foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

mp3

tai orathai6

ต่าย อรทัย

tai best femail vocalกินข้าวหรือยัง?

ทำให้ ต่าย อรทัย ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2547 รับรางวัลมาลัยทองจาก เพลงลูกทุ่งยอดนิยม นักร้องดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม และนักร้องหญิงยอดนิยม

จากภาพ การประกาศผลนักร้อง และงานเพลงลูกทุ่งยอดเยี่ยม รางวัลมาลัยทอง ประจำปี 2547 โดยสมาคมลูกทุ่งเอฟเอ็ม รางวัลเพลงยอดเยี่ยม และรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ คัฑลียา มารศรี จากเพลง ให้กำลังใจตัวเอง ส่วนนักร้องชายยอดเยี่ยม ได้แก่ แจ๊ค ธนพล จากเพลง คนที่รอคอย นักร้องหญิงยอดนิยม ได้แก่ ต่าย อรทัย จากเพลง กินข้าวหรือยัง นักร้องชายยอดนิยม ได้แก่ ไมค์ ภิรมย์พร จากเพลง อยากให้เธอเข้าใจ

นักร้องลูกทุ่งหญิงคนแรก ที่สามารถทำสถิติยอดขายอัลบั้มชุดแรก "ดอกหญ้าในป่าปูน" ได้ทะลุเกินกว่า 1,000,000 ชุด (โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจยุคเทปผี ซีดีเถื่อน) ชนิดม้านอกสายตา ด้วยเพลงฮิตสะกิดใจอย่าง โทรหาแหน่เด้อ ที่ถูกอกถูกใจแฟนเพลงทั่วประเทศ และล่าสุดกับผลงานชุดที่ 2 ขอใจกันหนาว ที่ฮิตติดลมบนจากเพลงที่ฟังง่ายๆ สบายๆ อย่างเพลง ขอใจกันหนาว, กินข้าวหรือยัง, ดาวเต้น ม.ต้น จนรายการโทรทัศน์หลายรายการต้องจองคิวไปสัมภาษณ์กันเลยทีเดียว ทั้ง ทไวไลท์โชว์ เจาะใจ สมาคมชมดาว เป็นต้น

ชื่อจริง : อรทัย ดาบคำ ชื่อเล่น : ต่าย
วัน-เดือน-ปีเกิด : วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2523 (ปีวอก)
ภูมิลำเนา : บ้านคุ้มแสนชะนี ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
บิดาชื่อ : นายสาง ดาบคำ มารดาชื่อ : นางนิตยา ดาบคำ
การศึกษา : ประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านคุ้มแสนชะนี มัธยมศึกษาที่ โรงเรียนนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี
ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาเอกสื่อสารมวลชน (ภาคพิเศษ)
ผู้ชักนำเข้าวงการ : พี่กุ้ง บ่าวข้าวเหนียว พี่สาวบ้านเชียง ครูเพลง : ครูสลา คุณวุฒิ
อัลบั้มสร้างชื่อ : ดอกหญ้าในป่าปูน เพลงสร้างชื่อ : ดอกหญ้าในป่าปูน, โทรหาแหน่เด้อ
รางวัลที่ได้รับ : รางวัลมาลัยทอง นักร้องลูกทุ่งยอดนิยมฝ่ายหญิงประจำปี 2546
อาหารที่ชอบ : ยำวุ้นเส้น อาหารอีสานทุกอย่าง
อนาคต : อยากเป็นชาวสวน (สวนผลไม้ สวนยาง)

ต่าย อรทัย กับความฝันของเธอในวัยเด็ก

tai orathai10"ต่าย - อรทัย ดาบคํา" นักร้องลูกทุ่งผู้พลิกผันชีวิตตัวเอง จากเด็กบ้านนอกที่มีความมุ่งมั่น และความพยายาม จนทําให้ในวันนี้เธอคือ นักร้องที่ดังสุดๆ จากชุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" และล่าสุดมีอัลบั้มชุด "ขอใจกันหนาว" ชีวิตที่พลิกผันจากสาวบ้านนาที่เดินตามความฝันของตัวเอง จนกลายมาเป็นนักร้องค่ายแกรมมี่ มียอดขายเทปกว่าหนึ่งล้านตลับ แต่กว่าจะมีวันนี้ชีวิตของดอกหญ้าในป่าปูนคนนี้ต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งความยากจน อดมื้อกินมื้อ พ่อแม่แยกทาง แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอหมดกำลังใจแต่อย่างใด เธอกลับไขว่คว้าหาโอกาส จนวันหนึ่งโอกาสนั้นวิ่งมาหาเธอเอง เธอเล่าว่า

"ต่ายเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่แยกทางกันทิ้งต่ายไว้กับยาย และน้องอีก 3 คนต้องหารายได้จุนเจือครอบครัวด้วยการรับจ้างลอกปอ เกี่ยวข้าว ดายหญ้า ต้องหาบน้ำเป็นระยะทาง 2-3 กิโลทุกวัน ยากจนถึงขนาดที่ว่าปลาตัวนึงปกติกินคนนึง แต่ต้องเอาปลามาป่น และผสมน้ำเยอะๆ เพื่อให้กินได้หลายคน หลายวัน"

