คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ปราสาทหิน เป็นศิลปะของชนชาติขอมหรือเขมร ซึ่งได้แผ่อิทธิพลเข้ามาเหนืออาณาจักรทวารวดีในดินแดนอีสาน ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ศิลปะเขมรเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลศิลปะอินเดีย ในภาคอีสานพบศิลปะเขมรหลายแห่งและหลายยุคสมัย คือ กำแพงพระ พระโค บาแค็ง เกาะแกร์ บาปวน นครวัด และบายน จึงอาจกล่าวได้ว่า อารยธรรมเขมรมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต คติความเชื่อ และการสร้างศาสนาคารในอีสานอย่างยิ่ง
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม วัสดุที่ใช้สร้างปราสาท ได้แก่ อิฐ ศิลาแลง หินทราย และไม้ เป็นเทวสถานที่คงทนอยู่ได้นาน ฝีมือการแกะสลักหินเป็นงานชั้นครู
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเป็นสัญลักษณ์ในการปกครองของเทวราชาที่กษัตริย์เป็นสมมติเทพ
ปราสาทเขมร หรือ ปราสาทขอม เป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่สร้างขึ้นโดยอาณาจักรเขมร ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เป็นต้นมา พบมากในประเทศกัมพูชา และในเขตอีสานใต้ของประเทศไทย ปราสาทขอมก่อสร้างด้วยวัสดุอิฐ หินทราย และศิลาแลง ด้วยศิลปะเขมร
จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่า ชนชาติเขมรเริ่มรวมตัวเป็นอาณาจักรหรือรัฐ มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยพัฒนามาจากเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับอินเดีย มีความเจริญภายใต้พื้นฐานของอารยธรรมอินเดีย ใช้ชื่อว่า อาณาจักรฟูนัน มีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (เวียดนามตอนใต้) และแม่น้ำโขงตอนใต้ (กัมพูชา) จนถึงบางส่วนในบริเวณของภาคอีสานตอนใต้ของประเทศไทย โดยมีเมืองออกแก้ว (ตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนาม) เป็นเมืองท่าในการติดต่อค้าขาย และมีราชธานีนามว่า “วยาธปุระ” ใกล้เขาบาพนมในประเทศกัมพูชา
ต่อมาในปี พ.ศ. 1350 พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ได้ยกทัพขึ้นมาประกาศเอกราชจากอาณาจักรชวา และยังรวมอาณาจักรเจนฬาบกและเจนฬาน้ำที่แตกแยกเข้าด้วยกัน สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับอาณาจักรเขมรใหม่ และขนานนามใหม่ว่า เมืองกัมโพชน์ตะวันออก โดยแยกตัวมาจากอาณาจักรลโวทยหรือละโว้ หรือปัจจุบันเรียกว่า ลพบุรี พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงตั้งราชธานีของเมืองกัมโพชน์ในบริเวณทางเหนือของทะเลสาบเขมร พระองค์ทรงขยายพระราชอำนาจเข้าไปถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำบริเวณอีสานใต้ของประเทศไทยในจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์และศรีสะเกษ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงสถาปนา ลัทธิเทวราชา คือ ยกฐานะกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้า หรือเทวาราชาเป็นกษัตริย์สูงสุด เป็นการปูพื้นฐานระบบเทวราชาให้อาณาจักรอื่นๆ เป็นแบบอย่าง รวมถึงสยามซึ่งรับระบบนี้มาใช้ด้วยเช่นกัน ระบบเทวราชานี้มีส่วนทำให้พราหมณ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนัก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ต่างๆ และประกอบพิธีราชาภิเษกให้กับกษัตริย์
ลัทธิเทวราชา หรือ ระบบเทวราชา ต่างจากลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย คือ ก่อนหน้านั้นกษัตริย์เป็นเพียงมนุษย์ที่นับถือเทพเจ้า แต่ลัทธิราชานั้นถือว่ากษัตริย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้า คือเทพเจ้าแบ่งภาคลงมาจุติเป็นกษัตริย์นั่นเอง เมื่อกษัตริย์เสวยราชย์แล้วต้องกระทำ 3 สิ่ง คือ
จากเหตุผล 2 ข้อหลังนี้เองที่เป็นประเพณีที่กษัตริย์เขมรทุกพระองค์ จะต้องสร้างปราสาทอย่างน้อยที่สุด 2 หลัง ส่วนรูปแบบของปราสาทขอมนั้นก็พัฒนารูปแบบมาจากศาสนสถานในประเทศอินเดีย ที่เรียกกันว่า ศิขร เป็นศาสนสถานของศิลปะอินเดียในภาคเหนือ และ วิมาน เป็นศาสนาสถานของอินเดียภาคใต้ นอกจากนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลของ จันฑิ ศาสนาสถานในศิลปะชวาเมื่อครั้งที่อาณาจักรเจนฬาตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรชวา
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้จึงก่อให้เกิดรูปแบบงานศิลปกรรมเขมรที่เรียกกันว่า ปราสาทขอม หรือ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ ที่มีความสวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องด้วยปราสาทขอมเหล่านี้สร้างด้วยวัสดุที่เป็นอิฐ ศิลาทราย และศิลาแลง ซึ่งเป็นถาวรวัตถุจึงทำให้มีความคงทนจนถึงในปัจจุบัน
