foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศปรวนแปรไปทั่วโลก บ้างก็มีพายุรุนแรง แผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม ดินพังทลาย จนไร้ที่อยู่ บ้านเฮากะต่างภาคต่างกะพ้อไปคนละแนว บ้างก็ฝนตกจนน้ำท่วม บ้างก็แล้งจนพืชผลแห้งตาย กระจายเป็นหย่อมๆ แบบบ้านเพิ่นท่วมแป๋ตาย นาใกล้ๆ กันนี้ผัดบ่มีน้ำจนดินแห้ง อีหยังว่ะ! นี่ละเขาว่าโลกวิปริตย้อนพวกเฮามนุษย์เป็นผู้ทำลายของแทร่ ตอนนี้ทางภาคเหนือกำลังท่วมหนัก ข่าวว่าภาคอีสานบ้านเฮาก็เตรียมตัวไว้เลย พายุกำลังมาแล้ว ...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

philosopher header

พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย

ในช่วงทศวรรษ 2520 ในขณะที่หลายฝ่ายต่างกำลังมองหาแนวทางเกษตร ที่น่าจะสามารถแก้ปัญหา อันสั่งสมมาจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่เน้นแค่ผลผลิต เพื่อการค้า คนทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนทางภาคอีสานก็ได้พบกับ "มหาอยู่ สุนทรธัย" ชาวนาสามัญชนผู้หนึ่ง ซึ่งมีแนวทางการทำเกษตรของตนเองที่น่าสนใจโดยขนานนามแนวทางเกษตรแบบนี้ว่า “เกษตรผสมผสาน” นั่นคือการทำหลายอย่างในพื้นที่เดียวกัน ไม่ได้ปลูกพืชเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเลี้ยงสัตว์อย่างหนึ่งอย่างใด เหมือนที่เกษตรกระแสหลักกำลังแห่ทำกันไปตามนโยบายส่งเสริมการเกษตรของภาครัฐในขณะนั้น

รู้จักกับพื้นฐานเดิมของพ่อมหาอยู่

Maha Yoo 01พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายคำชู และนางเม็ง สุนทรธัย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2463 ที่บ้านตะแบก ตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ จบการศึกษาระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนสุรวิทยาคม หลังเรียนจบแล้ว ได้มาช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจึงบวชเรียนที่ วัดจุมพลสุทธาวาส จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม 3 ประโยคในปี พ.ศ. 2486 เมื่อกลับมาเยี่ยมโยม พ่อโยมแม่ ที่จังหวัดสุรินทร์ พบว่า ท่านชราภาพมากแล้ว ยังต้องลำบากตรากตรำทำงาน จึงเกิดความสงสารและได้ตัดสินใจสึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา 4 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 ญาติผู้ใหญ่จึงได้ไปสู่ขอคุณแม่สุมาลี บุตรสาวสมุหบัญชี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในขณะนั้นมาเป็นคู่ครอง และอยู่กินกันมาอย่างมีความสุข มีลูกสืบตระกูลด้วยกัน 5 คน โดยลูกๆ กลับมาอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่หมด ปัจจุบันพ่อมหาอยู่ สุนทรธัย และครอบครัวอยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ที่ 4 บ้านตะแบก ตำบลสลักได อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

บนพื้นที่ทำกิน จำนวนประมาณ 60 ไร่ ของพ่อมหาอยู่ นอกจากที่นาสำหรับปลูกข้าวแล้ว ยังหลากหลายไปด้วยต้นไม้ต้นไร่ ตั้งแต่ระดับเรี่ยดินไล่ไปจนสูงแหงนคอตั้งบ่า มีทั้งพืชตระกูลถั่วเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน พืชผักสวนครัวอย่างพริกข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว กะเพรา โหระพา แมงลัก ไม้ผลจำพวกกล้วย มะละกอ น้อยหน่า ขนุน มะพร้าว ฯลฯ หรือไม้ยืนต้นอื่นๆ เพื่อนำเนื้อไม้มาใช้สอย เช่น สะเดา สัก ไผ่ เหล่านี้ เป็นต้น แล้วยังเลี้ยงประดาสัตว์น้อยใหญ่ วัว หมู เป็ด ไก่ ปลา เพื่อเอื้อประโยชน์กันและกัน

ก่อนที่พ่อมหาอยู่จะพบทางสายเกษตรของตนเอง ได้ผ่านการทำเกษตรตามแนวทางของพ่อแม่ดั้งเดิมมาก่อน คือ การทำเกษตรแบบชาวบ้านอีสานทั่วไป ทำแค่พออยู่พอกินในแต่ละปี และไม่มีการจัดการอะไรมากนัก บางฤดูที่ฝนขาดช่วง พื้นดินภาคอีสานที่ไม่ใคร่อุ้มน้ำอยู่แล้วจึงยิ่งแห้งแล้ง ผลผลิตที่ได้ไม่ค่อยเต็มเม็ดเต็มหน่วย พ่อมหาอยู่ เล็งเห็นความยากลำบากของการทำเกษตรโดยไม่มีแหล่งน้ำของตนเอง จึงคิดหาวิธีให้มีน้ำอยู่ในพื้นที่ทำกินของตัวเอง เริ่มด้วยการใช้แรงกายและสองมือขุดสระทำฝายกั้นน้ำ ทำไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังที่มี กระทั่งขยายใหญ่ออกไปอีกหลายสระจนสามารถเก็บน้ำใช้สอยได้ตลอดปี