แม้ว่าจะยากจนแต่ ต่าย อรทัย มีความฝันอย่างหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในการก้าวเดินต่อไป นั่นคือ การเป็นนักร้อง "ต่ายเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ฝันว่าอยากเป็นนักร้อง จึงไปประกวดร้องเพลงในงานสงกรานต์ ได้รางวัลชนะเลิศ แม้จะไม่มีพ่อแม่ไปให้กำลังใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่หมดกำลังใจ เพราะเราอยากเดินตามความฝันของเรา แต่ต่ายก็ยังไม่ได้เป็นนักร้องเพราะตอนนั้นยังเรียนไม่จบ ก็เลยเลือกเรียนทั้งที่มีโอกาสเป็นนักร้อง จนเรียนจบ ม. 6 แต่ไม่มีเงินเรียนต่อ จึงเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อหาเงินเรียนด้วยการช่วยแม่รับจ้างซักผ้าแล้วเรียนรามคำแหงไปด้วย ตอนนั้นชีวิตลำบากมากจากที่เคยอยู่ท้องนากว้างๆ ต้องมาอยู่ห้องเล็กๆ มุงสังกะสี ต่อมาเพื่อนชวนไปทำงานบริษัทยา ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงตีสอง เงินที่ได้ก็จะส่งเป็นค่าเช่าห้อง และให้ยาย เวลาที่คิดถึงยาย และน้องๆ ก็จะร้องเพลง "ทุ่งนางคอย" ของพุ่มพวง ดวงจันทร์ "

แม้จะทำงานโรงงานที่สมุทรปราการ แต่ต่ายก็ยังไม่ทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักร้อง จึงไปประกวดร้องเพลงหลายครั้ง สถานที่ฝึกฝนการขับร้องเพลงของเธอในยามนั้นคือ เวทีประกวดที่ฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ เธอเคยดั้นด้นขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงทางช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ ที่รายการ "ชุมทางเสียงทอง" แม้ไม่ชนะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่เช่นนี้ แต่ก็ทำให้ต่ายสานฝันได้สำเร็จ จนท้ายที่สุดได้มีโอกาสพบกับ ครูสลา คุณวุฒิ "อาจารย์ใหญ่" แห่งวงการลูกทุ่งยุคนี้ เธอจึงได้เข้าซุกปีกของค่ายใหญ่อย่างแกรมมี่ จนได้เดินตามเส้นทางความฝันของเธอในวันนี้

tai orathai8

"ต่าย อรทัย" ต้องใช้เวลาบ่มตัวนานเป็นปี ก่อนอัลบั้มออกวางแผงในช่วงปลายปี 2545 แต่ก็สามารถลบล้างความเชื่อที่ว่า "เพลงโจ๊ะ หรือ เพลงโชว์สะดือ" เท่านั้นที่สร้างนักร้องให้ดังได้ เนื่องจากเพลงของต่ายในชุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" เป็นเพลงช้า ทำให้การต้อนรับจากแฟนเพลงในระยะแรกไม่ดังเปรี้ยงปร้าง กว่าเนื้อหาจะโดนใจแฟนเพลงก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่เมื่อฮิตฮอตแล้วก็ไม่มีอะไรมาหยุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" ของ "ต่าย อรทัย" ได้ และไม่น่าแปลกใจที่เธอได้รับ รางวัลมาลัยทองประจำปี 2546 ของคลื่นวิทยุเอฟ.เอ็ม. 95 ในฐานะ นักร้องหญิงยอดนิยม

รายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม.ระบุว่า เพลง "โทรหาแหน่เด้อ" นี้อยู่อันดับ 4 มาสองสัปดาห์ต่อเนื่องกัน แต่ติดอันดับ 1 ใน 10 นานถึง 52 สัปดาห์ ถือว่ายืนอันดับนานกว่าเพลงอื่นๆ รวมถึงเพลง "อยากให้เธอเข้าใจ" ของ ไมค์ ภิรมย์พร นักร้องชายค่ายเดียวกัน

ในปี 2554 ต่าย อรทัย ได้เป็นผู้หญิงที่มีผู้ค้นหาสูงสุดประจำปี 2554 ของกูเกิลไทยแลนด์ และได้รับรางวัล ผู้หญิงต้นแบบผู้สร้างแรงบันดาลใจแก่สังคม ประจำปี 2554

สลา คุณวุฒิ ได้เคยกล่าวความรู้สึกเกี่ยวกับ ต่าย อรทัย ในรายการ ที่นี่หมอชิต ว่า

ต่าย อรทัย เป็นศิลปินคนแรก ที่บริษัทให้ครูสลาใช้ความสามารถเต็มรูปแบบ ทั้งบุคลิกภาพ เสื้อผ้า หน้าผม แนวเพลง ถ้าเปรียบเทียบครูสลาเป็นนักศึกษาหรือนักเรียน ต่าย อรทัย คือวิทยานิพนธ์ชิ้นสำคัญ เป็นเหมือนวิทยานิพนธ์ที่ทำให้เราได้ด็อกเตอร์ ในวันแรกๆ ที่เห็นต่ายออกทีวี เด็กที่ลำบากมากคนหนึ่งที่เราเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอ และอยู่มาวันหนึ่งได้เห็นต่ายได้ออกทีวี มีรายการดังๆ ต่างๆ หลายรายการสัมภาษณ์ต่าย เห็นทีไรจุก น้ำตาไหลทุกที ไม่อยากเชื่อว่าครูบ้านนอกคนหนึ่ง อยู่มาสามารถเขียนเพลงให้ลูกศิษย์ และพาลูกศิษย์ไปนั่งอยู่ในจุดที่สูงส่งมาก ในความรู้สึกของตัวเองและชาวบ้าน รู้สึกตื้นตันใจ "

tai album 2"ขอใจกันหนาว" พุ่งแรง
คอลัมน์ มาลัยลูกทุ่ง โดย เลิศชาย คชยุทธ (หนังสือพิมพ์มติชน)