แต่ว่าปราสาทเขมร ก็มิได้มีเพียงในเขตแดนของประเทศกัมพูชาเท่านั้น ยังพบในบริเวณของประเทศลาว และประเทศไทย ซึ่งมีปราสาทเขมรอยู่มากมายเช่นกัน เนื่องจากในบางช่วงที่อาณาจักรเขมรมีความเข้มแข็ง ทำให้สามารถขยายอำนาจและดินแดนได้อย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุนี้จึงมีปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นในดินแดนของประเทศอื่นๆ ด้วย
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 จะพบว่า มีปราสาทหินในประเทศไทยมีรูปแบบคล้ายกับปราสาทในกัมพูชา เป็น ศิลปะขอมแบบคลัง (หรือเกลียง) - บาปวน สมัยเมืองพระนคร (พ.ศ. 1550 - 1630) และเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ที่จัดเป็นศาสนสถานประจำเมือง มีโครงสร้างที่สำคัญ คือ ปราสาทประธานที่อยู่ตรงกลางอาจมีหลังเดียว เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง หรือเป็นหมู่ 3 หลัง 5 หลัง หรือ 6 หลัง เช่น ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทศีขรภูมิ
การกำหนดอายุของปราสาทในช่วงระยะเวลานี้ พิจารณาจากแผนผังของอาคารโดยรวม รวมทั้งรูปแบบของปราสาท เช่น มีการเพิ่มมุม และยอดปราสาทเป็นทรงพุ่ม สิ่งสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบ และอายุ ได้แก่ ลวดลายประดับที่ทับหลัง หน้าบัน และเสาประดับกรอบประตู ลักษณะที่จัดเป็นศิลปะแบบคลัง-บาปวน ซึ่งปรากฏอยู่มาก ได้แก่ ทับหลังที่ประกอบด้วยลายหน้ากาล คายท่อนพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางด้านล่าง หน้ากาลมีลิ้นเป็นสามเหลี่ยม มีมือมายึด ท่อนพวงมาลัย มีภาพเล่าเรื่องเล็กๆ อยู่เหนือหน้ากาล เหนือท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้หรือลายกระหนกม้วนออกทั้ง 2 ข้าง ใต้ท่อนพวงมาลัยเป็นลายใบไม้ม้วนเข้า หากมีลายเฟื่องอุบะมาแบ่งท่อนพวงมาลัยออก เป็น 4 ส่วน จะจัดเป็นแบบคลัง แต่ถ้าไม่มี จะจัดเป็นแบบบาปวน
ส่วนใหญ่ของปราสาทขอมในประเทศไทยในสมัยนี้ จะพบลายดังกล่าวปะปนกันในศาสนสถานแหล่งเดียวกัน หรือในปราสาทหลังเดียวกัน ทำให้อาจกำหนดได้ว่า ศิลปะแบบคลัง-บาปวน ที่พบในประเทศไทยนั้น เป็นศิลปะต่อเนื่องสมัยเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ที่ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทสระกำแพงใหญ่
ภาพเมื่อคราวเว็บมาดเซ่อนำนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ไปเยือนปราสาทนครวัด ที่เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา
ทับหลังในศิลปะแบบนครวัดส่วนใหญ่ จะนิยมสลักภาพเล่าเรื่อง ประกอบด้วยรูปบุคคลเล็กๆ เต็มพื้นที่ เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศีขรภูมิ นอกจากนี้ ยังใช้หลักฐานของงานประติมากรรมประดับศาสนสถาน เป็นตัวกำหนดรูปแบบทางศิลปะ เช่น ประติมากรรมรูปบุคคลในศิลปะแบบบาปวน จะสังเกตได้จากทรงผมที่ถัก และเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ คางเป็นร่อง ชายผ้านุ่งด้านหน้าเว้าใต้พระนาภี ด้านหลังสูงขึ้นมาถึงกึ่งกลางหลัง ในขณะที่ศิลปะแบบนครวัดนิยมมงกุฎทรงกรวย มีเทริด (กระบังหน้า) และประดับเครื่องทรง
มีข้อสังเกตที่สำคัญทางด้านรูปแบบของปราสาทขอม ศิลปะแบบนครวัด ที่พบในดินแดนไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ที่มีลักษณะเฉพาะเกิดขึ้น โดยอาจถือเป็นงานที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่น ได้แก่ การทำยอดปราสาทที่เป็นทรงพุ่ม เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย และปราสาทพนมรุ้ง โดยเปลี่ยนการประดับชั้นหลังคาจากปราสาทจำลอง เป็นการประดับแผ่นหินที่อยู่ในรูปสามเหลี่ยม ที่เรียกว่า นาคปักแทน ซึ่งในปัจจุบันพบว่า ลักษณะดังกล่าว เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาก่อนแล้ว
หลักฐานที่น่าสนใจในช่วงระยะเวลานี้คือ ได้พบว่า มีการสร้างปราสาทที่มีความสำคัญ และมีขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมทั้งได้พบหลักฐานเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น ศิลาจารึกที่กล่าวถึงพระนามผู้สร้าง ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ในระดับหนึ่งว่า บริเวณภาคอีสานตอนล่างนี้เป็นดินแดนสำคัญของอาณาจักรขอม โดยในบางสมัยอาจมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงที่มีบุคคลสำคัญมาปกครอง หลักฐานจากจารึกได้กล่าวถึง พระเจ้าชัยวรมันที่ 5 ซึ่งทรงสร้างปราสาทในแคว้นรอบนอกเมืองพระนคร หรือ "ดินแดนนอกกัมพุช" เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม พระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ซึ่งทรงสร้างปราสาทหินพิมาย และนเรนทราทิตย์ ซึ่งสร้างปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทสำคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 ที่ควรกล่าวถึง มีดังต่อไปนี้