Maha Yoo 02

เมื่อในดินมีน้ำอุดมสมบูรณ์ จะปลูกต้นไม้อะไรก็งอกงาม สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างพวกนก หนู กบ เขียด รวมทั้งหมู่แมลงต่างๆ ก็ได้มาอาศัย เกิดเป็นความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพึ่งพิงกันเองได้ ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้คงหาได้ยากในการทำเกษตรเชิงเดี่ยว พ่อมหาอยู่มักจะพูดเสมอว่าแนวทางปฏิบัติต่างๆ ล้วนมีที่มาจากคำสอนของพ่อแม่ ที่สอนให้ลูกหลานเคารพแม่คงคา แม่ธรณี และรุกขเทวดา คือ น้ำ ดิน และต้นไม้ใหญ่น้อยนั่นเอง แล้วนำแนวคิดเดิมมาปรับใช้กับความรู้ใหม่ที่ได้มา โดยช่วงที่ได้มาอยู่บวชเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้มีโอกาสพบเห็นสวนผลไม้แถบฝั่งธนบุรี ปลูกพืชผลแบบยกร่อง ในท้องร่องเต็มไปด้วยน้ำและดินโคลน ใบไม้ร่วงโรยเน่าเปื่อยทับถมกันอยู่ในท้องร่อง ก็ลอกขึ้นมาเป็นปุ๋ยธรรมชาติได้อย่างดี

พ่อมหาอยู่วางแผนการทำเกษตรไปพร้อมกับมองถึง "ระบบการขายผลผลิต" ด้วย เพราะยังอยู่ในยุคที่เกษตรกรมิอาจหลีกเลี่ยงการขายผลผลิต เพื่อนำเงินมาใช้สอยสิ่งของจำเป็น โดยเฉพาะชาวบ้านเกษตรกรที่มีลูก ต้องเลี้ยงดู ส่งเสียให้ได้ร่ำเรียนหนังสือ ครั้นคิดถึงการตลาด บทเรียนของเกษตรกรที่ไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตเองได้ ทำให้พ่อมหาอยู่คำนึงว่า ทางออกคือเกษตรกร "ต้องเป็นผู้ขายเอง" โดยไม่ผ่านผู้ค้าคนกลาง และการปลูกพืชหลายอย่างก็เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยพยุงวิถีชีวิต ให้มีทางเลือก

ยกตัวอย่าง เช่น หากปีนั้นข้าวราคาไม่ดี ก็ยังมีเป็ดไก่ได้ขายไข่ และยังได้ปุ๋ยใส่ต้นไม้ หรือเลี้ยงหมูเอาไว้ก็ได้ขายหากจำเป็น ทั้งยังได้ขี้หมูให้ปลากิน เรียกว่ามีแต่ได้ไม่มีเสีย เพราะข้าวที่เหลือก็เผื่อถึงหมู เป็ด ไก่ มูลสัตว์เหล่านี้ให้ปลา ปลาก็เอื้อกลับคืนเป็นอาหารและเป็นรายได้อีกที ปลาเป็นผู้ให้สุดท้ายโดยมีมูลเป็นตัวเชื่อมหมุนเวียนกันไปอย่างนี้ไม่สิ้นสุด หลักคิดนี้เกษตรกรอื่นๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม และวิถีวัฒนธรรมของตนเองได้ต่อไป

Maha Yoo 04

ลักษณะการทำเกษตรและแนวคิดของพ่อมหาอยู่ ในช่วงเวลานั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับ "เกษตรกร" ทางภาคอีสานเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากมีการเผยแพร่แนวทางเกษตรผสมผสานของพ่อมหาอยู่ออกสู่วงกว้าง ก็ปรากฏว่า มีชาวบ้านให้ความสนใจ และกลับไปปรับเปลี่ยนการทำเกษตรของตัวเองกันไม่น้อย จึงพอจะกล่าวได้ว่า พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย เป็นผู้บุกเบิกเกษตรผสมผสานแห่งภาคอีสาน

ทุกครั้งที่มีคนรุ่นหลังมาขอวิชาความรู้ พ่อมหาอยู่ก็ยังไม่เคยมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด พร้อมที่จะพูดคุย หรือแม้แต่ต้องเดินทางไกลไปตามคำเชิญก็ตาม ความสุขสงบเช่นนี้คงจะมีที่มาจากครอบครัวอบอุ่น สภาพแวดล้อมที่ดี อาหารพอเพียงที่มีให้เลือกเก็บกิน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นบำนาญแห่งชีวิตที่ พ่อมหาอยู่ มักจะบอกเสมอว่า ล้วนได้มาจากการออมน้ำ ออมดิน ออมต้นไม้ในเส้นทางสายเกษตรผสมผสานมาแต่ต้น

