คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ก่อนจะมาเขียนบทความนี้นั้น เคยมีกรณีของคนถิ่นอื่นตีความหมายของ "คำ" ในภาษาอีสาน โดยเอาจริตแห่งตนมาตีความ หรือเอาขนบจากถิ่นหนึ่งมาครอบให้กับอีกถิ่นหนึ่ง แล้วตีความว่า "สิ่งนั้นไม่ศิวิไลซ์" หรือ "หยาบคาย" โดยไม่เข้าใจในบริบทท้องถิ่นอื่น ไม่ศึกษามาให้ดีเสียก่อนทำให้เข้าใจผิดมากมาย แล้วก็ตีความ ฟันธงว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้องควรแก้ไข กรณีเมื่อปี พ.ศ. 2559 มีปมดราม่าชื่อ "วัดเสียวสวาท" ที่บรรดาคนเมือง (ที่มักอ้างตนว่าศิวิไลซ์เสมอ) รวมทั้งนักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลายต่างอ้างว่า "มีชื่อไม่เหมาะสม ชาวบ้านจะไม่กล้ามาทำบุญ ควรเปลี่ยนชื่อใหม่" ขุ่นพระ!!!
ชาวบ้านที่ไหนล่ะครับ ก็ชื่อนี้ "ชาวบ้าน" เขาก็ตั้งกันเองมานานนับร้อยปี เป็นคำของชาวภูไทในท้องถิ่นโดยแท้ คนกุงเตบ! ไม่รู้เรื่องแล้วมาตีความได้อย่างไรกันว่า "ไม่เหมาะสม" ชื่อของ "วัดเสียวสวาท" มาจากคำ 2 คำ คือ
เมื่อนำชื่อต้นไม้คือต้น “เสียว” มารวมกับ “สวาท” ที่มาจาก “สะว่ะสะเหว่ย” แล้ว วัดเสียวสวาท จึงหมายถึง วัดที่สร้างขึ้นในดงต้นเสียวที่มีแต่ความสุขความเจริญ
วัดเสียวสวาท ตั้งอยู่ที่ตำบลต้นผึ้ง อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2463 (ตอนนี้ พ.ศ. อะไร นานไหม) แต่เพิ่งได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วันที่ 2 มิถุนายน 2532 มีเจ้าอาวาสสืบทอดกันมาแล้ว 7-8 รุ่น ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านนี้สืบเชื้อสายผู้ไท
แต่ก็ยังมีอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งว่า น่าจะมาจากพืช 2 ชนิด คือ ต้นเสียว กับ ต้นสวาท ก็เป็นได้ ซึ่งสืบต่อไปพบว่า ยังมีพืชที่มีชื่ออกทำนองอีโรติกให้คิดลึกอีกคือ ต้นสวาด กับ ต้นสวาท
ทำไม ชาวผู้ไท จึงเอานามในภาษากูยมาตั้งชื่อได้ เมื่อสืบข้อมูลเชิงลึกไปจะเห็นว่า ดั้งเดิมในแถบถิ่นนี้มีชนชาวข่า กูย (กวย) ส่วย ไทโส้ (กะโซ้) อาศัยอยู่มาก่อน ซึ่งใช้ภาษาตระกูลมอญ-เขมร ก่อนจะโยกย้ายขยับขยายไปที่อื่น แล้วชาวผู้ไทเคลื่อนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่แทน จึงสืบทอดชื่อต่อกันมาก็เป็นได้
ความรู้เสริมจาก : ภูมิบ้าน นามเมือง คำใคร ไทย-มอญ-เขมร
โดย ประสิทธิ์ ไชยชมพู