มีการตามรอยเส้นทางซึ่งปรากฏอยู่ในบทประพันธ์เลื่องชื่อ La Voie royale ของ อ็องเดร มาลโรซ์ (Andre Malraux) นักเขียนหนุ่มชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งหลงไหลศิลปะในดินแดนแห่งอารยธรรมขอมโบราณแถบนี้ ได้เดินทางเข้ามาสู่เมืองเสียมเรียบ ตามรอยเส้นทางที่แปลเป็นไทยว่า "ราชมรรคา" จากดินแดนปราสาทขอมในเขมรถึงปราสาทหินพิมายในประเทศไทย (จุดประสงค์จริงๆ ของเขานอกจากการเดินทางท่องเที่ยวก็คือ การเสาะหาศิลารูปนางอัปสรเพื่อนำกลับไปขายในยุโรป)
ภาพแสดงเส้นทาง "ราชมรรคา" จากเมืองพระนครในเขมร ถึง เมืองพิมาย ในประเทศไทย
บ้านมีไฟ คือ "ธรรมศาลา" "ราชมรรคา" คือถนน เชื่อมถิ่นฐาน
ชัยวรมัน สร้างไว้ เป็นตำนาน ยุคโบราณ อาณาจักร นครธมจากศูนย์กลาง แยกทาง เป็นห้าสาย มีเสาราย เรียงสลัก งามสวยสม
ถนน สะพาน สเปียนใหญ่ ข้ามสายชล เป็นที่คน ชนสัญจร รอนเดินทางราชมรรคา เชื่อมโยง สองแผ่นดิน จากพื้นถิ่น โตนเลสาบ เมืองศูนย์กลาง
ผ่านช่องจอม มีตาเมือน เรือนพักทาง พอรุ่งสาง ผ่านบ้านบุ ลุพิมายธรรมศาลา มีไว้ ให้คนพัก เป็นบ้านหลัก มีไฟ ไล่อันตราย
เป็นจุดตรวจ ป้องกันภัย มิกล่ำกลาย ตั้งเรียงราย ตามถนน "ราชมรรคา"
คัดลอกและสำเนาจาก : คุณวรนัย, http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai
"เส้นทางสายราชมรรคา" ทั้ง 5 สายที่สร้างขึ้นในรัชสมัย พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 แผ่ขยายออกไปทุกทิศทางจาก "นครธม" หรือ "เมืองพระนคร" เป็นเส้นทางสายสำคัญดังนี้
เส้นทางจาก เมืองพระนคร หรือ นครธม มายัง เมืองพิมาย หรือ วิมายะปุระ ประเทศไทย ถือเป็นเส้นทางที่ยาวและไกลที่สุด สาเหตุที่ต้องมีการเดินทางไกลขนาดนั้น ข้อมูลส่วนหนึ่งระบุชัดเจนว่า "ไม่ใช่การขยายหรือเผยแพร่อาณาจักร แต่เป็นไปเพื่อเสาะแสดวงหาและแลกเปลี่ยนทรัพยากรเหล็กและเกลือ" ซึ่งมีมากในแถบอีสานบ้านเราในปัจจุบัน นอกจากนี้ อีกหนึ่งความเชื่อที่สำคัญคือ การสร้างบารมีและความยิ่งใหญ่ด้วยการทำนุบำรุงพระศาสนา ก็เป้นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราพบ ความเชื่อมโยง พุทธ และ ฮินดู บนเส้นทางสายปราสาทนี้เสมอแบบแยกกันไม่ขาด
การเดินทางที่ไกลนี้เอง กษัตริย์ขอมในสมัยนั้น จึงให้ปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดรายทาง สำหรับผู้ที่ต้องสัญจรบนถนนทั้ง 5 สาย สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นมีทั้งศาสนสถาน โรงพยาบาลหรือเรียกว่า "อโรคยาศาลา" และบ้านพักคนเดินทาง เรียกว่า "ธรรมศาลา"
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : จากพิมายถึงชายแดนเขมร ตามรอยเส้นทางราชมรรคา (The Royal Route)
ถนนโบราณ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากเมืองพระนคร สู่พิมาย I ประวัติศาสตร์นอกตำรา
เล้าข้าว มีชื่อเรียกหลายอย่าง ด้วยภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปของแต่ละท้องถิ่น ในกลุ่มชาวนาภาคเหนือในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่า เล้าข้าว หลองข้าว กระหล่องข้าว ภาคอีสาน จะนิยมเรียกว่า เล้าข้าว เล่าเข่า เล่าข้าว ภาคกลางส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า ยุ้งข้าว แต่มีบางจังหวัดเรียกว่า ฉางข้าว ส่วนภาคใต้เรียกว่า เรือนข้าว หรือ เริ้นข้าว ดังนั้น เล้าข้าว หรือ ยุ้งข้าว จึงเป็นที่สำหรับใช้ประโยชน์ในการเก็บรักษาข้าวเปลือกของชาวนา มีรูปแบบและโครงสร้างที่แข็งแรง มักเป็นเรือนหลังเดี่ยว ตั้งอยู่ในบริเวณที่ลมสามารถ พัดผ่านได้สะดวกเพื่อป้องกันไม่ใช้ข้าวเปลือกชื้นและขึ้นรา ซึ่ง วิโรฒ ศรีสุโร (2540) ได้กล่าวถึงยุ้งข้าวในความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า ยุ้งข้าวเปรียบประดุจท้องพระคลังมหาสมบัติของชุมชน เสมือนเป็นขุมอาหาร ซึ่งหากขาดแคลนแล้วไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่ได้ จึงก่อให้เกิดความเชื่อเกี่ยวกับยุ้งข้าวอันถือเป็นเรื่องใหญ่
เล้าข้าว เป็นสถาปัตยกรรมที่พบเห็นได้ทั่วไปคู่กับบ้านเรือนในชนบทของภาคอีสาน มีลักษณะเป็นเรือนหลังเดี่ยวขนาดเล็ก แยกออกมาจากตัวบ้าน ใช้สำหรับเก็บรักษาข้าวเปลือก และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ โดยในอดีต เล้าข้าว ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของชาวนาภาคอีสาน ถือเป็นสมบัติที่มีมูลค่ามากที่สุดของชาวนา นอกจากนี้ เล้าข้าว ยังเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางเศรษฐกิจของเจ้าของเล้า บ้านไหนมีเล้าใหญ่อาจหมายความว่ามีที่นามาก มีควายมาก มีกำลังการผลิตและผลผลิตสูง น่าจะเป็นคนขยันขันแข็ง เป็นผู้มีฐานะดีและเป็นที่นับถือของคนในชุมชน ปริมาณข้าวที่อยู่ภายในเล้าจะเป็นหลักประกันว่า ชาวนาจะสามารถยังชีพอยู่รอดไปได้ตลอดทั้งปีจนกว่าจะถึงฤดูการเก็บเกี่ยวใหม่อีกครั้ง