ขณะที่ลูกกรุงโหมโฆษณาและอัดเอ็มวีกันเข้าไป แต่ยอดขายไม่ทะลุเปรี้ยงปร้างสักเท่าไหร่
นักร้องลูกทุ่ง 'ต่าย อรทัย' ก็มานิ่มๆ กับงาน "ขอใจกันหนาว" และก็ทำยอดเกินล้านตลับไปได้แบบสบายๆ แล้ว

18 ตุลาคม 2547

"เมื่อเลิกงานเดินเหงา มีเงาเป็นเพื่อนเข้าซอย ผู้สาวบ้านไกลใจลอย บ่มีคนคอยเคียงเงา อยู่ในเมืองใหญ่ อุ่นกายแต่หัวใจหนาว วันๆ มีหลายเรื่องราว รุมเร้าให้คอยหวั่นไหว

ฝืนยืนสู้แค่ไหน นานไปแรงใจสุดท้อ หวั่นเกรงทางบ้านที่รอ แม่พ่อจะสู้จั๋งได้ ปัญหาหลายอย่าง สู้ตามลำพัวบ่ไหว พรุ่งนี้สิเดินอย่างไร เมื่อใจบ่มีคนเคียง

อยากมีพี่เลี้ยง เคียงข้างบนทางเปื้อนฝุ่น มอบใจอุ่นๆ กันหนาว กันท้อพอเพียง ยามเจ็บเห็นหน้า ยามมีปัญหายืนเคียง ยาวเหงาได้โทรฟังเสียง หล่อเลี้ยงหัวใจทุกคราว

ขอพึ่งแรงแห่งฝัน บันดาลให้เจอคนดี ให้สาวบ้านไกลคนนี้ ได้มีคนคอยเคียงเงา งานยุ่งเมืองใหญ่ ขอใจฮักมั่นกันหนาว ดูแลในทุกเรื่องราว ให้สาวดอกหญ้าอุ่นใจ"

ไม่ต้องสงสัยหรือต้องแปลกใจอะไรเลยที่เพลง "ขอใจกันหนาว" ของ ต่าย อรทัย ทำไม? เมื่อได้ฟังครั้งแรก ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจคอเพลงลูกทุ่งที่ชอบเพลงหวานซึ้งกินใจกันเสียแล้ว นอกเหนือไปจากน้ำเสียงหวาน ใส มีลีลาการเอื้อนที่พลิ้วไหวเป็นของตัวเองของ ต่าย อรทัย ที่ถือว่า "สอบผ่าน" มาจากผลงานก่อนหน้านี้ เช่น เพลงดอกหญ้าในป่าปูน, โทรหาแน่เด้อ, กินข้าวหรือยัง ฯลฯ

"หัวใจติดดิน สวมกางเกงยีนส์ตัวเก่า ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าเก้า แต่ใจสาวไม่ด้อยราคา...จะสวมมงกุฎดอกหญ้า ถ่ายรูปปริญญา ย้อนมาบ้านเรา..." เพลงดอกหญ้าในป่าปูนดังระเบิด เดินไปที่ไหนก็ได้ยินเสียงของ ต่าย อรทัย ร้องเพลงนี้ดังมาจากสถานีวิทยุคลื่นต่างๆ

ความดังแรงของ "ต่าย อรทัย" นักร้องสาวชาวอุบลราชธานีคนนี้ ซึ่งใช้เพลงของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นต้นแบบ แม้ว่าสุ้มเสียงจะไม่ถนัดไปในแนวของเพลงสนุกสนาน แต่ สลา คุณวุฒิ ก็ดึงเอาเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของนักร้องบ้านนอกคนนี้ออกมา จนเห็นความงดงามของบทเพลง ต่าย อรทัย ดังแรงจนรายการ "เจาะใจ" เชิญมาออกรายการเพื่อคุยกันถึงประวัติชีวิต และร้องเพลงทั้งของพุ่มพวงและของตัวเอง

tai orathai2เพลง ขอใจกันหนาว มีเนื้อหาที่ไม่ได้พิสดาร เพียงแต่ไม่เคยมีนักประพันธ์นำจุดนี้ ออกมาถ่ายทอดเป็นบทกลอน และบทเพลง สลา คุณวุฒิ มีความสามารถพิเศษที่หยิบเอาความรู้สึกในใจของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อยากมีแฟนสักคน ในยามที่พลัดบ้านมาทำงานในกรุงเทพฯ ออกมาเขียนเป็นเพลงลูกทุ่ง หนุ่ม-สาวที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดในต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือ หรือมาทำงานทำการในเมืองใหญ่ ย่อมมีความเหงา และในที่สุดก็ต้องมีแฟนและอยู่กินกันฉันสามีภรรยา จุดเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของคนนี่แหละ สลา คุณวุฒิ ประพันธ์เป็นเพลง "ขอใจกันหนาว" ให้ ต่าย อรทัย ขับร้องได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว

เพลงนี้เป็นเพลง 4 ท่อน แต่แทนที่จะร้องไป 4 ท่อนแล้วฟังดนตรี เพื่อนักร้องจะกลับมาร้องซ้ำอีกครั้งในท่อนแยก (ท่อน 3) หรือท่อนสุดท้าย (ท่อน 4) แต่ สลา คุณวุฒิ ตั้งใจให้ต่าย อรทัย ร้องไป 3 ท่อนแล้วต่อด้วยดนตรี จากนั้นจึงค่อยร้องท่อนสุดท้าย แล้วจึงมาฟังดนตรีสลับอีกครั้ง จากนั้นจึงมาร้องซ้ำในเพลงท่อนสุดท้ายอีกรอบ เป็นอันจบเพลง นี่คือการสร้างสรรค์งานเพลงแนวใหม่ ที่นานๆ จะมีแบบนี้สักครั้ง ฟังจากวิทยุ ดูจากทีวีครั้งเดียวก็ติดใจและต้องการฟังซ้ำ หรือรอฟังไม่ไหวก็ต้องหาซื้อเทป ซื้อซีดีมาเปิดฟัง

การร้องและการพูดหน้าเวทีของ ต่าย อรทัย หากจะเห็นพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นก็ไม่ต้องสงสัย เพราะบริษัทแกรมมี่ ที่เป็นต้นสังกัดได้จัดคอร์สอบรมให้กับนักร้องในสังกัด เพื่อจะได้ร้องได้ดี พูดหน้าเวทีได้คล่องแคล่ว เป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลง ไม่ใช่ถือว่าร้องเก่งแล้ว ไม่ต้องฝึกกันอีกคงไม่ได้ หรือการพูดหน้าเวที ถ้าเล่นกับแฟนไม่เป็น ทำเป็นเงอะๆ งะๆ วางหน้า วางตัวไม่เข้าท่า รับรองว่าแฟนเพลงหนีหมด กระทบมาถึงบริษัทเทป ซึ่งจะขายเทปขายซีดีไม่ออก เวลาไปจัดคอนเสิร์ตก็มีคนดูน้อย ติดตามกันต่อไป นักร้องสาว "ต่าย อรทัย" จะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า

tai orathai3"ต่าย-อรทัย" น้ำตาริน
"สมาคมชมดาว" สานฝันเป็นจริง

tai orathai4กระแสเพลง "โทรหาแนเด้อ" ดังเป็นพลุแตก "สมาคมชมดาว" เลยต้องรีบคว้าตัวนักร้องลูกทุ่งดาวรุ่งสาว ต่าย อรทัย เจ้าของปรากฏการณ์ล้านแล้วจ้า!! มาพูดคุยเพื่อเอาใจคอเพลงลูกทุ่งกันเป็นพิเศษ ต่าย เปิดใจถึงชีวิตก่อนได้เป็นนักร้องดังให้ฟังว่า

"แค่ได้ร้องเพลงทำอัลบั้มก็ถือว่าฝันเป็นจริงแล้ว ไม่เคยคิดว่าเพลงจะขายได้ถึงล้านม้วน เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมากๆ จากสาวโรงงานที่มีรายได้แค่ วันละ 200 กลายเป็นศิลปินดังที่มีรายได้ 6 หลักต่อเดือน แต่ถึงจะหาเงินได้มากแค่ไหน ก็ไม่เคยลืมตัวว่าเราเคยลำบากมาก่อน เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ต่ายจะเอาไปปรับปรุงซ่อมแซมบ้านใหม่ ให้ พ่อ-แม่ ยาย และน้องๆ ที่อุบลราชธานี อยากให้พวกเค้ารู้ว่าต่ายรักและแคร์ทุกคนที่บ้านมาก เพราะต่ายเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด น้องๆ เลยคิดว่า ต่ายไม่รัก" พูดถึงไม่ทันไร 2 แหม่ม รีบงัดวีทีอาร์ที่น้องชายพูดถึงพี่สาวออกมาให้ฟังจน ต่าย นั่งน้ำตารินอยู่พักใหญ่ ชนิดที่ทำเอาแฟนเพลงในสตูฯ พลอยปลื้มใจตามไปด้วย

นอกจากนี้ สมาคมชมดาว ยังสร้างเซอร์ไพรส์ต่อ ด้วยการลงทุนเปิดประตูสตูดิโอต้อนรับเพื่อนๆ โรงงานร่วมร้อยชีวิต จากสมุทรปราการ เข้ามานั่งชมมินิคอนเสิร์ตจากต่ายกันอย่างจุใจ ให้สมกับที่เธอตั้งใจและวาดฝันไว้ว่า สักวันจะเล่นคอนเสิร์ตให้เพื่อนโรงงานดู บรรยากาศมินิคอนเสิร์ตในสตูฯ ชมดาว ประทับใจผองเพื่อน และผู้ชมทางบ้านจริงๆ ครับ เพราะตอนรุ่งเช้า มีเพื่อนร่วมงานหลายๆ คน พูดถึงเธอด้วยความชื่นชม และตบท้ายด้วยการยืมซีดีเพลงจากผมไปฟังบ้าง (ไม่ค่อยลงทุนเลยนะ) (ออกอากาศคืนวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2547)