หลักคิดและทางรอดของเกษตรกรอีสาน

1. ต้องศรัทธาในแนวคิดการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง พ่อมหาอยู่ได้กล่าวย้ำทุกครั้งว่า หากจะพัฒนาอะไร ต้องเตรียมสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น

จะปลูกพืชอะไร ต้องเตรียมดิน
จะกินอะไร ต้องเตรียมอาหาร
จะพัฒนาการ ต้องเตรียมประชาชน
จะพัฒนาคน ต้องเตรียมที่จิตใจ
จะพัฒนาใครเขา ต้องเตรียมที่ตัวเราก่อน

ดังนั้นการที่ใครจะพัฒนาตนเองและครอบครัวให้พึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้จะ ต้องเตรียมความคิด และความศรัทธาในการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองก่อนเสมอ โดยเรียนรู้และเชื่อมโยงให้ครบ

2. ต้องออมน้ำ ออมดิน ออมต้นไม้ใหญ่ ออมเงิน และสั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหา พ่อมหาอยู่ ได้อาศัยหลักคิดของบรรพบุรุษ ที่สร้างแนวคิดให้ลูกหลาน รักและเคารพน้ำให้เป็นแม่ คือ แม่คงคา รักและเคารพดินให้เป็นแม่คือ แม่ธรณี ยกให้ต้นไม้ใหญ่เป็นรุกขเทวดา รวมทั้งเรียนรู้เท่าทัน มีภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาและออมเงิน มาสร้างทุนทางสิ่งแวดล้อม เหล่านี้เป็นบำนาญชีวิต ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พ่อมหาอยู่ ได้ประสบความแห้งแล้งมาตลอด ต้องเดินทางไปหาบน้ำจากที่ไกลๆ เพื่อหาน้ำมาใช้ เมื่อเกิดภาวะแห้งแล้งมากๆ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสู้ความแห้งแล้ง และได้ตั้งปณิธานมุ่งมั่นขุดบ่อ ทำฝายกั้นน้ำ โดยใช้กำลังของตนเอง จนมีสระน้ำจำนวนมาก สามารถกักเก็บน้ำไว้ตลอดปี
  • น้ำเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ การทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวจะไม่ได้ออมน้ำไว้ใช้ เพราะเน้นว่าที่ดินทุกตารางนิ้วมีไว้ปลูกพืชเพื่อขาย เมื่อเกิดการแปรปรวนของปริมาณน้ำฝน เกษตรกรจึงทุกข์ยากมากและเป็นหนี้สินเหมือนในปัจจุบัน เมื่อพ่อมหาอยู่ ขุดสระเก็บน้ำไว้ได้ สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็เริ่มกลับมาอยู่ด้วย ในเนื้อที่ 100 ไร่จึงมีทั้งกล้วย มะม่วง มะพร้าว ขนุน ไม้สัก ไม้สะเดา ไม้ไผ่ และต้นไม้หลากหลายพันธุ์นับร้อยชนิด รวมทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ วัว ควาย และปลาอีกจำนวนมาก และในยามนี้ลูกหลานก็กลับมาร่วมชื่นชม และอยู่ปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่ การออมน้ำของพ่อมหาอยู่จึงได้สร้างชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งชีวิตครอบครัวที่มีความสุข พึ่งตนเองได้
  • ช่วงที่บวชเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้พบเห็นชาวสวนแถวๆ ฝั่งธนบุรีและนนทบุรี ปลูกพืชแบบยกร่อง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด เกิดความร่มรื่น ใบไม้ที่ร่วงผุ และเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย ขี้โคลนที่ลอกขึ้นมาจากท้องร่อง นำมากลบโคนต้นไม้ กลายเป็นปุ๋ยอย่างดี กลายเป็นการออมความอุดมสมบูรณ์ของดิน ช่วยให้ไม่มีรูรั่วไปซื้อปุ๋ยเคมี พ่อมหาอยู่ได้ออมต้นไม้ใหญ่นับร้อยชนิด จำนวนหลายพันต้น ทั้งผัก ผลไม้ และไม้ใช้สอย โดยระยะเริ่มต้นจะใช้กล้วยเป็นพืชพี่เลี้ยง และตามด้วยต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ ผลของการออมต้นไม้ใหญ่ทำให้มีปัจจัย 4 ครบทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยาสมุนไพรรักษาโรค นอกจากนี้ยังทำให้สัตว์ต่างๆ เช่น นก งู กบ เขียด มีที่พักอาศัย และที่สำคัญต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ได้กลายเป็นบำนาญชีวิต ที่ช่วยต่ออายุของผู้เฒ่า ทั้งสามีภรรยาให้มีความสุขทั้งกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
  • การเงินดี เป็นคาถาสำคัญที่พ่อมหาอยู่คอยบอกผู้มาเยือน ว่า หากรู้จักออมเงิน นอกจากเงินจะกลายเป็นบำนาญชีวิตแก่ผู้ที่ออมมันไว้แล้ว เงินยังช่วยให้เราสามารถสร้างทุนทางสิ่งแวดล้อม เช่น จ้างรถแมคโครมาขุดสระออมน้ำ ใช้เงินซื้อที่ดินเพิ่ม เป็นการออมที่ดิน ซื้อต้นไม้พันธุ์ดีมาเปลี่ยนยอดพันธุ์พื้นเมืองให้ได้ผลผลิตดีไว้กิน ไว้แจก มีเหลือขายได้อีกด้วย และที่สำคัญยังสามารถเปลี่ยนเงินเป็นทุนทางปัญญา เช่น ใช้เป็นค่ารถให้สมาชิกมานั่งคุยกัน หรือไปศึกษาดูงาน เป็นต้น ดังนั้นพ่อมหาอยู่จึงได้พาเครือข่ายตั้งกลุ่มออมทรัพย์ จนได้รับประกาศเกียรติคุณ “ผู้นำกลุ่มสมาชิกที่ระดมเงินฝากโครงการออมทรัพย์วันละนิดเพื่อชีวิต สหกรณ์ดีเด่น” ประจำปี 2531 จาก สหกรณ์การเกษตรเมืองสุรินทร์ จำกัด