ก็เลยอยากเขียนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบทกลอน (กลอนลำ) ผญา สุภาษิต คำสอนต่างๆ ของคนอีสานนั้นล้วนมีเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้คนภาคอื่นสามารถตีความว่า คนอีสานหยาบคาย ไม่สุภาพได้ เพียงเพราะในประเพณีวัฒนธรรมของคนอีสานนั้น มีเรื่องของ "เสียวสวาท" หรือ "เสียวสวาด" หรือจะพูดแบบฝรั่งหน่อยๆ ก็ต้องบอกว่าเรื่อง "อีโรติก" นั้นมีมานานในสังคมอีสานบ้านเฮา จนถึงขั้นมีวรรณกรรมชาวบ้านที่เรียกว่า "นิทานเสียวสวาท" และในฝั่งบ้านพี่เมืองน้องของเฮา สปป. ลาว ก็มีนิทาน "เสียวสะหวาด" เช่นเดียวกัน ถ้าจะให้ไพเราะดูเท่ห์ขึ้นมาก็ต้องบอกว่า นิทานเฉลียวฉลาด ตามความหมายของคนอีสานและคนลาวกันดีกว่าครับ
ปกหนังสือ นิทานเสียวสะหวาด ของ สปป.ลาว
นิทานเรื่อง "เสียวสวาท, เสียวสวาด" หรือ "เสียวสะหวาด" เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบภาคอีสาน หรือในดินแดนอาณาจักรล้านช้างเดิม นิทานเสียวสวาทสำนวนต่างๆ จารด้วยตัวอักษรธรรมและอักษรไทยน้อย และมีรูปแบบการแต่งเรื่องราวต่างจากนิทานชาดกภาคอีสานเรื่องอื่นๆ ลักษณะของเนื้อเรื่องเป็นนิทานซ้อนนิทาน แสดงอุทาหรณ์แก่ผู้ฟัง ในบางตอนยังสอดแทรกภาษิต และคำสอนโดยตรงแก่ผู้ฟัง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ฟังที่เป็นชนชั้นปกครองให้นำไปปฏิบัติ เพื่อความสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ดังเช่นเรื่อง โฆษกะเศรษฐี, พระโมคคัลลาน์กับโจรห้าร้อย, ชายใจบุญสร้างศาลา, ครอบครัวของชายหูตึง, เต่ากับครุฑ, ชายเลี้ยงโคหลอกลวงเพื่อนบ้าน ฯลฯ มีงานวิจัยเรื่องนี้ไว้ให้อ่าน คลิกเลย
ในสมัยโบราณนั้น ที่เรียนรู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับบุตรหลานไม่ใช่ "โรงเรียน" เพราะยังไม่มีโรงเรียนสอนหนังสือ และวิชาความรู้ดังเช่นปัจจุบัน การถ่ายทอดจึงเกิดจากญาติผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ผู้ที่ทรงความรู้ศึกษาบวชเรียนมาก่อน หรือทำอาชีพใดๆ จนเชี่ยวชาญเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้าน เป็นที่นับหน้าถือตาให้เป็น "ครู" ในด้านต่างๆ เช่น เป็น หมอยา เพราะเชี่ยวชาญในการใช้พืชสมุนไพรต่างๆ รักษาโรค หมอสูตร เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญในพิธีกรรมสู่ขวัญ ทำขวัญ เป็นต้น
ใต้ถุนบ้าน หรือลานบ้านของท่านผู้รู้ จึงมักจะเป็นที่รวมของบรรดาลูกหลาน ไทบ้าน ทั้งเด็กเล็ก ชาย-หญิง หนุ่ม-สาว มาล้อมวงฟังผู้ใหญ่สนทนาถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเวลาต่างๆ ถ้าเป็นช่วงเวลากลางวัน ไม่มีงานในไร่นาก็จะเป็นการสอนให้ทักษะวิชาชีพ เช่น การจักสานเครื่องใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องมือดักจับสัตว์ต่างๆ การทำคราด ไถ หรือซ่อมแซมเกวียน รวมทั้งการตีเหล็ก มีด พร้า จอบ เสียม ฯลฯ ทางฝ่ายหญิงก็จะเป็นที่ชุมนุมสอนการทอผ้า ตัดเย็บเครื่องนุ่มห่ม การฟอกย้อมผ้า รวมทั้งการถ่ายทอดสูตรเด็ดการทำอาหารการกิน ให้ทุกคนได้ร่วมชิมด้วยกันทั้งหมดในลานบ้าน นับเป็นการสร้างรักและสามัคคีในชุมชนนั้น