บันทึกเมื่อ 1 สิงหาคม 2547

 tai orathai20

ติดตามความเคลื่อนไหว ต่าย อรทัย ได้ทาง Facebook Fanpage

สัมภาษณ์พิเศษ ต่าย อรทัย

ต่าย อรทัย ได้ส่งเสียงหวานๆ ให้แฟนเพลงทั่วประเทศมานานถึง 16 ปี คงไม่มีใครไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินเพลงของนักร้องลูกทุ่งเสียงดีคนนี้แน่ๆ เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอ ถึงการทำงานตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเป็นกันเองยิ้มแย้มแจ่มใสตามสไตล์สาวอีสานของเธอ

Q : เข้าวงการมากี่ปีแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา?

A : ปีนี้เข้าปีที่ 16 แล้วค่ะ มีอัลบั้มชุดหลัก 11 อัลบั้มแล้ว นอกนั้นจะเป็นชุดพิเศษไปแจมกับคนอื่นๆ

Q : ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้เราเข้าวงการมา มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?

A : ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้นนะคะ มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เปลี่ยนเข้ากับยุคสมัยใหม่ ก็เชื่อว่าทั้งคนฟังเพลงเอง หรือนักร้องเอง และคนที่อยู่ในวงการ ค่ายเพลงต่างๆ ก็คิดว่า ก็น่าจะมีการพัฒนาเอกลักษณ์ของความเป็นลูกทุ่ง แต่ว่าอันนี้คือเราก็คงดูบรรยากาศของแฟนเพลง ความชอบ ความนิยมในแต่ละยุคสมัย เราจะเขียนเพลง เราจะนำเสนอตัวเองยังไง ให้ไปด้วยกันได้ มีการพัฒนามาเรื่อยๆ

tai 19

    เพลงของเราเองก็มีการเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เปลี่ยนมาเรื่อยๆ เท่าที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับครูสลา ครูเพลงทุกท่าน แล้วก็ทางบริษัทด้วย จะดูว่าบรรยากาศภาพรวม ความชอบ ความนิยมของแฟนเพลงเป็นยังไง ซึ่งแน่นอนว่า เอกลักษณ์ของต่ายจะเป็นเพลงช้า แต่ว่าช้ายังไงเราถึงจะกลมกลืน อย่างในช่วงแรกๆ เราจะเป็นจังหวะสนุกๆ ใช่มั้ยคะ ทุกคนจะแจ้งเกิดในเพลงสนุกๆ แต่มันจะมีอะไรที่หยิบจากตรงนั้นมาพัฒนาปรับเปลี่ยนให้มันเป็นตัวเองได้

Q : เราเข้ามาในวงการ 16 ปี เรามีวิธีรักษาชื่อเสียงตัวเองยังไง เพราะเราก็เป็นนักร้องลูกทุ่งน้ำดี ไม่ค่อยมีข่าวเสียหายให้ได้ยินเลย?

A : ถ้าลำพังแค่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ ก็คิดว่าทั้งตัวเองด้วยที่หมายถึงซื่อสัตย์ในอาชีพของตัวเองแล้ว พยายามสร้างวินัยให้กับตัวเอง ว่ามาตรฐานที่ผู้ใหญ่สร้างไว้ให้เราตรงไหน แล้วก็มีเรื่องอะไรบ้าง เราจะอยู่ตรงนี้ เราจะดูแลตัวเองได้ยังไง แล้วมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ โชคดีมีคนดีๆ ที่คอยบอกเรา บางครั้งเราอาจจะเผลอแวะข้างทางไปนิดๆ เล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่ความคิดเอง เรากว่าจะมาได้ขนาดนี้ ไม่ได้สู้แค่วันสองวัน คำพวกนี้นั่นเอง และความหวังดีของทุกคน ก็มาคอยเสริม เราเป็นคนที่ชอบคิดอยู่แล้วในหลายๆ เรื่อง ทุกคนหวังดี ถ้าเราไม่ฟังแล้วใครจะมาดูแลเราได้ ใครจะช่วยเราได้ ถ้าวันหนึ่งมันผิดพลาดไปแล้วจริงๆ

Q : เราดังได้โดยที่ไม่ต้องโป๊?

A : (ยิ้ม) คือนักร้องในหลายยุคที่ผ่านมานะคะ ก็แล้วแต่เอกลักษณ์ อย่างสมัยก่อนเท่าที่มีโอกาสได้เห็น ยกตัวอย่างอย่างแม่ผึ้ง พุ่มพวง แม่ผึ้งเองก็ไม่ได้โชว์นะคะ แต่ก็มีนักร้องอีกค่ายอื่นที่โชว์ความสามารถของตัวเอง และอาจจะโชว์วับๆ แวมๆ อาจจะด้วยความสามารถของแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน อย่างแม่ผึ้งสามารถร้องได้ทั้งช้า ทั้งสนุกสนาน ทั้งเร็ว ทั้งตลก ทะลึ่งตึงตังได้หมดทุกอารมณ์ แต่ศิลปินบางคนความลงตัวก็อาจต้องโชว์ อันนี้คิดว่าความลงตัวและความสามารถของคน ซึ่งต่ายเองก็ถูกวางไว้อย่างนี้ แล้วก็ด้วยความที่ตัวเองแต่งอย่างอื่นไม่ลงตัวเท่าอย่างนี้ ก็คิดว่าเคยเป็นอย่างนี้และก็มาอย่างนี้มาตลอด

Q : เคยมีการลองเปลี่ยนลุคดูบ้างไหม ให้เป็นสาวเปรี้ยว ดูทันสมัย เป็นสาวเมืองกรุง?