Maha Yoo 03
ถ่ายภาพกับลูกสาวผู้มารับช่วงสืบสานการทำเกษตรพอเพียงต่อจากผู้เป็นพ่อ

หลักการสร้างปัญญา

พ่อมหาอยู่ อาศัยหลักการสร้างปัญญาไว้ 3 ทาง คือ

  1. สุตมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการสดับ การเล่าเรียน
  2. จินตามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการพิจารณาเหตุผล
  3. ภาวนามยปัญญา ได้แก่ ปัญญาเกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ

โดยวิธีสร้างปัญญาดังกล่าวร่วมกับการครองตนด้วยธรรมะข้ออื่นๆ อีกหลายข้อที่ยึดถือปฏิบัติอยู่เป็นนิตย์ทำให้พ่อมหาอยู่กลายเป็นผู้ทรง ภูมิปัญญา เป็นผู้เฒ่าที่มีคุณค่าและชราอย่างมีความสุข

3. ต้องผสมผสานด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพจะช่วยให้เราลดรายจ่ายด้านอาหาร การกินลงได้อย่างชัดเจน เพราะเราปลูกและเลี้ยงทุกอย่างที่ต้องกินและต้องใช้ เมื่อมีเหลือก็แจกญาติสนิทมิตรสหาย ทำให้รักใคร่และพึ่งพากันเองได้ เหลือกินเหลือใช้ เหลือแจกก็ขายช่วยให้มีรายได้เพิ่ม ปลดเปลื้องหนี้สินได้ และมีเงินออม ทั้งออมเงินในรูปของแม่ธรณี แม่คงคา แม่มัจฉา แม่โพสพ และรุกขเทวดา รวมความว่า ความหลากหลายทางชีวภาพช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น และยังช่วยให้ระบบนิเวศน์ดีขึ้น เพราะใบไม้ของต้นไม้ชนิดหนึ่งย่อยสลายแล้ว กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ของอีกชนิดหนึ่ง การมีต้นไม้หลากหลายทำให้มีแมลงที่หลากหลาย และควบคุมกันเอง มีสัตว์กินแมลง เช่น นก กบ เขียด มาอาศัยอยู่เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ตามมาด้วยงู กระรอก กระแต มาอยู่ร่วมกันได้ เพิ่มปุ๋ยคอกแก่ต้นไม้ด้วย การเป็นอาหารของกันและกัน พร้อมควบคุมกันเอง ทำให้ห่วงโซ่อาหารครบวงจร เกิดความยั่งยืน รวมทั้งไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า และสารเคมีฆ่าแมลง ช่วยให้พึ่งตนเอง และพึ่งพากันเองได้ นอกจากนั้น การใช้ไม้พันธุ์พื้นเมืองยังช่วยให้ได้ต้นไม้และสัตว์ที่ทนโรคทนแล้ง และเมื่อต้องการพันธุ์ดีก็นำกิ่งดีๆ มาติดตาต่อกิ่งหรือเปลี่ยนยอดได้

ปราชญ์ - พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย ตอนที่ 1

ความสุขที่สัมผัสได้

เมื่อถามถึงความสุขพ่อมหาอยู่ตอบทันทีว่า คือ

  • อารมณ์ดี หมายถึง มีอยู่มีกิน ไม่มีหนี้ ครอบครัวมีสุข
  • อากาศดี หมายถึง สิ่งแวดล้อมดีๆ
  • อาหารดี หมายถึง อาหารพอเพียงครบทุกหมวดหมู่ สะอาด และปลอดภัยจากสารพิษ
  • สมุนไพรดี หมายถึง มีสมุนไพรเป็นทั้งอาหารในชีวิตประจำวัน และเป็นยารักษาโรคอย่างพอเพียง
  • การเงินดี หมายถึง ดูแลดีไม่มีรูรั่ว และออมเป็น

วิธีการได้มาซึ่งความสุข ใช้หลักการมีศีล คือ

  • สีเลนะ สุคะติง ยันติ (ศีลทำให้เกิดความสุขตลอดไป)
  • สีเลนะ โภคะสัมปะทา (ผู้มีศีลจะถึงพร้อมด้วยสมบัติ)
  • สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (ศีลทำให้ได้พระนิพพาน คือสงบจากกิเลส)
  • ตัสมา สีลัง วิโสธเย (ดังนั้นจงรักษาศีลให้บริสุทธิ์เถิด จะทำอะไรต้องใช้ศีลควบคุมตนเองและแนวทางโครงการเสมอ)

