คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
การสัก มาจากคำว่า Tattoo ซึ่งแปลว่า รอยสัก มาจากศัพท์ว่า Tatan เป็นภาษาตาฮิติแปลว่า รอยสัก จึงสันนิษฐานได้ว่า ชาวตะวันตกรู้จักการสักมาจากชาวตาฮิเตียนซึ่งเป็นชาวเกาะ ในยุคที่ชาวตะวันตกออกเดินเรือไปยังที่ต่างๆ เมื่อสมัยศตวรรษที่ 15-16 นี้เอง
การสักตามร่างกาย (Tattoo) คือ การเขียนสีและลวดลายต่างๆ บนร่างกาย ซึ่งรอยสักอาจคงอยู่ถาวรหรือชั่วคราวก็ได้ขึ้นอยู่กับกรรมวิธี การสักในแต่ละวัฒนธรรมมีความหมายเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป อย่างในสมัยกรีกโบราณ การสัก คือ การทำสัญญลักษ์ของการเป็นทาส หรือเป็นอาชญากร (สักบนใบหน้า) ในญี่ปุ่น การสัก เรียกว่า Irezumi ซึ่งมีความหมายว่า การเติมหมึก การสักจะประทับตราคนกลุ่มต่างๆ เพื่อแบ่งแยกเช่น เพชฌฆาต สัปเหร่อ อาชญากร จนกระทั่งเริ่มมีการสักแบบ Horibari ที่มักจะสักลวดลายต่างๆ ทั่วร่างกาย และเริ่มแพร่หลายในปี ค.ศ. 1750 โดยนิยมมากในหมู่ Eta ซึ่งเป็นกลุ่มคมฐานะชั้นต่ำที่สุด ลวดลายต่างๆ มักเป็นจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ตลอดจน เทพเจ้า ตามความเชื่อทางศาสนาและนิทานพื้นบ้าน
ในประเทศไทยสมัยโบราณ (ก่อนรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์) จะสักเลขที่ข้อมือเพื่อขึ้นทะเบียนไพร่ รวมทั้งผู้ต้องโทษจำคุก (แต่ยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2475) รวมทั้งมีการสักตามความเชื่อเป็นเหมือนเครื่องรางของขลังในผู้คนบางกลุ่ม สำหรับการสักบนร่างกายในปัจจุบันมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจากเดิม มักเน้นไปที่ความสวยงามให้ปรากฏบนเรือนร่างเฉพาะเจาะจงในผู้ชื่นชอบบางกลุ่มเท่านั้น
มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จะใช้วิธีป้องกันสัตว์ร้าย ด้วยการใช้สีต่างๆ ทาตามตัว เช่น สีดำ สีแดง สีน้ำเงิน ในยุคต่อมานิยม "สักลาย" ลงตามตัว เพราะไม่ต้องหาสีมาทาบ่อยๆ ลายที่สักก็มักเป็นรูปสัตว์ทรงพลัง มีอิทธิฤทธิ์ เช่น เสือ สิงโต พญานาค พญาอินทรี เป็นต้น ส่วนชาวจีนในยูนนานชอบสักเป็นรูปมังกร หรือเป็นตัวอักษรจีนที่เป็นมงคล
การสักลายตามตัวเริ่มแพร่ขยายลงมายังอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง ลาว พม่า ไทยอีสาน หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพพานไป 100 ปี คนเวียดนามก็นิยมสักเช่นกัน แต่ถูกทางการสั่งห้ามในเวลาต่อมา เนื่องจากว่า ในตอนที่เกิดรบพุ่งระหว่างเวียดนามกับจีนแล้วพ่ายแพ้อย่างราบคาบ "นักรบที่สักลาย" ไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันจากหอก แหลน หลาว หรือปืนไฟของนักรบจีนได้แม้แต่คนเดียว
คนไทยอีสานโบราณ ชอบสักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ แล้วยังสักตัวอักขระตามข้อมือ ท้องมือ หน้าอก และขาสองข้าง บางคนสักตามแผ่นหลังหรือหน้าอกขึ้นไปถึงคอหอย จนมีคำกล่าวกันว่า "นั่งอยู่กลางไร่ก็สามารถจับนกมาทำกินได้ เพราะนกคิดว่าหัวตอจึงบินมาเกาะ"
ความเชื่อเกี่ยวกับ "รอยสักขาลาย" ของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสาน แบ่งได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ไท กลุ่มชาติพันธุ์ไทลาว กลุ่มชาติพันธุ์กะตาก กลุ่มชาติพันธุ์ญ้อ และกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิง จะมีรอยสักขาลายเป็นประเพณีนิยมของผู้ชาย ซึ่งรอยสักขาลายเป็นเครื่องหมายของการเป็นกลุ่มเดียวกัน รอยสักขาลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นลูกผู้ชาย รอยสักขาลายมีผลต่อการเลือกคู่ครองในการแต่งงาน และรอยสักขาลายเกี่ยวข้องกับ ตัวมอม (มอมเป็นสัตว์ในวรรณคดีหรือสัตว์ป่าหิมพานต์ รูปร่างคล้ายนกกินปลา มีหัวและเล็บคล้ายสิงโต มีสี่ขา เลี้ยงลูกด้วยนม รูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันไปนั้นขึ้นอยู่กับช่างที่ประดิษฐ์ตัวมอมว่าจะสร้างสรรค์ออกมาในรูปแบบใด)