การจัดเก็บข้าวเปลือกของเกษตรกรชาวนาทุกวันนี้ ไม่ได้เก็บข้าวเปลือกไว้ใน เล้าข้าว หรือ ยุ้งฉาง เหมือนแต่ก่อน เนื่องจากเล้าข้าวไม้ที่มีอายุเก่าแก่แล้วมีการรื้อถอนออก เพื่อใช้พื้นที่หรือสถานที่ทำอย่างอื่นแทน และไม่ค่อยมีการสร้างยุ้งฉางไม้ขึ้นมาใหม่ (ความจริงคือ ชาวนาไม่มีข้าวมากพอที่จะเก็บในเล้าข้าว จากการเป็นหนี้สินกับนายทุน หรือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) จำเป็นต้องขายข้าว เพื่อนำมาใช้หนี้ก่อนไม่เหลือเก็บ ที่เรียกกันว่า ขายข้าวเขียว) เกษตรกรหรือชาวนาในปัจจุบัน ส่วนมากจึงจัดเก็บข้าวเปลือกโดยการบรรจุใส่กระสอบ แล้ววางไว้ในบ้าน หรือสถานที่ที่เป็นโรงเรือนเก็บ มีพื้นเป็นซีเมนต์และมีการใช้วัสดุรองพื้นก่อนวางกระสอบข้าวด้วยแคร่ไม้ หรือวัสดุกันความชื้นต่างๆ แต่วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีการจัดเก็บข้าวเปลือกที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะทำให้ข้าวเปลือกที่เก็บไว้ไม่ได้คุณภาพ
เล้าข้าว เป็นที่เก็บข้าวเปลือกซึ่งมีน้ำหนักมาก ดังนั้นจึงต้องออกแบบโครงสร้างให้แข็งแรง เสาและกระทอด (หรือ พรึง) จะอยู่ด้านนอกของผนัง แต่ก่อนฝาเล้าข้าวจะทำด้วยไม้ไผ่สาน ทาด้วยขี้เปี๊ยะ (ขี้วัวคลุกแกลบและดินเหนียวทาทับไม่ไผ่สาน) สามารถกันความชื้น ความร้อน มดและแมลงได้เป็นอย่างดี ต่อมานิยมทำฝาเล้าข้าวด้วยไม้กระดาน ชาวอีสานมีพิธี "ทำขวัญเล้าข้าว" การตักข้าวในเล้าจะใช้กระดองเต่าตัก ก่อนตักจะนั่งลงไหว้แม่โพสพก่อนแล้วพูดว่า "กินอย่าให้บก จกอย่าให้พร่อง" (ตักไปกินก็อย่าลด ตักเอาไปก็อย่าให้พร่อง)
นอกจากนี้ในภาคอีสานยังมี "ซอมข้าว" สร้างยกพื้นเตี้ยๆ หรืออยู่ติดกับพื้นดินที่ปรับให้เรียบเสมอกัน แล้วใช้ไม้ไผ่สานกั้นเป็นรูปวงกลม ทำหลังคาคลุม ใช้สำหรับเป็นที่เก็บข้าวเปลือกแต่บรรจุได้ไม่มากนัก ส่วนทางภาคเหนือจะเรียกว่า "เสวียน" มักใช้ในกลุ่มของชาวไร่ชาวนาที่มีพื้นที่ปลูกข้าวไม่มาก หรือชาวไร่ชาวนาที่ยังไม่สามารถทำยุ้งข้าวด้วยไม้จริงได้ ก็จะใช้เสวียนเก็บข้าวเปลือกไปก่อนเป็นการชั่วคราว เมื่อสามารถสร้างยุ้งข้าวได้แล้วก็เลิกใช้เสวียนไป เสวียนมีหลายขนาด ทั้งความสูงและความกว้างของเสวียนไม่แน่นอน แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก
"ซอมข้าว" ของชาวอีสาน หรือ "เสวียน" ของชาวเหนือ
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงสี่เหลี่ยมสอบเข้าเรียกว่า "ทรงช้างขี้" หลังคาจั่วไม่ซ้อนชั้น ยกใต้ถุนสูงโครงสร้างเสาอยู่ข้างนอกดูแข็งแรงบึกบึน สะท้อนแนวคิดและภูมิปัญญาการก่อสร้างของช่างโบราณ
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เล้าข้าวเป็นเสมือนคลังสมบัติที่สำคัญในการดำรงชีวิตของทุกคนในครอบครัว จึงต้องสร้างให้แข็งแรง และมีขนาดเหมาะสมกับขนาดของครอบครัว
ข้อห้ามต่างๆ ที่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเล้าข้าวของชาวอีสานถือว่า "ข้าว" เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนอีสาน หลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าว จึงต้องมีความสำคัญตามไปด้วย หรือแม้แต่ความเชื่อต่างๆ ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นวิถีทางสังคมที่ยึดถือปฏิบัติกันเรื่อยมา เป็นมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของอีสาน ด้านความเชื่อในลักษณะข้อห้ามต่างๆ เช่น
ส่วนในด้านของการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งยุ้งข้าวในบริเวณบ้านนั้น จะต้องตั้งยุ้งข้าวให้ห่างจากตัวเรือนพักอาศัย อย่างน้อยเท่ากับความยาวของตัวเรือนพักอาศัย และจะต้องตั้งเยื้องกับตัวเรือนพักอาศัยเสมอ ห้ามตั้งในตำแหน่งที่ตรงกับตัวเรือน เนื่องจากในฤดูหนาวมีลมแรง จะพัดเอาฝุ่นและไรข้าวมาสู่คนที่อาศัยอยู่ในเรือน ซึ่งจะส่งผลให้คนในเรือนเจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้ไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้เป็นปกติได้
ซึ่งในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ถูกลดบทบาทลง ยังหลงเหลืออยู่บ้างในบางข้อ เนื่องด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม และวิถีชีวิตสมัยใหม่ ที่เอาความง่ายและสะดวกสบายเป็นหลัก ซึ่งไม่ถูกต้องตามพิธีกรรมและประเพณีดั้งเดิม
