามล้อได้วันละ 30-40 บาท แล้วที่บ้านอยู่กัน 9 คน ก่อนหน้านี้คุณปู่จะเป็นเสาหลักของบ้าน พอฝนโตมาสักหน่อยก็จะไปร้องเพลงตามงานต่างๆ ได้วันละ 400-500 บาท ก็ถือว่าเยอะก็ให้ที่บ้านใช้ได้พออยู่พอกิน จนคุณปู่เสียฝนก็กลายเป็นเสาหลักของบ้านต้องทำทุกอย่าง จนได้เข้ากรุงเทพฯ มาร้องเพลงเซ็นสัญญากับค่ายชัวร์ แต่ตอนนั้นเขาเห็นว่าฝนน่าจะออกเป็นแนวสตริง ก็เลยได้ออกมา 2 ชุด แต่ไม่ดังไม่มีใครรู้จักเลย ก็เริ่มท้อใจ ทางบริษัทก็ท้อ ตอนนั้นถึงขั้นจะฉีกสัญญาและก็จะกลับบ้าน สงสารพ่อแม่ที่ต้องรอเงินจากเรา เพราะฝนเป็นพี่สาวคนโต ต้องหาเงินเลี้ยงดูทางบ้าน บางคนก็ไม่เข้าใจหาว่าเราไม่ยอมส่งเงินให้พ่อแม่ เพราะคิดว่าเป็นนักร้องแล้วต้องมีเงิน ท้อมากจนกำลังตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้เราเป็น ฝน ธนสุนทร คือ มีงานปีใหม่ที่บริษัท ฝนก็ร้องเพลงของ พี่ผึ้ง - พุ่มพวง ทุกคนก็เลยเห็นว่าเราร้องเพลงนี้ได้ ก็เลยมาร้องเพลงแนวนี้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ''
ยอมรับว่าชื่นชอบเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็กๆ ''ค่ะ ฟังเพลงลูกทุ่ง ร้องเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่จำความได้''
สุดภูมิใจที่ตอนนี้ชีวิตตนเองและครอบครัวดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ''ก่อนหน้านี้ฝนเสียใจมากที่ปู่เลี้ยงเรามา แต่เราไม่มีโอกาสดูแลเพราะปู่เสียไปก่อน จนมาวันนี้ก็บอกกับตัวเองว่าจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด ตอนนี้พ่อก็สบายๆอยู่บ้านหาปลา แม่ก็ไปงานทอดกฐิน ใช้ชีวิตมีความสุข ดีใจที่ทำให้ท่านสบาย อยากจะบอกลูกๆ ทุกคนที่มีโอกาสดูแลท่านอยู่ ก็อยากให้ทำเต็มที่ค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิต'' สำหรับการเปิดใจจุดพลิกผันของนักร้องสาวคนสวย ฝน ธนสุนทร
ปีหลังๆ ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นสาว ฝน ธนสุนทร บนหน้าจอทีวีในฐานะพิธีกร คอมเมนเตเตอร์มากกว่าการร้องเพลง จนทำให้บางคนเริ่มคิดว่า ฝน อาจจะเลิกร้องเพลงแล้วก็ได้ "ทุกคนจะคิดว่าฝนห่างหายจากวงการเพลง ไม่ได้หายนะคะ ยังร้องเพลงอยู่ จ้างงานได้นะคะ ยังร้องเพลงอยู่ และยังมีซิงเกิลออกมาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องเหมือนกัน
แต่ว่าอาจจะไม่ได้รับการโปรโมตมากมายนัก แล้วก็เหมือนกับกระแสแนวเพลงอินดี้มาแรง เราก็จะแบบเหมือนมีดรอปๆ ลงไปบ้างแต่เราก็ยังมีงานเพลงอยู่ตลอด แล้วก็ไปทัวร์คอนเสิร์ต รับงานอีเวนต์ก็ยังมีอยู่ตลอด ที่แฟนๆ เห็นเหมือนห่างหายไป อาจจะเป็นเพราะว่า เห็นฝนทางจอทีวีเยอะ เล่นละคร พิธีกร คอมเมนเตเตอร์ค่ะ"
"ตอนนั้นคือมันไม่เหมือนกับว่าเป็นโรคพุ่มพวงนะคะ คือจริงๆ แล้วเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง แต่เรายังไม่ถึงขั้นเป็นโรคพุ่มพวง มันเหมือนกับว่า เป็นการเริ่มต้น ถ้าไม่ดูแลตัวเองก็จะเป็นโรคพุ่มพวงแล้วนะ อันนี้มันคือจุดเริ่มต้นแล้วนะ เกือบจะก้าวเข้าไปมากกว่าค่ะ ตอนนี้พอรู้ตัวถ้าเราจะเป็นอย่างนั้น เราก็ดูแลตัวเอง ก็คือพูดแต่ปากไม่ได้ ต้องทำจริงๆ แล้วนะ ไม่หายขาดค่ะ มันเหมือนกับว่า พอเราอายุมากขึ้น ไอ้พวกเซลล์ต่างๆ มันก็อ่อนแอลง เป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งเราทำงานเยอะ ไม่ได้พักผ่อน กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มันก็จะรวมพลังกันทำร้ายเรา
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูแลตรงนี้ให้ดีที่สุด ให้ร่างกายเรากลับฟื้นขึ้นมาแข็งแรง ซึ่งตอนนี้ก็คือค่อนข้างแข็งแรงดีแล้ว แต่ถ้าคุณยังกลับไปทำแบบนั้นอีก มันก็จะมาอีกนะ เพราะเหมือนเซลล์เราเริ่มอ่อนแอลงบ้างแล้ว การรับงานต่างๆ ก็ต้องคำนึงด้วยนะคะ ต้องวางแผนให้ดีๆ ว่าเราจะเดินทางตอนไหนเมื่อไหร่ยังไง แล้วเราจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก็วางแผนว่านั่งรถไปหรือบินไป เราจะไม่เหนื่อยจนเกินไป ก็ถ้าจะมีงานซ้อน เราก็จะคำนวณว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวเราก็จะขออนุญาต รับแค่งานเดียว"
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)