เนื่องจากในยุคปัจจุบันนี้ มีผู้คนนิยมสักรูปต่างๆ บนร่างกายหลากหลายแบบ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ "การสักขาลาย" ซึ่งในสมัยโบราณผู้ชายชาวอีสานแทบทุกคนจะต้องสัก ตัวผู้เขียนมีประสบการณ์จากปู่ (นายเถื่อน โคตรคันทา เสียชีวิตเมื่อปี 2521 อายุ 89 ปี) ซึ่งเป็นคนที่สักขาลายตั้งแต่วัยหนุ่ม ท่านเล่าว่า "เพื่อลงอาคมขลัง "มนต์ปลาไหล" คงกระพันแค้วคลาด จากคมหอก คมดาบ เพราะสมัยก่อนเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องดูแลลูกบ้านให้มีความสุข สมัยนั้นจะมีพวกโจรมาปล้นฆ่า ลักขโมยวัว ควาย ซึ่งเป็นสมบัติและเครื่องมือเครื่องใช้ทำมาหากินอาชีพเกษตรกร" ได้เห็นท่านเข้าไปห้ามการทะเลาะวิวาทของชาวบ้าน แล้วถูกลูกหลงมีดแทงมาแต่ไม่ระคายผิว คนที่เข้าห้ามปรามจับตัวท่านไม่อยู่ เพราะตัวลื่นดั่งปลาไหล ผู้เขียนเคยขอเรียนวิชานี้กับท่าน แต่ท่านไม่ให้ ด้วยเหตุผลว่า เพราะสมัยใหม่นี้ลูกหลานคงจะลำบาก กับ "การคะลำ" ทำตามข้อห้ามต่างๆ ไม่ได้ เช่น ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามลอดราวตากผ้า ก็สมัยนี้มีแต่ตึกสูงๆ ถ้าจะไม่ลอดคงลำบากแล้วล่ะ
การสักขาลายของคนอีสานนั้น มีวัตถุประสงค์หลายอย่าง กล่าวคือ
1. การสักเพื่อทดสอบความอดทนของตนเอง เนื่องจากถ้าผู้ใดสามารถสักขาลายได้ครบทั้งสองข้างแล้ว จะได้ขื่อว่า "เป็นผู้มีความอดทนเป็นเลิศ" ทั้งนี้เนื่องจากเป็นผู้มีความอดทน อดกลั้น ต่อความเจ็บปวดได้เป็นอย่างยิ่ง และสามารถที่จะเป็นผู้นำของครอบครัวได้ในอนาคต ส่วนถ้าผู้ชายคนใดสักได้เพียงขาข้างเดียวหรือไม่สักเลยนั้น ก็จะถือว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง ดังนั้น ผู้หญิงก็มักจะคบค้าสมาคมหรือรับพิจารณาชายขาสักลายมาเป็นคู่ครองมากกว่า ดั่งผญาอีสานโบราณกล่าวไว้ว่า
ขาลายแล้วทางแอวตั้งซ่อ แอวตั้งซ่อแล้วทางแข่วตอกทอง
ขาลายแล้วแอวบ่ลายกะบ่ค่อง คันบ่สักนกน้อยงอยแก้มกะบ่คือ
สิบผืนผ้าซาวผืนผ้าบ่ท่อขาลายเคืออ้ายขึ้นก่าย ขาลายเคืออ้ายขึ้นก่ายแล้วปานผ้าหมื่นแสน
ขาลายบ่จำเหง้าอย่าหวังเอาลูกสาวเพิ่น ขาลายบ่จำเบี้ยงอย่าขันเลี้ยงแม่สาว
ขาขาวนุ่งผ้าฝ้าย ขาลายมอมนุ่งผ้าเข็นก่อม ขาลายขึ้นชั้นฟ้า ขาขาวนั้นเกือกขี้ตม
ขาขาวมานั่งใกล้เหม็นคาวฮากสิออก ขาลายมานั่งใกล้พอปานอ้มหมื่นสวน
ขาลายนอนในส้วม ขาขาวนอนฮกไก่ "
(ติ๊ก แสนบุญ, 2554)
ความหมาย : พี่ขาลายแล้ว ควรสักรอบเอวเป็นรูปช่อดอกไม้ ส่วนฟันก็ควรฝังทองคำบ้าง, เวลายิ้มหัวจะชวนดูชมกว่าฟันธรรมดา ขาลายแล้วเอวก็ต้องลายสอดคล้องกัน ถ้าสักรูปนกตัวน้อยลงที่แก้มข้างหนึ่งยิ่งจะสวยมีเสน่ห์มากหลาย อ้ายเอ๋ย, ห่มผ้า 10 ผืน 20 ผืน มันไม่เหมือนขาลายของพี่ที่ก่ายเกยตัวน้องสักหน่อย เพราะขาลายของพี่เหมือนห่มผ้าถึงหมื่นแสนผืน, ขาต้องลายตั้งแต่เข่าถึงเอว ถ้าไม่ถึงหัวเหน่าอย่าหวังเอาลูกสาวเพิ่นมาเลี้ยง, คนที่มีขาลายจึงได้นุ่งเสื้อผ้าชั้นดีมีสุขบนสวรรค์ ขาขาวเกลี้ยงนั้นจะได้แค่ผ้าขี้ริ้วนอนล่างเกือกตม, ชายที่ไม่ได้สักลายที่ขามานั่งใกล้ๆ จะเหม็นคาวแทบอ้วกจะแตก แต่หากชายใดมีการสักขาลายนั้น ผู้คนจะชื่นชอบราวกับได้ดมกลิ่นหอมของใบเนียมอ้ม, ขาลายได้นอนในห้องส้วม (ห้องนอนลูกสาว-ลูกเขย) ขาขาวไปนอนที่เล้าไก่เลยนะ
จากผญาดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่า ชายหนุ่มสมัยโบราณนิยมสักขาลาย เพื่อแสดงความเป็นชาย ความภูมิฐาน ความปราณีต วิจิตรบรรจง ในการสักลายพร้อมกับความเชื่อ ส่งผลให้เป็นที่หลงใหลของฝ่ายหญิงรวมถึงแม่ของฝ่ายหญิงด้วย ซึ่งเป็นวิถีชีวิตพื้นบ้านชาวไทยอีสานที่สืบต่อกันมาหลายร้อยปี ปัจจุบันพบเจอในบางท้องถิ่น เฉพาะชายสูงวัยอายุ 90 ปีขึ้นไปเท่านั้น
ยังมีผญาอีสานอีกหลายๆ ตอนที่ผู้เขียนค้นเจอ คือ
"ขาบ่ลาย บ่ให้อาบน้ำฮ่วมท่า"
แปลว่า ถ้าขาไม่ลายก็ไม่ให้มาอาบน้ำที่ท่าน้ำร่วมกัน (ไปไกลๆ)
"ขาบ่ลายบ่ให้กลายเดิ่นบ้าน ขาบ่ลายดี้ๆ ไปกินขี้อยู่ป่าแก"
แปลว่า ชายขาไม่สักลายอย่ามาเดินเฉียดหน้าบ้านให้เห็น ไปหากินปฏิกูล (ขี้) อยู่ป่าสะแกซะพี่เอ๋ย
"แบ้นบ่บ่อง บ่ให้จ่องขางเฮือน"