การขยายความคิดและเครือข่ายหนึ่งล้านครอบครัวในอีสาน ตลอด 40 ปีเศษ ของความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พ่อมหาอยู่ได้ขยายความคิดออกไปอย่างกว้างขวาง โดยรับดูงานทั้งชาวบ้าน ผู้นำชาวบ้าน นักพัฒนาภาครัฐ นักพัฒนาภาคเอกชน นักวิชาการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนรวมทั้งผู้สนใจนับได้ไม่หวาดไม่ไหว และพ่อมหาอยู่ได้ปวราณาตัวที่จะรับใช้แผ่นดินไทยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ให้ได้ หนึ่งล้านครอบครัวในภาคอีสานที่พึ่งตนเอง และพึ่งพากันเองได้ถวายในหลวง โดยร่วมขบวนการใน 3 เครือข่ายใหญ่ๆ ดังนี้ คือ

  1. เครือข่ายภูมิปัญญาชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน
  2. เครือข่ายขุดสระตามทฤษฎีใหม่จังหวัดสุรินทร์
  3. เครือข่ายจัดสวัสดิการเร่งด่วน เพื่อผู้ยากไร้ของกองทุนเพื่อสังคม

ซึ่งทั้ง 3 เวทีเครือข่าย จะพบพ่อมหาอยู่เสมอ รวมทั้งศูนย์เรียนรู้ของท่านยินดีต้อนรับผู้ดูงานที่สนใจ

Maha Yoo 05

แก่เกษตรผสมผสาน ยิ่งแก่ยิ่งมัน

หลายคนไปเรียนถามพ่อมหาอยู่ว่า ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือไร อายุมากถึงปานนี้ยังเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อขยายความคิด พ่อมหาอยู่ได้ตอบไปว่า ความแก่มีมากมายหลายประเภท เช่น

- แก่หูหวาย - แก่ได้ดอก - แก่หยอกหลาน - แก่กระดูก (ไฮโล)
- แก่กระดาษ (ไพ่) - แก่แดด (ตากแดด) - แก่แรด (ยิงสัตว์) - แก่ฟักแก่แฟง

แต่ผมแก่เกษตรผสมผสาน ยิ่งแก่ยิ่งมันส์ เพราะมีทั้งบำนาญชีวิต มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าวัยเดียวกันหลายเท่า มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชุมชนที่เข้มแข็ง มีสิ่งแวดล้อมดี มีอิสรภาพไร้หนี้ปลอดสิน มีความภาคภูมิใจได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ แก่ลูกหลานและผู้สนใจไม่รู้เบื่อ และที่สำคัญคือ มีปัญญาเรียนรู้ธรรมะ และธรรมชาติ เห็นสัจธรรมของความยั่งยืนจากความสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

ปราชญ์ - พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย ตอนที่ 2

ความสำเร็จอยู่ที่การเตรียมตัว

พ่อมหาอยู่ได้ให้คาถาของความสำเร็จในปัจจุบันเพิ่มเติมจากอิทธิบาท 4 ว่าต้องวางแผน กล่าวคือ คนเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้

- เตรียมตัวก่อนตาย - เตรียมกายก่อนแต่ง - เตรียมน้ำก่อนแล้ง - เตรียมแรงก่อนทำงาน

ซึ่งทั้งหมดนี้รวมเป็น “พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย” ปราชญ์ชาวบ้านอาวุโสของภาคอีสานที่มีความสุข ซึ่งพวกเรารักและเคารพ

Maha Yoo 06

พ่อมหาอยู่ ท่านเสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2550 อายุ 89 ปี ด้วยอาการสงบ หลังจากท่านตรากตรำทำงานหนัก แบบไม่เคยหยุดพัก ในเครือข่ายเกษตรผสมผสานมาตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

redline

backled1

philosopher header

นายบุญเหล็ง สายแวว

boonleng 01นายบุญเหล็ง สายแวว เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ที่ 16 บ้านหัวเรือ ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

ชีวิตในวัยเด็กมีวิถีชีวิตแบบคนชนบทภาคอีสานทั่วไป บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องเป็นคนที่ต้องทำงานหนัก เพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ ในการทำนา ปลูกพืช ผัก เลี้ยงวัว ควาย ในท้องไร่ท้องนา ทำให้ชีวิตมีความผูกพันกับการทำการเกษตร จนเกิดความรักในวิถีชีวิตที่ทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก

"บุญเหล็ง" เล่าย้อนว่า ประสบการณ์ชีวิตผ่านสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งบรรพชาสามเณร เกณฑ์ทหาร เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสารวัตรกำนัน โดยเหล่านี้ทำควบคู่กับอาชีพเกษตรกรรม โดยปรับปรุงพื้นที่ใกล้บ้านพักจำนวน 16 ไร่ ทำเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงเมื่อปี 2516