ถ้าเป็นช่วงเวลาเย็นย่ำ เมื่อเสร็จจากเวียกงานกลับมาหมู่บ้าน ก็มักจะมารวมกันที่ศาลากลางบ้าน หรือบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เพื่อร่วมฟังข่าวสารต่างๆ ที่ผู้นำชุมชนจะนำมาแจ้งข่าว ทั้งเรื่องการระวังโรคภัยไข้เจ็บที่มีการระบาดในช่วงเวลานั้นๆ ระวังโจรขโมยที่จะมาลักทรัพย์สิน วัว ควาย เป็นต้น แล้วจะมีการเล่านิทานที่มีคติสอนใจให้ลูกหลานฟัง มีการจ่ายผญา การให้ความรู้ด้านขนบธรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่สำคัญ การบอกบุญเพื่อช่วยเหลือกันในชุมชนตนเองและใกล้เคียง
ใต้ถุนบ้าน คือแหล่งถ่ายทอดความรู้และวัฒนธรรมอีสาน
และในบางครั้งก็จะมีการเล่า "นิทานก้อม" (แปลเป็นภาษาไทยกลางก็น่าจะเป็น เรื่องสั้นขำๆ ที่ลงท้ายด้วยการฮัมเพลง ตะแล่มๆๆๆ ตะล่ะแล่มแต่มๆๆ นั่นเอง เคยฮิตติดลมนำมาเล่าผ่านวิทยุกระจายเสียง) สมัยนั้น สมัยผมยังเด็กๆ บรรดาผู้ใหญ่รวมทั้งพ่อผมเองด้วย มักจะเล่านิทานที่หมิ่นเหม่ทางศีลธรรมให้ฟังเสมอ ถ้าสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า เรื่อง อีโรติก นั่นเอง
นิทานก้อมที่เล่ากันบ่อยๆ มักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ "ลูกเขยเอาชนะพ่อตา" (ด้วยเล่ห์ต่างๆ ซึ่งในความจริงแล้วลูกเขยมักจะแพ้พ่อตาในชีวิตจริง แต่เมื่อเป็นนิทานก้อม ก็จะต้องเล่าแบบเอาคืนให้ได้ เพราะคนเล่ามักจะเป็นลูกเขยเสียส่วนใหญ่) หรือเรื่องลูกเขยหลอกกินตับแม่ยายที่กระท่อมกลางทุ่งนา พี่เขยหลอกกินตับน้องเมีย หรือพระแอบไปขึ้นสาว แต่ก็ถูกหลอกให้ไปเจอพระอีกรูปหนึ่งแทน เรื่องพวกนี้มักจบลงด้วยเสียงหัวเราะ ครื้นเครง แต่ไม่ค่อยมีใครคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงดอก มันถูกเล่าเพื่อความสนุกของหนุ่มๆ หรือเขยใหม่ รวมทั้งเด็กๆ เท่านั้น และมักจะพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างตรงไปตรงมาเสมอ เห็นเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน
เมื่อมีงานบุญ ช่วงออกพรรษา หรืองานบุญเดือนสี่ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่มีเงินพอจ้าง 'หมอลำหมู่' (คณะหมอลำใหญ่) ก็มักจะจ้าง 'หมอลำคู่' โดยมีหมอลำสองคน ชาย-หญิง กับหมอแคนประจำตัวอีก 2 คน ถูกจ้างมาลำบนเวทีเดียวกัน ในลักษณะประชันขันแข่งความสามารถทางกลอนลำ หรือด้นกลอนสด เวทีแสดงหมอลำก็มักจะตั้งอยู่ภายในวัด (เพราะเป็นงานบุญประเพณี) หมอลำคู่จะเริ่มเปิดเวทีด้วยกลอนไหว้ครู ไหว้พระรัตนตรัย ลำนิทานชาดกหรือพุทธประวัติ พรรณนาอานิสงส์ของการทำบุญ ในช่วงหัวค่ำตั้งแต่ 20.00 - 21.00 น. หรือดึกกว่านั้นนิดหน่อย ช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่มีอะไรให้บรรดาพวกคนหนุ่ม-สาว หรือคนแก่ได้คึกคัก มีแต่ชักชวนให้ศรัทธาในศาสนาและร่วมกันทำบุญให้วัดวาอาราม