แบ้นบ่อง หมายถึง อวัยวะเพศของชายสักลาย ถ้าไม่เห็นอย่างว่าอย่ามาชะโงกหน้าอยู่ข้างเรือนฉันเลย
เวลามีงานบุญบั้งไฟผู้ชายมักเปลือยกายไปคุยกับอีสาว และโชว์อวัยวะเพศที่สักลายให้อีสาวดูว่าสวยปานใด โดยไม่มีใครอับอายขายหน้า อีสาวกับแม่เห็นแล้วก็พูด จ๊ะจ๊ะ จ๋าจ๋า หน้าบานเป็นกระด้งเลยแหละ (อันนี้ผู้เขียนเกิดไม่ทัน มิอาจยืนยันขอรับ)
ปัจจุบัน ความนิยมในการสักลายทุกเพศทุกวัย ลวดลายหลากสีสัน ทั้งมีความนิยมทำเพื่อความสวยงาม เทห์ หรือไปถึงการทำเพื่อสร้างคุณใส ไสยศาสตร์ เสริมแต่งเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีในชีวิต สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสักขาลายโบราณไม่ได้รับความสนใจเหมือนอดีต กล่าวคือ ชาวบ้านทั้งอยู่ตามชนบทและชาวเมืองมีความคิดเห็นว่า ผู้ที่มีลายสักเป็นคนชั้นต่ำเป็นนักเลง หรือคนจรจัด หรือเคยต้องโทษในเรือนจำมาก่อน
2. การสักเพื่อความสวยงาม ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นรสนิยมที่สูงมาก เนื่องจากผู้ชายต้องนุ่งผ้าถกเขมรอย่างขอมโบราณ ทำให้มีโอกาสที่จะอวดลวดลายที่สักบนขาได้เป็นอย่างดี และผู้ใดที่สักขาลายแล้วก็จะทำให้เป็นที่ยอมรับ และเข้าสังคมในหมู่ผู้ชายด้วยกันได้ (ในการสักลายนั้นเมื่อนุ่งผ้าถกเขมรแล้วลายที่สักจะดูเหมือนสนับเพลาของเจ้านายผู้ใหญ่)
ในการสักลายนั้น จะต้องสักขาลายตั้งแม่บริเวณใต้หัวเข่าขึ้นไปถึงใต้บั้นเอว แต่ไม่นิยมสักขึ้นไปจนถึงพุง ดังนั้นชาวไทยอีสานจึงถูกเรียกว่า "ลาวพุงขาว" ส่วนบริเวณต่างๆ ของร่างกายจะมีสักบ้างเล็กน้อยเช่น ที่แขน ที่แก้มหรือแผ่นหลัง เป็นต้น ส่วนคนล้านนา (ภาคเหนือ) นิยมสักบั้นเอวและท้องเป็นสีดำ จึงเรียกว่า "พวกลาวพุงดำ"
อุปกรณ์การสักจะประกอบด้วย เหล็กสัก ซึ่งเป็นเหล็กแหลมปลายสองแฉก คล้ายปลายปากกาคอแร้ง ทำด้วยทองแดง มีด้ามยาวประมาณ 60 - 75 ซม. ปลายด้ามมีโลหะทองแดงหรือตะกั่วหุ้ม เพื่อให้เกิดแรงกดที่ปลายเหล็กแหลมมากๆ เวลาชางสักจะได้ไม่ต้องออกแรงมากเมื่อเวลาสัก และใช้หมึกจีนเป็นน้ำหมึกสัก
กรรมวิธีการสักขาลายที่บันทึกโดย จารุบุตร เรืองสุวรรณ กล่าวว่า มีการใช้เหล็กแหลมแบบสีขาวรวมเป็น 6 แข้ว (ซี่) จุ่มลงในหมึก ซึ่งช่างสักบางคนก็ใช้ใบมันแกวเคี่ยวใส่เขม่าควันไฟ ให้มีสีดำผสมกับบี (ดี) หมู จะทำให้ลวดลายดำสนิทขึ้นมันดี และไม่มีสีแดงแซมขึ้นมา บางทีก็ใข้บี (ดี) ควาย
มีเรื่องเล่าว่า ถ้าใช้บีควายด่อน (เผือก) แล้วเวลาลงน้ำจะปวดปัสสาวะทันที นอกจากนั้น อาจจะใช้บี (ดี) สัตว์อื่นๆ อีกก็ได้ เช่น บีวัว บีหมู บีงู แม้กระทั่งบีปลาค่อ (ปลาช่อน) ซึ่งส่วนมากที่รับทำการสักจะเตรียมทำสำเร็จรูป เคี่ยวให้แห้งเป็นแท่งแข็งไว้ก่อนแล้ว พอถึงเวลาจะใช้จึงนำฝนผสมน้ำอีกทีหนึ่ง แล้วทำการสักหรือกระทุ้งเบาๆ ลงที่ผิวหนังพอให้เลือดออกและสีดำซึมลงไปได้
ส่วน สมชาย นิลอาธิ (2527) ได้รวบรวมสูตรหมึกที่นิยมใช้สักกันทางภาคอีสานไว้ 4 สูตรด้วยกัน คือ
ก่อนที่จะสักลงบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นส่วนใด จะต้องมี การยกครู กันเสียก่อน ซึ่งภาษาอีสานเรียกว่า "ตั้งคาย" เป็นเงินค่ายกครู หรือค่าแรงของคนสักนั่นเอง เงินค่ายกครู นี้เรียกว่า เงินใส่คาย ถ้าเป็นสักขาลายบั้งปลาแดก (ลายบั้งห่างๆ) คิดขาละ 2 สลึง รวม 2 ขา ก็เป็น 1 บาท ถ้าสักขาเต็มรูปแบบ (เหมือนดังนุ่งกางเกง ลายจะทึบกว่ามาก และแน่นอนเจ็บปวดกว่ามาก) คิดขาละ 1 บาท ถ้าสักสองขาก็เสียค่ายกครู 2 บาท ราคาสักไม่แพงเหมือนยุคปัจจุบัน คือ สักที่ข้อมือหรือที่ขา คิดข้างละ 1 สลึง ถ้าอักขระตัวเดียวเสียครึ่งสลึง ถ้าสักแผ่นหลังหรือหน้าอกเต็มแผ่น คิดค่าครู 1 ตำลึง ถ้าไม่มีเงินจ้างเอาลูกหมู หรือไก่สักตัวหนึ่งมาแทน ครูก็ไม่ว่า (สมัยก่อนโน้น)
ผู้ที่จะทำการสักขาจะต้องนำ "ขันธ์ 5" ซึ่งมี ดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมมา 5 คู่ ธูปเทียนอย่างละ 5 คู่ พร้อมกับเงินค่าคายตามที่ตกลงกัน ใส่มาในขันที่สานด้วยไม้ไผ่ที่มีรูปร่างเหมือนกับพานทั่วไป เรียกว่า ขันกะหย่อง ช่างสักขาลายจะกล่าวคำบูชาครูผู้ให้วิชานี้มาแก่ตน