การแบ่งพื้นที่ 16 ไร่ จะแยกเป็นด้านปศุสัตว์เลี้ยงวัว 5 ตัว กระบือ 2 ตัว เลี้ยงไก่ สุกร ด้านประมง เลี้ยงปลาดุก ปลาไน เลี้ยงกบ ด้านเกษตร ทำนา 5 ไร่ ปลูกข้าวเหนียว ข้าวเจ้า นอกนั้นจะปลูกพืชสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้ บอระเพ็ด ไม้ผลและพืชผักสวนครัว เช่น มะม่วง มะพร้าว มะขาม มะยม ชมพู่ ลำไย มะกอกน้ำ ไผ่ กล้วย มะละกอ อ้อย บวบ ตามแนวราบบนพื้นดิน มะระ พริก หอม มะเขือ มะเขือเทศ ข้าวโพด ผักบุ้ง แตงร้าน ถั่วฟักยาว ฟักทอง ฟักแฟง แก้วมังกร มะนาว และอื่นๆ โดยมีแนวคิดว่า “ปลูกทุกอย่างที่กิน แต่อย่ากินทุกอย่างที่ปลูก”

ถ้าเราปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ทุกอย่างทุกชนิด ที่สามารถรับประทานได้ จะทำให้เราลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวแต่ละวันลงได้ เป็นการประหยัด อดออม เมื่อผลผลิตมีจำนวนมากก็นำไปขาย ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเงินเหลือก็ออมไว้สำหรับเป็นทุนเพื่อใช้จ่ายในอนาคต

ผลผลิตบางส่วนที่มีเหลือก็แบ่งปันให้ญาติมิตร หรือผู้ใกล้ชิดโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งจะได้น้ำใจจากญาติมิตรอีกทางหนึ่งด้วย ส่วนใบไม้ หญ้าก็ทำเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด เพื่อใช้บำรุงดินเป็นการลดต้นทุนการผลิตได้มาก ผลผลิตจากสวนทั้งหมดล้วนปลอดสารพิษ ผู้บริโภคสบายใจไร้กังวล ส่วนในเรื่องรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตอย่างน้อยมีรายได้วันละ 500 บาท

boonleng 02

การประกอบอาชีพ ของพ่อบุญเหล็ง สายแวว

เลี้ยงโคพันธุ์พื้นเมือง จำนวน 11 ตัว พันธุ์ลูกผสมบราห์มัน - พื้นเมือง ในเนื้อที่ 50 ไร่เลี้ยงแบบปล่อยในแปลงหญ้าธรรมชาติ และมีโรงเรือนพร้อมรางอาหารหยาบอยู่ในบริเวณเดียวกัน ตัดหญ้าสดเป็นอาหารโคในตอนเย็น ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย แข็งแรง และจำหน่ายได้ราคาดีกว่าโคพันธุ์พื้นเมือง เป็นฟาร์มศูนย์สาธิตการเกษตรเพื่อเพิ่มพูนผลผลิตทางการเกษตร ได้รับคัดเลือกเป็นฟาร์มต้นแบบโคเนื้อ ตามโครงการพัฒนาอาชีพเกษตรกรในพื้นที่ปรับปรุงระบบชลประทาน ปี 2549 ของกรมปศุสัตว์

boonleng 06

การเกษตรปลูกพริก ผักปลอดสารพิษ โดยปลูกพริกพันธุ์หัวเรือเป็นหลัก ป้องกันโรคเพลี้ยไฟ ช่วงก่อนติดดอก ด้วยการใช้สูตรสมุนไพร เช่น สะเดา ยาฉุน ผสมกำมะถัน เก็บผลิตผลได้สูงสุด 2,500 – 3,000 กิโลกรัม/ไร่ ผลิตเมล็ดพริกพันธุ์หัวเรือแท้ เพื่อจำหน่าย ปริมาณการผลิตปีละ 30 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 1,500 บาท มีผู้มาศึกษาดูงาน รับการถ่ายทอดความรู้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน เกี่ยวกับการทำไร่นาสวนผสม การเพาะกล้าพริกพันธุ์หัวเรือ

ไร่นาสวนผสม จำนวน 16 ไร่ เลี้ยงปลานิล ปลาตะเพียน ปลาไน ปลาดุก ปลาช่อน ในนาข้าว ไร่นาสวนผสม ผักสวนครัว บวบ แก้วมังกร มะละกอพันธุ์สายแวว โหระพา มะเขือลาย มะพร้าวน้ำหอม หน่อไม้สร้างไพ

boonleng 03

ทำการเกษตร ไม่หลอกตัวเอง ไม่ทิ้งตัวเอง ขยัน หมั่นเพียร มีรายได้ จาก

  • เงินวันจากการจำหน่ายพริก ผักสวนครัวเฉลี่ยวันละ 500 บาท
  • เงินเดือนจากค่าตอบแทนวิทยากรเฉลี่ยเดือนละ 2,000 บาท (ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง)
  • เงินปีจากการจำหน่ายข้าว จำหน่ายโค เฉลี่ยปีละ 180,000 บาท

แนวทางในการดำเนินชีวิต

รู้จักแบ่งปัน เอื้ออาทรรู้เหตุในการดำรงชีวิต รู้ตน รู้ประมาณ รู้รักสามัคคีไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