แต่เมื่อถึงช่วงดึก คือ เลยเวลา 22.00 น. เป็นต้นไป แนวการลำก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องสองแง่สองง่าม (ลำเพอะ) การเกี้ยวกันระหว่างหมอลำหนุ่ม (แก่) กับสาวหมอลำ การต่อสู้กันด้วยกลอนลำ เรียกว่า แก้กลอนลำ โดยฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายลำถาม (โจทย์) อีกฝ่ายต้องลำแก้โจทย์นั้นให้ได้ (ถ้าไม่เข้าใจให้ลองนึกถึงการแก้ทางมวยของการชกมวยไทย) จะสร้างความคึกคักในยามดึกดื่นเที่ยงคืนไปจนเกือบสว่าง (แล้วแต่ความสามารถของหมอลำว่า จะดึงผู้ชมไว้ได้นานหรือไม่ เพียงใด ถ้าเป็นหมอลำคู่ดังก็จะตอบโต้กันจนสว่างคาตาเลยทีเดียว) เรื่องส่วนใหญ่ที่ลำสลับกันไปมาระหว่างคู่ชายหญิงก็มีหลากหลาย แต่เรื่องที่เรียกความสนใจได้ดีที่สุดก็คือเรื่อง "ใต้สะดือ" นี่แหละ ระหว่างการลำโต้ตอบกันจะมีช่วง "หมอสอย" ที่คอยมาพูดสอยสอดแทรกด้วยถ้อยคำที่ทำให้เกิดความสนุกสนาน ครึกครื้นยิ่งขึ้น
การแสดงหมอลำคู่โดย แม่ฉวีวรรณ ดำเนิน และพ่อเคน ดาเหลา
หมอลำที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้คือ หมอลำคูณ ถาวรพงษ์ ในสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องขยายเสียง การลำต้องลำด้วยปากเปล่า การเดินทางต้องเดินด้วยเท้าบ้าง ใช้เกวียนบ้าง (ไม่ได้มีรถประจำทางอย่างสมัยนี้) ท่านเป็นหมอลำที่มีน้ำเสียงดี ก้องกังวาน ชัดเจน และถนัดในการลำ "กลอนเพอะ" (สองแง่สองง่าม) คนทั่วไปจึงพากันตั้งฉายาให้ท่านว่า “หมอลำคูณหี” (เพราะกลอนลำของท่านเฉียดฉิวอยู่กับอวัยวะเพศชาย-หญิงนั่นเอง) แต่นิสัยของท่านนั้น เป็นคนมีศีลธรรม ซื่อสัตย์สุจริต สันโดษ ไม่ดื่มสุรา และไม่มีนิสัยทางชู้สาวเลย เป็นคนสุขุม ค่อนไปในทางเก็บตัว จึงมีลูกศิษย์น้อย ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงคือ หมอลำวังสถาน สิงห์ธรรม
หมอลำฝ่ายหญิงที่ลำคู่กันกับ "หมอลำคูณ" มีหลายคน ได้แก่ หมอลำจอมศรี บรรลุศิลป์, หมอลำหม่อน, หมอลำอั้ว, หมอลำเที่ยง, หมอลำสุบรรณ เป็นต้น แต่ที่ลำด้วยกันบ่อยที่สุด คือ หมอลำจอมศรี จนกิตติศัพท์ดังไกลถึงหูของ นาย ต.เง็กชวน นายห้างเจ้าของห้างแผ่นเสียงตรากระต่าย จึงได้ถูกชักชวนให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยรถไฟ เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2483 โดยมีหมอแคน คือ นายชื่น ทานให้ และนายบัว มีทรัพย์ เพื่อบันทึกแผ่นเสียง ออกจำหน่ายในครั้งนั้นคือ "ลำทางสั้น กลอนศีลห้า" และลำคู่กันคือ "ลำเว้าสาว" เป็นแผ่นเสียงชุดแรกและชุดสุดท้ายของท่านทั้งสอง มีการจำหน่ายเผยแพร่และได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้ชื่อเสียงของท่านทั้งสองโด่งดั่งมากขึ้นไปอีก จนมีงานลำมากมายทุกวันจนไม่มีเวลาพักผ่อน