การสักขาลายจะไม่กระทำกันในวันเดือนดับ คือ วันแรม 14 ค่ำ หรือแรม 15 ค่ำ และวันที่มีคนตายในหมู่บ้านนั้น ส่วนใหญ่มักจะนิยมสักในว้นอังคารกับวันพฤหัสบดี เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มียาชา ดังนั้นผู้ที่จะได้รับการสักขาลายจะต้องกิน "ฝิ่น" ขนาดเท่าเมล็ดหมากฝ้าย (เมล็ดฝ้าย) ถึงหนักหนึ่งสลึง ให้เกิดอาการเมา เพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดในขณะที่ลงเข็มสัก
กรรมวิธีการสักลายนั้นจะทำแบบง่ายๆ คือ ให้ผู้ที่จะสักขาลายนอนลง โดยมีลูกมือของช่างสักลายจะจัดท่านอนให้ ช่างสักจะใช้ปลายไม้แแหลมๆ จุ่มน้ำหมีกร่างลวดลายลงบนขาตามที่ต้องการให้เรียบร้อยก่อน แล้วช่างสักก็จะเริ่มสัก โดยการใช้เหล็กสักจุ่มลงในน้ำหมีกจีนซึ่งได้ฝนไว้เรียบร้อยแล้ว และใช้ปลายเท้าขวากดผิวหนังของอวัยวะส่วนที่จะสักให้ตึง แล้วลงมือสัก
เมื่อปลายเหล็กหมดน้ำหมึก ก็จะจุ่มหมีกในกระบอกน้ำหมึกใหม่มาสักต่อจนเสร็จ โดยจะเริ่มสักบริเวณใต้หัวเข่าก่อน และสักขึ้นไปจนถึงปลายบั้นเอว บริเวณที่เจ็บปวดมากที่สุดได้แก่ บริเวณต้นขาและหน้าท้อง เมื่อช่างสักสักขึ้นไปจนถึงต้นขา ลูกมือของช่างสักก็จะใช้กะลามะพร้าวมาครอบอวัยวะเพศไว้ เพื่อกันอายและให้ช่างสักทำงานได้สะดวก ในการสักขาลายปกติจะสักได้วันละหนึ่งขาเป็นอย่างมาก ลวดลายที่สักมักจะเป็นลายสิงห์อยู่ในกรอบหลายๆ ตัวติดกัน ซึ่งตัวสิงห์และตัวลายลงสีทึบ ส่วนลายตรงปลายหัวเข่าและปลายบั้นเอวจะเป็นลายกาบง่ายๆ เมื่อสักลายเสร็จเรียบร้อยแล้วส่วนที่เป็นลายจะนูนขึ้น เนื่องจากผิวหนังบริเวณนั้นอักเสบ และจะยุบประมาณ 6 - 7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ
ในระยะนี้คนที่ร่างกายมีความต้านทานนัอยมักจะมีไข้ จะต้องพักผ่อนจนร่างกายแข็งแรงขึ้น เสร็จแล้วต้องรอถึง 10 วันให้แผลที่ตกสะเก็ดหลุดหมดเสียก่อน ในขั้นแรกจะมีลวดลายเป็นเพียงสีดำหม่นๆ เมื่อแผลหายสนิทจึงจะมีสีดำเข้ม หลังจากสักขาแรก 10 วัน แล้ว จึงสักขาที่ 2 ถ้าสักพร้อมกันทั้ง 2 ขา แผลจะอักเสบมากจนบางคนปัสสาวะไม่ออก และอาจถึงแก่ความตายได้
ลวดลายที่สักโดยทั่วไปเป็นลายมอม (สัตว์ในป่าหิมพานต์) เพราะเป็นสัตว์ที่ทรงพลัง เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำในฝูงสัตว์โลก และเกรงว่าลูกหลานในภายหลังจะไม่รู้จักรูปร่างของสัตว์หิมพานต์ประเภทนี้ บางคนอาจจะสักลายแปลกออกไปบ้าง เช่น ลายนกขอด ลายดอกไม้ โดยเฉพาะการสักลายที่แขน มักจะสักลายดอกผักแว่นทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงชาวส่วยนิยมสักกันมาก
การสักที่แผ่นอกแผ่นหลังมักจะสักเป็นรูปยันต์ และตัวอักขระ ที่เกี่ยวกับความเชื่อทางคาถาอาคม แล้วแต่ครูสักจะจัดให้ตามตำรา หรือตามจินตนาการของช่างสัก ถ้าคนจ้างสักต้องการหมอสักก็ตามใจ เช่น พญานาค (จะเจ็ดเศียรคาบแก้ว มีเขี้ยว มีเล็บ ก็ตามใจ) เสือโคร่ง รูปเจดีย์ หรือยันต์รูปแบบต่างๆ อาจจะมีการสักบนหนังหัวบ้าง เรียกว่า “ลงกระหม่อม” หรือบริเวณใต้หัวเข่าลงไป บางคนก็นิยมสักเป็นรูปงูขดขนาดสั้นเป็นรูป “ขาคีม หรือมีดสะนาก” โดยเชื่อว่าจะป้องกันสัตว์กัดต่อยมีพิษซึ่งเลื้อยคลานหรืออยู่ตามน้ำได้
เมื่อสักลายเสร็จแล้ว ครูก็เป่ามนต์คาถาใส่รอยสักเสียงพึมพำ นัยว่าเป็นการยกครูให้มีความศักดิ์สิทธิ์คงกระพัน สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้สักลายให้ดียิ่งขึ้น เมื่อแผลแห้งสนิทดีทุกที่แล้วจึงนุ่งผ้าถกเขมรไปอวดสาวๆ ได้
ดังที่กล่าวข้างต้นว่า ผู้หญิงชอบชายสักลาย แต่ตัวผู้หญิงเองไม่นิยมสัก แต่ถ้าพบว่ามีลายสักชื่อชายที่ข้อมือของเธอ แสดงว่าชายคนนี้เจ้าชู้ ชีกอ ปลิ้นปล้อนตอแหล ทำให้เธออกหัก เกิดชาติหน้าขออย่าให้เห็นอีกเลย
ถ้าหญิงสักลายที่ต้นขาสองข้าง หัวเหน่า หรือหน้าอก ฝ่ายชายชอบนัก เพราะแสดงว่าหญิงคนนั้นไฟแรงขนาด "ครั้งเดียวไม่เคยพอ" จนผู้ชายบางคนไม่ชอบจนไม่อยากจะคุยด้วย เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่มีเรี่ยวแรงไปทำไร่ไถนา นั่นเอง