มีข้าวกิน มีดินอยู่ มีคู่นอนมีเงินคำไว้ใช้ มีบ้านหลังใหญ่ปูกระดาน ยามชรามีลูกหลานนั่งเฝ้า"

หน้าที่การงาน ตำแหน่งในชุมชน/ส่วนราชการ

  1. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลหัวเรือ พ.ศ. 2537
  2. กรรมการวัดบ้านหัวเรือ พ.ศ. 2537
  3. สารวัตรกำนันที่ทำความดี ความชอบในการปฏิบัติหน้าที่และได้รับการยกย่องสรรเสริญ ของกระทรวงมหาดไทย ชั้นที่ 1 ประจำปีพุทธศักราช 2541
  4. สารวัตรกำนันที่ทำความดี ความชอบในการปฏิบัติหน้าที่และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นแบบอย่างที่ดีงามสืบไป
  5. สารวัตรกำนันที่ทำความดี ความชอบในการปฏิบัติหน้าที่ มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ สมควรได้รับการยกย่อง สรรเสริญและยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีงามสืบไป กระทรวงมหาดไทย ชั้นที่ 2 ของสารวัตรกำนัน ประจำพุทธศักราช 2550
  6. ประธานครือข่ายกลุ่มเกษตรกรดีเด่นจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2549
  7. คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ และติดตามประเมินผลความก้าวหน้า โครงการเศรษฐกิจพอเพียง ประจำจังหวัดอุบลราชธานี 2550 (ตำแหน่งภูมิปัญญาท้องถิ่นระดับจังหวัด)
  8. ร่วมจัดทำหลักสูตรและคู่มือคณะทำงานสนับสนุนการขยายผลขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่ความเข้มแข็งชุมชนระดับจังหวัด
  9. ปัจจุบันเป็นเกษตรกร

boonleng 04

ผลงาน

  • รางวัลชนะเลิศที่ 1 จากการประกวดคุณภาพพริกสด ในงานวันข้าราชการพลเรือนและงานวันพริก จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2532
  • รางวัลที่ 2 จากการประกวดคุณภาพพริกสดในงานวันข้าราชการพลเรือนและงานวันพริก จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2532 (ใช้ชื่อบุตรชาย นายสุริยา สายแวว ในการส่งพริกคนละสายพันธุ์เข้าประกวด)
  • รางวัลที่ 3 จากการประกวดคุณภาพพริกสด ในงานวันข้าราชการพลเรือนและงานวันพริก จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2532 (ใช้ชื่อภรรยา นางอ่อนตา สายแวว ในการส่งพริกคนละสายพันธุ์เข้าประกวด)
  • รางวัลที่ 3 จากการประกวดพริกขี้หนูสด พันธุ์หัวเรือในงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2532 ระหว่างวันที่ 6–11 กุมภาพันธ์ 2532 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2532
  • รางวัลชนะเลิศที่ 1 จากการประกวดพริกขี้หนูเมล็ดใหญ่ งานวันเกษตรอีสาน ประจำปี 2533 ระหว่างวันที่ 25–29 มกราคม 2533 จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2533
  • รางวัลชนะเลิศที่ 2 จากการประกวดพริกขี้หนูเมล็ดใหญ่ นานวันเกษตรอีสานประจำปี 2533 ระหว่างวันที่ 25–29 มกราคม 2533 จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2533 (ประกวดในนามบุตรชาย นายสุริยา สายแวว)
  • รางวัลชนะเลิศ จากการประกวดพริกพันธุ์หัวเรือสด ในงานวันข้าราชการพลเรือนและงานวันพริกอุบลราชธานี วันที่ 1–5 เมษายน 2533 ณ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2533
  • รางวัลที่ 2 จากการประกวดพริกพันธุ์พริกขี้หนูเมล็ดใหญ่ ในงานวันเกษตรกรภาคอีสานประจำปี 2536 จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2536
  • ได้รับเกียรติบัตรผู้นำการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเองดีเด่น ซึ่งมีความขยันหมั่นเพียร มานะ อุตสาหะ และสามารถประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพึ่งตนเอง จากกระทรวงมหาดไทย โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง พ.ศ. 2543
  • รางวัลด้านการเกษตรกรปลอดสารพิษ จากกระทรวงมหาดไทย ตามโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียงเฉลิมพระเกียรติ ปี 2543
  • รางวัลด้านการเป็นผู้อนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านพืชดีเด่น พ.ศ. 2547 โดย กรมส่งเสริมการเกษตร
  • รางวัลเกษตรผสมผสานดีเด่นปลอดสารพิษ ปี 2544
  • ฟาร์มต้นแบบโคเนื้อ ตามโครงการพัฒนาอาชีพเกษตรกรในพื้นที่ปรับปรุงระบบชลประทาน ปี 2549
  • พ่อดีเด่น อันดับ 1 ปี 2548
  • ผู้นำอาชีพก้าวหน้าดีเด่นระดับจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2551
  • ผู้นำอาชีพก้าวหน้าดีเด่นระดับ 2 ระดับเขต ปี 2551