ลำทางสั้น กลอนศีลห้า-หมอลำคูณ ถาวรพงษ์
หมอลำคู่มักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเซ็กส์ (Dirty Joke) อย่างตรงไปตรงมา เช่น หมอลำเคน ดาเหลา ได้รับความนิยมมากด้วยกลอนลำ “แตงสังหารสาว” วิทยุทุกสถานีเปิดกลอนลำนี้ให้ได้ยินกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งในงานบ้านและในงานวัด พอมีงานบุญก็จะได้ยิน “แตงสังหารสาว” ของ เคน ดาเหลา (ซึ่งต่อมาได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หมอลำ) ปี พ.ศ. 2534)
“แตงสังหารสาว” เล่าเรื่องราวของหญิงสาว ที่ทุกๆ เช้าจะไปรดน้ำผักสวนครัวที่ปลูกไว้ในสวนท้ายหมู่บ้าน วันเกิดเหตุ ขณะตักน้ำรดแปลงปลูกแตง หญิงสาวแลเห็น "ผลแตงกวา" (ในกลอนลำจะเรียกว่า หมากแตงซ้าง) รูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชาย เธอเกิดอยากรู้ว่าการมีอะไรกับไอ้นั่น (แตงกวา) จะเป็นอย่างไร เลยเก็บเอาแตงขนาดพอเหมาะมาใช้ด้วยความมันจนลืมตัว ผลแตงเกิดหักและติดอยู่ข้างใน เอาออกไม่ได้ จนกระทั่งได้เวลาพระฉันเพล
หมอลำคู่ที่มีชื่อเสียง 3 ศิลปินแห่งชาติ (ป.ฉลาดน้อย, ฉวีวรรณ ดำเนิน, เคน ดาเหลา)
พ่อจึงออกตามหาเพราะด้วยความเป็นห่วงว่า ลูกสาวของตนจะเกิดเหตุร้าย กลอนลำจบด้วยประโยคคำพูดของพ่อที่สาบส่งลูกสาวให้ไปตายซะ เพราะนางโง่แทั “แข้วมึงมีบ่แพ้ เอาหีหย่ำ หน่วยบักแตง” (ฟันก็มี แต่ดันเอาหอยเคี้ยวผลแตงซะงั้น) แน่นอน ทั้งหมดเป็นเรื่องอารมณ์ขัน ที่ทุกคนฟังแล้วก็หัวเราะสนุกสนานกันไป
ส่วนเรื่องของลูกเขยกับพ่อตาและแม่ยายนั้นมีหลายเรื่อง แต่จะขอเอาเรื่องที่สามารถชนะทั้งพ่อตาและแม่ยายได้พร้อมกันทีเดียว เรื่องมีอยู่ว่า
พ่อตาและลูกเขยได้ชวนกันไปหาปลาและตัดไม้ไผ่ที่หัวนา หลังจากที่ตัดไม้ไผ่ไปหลายลำ มีดอีโต้ที่ใช้ตัดไม้นั้นทื่อหมดคม จึงเอ่ยปากบอกลูกเขยว่า "บักทิด มึงขึ้นไปเอาหินฝนพร้าอยู่เถียงนามาแหน่ ถ้าหาบ่เห็นให้ถามแม่เบิ่งเด้อ" ส่วนลูกเขยนั้นไม่ได้คิดถึงหินลับคมมีดแต่อย่างใด ขณะเดินกลับขึ้นมากระท่อมนั้นก็คิดหาทางจะแอ้มแม่ยายแบบเนียนๆ อยู่ว่า จะใช้เล่ห์กลอันใดดี
ครั้นมาถึงกระท่อมกลางนาก็แว๊บปิ๊งขึ้น จึงเอื้อนเอ่ยวาจากับแม่เฒ่าว่า "แม่ อีพ่อเลาให้ข่อยมาเอาเจ้า"
แม่ยายได้ฟังถึงกับตกใจฮ้องว่า "บักผีบ้า..."