สำหรับชายไทยอีสานที่ขาสักลายไปภาคอื่น ผู้คนเห็นแล้วมักกลัวเกรงไม่อยากคบ เพราะกลัวคนขาลายเรียนคาถาอาคมแก่กล้า จนเป็น "ผีปอบ" ชอบกินตับมนุษย์ หรือเข้าสิงคนอื่นให้ป่วย จนคนอีสานที่ไปถีบสามล้อรับจ้างในกรุงเทพฯ สมัยโน้น จะถูกสามล้อภาคอื่นๆ เรียกว่า "พวกเสี่ยวขาลาย" ถ้าเป็นนักมวยสักขาลายมุมน้ำเงิน เซียนมวยก็มักจะเล่นฝ่ายขาลายให้เป็นต่อ คู่ชกบางคนเห็นคู่ต่อสู้เข้าก็กระโดดลงเวทีหนีไปเลยก็มี
ยุคปัจจุบัน การแสดงความเป็นชายกล้าแกร่ง มีความอดทน ขยันขันแข็ง เป็นผู้นำ สามารถดูได้จากสิ่งอื่นๆ ที่มิใช่การสักขาลาย เช่น มีการศึกษา มีอาชีพการงานที่มั่นคง มีทรัพย์สินเพียงพอต่อการอยู่อาศัยและเลี้ยงชีพ ยุคสมัยเปลี่ยน ทัศนคติคนก็เปลี่ยน การสักลายบนร่างกายจึงเปลี่ยนไป เป็นของผู้คนผู้ชื่นชอบเฉพาะกลุ่มเท่านั้น การสักลายจะอยู่ในที่เฉพาะมากขึ้นไม่ได้โชว์หราให้เห็น เพราะมีผลกระทบต่อตนเองทั้งในด้านสุขภาพ และในการประกอบอาชีพการงานกันพอสมควร จนถึงกับต้องมีการไปลบรอยสักเหล่านั้นออกจากร่างกายกันก่อน ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะกระทำให้สะอาดได้หมดจดดังเดิม
เรียบเรียงจาก : ศุภรัตน์ แสงฉัตรแก้ว (2560)
“สักขาลาย” อัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสาน, มหาวิทยาลัยศิลปากร.
สักขาลาย รอยประวัติศาสตร์ผ่านน้ำหมึก ที่เริ่มเป็นเพียงภาพจำแห่งอดีต I ประวัติศาสตร์นอกตำรา
การสักบนร่างกาย ย่อมมีอันตรายที่อาจเกิดต่อผิวหนังด้วย คือ
ผู้มีรอยสักมักจะมีความต้องการลบรอยสัก เมื่อต้องการเข้าสมัครงานหรือสมัครเรียน การลบรอยสักทำได้ยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับปริมาณของรอยสัก และตำแหน่งที่มีรอยสักอยู่ในส่วนใด ในอดีตมีการลบรอยสักดังนี้
ปัจจุบันการรักษาด้วย Q-switched laser (Ruby 694), Alexandrite 755, Nd-YAG (1064) ได้ผลดีมาก หายมากกว่า 90 % ขึ้นไป หลังทำ laser 6-8 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 4-8 สัปดาห์
เรื่องที่เกี่ยวข้องน่าสนใจ : กว่าจะได้ภาพ 'รอยสัก' ผู้เฒ่าอีสาน | ผู้บ่าวขาลายแห่งคนสุดท้ายภูผาม่าน
“การโจลมะม็วด” เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่คนในชุมชนเขมร ไม่ว่าจะอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ หรือแม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สาธารณรัฐกัมพูชาประชาธิปไตย ยังคงถือปฏิบัติสืบต่อกันมา แม้ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดกับคนในหมู่บ้าน หรือชุมชน และสมาชิกในชุมชนไม่สามารถหาคำตอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีคนในหมู่บ้านเกิดอาการเจ็บป่วยแบบไร้สาเหตุ และได้พยายามรักษาในทางวิทยาศาสตร์ จนถึงที่สุดแล้วก็ไม่สามารถรักษาได้ สิ่งสุดท้ายที่คนในชุมชนจะต้องนึกถึงก็คือ เกิดจากการกระทำของครูกำเนิด อาจถูกคุณไสย อาจเกิดจากการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือคนป่วยอาจเคยกระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกิน หรือเป็นเหตุให้อำนาจเหนือธรรมชาติไม่พอใจ จะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม (สำหรับบางคนอาจเจตนากระทำ เพราะไม่เชื่อหรือศรัทธา) โดยญาติจะต้องรีบเชิญคนดีมีวิชามา “ถอนคุณไสย” ให้ หรือแก้ไขโดยการขอขมาและทำให้ภูตผีเหล่านั้นพึงพอใจ
ปกติคนในชุมชนเขมรมักจะมีความเชื่อร่วมกันว่า อะไรก็ตามที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ก็น่าจะมาจากอำนาจที่มองไม่เห็นกระทำให้มีเหตุร้าย ดังนั้นเมื่อมีเหตุให้เป็นไปแล้ว คนส่วนใหญ่ในชุมชนเขมรก็มักนึกถึง 'ร่างทรง' หรือ 'แม่มะม็วด' เพราะเชื่อว่า สามารถทำนายทายทักและหาวิธีแก้ไขให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้ เหตุนี้ พิธีกรรมการโจลมะม็วด จึงเป็นสื่อกลางเพียงอย่างเดียว ที่คนในชุมชนเขมรจะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อติดต่อสื่อสารกับอำนาจเหล่านั้น อันจะนำไปสู่หนทางแก้ไขความผิดพลาดได้ทันท่วงทีและถูกทาง เช่น ขอขมาลาโทษ เซ่นสรวงบูชา หรือการทำสิ่งต่างๆ ตามที่ร่างทรง (แม่มะม็วด) แนะนำให้ปฏิบัติ ปัจจุบันพบว่า พิธีกรรมการโจลมะม็วด ยังคงอยู่ควบคู่กับคนในชุมชนเขมร จังหวัดสุรินทร์อย่างเหนียวแน่น ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังคงอยู่คู่ หมู่บ้านปรือเกียน ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และชุมชนละแวกใกล้เคียง เห็นได้จากในชุมชนยังใช้พิธีกรรมนี้รักษาคนในครอบครัว และญาติที่เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เนืองๆ แม้ว่าความเจริญทางวิทยาศาสตร์จะรุดหน้าไปมากก็ตาม ซึ่งก็ทำให้คิดได้ว่า นั่นน่าจะเป็นเพราะพิธีกรรมนี้ยังคงมีบทบาทหน้าที่บางประการต่อชุมชนนั่นเอง
พิธีกรรมการโจลมะม็วด (“โจล–มะ-ม๊วด” หรือ รำผีฟ้า หรือ แม่มด) หมายถึง การเข้าทรงเพื่อทำการรักษาโรค คำว่า โจล แปลว่า เข้า (ทรง) มะม็วด แปลว่า แม่มด ดังนั้น โจลมะม็วด จึงหมายถึง การเข้าทรงแม่มด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ ทำการรักษาโรค ของสังคมชาวเขมรในแถบอีสานใต้ และเป็นการทำนายทายทัก หาสาเหตุการเจ็บป่วย ตามวิถีแบบดั้งเดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาการป่วยที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ แต่ชาวบ้านมักเชื่อว่า การที่หาสาเหตุไม่ได้อาจเป็นเพราะการกระทำของอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น เกิดจากการกระทำของ ครูกำเนิด (กรูกำเนิต) อาจถูกคุณไสย อาจเกิดจากการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งอาจเพราะมีวิญญาณร้ายสิงสู่ เป็นต้น ดังนั้นญาติพี่น้องจึงได้เชิญ “แม่มะม็วด” มาประกอบพิธีกรรม เพื่อหาที่มาและเป็นการขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้าย หรือขอขมาลาโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ป่วย (หมายรวมถึงคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง) อาจล่วงเกินโดยไม่เจตนา ทั้งนี้จะใช้ดนตรีเป็นสื่อในการประกอบพิธี รวมทั้งเพื่อเป็นการบูชาและสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ป่วยทางหนึ่งด้วย
คนในชุมชนเขมรนิยมรักษาโรคด้วยพิธีกรรมการโจลมะม็วด เพราะมีความเชื่อว่า จะสามารถแก้ไขเรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดีได้ ซึ่งการรักษาด้วยพิธีนี้มักจะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลจากแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว อาการป่วยไม่ดีขึ้น โดยมีร่างทรงซึ่งเรียกว่า แม่มะม็วด หรือ ครูมะม็วด ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับอำนาจเหนือธรรมชาตินั้นๆ เพื่อแสวงหาวิธีการรักษาผู้ป่วย
โดยปกติแล้วคนในชุมชนเขมรซึ่งประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก จะยังคงเชื่อถือประเพณีต่างๆ โดยเฉพาะเชื่อเรื่อง ฝนฟ้า จึงมีการจัดพิธีกรรมโจลมะม็วด เพื่อขอฝนในช่วงวาระการเข้าสู่ฤดูการทำนา ส่วนบางครอบครัวบางสายตระกูลเชื่อถือบรรพบุรุษมาก เชื่อว่ามนุษย์เกิดมามีครูกำเนิดติดตัว จึงได้ทำ "จวมกรู" อันเป็นสัญลักษณ์แทน ครูกำเนิด ไว้ประจำบ้าน (เพื่อบูชา) เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นในบ้านก็มักจะสันนิษฐานว่า ครูกำเนิดเป็นสาเหตุ ดังนั้นจึงจะต้องเล่นมะม็วดให้ครูกำเนิดได้สนุกสนาน (คนเขมรเชื่อว่า ครูกำเนิดชอบร่ายรำและเสียงดนตรี) ไม่มารบกวนบุคคลในครอบครัวในสายตระกูล หรือในหมู่บ้าน การโจลมะม็วด ที่นิยมกันในปัจจุบัน พบในแถบอำเภอเมืองเป็นส่วนใหญ่ และมีประปรายตามอำเภอต่างๆ ที่มีชาวสุรินทร์ที่พูดภาษาเขมรอาศัยอยู่