A : ปรับเปลี่ยนให้มีดีไซน์แปลกๆ นั้นมีแน่นอน แต่เปลี่ยนปรับจากลุคเรา ให้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยทั้งหมด ก็ไม่ใช่แล้ว อย่างช่วงปีแรกๆ มีการหาเสื้อผ้ามาหลายแนวมากนะคะ กว่าเราจะลงตัวใส่มาทุกอย่าง มีการเทสต์ก่อน ใส่กระโปรง ใส่ชุดแซก ลองมาหมดแล้ว จากที่เราลองคุยกับคอสตูมแล้ว ไม่ใช่ ไม่ผ่าน ด้วยน้ำเสียงเราเป็นอย่างนี้ การวางรูปแบบการนำเสนอเป็นอย่างนี้ บุคลิกเราเป็นอย่างนี้ เหมาะกับชุดแบบนี้ เสื้อผ้าในสไตล์แบบนี้

Q : เคยคิดวางแพลนถึงอนาคตตัวเองในวงการนี้ไหม?

A : ก็ไม่เคยกำหนด (หัวเราะ) ไม่เคยกำหนดว่าจะถึงอายุเท่าไร ก็ร้องไปจนกว่าตัวเองจะร้องเพลงไม่ไหว ค่อยว่ากันอีกที ว่าวันนี้ตัวเราจะยังร้องเพลงอยู่ แต่อาจจะทำควบคู่กันไป เหมือนกับอยู่ดีๆ แล้วมีความฝันด้านอื่น หายไปเลยหรือออกไปเลย ก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น

Q : อัลบั้มเราเป็นอัลบั้มที่ 11 แล้ว ในปัจจุบัน มันมีเทปผีซีดีเถื่อน เพลงให้โหลดฟรี เรื่องนี้มันมีผลกระทบกับตัวเราไหม?

A : มีค่ะ แล้วก็ยิ่งทุกวันนี้คือยอดการซื้อซีดีมันลดลงอยู่แล้ว และพฤติกรรมการฟังเพลงของแฟนเพลงทุกวันนี้ก็เปลี่ยนไปหมดเลยนะคะ ก็แทบจะทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ตาม ต่างก็มีสื่ออยู่ในมือ ก็โหลดเพลงมาฟัง ยอดซีดีก็ลดลงตามไปด้วย อย่างเมื่อก่อนถ้าย้อนไปเมื่อ 5-10 ปี เทปผีซีดีเถื่อนอันนั้นเรามีผลกระทบ แต่ทุกวันนี้คนจะฟังเพลงผ่านการฟังยูทูบบ้าง หรือว่าการโหลดเพลงมาไว้ฟังในมือถือ อันนั้นมีผลโดยตรงเหมือนกัน

tai 21

อย่างยอดซีดีมันอาจจะพอมี หมายถึงว่า ณ ปัจจุบันนี้ แฟนคลับที่เป็นแฟนคลับจริงๆ เค้าก็จะบอกว่า ซื้อแล้วขอลายเซ็นเก็บไว้เป็นแบบของสะสม ด้วยความที่ว่ารักในตัวศิลปิน ซื้อเก็บสะสม อาจจะได้มีโอกาสฟังในรถ อย่างเวลาเดินทางไปทำงานได้เปิดฟัง แต่ถ้าได้อยู่บ้านจริงๆ อาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะเปิดในโทรศัพท์มากกว่า ก็ยังคงมีได้อยู่ หมายถึงว่ายอดซีดี ยูทูบ ยอดต่างๆ ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าได้จากยอดซีดี จากเทปอย่างเดียว มันไม่ใช่แล้ว ก็จะเป็นการกระจายรายได้ไปส่วนอื่น

Q : ห่างหายจากการทำเพลงจากอัลบั้มที่แล้วไปกี่ปี?

A : จากชุดที่ 10 ก็ 3 ปีแล้วค่ะ ด้วยจังหวะ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วย ด้วยตัวของเพลงยังไม่ได้อย่างที่โปรดิวเซอร์อยากจะได้ ก็เลยใช้เวลา 3 ปีรวบรวมเพลง ทัวร์คอนเสิร์ตแทน

Q : ล่าสุดที่เราเปลี่ยนลุคแต่งหน้า แล้วคล้าย น้ำตาล ชลิตา มีนิตยสารติดต่อเราไปลงปกบ้างไหม?

A : ยังค่ะ แต่ว่าตอนนี้หลายคนก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ เราก็ไม่ค่อยแต่งลุคนี้เหมือนกันค่ะ อย่างไปงานรับรางวัลเอย นิตยสารอื่นก็ยังไม่มีค่ะ อาจจะมีแบบวินเทจบ้างก็จริง อาจจะมีทรงผมที่ยังเหมือนเดิม เสื้อผ้าอาจจะเปลี่ยนบ้าง แต่ยังไม่มีเปลี่ยนไปขนาดนี้

Q : ทำงานมา 16 ปี อยากจะลองเปลี่ยนลุคในแบบเซ็กซี่ดูบ้างไหม?