ลูกเขยเลยก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า "คันบ่เซื่อกะถามอีพ่อเลาเบิ่ง"
ด้วยความโมโหนางเลยร้องเสียงดังไปทางชายทุ่งว่า "เฒ่า เจ้าสิให้ข่อยเอาให้มันอยู่บ้อ!"
พ่อตาเลยตะโกนสวนมาด้วยความโมโหว่า "โอ้ย! มึงสิแพงไว้เฮ็ดหยัง ไวไว.."
จากนั้นลูกเขยก็เลยลูบปากด้วยความสะใจ ตะแล่มๆๆๆ ตะแล่ม ตะละแล่ม แต่มๆ... "
การพูดเรื่องเพศและการมีเพศสัมพันธ์ในวัฒนธรรมอีสานนั้น ช่างตรงไปตรงมา วัฒนธรรมที่มี "นิทานก้อม" แบบหมิ่นเหม่ศีลธรรมเต็มไปหมด ซึ่งผมได้ฟังตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่คนในสมัยนั้น ก็ไม่มีใครในหมู่บ้านที่กระทำการหมิ่นเหม่ต่อเรื่องศีลธรรมทางเพศ จนเกิดความเสียหายแบบในนิทาน ผมได้ยินแต่ผู้ใหญ่เขาพูดกับลูกหลานว่า "เมื่อมีอะไรกันแล้ว ก็ต้องเลี้ยงดูเป็นผัวเป็นเมียกันไปตลอดชีวิต อย่าปล่อยปละละทิ้ง"
นิทานก้อม (เรื่องสั้นขำๆ อีโรติกของฅนอีสานนานมา)
ในวันนี้ คนไทยจำนวนหนึ่ง (ซึ่งมีมากขึ้นทุกที) กำลังใช้จริยธรรม (ที่ไม่ได้เป็นรากฐานทางจริยธรรมอะไรนัก) ไปกดทับความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างศีลธรรมอันดีงามเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ การรักนวลสงวนตัว วัฒนธรรมอันดีงามของไทย ผมคิดว่า สิ่งที่คนเหล่านี้ขาดไป ก่อนลงมือตัดสินจริยธรรมและความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น คือ "การเรียนรู้วัฒนธรรมอื่นๆ การตระหนักรู้ถึงความไม่รู้ของตนเอง การตรวจสอบมาตรฐานทางจริยธรรมที่ตนเองยึดถือ และการรู้จักเคารพในวัฒนธรรมที่ต่างออกไป พวกเขาควรจะตรวจสอบตนเองว่า มีอคติทางจริยธรรมเจือปนอยู่ในคำตัดสินทางจริยธรรมหรือไม่ มากน้อยเพียงใด"
วันนี้ผมได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนอีสาน ที่รู้และเข้าใจรากเหง้าของบรรพบุรุษตนเอง ได้ถ่ายทอดความเป็นอีสานออกมาในรูปการแสดง และขับร้องหมอลำ ในชื่อคณะว่า "เพชร น้ำหมาก" ซึ่งมีการบันทึกเป็นคลิปออกมาทาง Youtube หลายชุด เช่น ลำสาวมหาวิทยาลัย ลำชมเซเว่น ลำชีวิตคนโสด และคลิปข้างล่างนี้ "ลำสาวนักศึกษา" ที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นอีสานออกมาให้เห็นถึง คนรุ่นใหม่ที่ลืมกำพืดผลาญเงินพ่อแม่ เพื่อความสุขของตนจนลืมอนาคตเสียสิ้น
ฟังกลอนลำสาวนักศึกษาบ่ทัน อยากฮู้ คลิกโลด
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)