การกำหนดระยะเวลาประกอบพิธีโจลมะม็วดนั้น ปกติแล้วจะต้องเป็นไปตามหลักการของการประกอบพิธีกรรมคือ ระหว่างเดือนสาม คือ มาฆะ (ภาษาเขมร เรียกว่า แคเมี้ยกทม) เดือนสี่ คือ ผลาคุณ (ภาษาเขมร เรียกว่า แคปะกุล) และเดือนห้า (ภาษาเขมรเรียกว่า แคแจด) ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการเสี่ยงทายที่เรียกว่า การโบล (การทำนายโรคภัย) ซึ่งหมายถึงวิธีการหาสาเหตุของการเจ็บป่วยของผู้ป่วย โดย ผู้เสี่ยงทาย (เนียะโบล) จะรับพานเครื่องยกครู แล้วใช้มือขวาจับเส้นด้ายที่แขวนเต้าปูน ส่วนมือซ้ายมีข้าวสารที่ฝ่ามือรองรับใต้เต้าปูน ซึ่งผู้เสี่ยงทายจะร่ายเวทมนตร์คาถา ถ้าสาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากผี เต้าปูนจะแกว่งไปมา ถือเป็นคำตอบ ซึ่งในแต่ละหมู่บ้านจะมี ผู้เสี่ยงทาย หรือ เนียะโบล ที่เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน หากผู้เสี่ยงทายบอกว่า จะต้องประกอบพิธีกรรมโจลมะม็วดเพื่อจะได้ทราบสาเหตุการเจ็บป่วยที่แท้จริง ญาติพี่น้องของผู้ป่วยก็ต้องประกอบพิธีตามวันเวลาที่ผู้เสี่ยงทายระบุ ยกเว้นวันพระ
ซึ่งก่อนวันได้ฤกษ์ต้องมีการเตรียมการจัดเเจงข้าวของ เชิญเเขก ญาติ คณะแม่มะม็วด ที่เคยผ่าน การโจลมะม็วด ในเครือญาติ ต้องเชิญมาให้หมดเท่าที่จะทำได้ และมีการเตรียม ปะรำพิธี หรือ ตะซาล (เป็นภาษาท้องถิ่นสุรินทร์อ่านว่า ตะ-ซาล แปลว่าโรงเรือนสำหรับประกอบพิธี) สำหรับการประกอบพิธีกรรม จากการสัมภาษณ์ทราบว่า แต่ก่อนหากจะสร้างปะรำพิธีขึ้นมา ชาวบ้านจะมาลงแรงช่วยกัน วัสดุอุปกรณ์ในการสร้างก็สามารถหาได้ในท้องถิ่น การทำตะซาลนั้นได้มีการเอาเสาไม้ที่มีง่ามจำนวน 9 ต้น โดยจะมีเสาตรงกลางปะรำสำหรับผูก "ประต็วล" แล้วเอาไม้พาดเป็นขื่อบนง่าม หลังจากนั้นจะใช้ทางมะพร้าวสดผ่าเป็น 2 ซีกมุงหลังคาวางซ้อนๆ กัน แต่ปัจจุบันนี้ทางมะพร้าวเริ่มหายาก เพื่อความสะดวกและประหยัดเวลาเจ้าภาพก็จะใช้วิธีกางเต็นท์แทน อย่างไรก็ตามก็ต้องอาศัยความร่วมมือ และน้ำใจของผู้ชายในหมู่บ้านมาช่วยเตรียมสถานที่ นอกจากนี้ ด้วยระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมที่ค่อนข้างยาวนาน (ไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง) เจ้าภาพจึงมักจะขอแรงเพื่อนบ้าน (โดยเฉพาะผู้หญิง) มาช่วยทำบข้าวสำหรับเลี้ยงแขก ทั้งคณะแม่มะม็วด นักดนตรี ญาติพี่น้อง และชาวบ้านผู้มาร่วมในพิธี
"ประต็วล" ซึ่งเป็นภาชนะทำด้วยไม้ไผ่สานเป็นรูปกรวย ใช้สำหรับใส่เครื่องเซ่นสรวงเทพยดา ภายในประต็วลจะมีเครื่องเซ่นไหว้ ได้แก่ ไก่ต้ม 1 ตัว ขนมข้าวต้ม กรวยที่ใส่ดอกไม้ 5 อัน เทียน 2 เล่ม ส่วนด้านล่างที่อยู่ติดกับพื้นดินจะวางกระเชอใส่ข้าวเปลือก บริเวณที่นั่งทรงปูด้วยฟูกแบบครึ่งท่อน มีผ้าขาวปูทับไว้อีกชั้นหนึ่ง ข้างบนผ้าขาวมีบายศรีปากชามวางอยู่ด้านซ้ายและขวา มี "จวม" หรือ "จวมกรู" 2 คู่ เป็นกระทงบูชาครูต้นกำเนิด
ผู้ประกอบพิธี (ครูมะม็วด) ในจังหวัดสุรินทร์มีหลายคน ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือ แม่ณี (นางอรุณี นาคชาติ) ส่วนแม่มะม็วดในหมู่บ้านปรือเกียนที่เป็นที่รู้จักคือ นางเคลียง ดวงเดียว และนางสุคนธ์ ฉายกล้า แม่มะม็วด คือ ผู้ได้รับการสืบทอดมาจากครูมะม็วดคนก่อนที่ได้ล่วงลับไปแล้ว มีลักษณะคล้ายการสืบทอดวิชาเช่น กรณี นางสุคนธ์ ฉายกล้า ก่อนที่จะมีองค์เข้าสู่ร่าง ก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เจ็บออดๆ แอดๆ บางครั้งก็ปวดหัว บางครั้งก็ปวดท้อง บางครั้งก็เจ็บหน้าอก บางครั้งก็เหนื่อยเพลีย ลุกไม่ไหว ไปหาหมอแผนปัจจุบันเพื่อตรวจอย่างละเอียด เอ็กซเรย์ และเจาะเลือดตรวจ ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ อาการที่หนักที่สุดคือรู้สึกว่าตนเองคล้ายเป็นประสาท บางคนก็หาว่าบ้า หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง
อยู่มาวันหนึ่งรู้สึกว่า ตนเองเจ็บหน้าอก และปวดท้องอย่างรุนแรง เหมือนมีคนเอามีดปลายแหลมมาแทงเข้าร่าง ไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่จะพูดกับใคร สามีและลูกๆ รวมทั้งชาวบ้านจึงได้พาไปส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง หลังจากหมอฉีดยาให้เข็มหนึ่งก็ให้กลับบ้าน เพราะหมอเห็นว่าร่างกายปกติดีทุกอย่าง ไม่มีโรคภัยอะไร แต่นางสุคนธ์ก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองกำลังจะตายทุกครั้งที่กลับมาที่บ้าน เมื่อทุกคนเห็นว่าอาการหนักก็พาไปโรงพยาบาลอีกเป็นอย่างนี้หลายครั้งแต่อาการก็ไม่ดีขึ้น จนในที่สุดก็ต้องหันไปพึ่งวิธีแบบชาวบ้านคือ การให้คนทรงทำนายทายทัก เพราะเห็นว่าเป็นหนทางสุดท้าย คนทรงได้ทำนายว่า มีองค์ลงมาประทับในร่างนางสุคนธ์ 2 องค์ และจะต้องทำพิธีรับองค์ จึงจะได้หายจากอาการเจ็บปวดดังกล่าว หลังจากทำพิธีรับองค์ นางก็หายจากการเจ็บป่วยทุกอย่าง และกลายเป็นร่างทรง (แม่มะม็วด) มาจนทุกวันนี้ ส่วนพิธีการรับองค์นั้นคล้ายกับการเล่นมะม็วด การจัดรับองค์นั้นก็คือ องค์เทพทุกองค์ ปู่ย่าตายาย และมีการจัดบูชาเจ้ากรรมนายเวรด้วย