ชาวอีสานแต่โบราณเชื่อว่า “วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันฟ้าไข(เปิด)ประตูฝน เพื่อให้ฝนตกลงมาสู่โลกมนุษย์ และเชื่อว่าวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันที่โลกมีความอิ่มและอุดมสมบูรณ์ที่สุด" ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “กบบ่มีปาก นาคบ่มีฮูขี่ (ฮูขี่ แปลว่า รูทวารหนัก) หมากขามป้อมก็ต่าวหวาน” จึงถือโอกาสเปิดประตูเล้าข้าว (ประตูยุ้งข้าว) ของตน ซึ่งปิดไว้ห้ามเปิดมาตั้งแต่วันเอาข้าวขึ้นเล้าหลังนวดข้าวเสร็จ ในประมาณกลางเดือนสิบสอง หรือต้นเดือนอ้ายเป็นอย่างช้า ซึ่งจะมี “พิธีเอาข้าวขึ้นเล้า” “พิธีสู่ขวัญข้าว” และ “พิธีตุ้มปากเล้า” ก่อนที่จะเปิดประตูเล้า และจะนำข้าวเปลือกที่อยู่ในเล้าไปถวายวัด ก่อนจะตักข้าวในเล้าลงมาตำกินในครัวเรือน (ซึ่งสมัยโบราณใช้วิธีการตำข้าวด้วย ครกมอง) เพื่อให้เป็นไปตาม “คองสิบสี่สำหรับประชาชน ข้อที่ 1” ที่บัญญัติไว้ว่า
เมื่อได้เข่าใหม่หลือหมากไม้เป็นหมากใหม่ ตนอย่าฟ้าวกินก่อนให้เอาทำบุญ ทำทานแก่ผู้มีสีนกินก่อน แล้วตนจึงกินเมื่อพายลุน และให้แบ่งแก่ยาดติพี่น้องนำ ”
คำแปล : เมื่อได้ข้าวใหม่ หรือมีผลไม้ออกผลใหม่ เจ้าของย่ารีบกินให้เอาทำบุญ ทำทานแก่ผู้มีศีลได้กินก่อน และแบ่งให้ญาติพี่น้องด้วย
พิธีเอาข้าวขึ้นเล้า คือ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วก็จะนำมาใส่ไว้ในเล้า นิยมทำวันจันทร์ พฤหัสบดี ศุกร์ เวลาบ่าย 3 โมง ถึงบ่าย 5 โมง มีขั้นตอน คือ
อุกาสะ อุกาสะ ผู้ข้าขอโอกาสราธนาแม่โพสพให้เมืออยู่เล้า คุณข้าวให้เมืออยู่ฉาง ภะสะพะโภชะนัง มะหาลาภัง สุขัง โหตุ ”
พิธีสู่ขวัญข้าว เป็นประเพณีที่ชาวอีสานแต่ละครอบครัวจะทำกัน ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ถ้าครัวเรือนไหนจะสู่ขวัญข้าวก็จะจัด “พาขวัญน้อย” หนึ่งพา แล้วให้หมอสูดมาเป็นผู้ “สูดขวัญ” ให้เล้าข้าว โดยโยงด้ายสายสิญน์จากเล้าข้าวมาหาพาขวัญกับหมอสูดที่อยู่ข้างๆ ซึ่งในประเพณีอีสานในการสูดขวัญข้าวก็จะมีคำสูดขวัญโดยเฉพาะ [ อ่านเพิ่มเติม ]
ชาวอีสานหลังจาก “เอาเข่าขึ้นเล้า” แล้วชาวนาอีสานจะปิดประตูเล้าสนิท จะไม่ตักข้าวในเล้ามากินหรือมาขายเป็นอันขาด ข้าวเปลือกที่จะนำมาตำหรือมาสีกินในระหว่างที่ปิดประตูเล้าข้าวนั้น จะแบ่งไว้หรือกันไว้นอกเล้าข้าวต่างหาก เพราะชาวอีสานเชื่อว่า เมื่อนำข้าวขึ้นเล้าแล้วต้องปิดประตูเล้า รอถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งเชื่อว่า “เป็นวันมงคล” จึงจะเปิดประตูเล้าข้าวได้ เพราะเชื่อว่าถ้าเปิดก่อนจะไม่เป็นมงคลแก่เล้าข้าว และข้าวในเล้าจะบก(ลด) จะพร่องไปอย่างรวดเร็ว พิธีกรรมการเปิดเล้าข้าวครั้งแรกเรียกว่า “ตุ้มปากเล้า” (ตุ้ม-คุ้มครอง, ปากเล้า-ประตูเล้า)
การตุ้มปากเล้า แต่ละครัวเรือนก็จะต่างคนต่างทำที่เล้าข้าวของตน เพื่อปลอบขวัญข้าว หรือปลอบขวัญแม่โพสพ ผู้เป็นแม่เรือนจะจัดขัน 5 (ดอกไม้ 5 คู่ เทียนเล็ก 5 คู่) ใส่จานวางไว้ที่ประตูเล้า แล้วบอกกล่าวกับเล้าข้าวว่า
วันนี้เป็นวันดี จะมีการเปิดเล่าเข่า ขอให้กินอย่าบก จกอย่าลง ”
หรือบางคนอาจจะกล่าวยาวๆ ซึ่งมีคำกล่าวในพิธีการตุ้มปากเล้าโดยเฉพาะของอีสานอยู่แล้ว แต่แม่เรือน ผู้ทำพิธี พอพูดจบก็ไข(เปิด) ปักตู(ประตู) แล้วก็เสร็จพิธี (บุญเกิด พิมพ์วรเมธากุล และคณะ, 2544)
ซึ่งในวิถีอีสานปัจจุบัน การทำพิธีสู่ขวัญข้าว การเอาข้าวขึ้นเล้า จะไม่ค่อยมีแล้ว จะนิยมเอาใส่กระสอบไว้ในบ้านหรือขายตั้งแต่เกี่ยวข้าวเสร็จ เนื่องด้วยยึดความสะดวกสบายตามสภาพสังคม และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม เพราะการทำนาในปัจจุบันมีการลงทุน มีการใช้เครื่องจักร และการจำหน่ายผลผลิตเพื่อให้ได้กำไร พิธีกรรมที่เคยปฏิบัติจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกเหนือจากพิธีกรรมแล้ว เล้าข้าว ยังแฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาแห่งบรรพชนในการออกแบบการก่อสร้าง การใช้ประโยชน์และการเก็บรักษาผลผลิตที่ได้สั่งสมมาอีกด้วย
ยง บุญอารีย์ (2554) ได้ศึกษาเล้าข้าวในวัฒนธรรมไท-อีสาน ซึ่งกล่าวถึงภูมิปัญญาในการก่อสร้าง ยุ้งข้าว (เล้าข้าว) ไว้ว่า ยุ้งข้าวเป็นภูมิปัญญาโบราณที่รับใช้ชาวนาทุกชนชาติมาอย่างยาวนาน และยังสืบทอดพัฒนาจนเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบทั้งประโยชน์ใช้สอยและรูปแบบ ถึงแม้จะเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ที่เกิดจากการสั่งสม ศึกษา ลองผิดลองถูก จนเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ แต่หลักในการออกแบบเล้าข้าว(ยุ้งข้าว)มีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างมีนัยสำคัญ เพราะประโยชน์ใช้สอยหลักของเล้าข้าว(ยุ้งข้าว)ไม่ว่าของพื้นที่ใดก็คือ การป้องกันเมล็ดข้าวจากความร้อน ความชื้น สัตว์ และแมลงที่มาทำลายข้าวให้เกิดความเสียหาย แนวคิดในการออกแบบเล้าข้าว(ยุ้งข้าว) ถึงจะต่างพื้นที่ ต่างสังคมวัฒนธรรมและศาสนา แต่สถาปัตยกรรมของเล้าข้าว(ยุ้งข้าว) กลับมีลักษณะที่คล้ายคลึง จนเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญ คือ
เล้าข้าว จะแบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ
สมชาย นิลอาธิ (2526) ได้อธิบายว่า โครงสร้างทั้งหมดของเล้าข้าวนิยมใช้ไม้เนื้อแข็งในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น เสา ขาง(คาน) ตง คร่าว ขื่อ สะยัว(จันทัน) ดั้ง ตลอดจนกะทอด(พลึง) แป กลอน และวงกบประตู เพื่อความคงทนแข็งแรงในการรับน้ำหนัก ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเล้าข้าว ซึ่งส่วนประกอบที่สำคัญ มีดังนี้คือ
เล้าข้าวไม้ที่สร้างจากภูมิปัญญาท้องถิ่น มีลักษณะดังนี้
ซึ่งในสังคมคนอีสานในอดีตนั้น เมื่อสร้างเรือนพักอาศัยต้องมีการสร้างเล้าข้าวด้วย เพราะอาชีพหลักคือการทำนา ข้าวเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในการดำรงชีวิตของชาวอีสาน ถึงกับมีผญาภาษิตอีสานกล่าวไว้ว่า
ทุกข์บ่มีเสื้อผ้า ฝาเฮือนดีพอลี้อยู่ ทุกข์บ่มีเข่าอยู่เล้า สินอนลี้อยู่จั่งได๋ ”
เมื่อสร้างเรือนก็ต้องสร้างเล้าข้าว เพื่อเก็บข้าวไว้บริโภคตลอดทั้งปีจนกว่าจะถึงฤดูการทำนาในปีถัดไป ดังจะสังเกตได้จากบ้านเรือนคนอีสาน จะมีเล้าข้าวอยู่ในบริเวณบ้านด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : เต่า : สัญญะแห่งความอุดมสมบูรณ์ในวัฒนธรรมข้าวชาวอีสาน
ดินแดนในภาคอีสานเป็นถิ่นที่มีความแห้งแล้งจากสภาพภูมิอาศในฤดูร้อน มีตวามหนาวเย็นในหน้าหนาว บ้านเรือน หรือ เฮือน ที่อยู่อาศัยจึงมีรูปแบบยกใต้ถุนสูง (มี ใต้ล่าง หรือ ตะหล่าง) ตัวบ้านค่อนข้างทึบ มีเฮือนนอน เฮือนไฟ ชายคากว้างค่อนข้างต่ำ มีชานเรือนมีหลังคาคลุม ใต้ถุนสูงเพื่อเป็นที่พักอาศัย ทำกิจกรรมต่างๆ ในหน้าร้อน เช่น การต่ำหูกทอผ้า เป็นที่เก็บเครื่องมือทำการเกษตร และที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง
ชาวอีสานได้รับอิทธิพลไต ลาว จึงนำคติความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน จะนับถือบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ คือ ผีปู่ตา ผีฟ้า ผีแถน ควบคู่ไปกับศาสนาพุทธ ซึ่งทำให้เกิดระเบียบแบบแผนในการก่อสร้างบ้านเรือน การหาฤกษ์ยามปลูกบ้านเฮือน ฤกษ์การเข้าอยู่อาศัย การสู่ขวัญเฮือน เป็นต้น
คำว่า "บ้าน" กับ "เฮือน" สำหรับความเข้าใจของชาวอีสานแล้วจะมีความต่างกัน คำว่า "บ้าน" มักจะหมายถึง "หมู่บ้าน" ที่ประกอบด้วยเฮือนหลายหลัง อยู่อาศัยรวมกันเป็นชุมชน เป็นหมู่บ้าน มิใช่เป็นหลังๆ ส่วนคำว่า "เฮือน" นั้น ชาวอีสานหมายถึง เรือนที่เป็นหลังๆ
นอกจากคำว่า "เฮือน" แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า "โฮง" หมายถึงที่พักอาศัยที่ใหญ่กว่า "เฮือน" มักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองในสมัยโบราณ คำว่า "คุ้ม" หมายถึง บริเวณที่มี "เฮือน" รวมกันอยู่หลายๆ หลัง เป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน ในหนึ่งหมู่บ้านอาจมีหลายคุ้ม เช่น คุ้มเหนือ คุ้มใต้ คุ้มตะเว็นตก คุ้มตะเว็นออก (ตะเว็น = ตะวัน, ดวงอาทิตย์) ส่วนคำว่า "ตูบ" หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้
รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัย ที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่างๆ กัน ดังนี้
พาเบิ่งเฮือนอิสานโบราณ ที่ นาดูน มหาสารคาม
ก่อนการลงมือก่อสร้าง "เฮือน" อันดับแรกต้องพิจารณาสถานที่ๆ จะสร้างเรือนก่อน โดยต้องเลือกเอาสถานที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมบ่อ ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำ ลาดเอียงของพื้นดินว่า ลาดเอียงไปทางทิศใด และจะเป็นมงคลหรือไม่ดังนี้
เมื่อเลือกได้พื้นที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจัดข้าว 3 กระทง คือ ข้าวเหนียว 1 กระทง ข้าวเหนียวดำ 1 กระทง และข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไปวางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้า กากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดี ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมาก ถ้ากากินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รีบเฮ็ดเรือนสมสร้างให้เสร็จเร็วไว
การเลือกพื้นที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดิน โดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าใบตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน เป็นดินที่พออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน มีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม การออกแบบเฮือนจะเน้นประโยชน์ใช้สอยและคำนึงถึงธรรมชาติโดยรอบ สัดส่วนมีความพอดี กลมกลืน และชาญฉลาด
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม คติความเชื่อโบราณในเรื่องความอยู่สบายและเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย
คําว่า "เถียงนา" มีการอธิบายถึงความหมายอย่างกว้างๆ ว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่ตั้งอยู่ในที่นาใช้งานในช่วงฤดูเพาะปลูกเป็นหลัก สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องการเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านและที่นาที่ต้องใช้เวลานาน และใช้เป็นสถานที่เพื่อการพักผ่อนระหว่างวัน ซึ่งสถาปัตยกรรมลักษณะเช่นนี้คล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า "ห้างนา" ของภาคเหนือ "โรงนา" ของภาคกลาง และ "ขนํานา" ของภาคใต้
ทั้งนี้พจนานุกรมภาษาถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ความหมายคําว่า "เถียง" หมายถึง "โรงนาขนาดเล็กที่ทําไว้ชั่วคราวตามท้องไร่ท้องนา" เรียกว่า "เถียงนา" ถ้าสร้างในป่า เรียก "เถียงไฮ่" สําหรับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายว่า "เรือนพักอาศัยชั่วคราวในทุ่งนาสําหรับอยู่เฝ้าข้าว"
ในภาษาลาวปรากฏคำว่า “เถียงนา” เช่นกัน หมายถึง ร้านชนิดหนึ่งที่มีการยกพื้น ลักษณะคล้ายกับเรือนแต่มีขนาดย่อมกว่า มักสร้างอยู่ตามทุ่งนาหรือไร่ และยังมีการอธิบายที่มาของชื่อเรียก "เถียงนา" ในภาษาลาวนั้นน่าจะเป็นการปรับรูปคำและความหมายมาจากคำว่า “เตียง” ในภาษาจีนโบราณ ซึ่งหมายถึง ร้านที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนนอน
"เถียงนา" มักสร้างในพื้นที่ราบลุ่มที่มีการหักร้างถางพง เพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่นา โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า "ดอนหัวนา" ซึ่งน้ำท่วมไม่ถึง และมักมีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เป็นไม้ผลโดยรอบบริเวณเถียงนา และถ้าเป็นเถียงนาขนาดใหญ่กึ่งถาวร จะปลูกผักพืชสวนครัวไว้เป็นอาหาร และมีพื้นที่ที่ใช้เลี้ยงสัตว์ บางแห่งมีการขุดบ่อน้ำไว้สำหรับอาบ กิน หรือใช้เลี้ยงปลา ในช่วงฤดูทำนา เก็บเกี่ยว ไถหว่าน ชาวนาจะยกครอบครัว เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งสัตว์เลี้ยงไปอยู่ที่เถียงนาเพื่อความสะดวกในการดูแล เสมือนเป็นบ้านหลังที่สอง และเมื่อสิ้นฤดูการทำนา เถียงนามักจะถูกทิ้งร้าง ใช้เป็นเพียงที่พักพิงในช่วงเวลากลางวันตอนออกไปเลี้ยงวัว ควาย หรือหาของป่าตามหัวไร่ปลายนา หรือใช้เป็นที่ตั้งวงเหล้า รวมทั้งเล่นการพนัน
สําหรับประเด็นเรื่อง ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเถียงนา เชื่อว่า ก่อนการสร้างเถียงนาบางแห่งมีการทําพิธีบนบาน บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อขออนุญาตปลูกสร้างเถียงนา และบางพื้นที่ก็อาจมีการสมมติเหตุการณ์ เพื่อเป็นการถือเคล็ด โดยให้คน 2 คนออกไปในนา บริเวณตรงที่จะปลูกสร้างเถียง แล้วให้ทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงดังมากๆ หรืออาจจจะทำให้ถึงขั้นลงมือชกต่อยกัน เพื่อให้ดูสมจริงมากขึ้น จะได้เป็นการรบกวนไปถึงผีป่าหรือวิญญาณที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้น เกิดความรำคาญหรือความกลัว จนต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเชื่อกันว่า จะทำให้พื้นที่ปลูกสร้างนั้นเกิดความสงบร่มเย็น ปราศจากภัยอันตรายต่างๆ จากนั้นจึงเริ่มลงมือปลูกสร้างเถียงนา
โดยในการสร้างเถียงนานี้ บางพื้นที่จะไม่สร้างเถียงนาหันไปทางทิศตะวันตก เพราะถือว่าเป็น "ทิศผีตาย" และยังมีการกล่าวถึงความเชื่อเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าบ้านใดไม่มีเถียงนาเป็นของตนเอง คนนั้นจะยากจนและไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคม นอกจากนี้ การเลือกที่ตั้งยังต้องสังเกตว่า เป็นที่อากาศปลอดโปร่ง สะดวกต่อการเดินทาง การลําเลียงผลผลิต และสามารถมองเห็นโดยรอบ เพื่อให้ง่ายในการดูแลนาข้าว ซึ่งการเลือกทําเลที่ตั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาที่มีการสืบทอดกันต่อมา
เอกลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็น "เถียงนา" คือ เป็นเรือนมีหลังคา ด้านข้างเปิดโล่งคล้ายศาลา ไม่นิยมกั้นฝา เพื่อระบายอากาศเวลาพักผ่อน สามารถสอดส่องดูแลผลิตผลทั่วถึง บางแห่งอาจกั้นฝาในบางด้าน เพื่อป้องกันฝน ลม และแดด แต่จะไม่นิยมกั้นโดยรอบ และไม่นิยมทำรั้ว
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเถียงนา มีลักษณะและขนาดที่ไม่แน่นอน แต่ปกติมักมีขนาดตั้งแต่ 2 x 2 เมตรขึ้นไป ความคงทนและความประณีตขึ้นอยู่กับที่ตั้งระหว่างเถียงนากับบ้านว่า มีความใกล้หรือไกลมากน้อยเท่าใด มีการระบุการแบ่งประเภทเถียงนาออกเป็น 2 ลักษณะคือ