boonleng 05

การได้รับการยกย่อง/ประกาศเกียรติคุณ

  • เกียรติคุณด้านผ่านการอบรมคณะกรรมการศึกษาประจำโรงเรียน ตามหลักสูตรสำนักงานประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2538 โดย สำนักงานประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี
  • เกียรติคุณด้านการเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนชุมชนบ้านหัวเรือตำบลหัวเรือ ประจำปี 2543 โดย สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมืองอุบลราชธานี
  • เกียรติคุณด้านการเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนชุมชนบ้านหัวเรือ ตำบลหัวเรือ ประจำปี 2539 โดย สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเมืองอุบลราชธานี
  • เกียรติคุณด้านการผ่านการอบรมอาสาสมัครช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เด็กและเยาวชน (อาสาสมัครคุ้มครองสิทธิเด็ก) รุ่นที่ 1 พ.ศ. 2533 โดย สมาคมสวัสดิการเด็กในประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิยุวพุทธพัฒนา
  • เกียรติคุณด้านการผ่านการอบรมตามหลักสูตร การประชุมสัมมนากรรมการโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2539 โดย สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี
  • วุฒิบัตรผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร ทบทวน โครงการกองหนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ พ.ศ. 2529 โดย ศูนย์ประสานงานทหารกองหนุนแห่งชาติ
  • เกียรติบัตรด้านการเป็นวิทยากร กิจกรรม “การศึกษา การดำเนินชีวิตจากประสบการณ์ชีวิตของผู้อื่น” ภายใต้โครงการ "แบ่งฝัน ปันรัก” พ.ศ. 2549 โดย สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี
  • เกียรติคุณด้านการเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรและสังคมเกษตรกร พ.ศ. 2547 โดยจังหวัดอุบลราชธานี
  • เกียรติคุณด้านการเป็นผู้สนับสนุนงานส่งเสริมการเกษตร ประจำปี 2550-2551 ในงานวันเกษตรกรประจำปี 2551 โดย จังหวัดอุบลราชธานี

 อยู่ดีมีแฮง : พ่อบุญเหล็ง สายแวว

คติประจำใจ

อด อัด อุด บริสุทธิ์ในธรรม "

อด หมายถึง อดทนทุกอย่าง เช่น พ่อ แม่ เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ หรือเรายังไม่มีเงิน ที่อยู่อาศัย เราจะต้องอดทน (อย่าย่างก่อนเกิด อย่าสะเดิดก่อนตาย)

อัด หมายถึง เรากินเราจ่ายหมด 100 บาท ก็หามาอัดไว้ก่อน 150 บาท

อุด หมายถึง หาวิธีการหาเงินวางแผน เงินวัน เงินเดือน เงินปี มาอุดรูรั่วจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ประกอบไปด้วยสำนึกในคุณธรรมอันบริสุทธิ์ มีสติ

boonleng 07

ดูประวัติ ผลงานพ่อเหล็งมามากมายแล้ว อาจจะสับสนว่า เอ.. เขาไม่เหมือนใครยังไงกัน อยากกระซิบบอกให้ว่าท่ามกลางสวนพริก แปลงผักที่อยู่รายล้อมตัวนายบุญเหล็งน่ะ ทั้งปุ๋ยเคมี ทั้งยากำจัดศัตรูพืชทั้งนั้น เขาเป็นผู้ที่อยู่ท่ามกลางกระแสการเกษตรที่มีอุดมการณ์ที่มั่นคง เป็นบุคคลที่แปลกและแตกต่างจากเกษตรกรที่รายล้อม มองว่าการทำการเกษตรแบบชีวภาพเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในบริเวณที่สวนพืชผักข้างเคียงฉีดพ่นยากำจัดศัตรูพืช จะมีแปลงผัก สวนพริกไม่ฉีดพ่นยาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่เขาก็ไม่ย่อท้อและทำสวนพืชผักเป็นแบบอย่างให้แก่เกษตรกรรายอื่น รวมถึงปวารณาตัวเองถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชนตนเองและชุมชนข้างเคียง โดยที่ปัจจุบันไม่ได้มีตำแหน่งหรือรายได้ค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

boonleng 08

เขาผู้นี้เป็นหนึ่งในดวงใจพัฒนากรที่เป็นบุคคลที่มีจิตสำนึกที่ดี มีความเสียสละ และหัวใจที่ดีงามเปี่ยมล้นไปด้วยการให้อภัยและมีหัวใจที่จะเผยแพร่สิ่งที่ดีงามแก่ชุมชนโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่น่าชื่นชมควรแก่การยกย่อง เขาคือ... นายบุญเหล็ง สายแวว

รางวัลมูนมังเมืองอุบลราชธานี ปี 2560 - นายบุญเหล็ง สายแวว

ขอแสดงความเสียใจ

เมื่อเช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 5 นาฬิกา ได้ข่าวว่า คุณพ่อบุญเหล็ง สายแวว ปราชญ์ชาวบ้านด้านเศรษฐกิจพอเพียง แห่งเมืองอุบลราชธานี ได้ถึงแก่กรรมแล้ว ทางเว็บไซต์ประตูสู่อีสาน IsanGate,com ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว สายแวว อย่างสุดซึ้ง

 

redline

backled1

 

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)