A : จริงๆ เป็นคนที่ชอบดูหนังสือ ดูแฟชั่นนะ ชอบซื้อหนังสือนิตยสารที่มีการถ่ายแบบในแนวต่างๆ ชอบมากๆ แล้วก็มีแอบคิดเล่นๆ ถ้าสมมติเราแต่งในสไตล์อย่างนี้ เราจะเหมือนมั้ยนะ จะผ่านรึเปล่า เคยคิดเล่นๆ แต่หลังจากที่เปลี่ยนลุคมา ก็ไม่มีใครติดต่อ

Q : ถ้ามีจะรับไหม?

A : ก็ยินดีนะคะ แต่เบื้องต้นคงดูภาพรวมก่อนนะคะว่า มันจะผิดลุคเราไปมากน้อยแค่ไหน แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว เราชอบแบบนี้ จะไปใส่สายเดี่ยวมันก็รู้สึกไม่มั่นใจค่ะ เราเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองใส่นะ สายเดี่ยว แขนกุด เสื้อกล้าม พวกนี้ลองมาหมดแล้ว แต่มีความรู้สึกใส่ปุ๊บส่องกระจก พวกนี้มันก็สวยดีเนอะ แต่พอก้าวขาออกจากบ้าน ก็รู้สึกไม่มั่นใจ หาเสื้อคลุมใส่ทันทีเลย จนมาทุกวันนี้ค่ะ และก็อย่างผู้ใหญ่วางลุคไว้ คือเราเห็นเรารักษามาตรฐานตัวเองมา ด้วยนิสัยความชอบของเรา มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากค่ะ

tai 22

Q : เราอยู่ค่ายแกรมมี่โกลด์มาแต่แรกเลยใช่ไหม?

A : ค่ะ

Q : เซ็นสัญญาอะไรยังไง?

A : เซ็นสัญญาครั้งแรกเลย 6 ปี ล่าสุดก็เป็น 10 ปี แต่ว่าอันนี้เป็น 10 ปีสุดท้ายแล้วนะคะ ก็จะหมดกลางปีนี้ จะต่อหรือไม่ ก็ยังอยู่ในช่วงตัดสินใจ

Q : เราอยู่ตรงนี้มานาน ถ้าเกิดว่าเราจะไม่ต่อสัญญาแล้ว มันจะมีผลอะไรไหม?

A : ก็เดี๋ยวอยู่ที่การพูดคุยและการตกลงกันค่ะ

Q : ถ้าจะไม่ต่อสัญญา ก็จะเป็นนักร้องอิสระ?

A : แต่ก็ไม่ไปไหนนะคะ เราอยู่ด้วยสัญญาใจ แกรมมี่ก็ถือว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งที่อบอุ่นและดูแลเรา แจ้งเกิดที่นี่ และเราก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว แม้ว่าเราจะยังอยู่ ต่อสัญญาหรือไม่ต่อสัญญาก็ตาม ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้วค่ะ

Q : เราไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องความรักหรือเปล่า?

A : จริงเหรอคะ (ยิ้ม) คิดว่าความรักมันอยู่กับทุกคน เป็นคนไม่ได้มีความลับอยู่แล้ว มีคิด มีฝัน อยากมีครอบครัว มีเป้าหมาย แต่มันอยู่ตรงที่ว่าใครจะเข้ามา ยังไง อะไรแบบไหน มันก็มี เราคิดมากอยู่แล้ว

Q : ปีนี้เราอายุเท่าไรแล้ว?

A : 37 แล้วค่ะ

Q : มีคนเข้ามาบ้างไหม มีคนคุย หรือคนที่เราดูๆ ไว้บ้างไหม?

A : (ยิ้ม) ยังไม่มีค่ะ เราทำงานตลอด มีหลังมานี้แม่บ้าง ยายบ้างหรือญาติๆบ้าง เริ่มถามแล้วว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีลูกเต้าจะอยู่ยังไง เราก็บอก อยู่อย่างนี้แหละแม่ ก็คุยกับแม่ แต่ว่าในกลุ่มเพื่อนๆ เอง ก็มีทุกแนวเลยนะคะ หลายรุ่นหลายอายุ เป็นรุ่นพี่ก็มี เค้าก็มีครอบครัวแล้ว บางคนก็เลิกไปแล้ว เพื่อนบางคนอาจจะรุ่นน้องรุ่นเด็ก อาจจะรักๆ เลิกๆ เจอกันก็จะเล่าสู่กันฟังตลอด ว่าเป็นยังไง โอเคมั้ย

Q : หรือว่าเรากลัว?

A : ก็ไม่ได้กลัว เหมือนว่าเราไม่ได้มีชีวิตเหมือนคนอื่น เราก็สัมผัสได้ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเจอปัญหาอย่างนี้เนอะ

Q : หรือกะรอให้พร้อม?