มีการพบเถียงนาอีกแบบหนึ่ง เป็นภูมิปัญญาที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของชาวนา ที่ไม่สามารถหาพื้นที่ที่เหมาะสมสําหรับการสร้างเถียงนาได้ มีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีเสาหลัก 4 ต้น และโครงสร้างหลังคาไม้ไผ่ ใช้หญ้ามุง มีน้ําหนักเบาง่ายต่อการเคลื่อนย้ายได้ เรียกว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับเถียงนาพื้นติดดินเรียกว่า "เถียงนาเคลื่อนที่" (เป็นแคร่ไม้ไผ่ยกพื้นเล็กน้อยมีเสา 4 ต้นมุงด้วยหญ้าคาหรือฟางข้าว)
[ อ่านเพิ่มเติมเรื่องที่เกี่ยวข้อง : การปลูกเฮือน | การสู่ขวัญเฮือน | เฮือนอีสาน ]
หอระฆังและหอกลอง เดิมทีวัดในชนบทของอีสานนิยมใช้ "โปง" ตีบอกเวลาในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา เป็นการสื่อสารระหว่างพระกับชาวบ้าน โปง ซึ่งทำด้วยไม้เนื้อแข็งให้เสียงทุ้มนุ่มนวลและได้ยินไปไกล โปงจะผูกไว้ใต้ถุนกุฏิหรือหอแจก จึงไม่จำเป็นต้องทำโรงเรือน ต่อมาเมื่อวัดในอีสานได้รับอิทธิพลจากเมืองหลวงในการใช้ระฆังหรือกลองเป็นสัญญาณเสียง ประกอบกับไม้ทำโปงเริ่มหายาก และโปงเก่าเมื่อกระทุ้งบ่อยๆ ก็จะสึกและชำรุดจนทำให้เสียงเสียไป วัดจึงได้สร้างหอสูง 3 ชั้นขึ้น โดยรวมทั้งระฆัง กลอง และโปง ให้อยู่ในหอเดียวกัน
ลักษณะเด่นเชิงรูปธรรม รูปทรงโปร่ง มี 3 ชั้นสูงในแนวตั้ง หลังคาจตุรมุขซ้อนชั้น ยอดแหลม มีการแกะสลักไม้เป็นลายนาค ลายก้านขด ลายเครือวัลย์ เป็นต้น
ลักษณะเด่นเชิงนามธรรม เป็นสัญญาณการสื่อสารที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมทางพุทธศาสนา สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระกับชาวบ้าน
ในสมัยโบราณ การบอกเวลาในโมงยามต่างๆ จะใช้การตีเกราะ เคาะไม้เพื่อบอกเวลา หรือแจ้งข่าวสาร ประชุมคนในชุมชน ต่อมามีการตีโปง กลอง หรือระฆัง เพื่อใช้บอกเวลาในการกระทำการที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น บอกเวลาทำวัตรเช้า เย็น บอกเวลาบิณฑบาตรของพระเณร บอกเวลาฉันเพล เป็นต้น เราจึงพบว่า ในวัดวาอารามมีการสร้างตัวอาคารสำหรับใช้แขวนโปง กลองและระฆังเหล่านี้ ในการเป็นศูนย์กลางของการบอกเวลาที่เรียกว่า หอระฆังและหอกลอง
หอระฆังและหอกลอง เป็นอาคารประเภทหนึ่งที่ปรากฏการสร้างมาแต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบัน โดยมากพบในวัด ทั้งเขตพุทธาวาส และสังฆาวาส ใช้แขวนระฆังและกลองสำหรับตีบอกเวลา เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ทราบเวลาสำหรับการประกอบวัตรปฏิบัติต่างๆ โดยพร้อมเพรียงกันอันได้แก่ การทำวัตรเช้า-เย็น การฉันเพล เป็นต้น
ในทางความเชื่อเรื่องเสียงระฆัง เชื่อกัน ในอดีตว่าถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงระฆัง (หมายถึง ไม่มีศาสนา) แล้วจะมียักษ์มากินมนุษย์ ดังนั้น เพื่อประโยชน์ที่กล่าวมาแล้ว วัดในพระพุทธศาสนา (ฝ่ายเถรวาท) จึงต้องสร้างหอระฆังเพื่อใช้ประโยชน์ตามข้างต้น
รูปแบบและโครงสร้างของหอระฆังและหอกลองนั้น มีความคล้ายคลึงกันมาก อาจแตกต่างกันเฉพาะชื่อเรียกเท่านั้น โดยทั่วไปมักสร้างขึ้นโดยใช้แผนผังรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเน้นให้มีรูปทรงสูง สามารถจำแนกประเภทได้ 2 ประเภทคือ
ในปัจจุบัน วัดยังคงใช้การตีระฆังและกลอง เพื่อบอกเวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์เช่นเดิม นอกจากเป็นเสียงที่ดังกังวาลและเยือกเย็นแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของการสร้างหอระฆังและหอกลองของไทยไว้ด้วย
คำว่า "โปง" หมายถึง ระฆังใหญ่ ทำด้วยไม้ ใช้กระทุ้งให้เกิดเสียง
โปง หรือ กะปุง เป็นเครื่องตีบอกอาณัติสัญญาณของพระสงฆ์ในวัด แทนการตีระฆัง หรือกลอง เพราะเสียงโปงจะดังกังวานกว่าระฆังหรือกลอง โปงทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ตะเคียนท่อนใหญ่ตัดหัวท้าย แล้วนำมาขุดให้เป็นโพรงกลวงข้างใน คว่ำด้านที่ขุดเป็นโพรงลงด้านล่าง เจาะด้านข้างเป็นรูทั้งสองข้างเพื่อเป็นรูเสียง หรือรูแพ แล้วเจาะรูด้านบนสำหรับสอดไม้ค้ำโปงกับเสาแขวนไว้ใต้หอระฆัง เวลาตีใช้ไม้ท่อนใหญ่ๆ ลักษณะคล้ายสากกระทุ้งโปงเพื่อให้เกิดเสียง กริยากระทุ้งโปงภาษาท้องถิ่นอีสานเรียก "ทั่งโปง" กระทุ้งโปงตามกาลเวลาดังนี้
พระทั่งโปง วัดโพธิ์ศรีตาราม บ้านพอก-โนนหนองผือ จังหวัดยโสธร
สำหรับโปงไม้ที่วัดสุปัฏนารามวรวิหารนี้ ทำด้วยไม้ตะเคียน (ไม้แคน) สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2467 พระบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) มอบหมายให้ พระครูวิโรจน์รัตโนบล (รอด นนตโร หรือหลวงพ่อดีโลด) เป็นนายช่างสร้างโปงใบนี้ ปัจจุบันแขวนอยู่ใต้หอระฆัง แต่เลิกใช้งานแล้ว เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ (ช่างท้องถิ่น) โดยมีขนาด ความสูง 357 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 102.3 เซนติเมตร
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)