A : พร้อมแล้ว (ยิ้ม) แต่ถามว่ากลัวมั้ย มันก็ไม่เชิงว่าจะกลัวซะจนเราแย่ หรือเป็นเหตุผลหลักๆ คือมันก็มีบ้างอยู่แล้วในความรู้สึกของเรา บางทีเราก็เหงา แล้วแต่ห้วงอารมณ์มันไม่เหมือนกัน

tai 23

Q : หรือว่าเรามี แต่เราไม่บอก?

A : (หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ คือถ้าเป็นวันหยุดปุ๊บ เราก็เที่ยว นัดไปเที่ยวกับเพื่อนซะส่วนใหญ่

Q : มีคนเข้ามาจีบไหม?

A : ไม่มี คือเรามองไม่เห็น เราทำงานไง อย่างน้องผู้จัดการเค้าจะเห็นมากกว่า อย่างสมมติว่า เราไปงานคอนเสิร์ต ตั้งใจทำงาน อยู่บนเวที พอเราลงเวทีมา ใครที่มองเราบ้าง เราก็ไม่รู้ ไปแล้วก็ถ่ายรูปเสร็จต่างแยกย้ายกลับ

Q : มีความรู้สึกว่าอยากมีแฟนบ้างไหม?

A : ก็อยากมีนะ (หัวเราะ) ลุ้นกันต่อไปค่ะ แม่ ยาย ย่า ก็ถามกันเยอะ

เส้นทางตลอด 20 ปี ของ 'ราชินีดอกหญ้า' | ต่าย อรทัย | ป๋าเต็ดทอล์ก

Q : มีสเปกหนุ่มในฝันเราไหม?

A : ไม่รู้ว่าจากวันนั้นถึงวันนี้มันจะเปลี่ยนรึเปล่า (ยิ้ม) คือเราไม่รู้ว่า ผู้ชายบางคนเค้าเข้ามา จะเป็นคนดีจริงมั้ย ชีวิตเราสู้มาจนถึงวันนี้ มันก็ค่อนข้างจะคิดมากอยู่นิดหนึ่ง เค้าพร้อมที่จะดูแลเรา และเราอยู่ได้อย่างมีความสุขสบายใจรึเปล่า หรือว่าเข้ามาแล้วเราแย่ลง ก็คิดอยู่แล้ว ลูกผู้หญิงด้วย แล้วเราก็อยู่ตรงนี้ด้วย

Q : เราบริหารการเงินเรายังไง?

A : ชีวิตลำบากมันก็เป็นอุทาหรณ์เหมือนกันนะคะ ชีวิตเราลำบากตั้งแต่เด็กๆ เลย คือจริงๆ เป็นคนคิดตลอดเวลา แต่ไม่ถึงกับว่าคิดมากไร้สาระนะคะ คิดในทุกๆ เรื่อง อย่างการใช้ชีวิตก็ตาม แม้แต่การไปซื้อของส่วนตัว เราอยากได้มาก เรารู้สึกว่าเราฟุ่มเฟือยเกินไปรึเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลให้เราระมัดระวังตัวเอง พอเราไปทำงาน เราต้องใช้ความสามารถแลกกับเงิน แล้วเราเดินทางตลอด ความเสี่ยงในชีวิตมันเยอะ ก็เลยคิดว่าดูแลตัวเองให้ดี และเก็บตังค์ให้มันได้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นอยู่แล้วค่ะ ก็เลยคิดว่าเราอย่าประมาทดีกว่า ก็เลยต้องมีสติ ดูแลตัวเอง แบ่งเงินดูแลครอบครัวยังไง พ่อแม่และยาย ญาติพี่น้องก็มีดูแลซัพพอร์ตบ้างที่จำเป็น

tai 20

ตัวเราเองในชีวิตประจำวันใช้จ่ายยังไง เราก็เก็บไว้เผื่อวันหนึ่งเราจะฉุกเฉินขึ้นมา เราต้องเก็บเพื่อว่าวันหนึ่งเราอยากจะมีฝันอะไรบางอย่าง ที่มากกว่าการร้องเพลง แล้ววันหนึ่งถ้าเราพร้อมเราสามารถจะทำได้เลย เราฟังผู้ใหญ่มามากด้วย เลยกลายเป็นคนที่จะทำอะไร ก็ต้องคิดไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ได้มาใช้ไปๆ เราไม่ใช่คนงกนะ แต่ใช้เงินเป็น คือค่อนข้างเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร เลยต้องหาจุดแข็งในตัวเอง โดยกลายเป็นว่าจะทำยังไงในการเลี้ยงน้อง เราต้องตั้งใจหางาน คอนเสิร์ต ดูแลตัวเอง สร้างมาตรฐานให้ตัวเองมีระเบียบวินัย ยืนได้ด้วยความสามารถตัวเองแบบไหน ก็คุยกับน้องทีมงานและญาติๆ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีงานคอนเสิร์ตแล้วจะอยู่ยังไง ก็เหมือนเราบอกคนอื่น แล้วเราก็บอกตัวเองด้วย ไม่ใช่ได้มาใช้ไปๆ วันหนึ่งมันจะหมด เพราะเราเองก็หามาลำบากค่ะ

สัมภาษณ์เมื่อ พฤษภาคม 2560

ต่าย อรทัย จากอดีตสาวโรงงานสู่นักร้องขวัญใจมหาชน | รายการ Perspective

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)