ในที่นี้จะมีสองส่วน ส่วนแรกคือ คนในครอบครัว ญาติพี่น้องในตระกูล และเพื่อนบ้านในชุมชน ซึ่งมักจะนับถือผีบรรพบุรุษเดียวกันเป็นผู้มาร่วมพิธีกรรม โดยอาจนำ "จวมกรู" ของตนเอง และเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น มะพร้าว ผัก พริก ปลาแห้ง หอม กระเทียม ข้าวสาร เงิน ฯลฯ มาช่วยเจ้าภาพ เพื่อใช้ประกอบอาหารหรือทำสิ่งของเพื่อเซ่นบวงสรวงผีบรรพบุรุษในการโจลมะม็วด ส่วนที่สองคือ ผู้ป่วย ผู้ป่วยนั้นจะถูกกำหนดให้นั่ง หรือนอนอยู่ในบริเวณปะรำพิธี หรืออยู่ในที่พักอาศัยตามความเหมาะสม
นักดนตรี ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก แต่ก่อนเจ้าภาพจะเชิญ หรือขอความอนุเคราะห์คนในหมู่บ้าน ที่มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรี มาช่วยเล่นดนตรีให้ แต่ปัจจุบันนักดนตรีมักจะได้รับการว่าจ้างมาจากหมู่บ้านอื่น บางครั้งก็เป็นทีมงานมาพร้อมกับแม่มะม็วดอยู่แล้ว เจ้าภาพไม่ต้องไปทาบทาม หรือเชิญมาเอง แต่ว่าเจ้าภาพจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เครื่องดนตรีและท่วงทำนองเพลงที่ใช้ มีดังนี้
ในพิธีกรรมโจลมะม็วดนั้น จากการสังเกตการณ์ 3 ครั้ง พบว่า กรณีที่ นางอรุณี นาคชาติ เป็นผู้นำหรือเจ้าพิธี จะเริ่มต้นพิธีด้วยการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยในเบื้องต้นแล้ว จากนั้นก็จะบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ อาทิ เทพเจ้าทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพรหม พระศิวะ พระอิศวร พระแม่ลักษมี พระอินทร์ พระแม่อุมา แม่โพสพ นางกวัก ฯลฯ หากเทพเจ้าบางองค์เป็นองค์เดียวกับที่ผู้ป่วย และคนในครอบครัวนับถือ ก็จะมีการนำสัญลักษณ์ของเทพเหล่านั้นมาร่วมร่ายรำในพิธีด้วย ซึ่งการบูชาเช่นนี้อาจมองได้ว่า เป็นการขอพรขอขวัญกำลังใจให้การประกอบพิธีกรรมเป็นไปด้วยดี และยังเป็นการขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ตามปกป้องคุ้มครอง ตัวแม่มะม็วด ผู้ป่วย คนในครอบครัว ญาติ และ ผู้เข้าร่วมในพิธีกรรมทุกคนด้วย
ทั้งนี้หากขณะที่มีการประกอบพิธีกรรมปรากฏว่า ผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลีย ยกแขนขาไม่ขึ้น แม่มะม็วดจะทำพิธี “เฮาปลึง” หรือ เรียกขวัญ เพราะเชื่อว่าขวัญของคนป่วยคนนั้นไม่อยู่ในตัวตน จะต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับมา ในการ เรียกขวัญ (เฮาปลึง) นั้น แม่ครูมะม็วดจะเชิญเทพมาเข้าร่าง ซึ่งมักจะอ้างอิงเทพแห่งการแพทย์และพยาบาล (พระโพธิสัตว์) ช่วงเวลาของการประทับร่างทรงจะเห็นว่า ครูมะม็วดจะร้องเพลง เชิญชวนให้ขวัญที่หายไปจากร่างผู้ป่วยกลับมา (ร้องเป็นภาษาเขมร) ซึ่งการร้องเรียกขวัญของแม่ครูมะม็วดจะใช้เวลานานมาก มีการพรรณนาถึงความทุกข์ร้อน อาการเจ็บไข้ของผู้ป่วย พรรณนาถึงสถานที่ที่ขวัญไปอยู่แล้วไม่สบาย ให้กลับมาคืนรูปเดิมเพื่อความสบายใจทุกฝ่าย เมื่อแม่ครูร้องจบลง ดนตรีที่บรรเลงหยุดลงเช่นกัน ผู้ร่วมพิธีทั้งหลายก็ร่วมกันตะโกนอย่างแซ่ซ้องเรียกหา “ขวัญ” ให้คืนร่างตามแม่ครูมะม็วด แล้วก็ผูกข้อมือให้คนป่วย ต่อจากการพรรณนาหาขวัญ เรียกขวัญมาแล้ว
อนึ่ง ขณะที่แม่ครูมะม็วดประกอบพิธีกรรมให้องค์มาประทับร่าง (องค์ที่ว่าอาจจะเป็นครูกำเนิด ผีบรรพบุรุษ สิ่งอื่นใดที่มาทำให้เกิดการเจ็บป่วย) นั้น คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งอยู่ในปะรำพิธีจะตั้งคำถามเป็นระยะๆ ว่า เหตุใดผู้ป่วยจึงเจ็บไข้และมีอาการเช่นนี้ (ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่ามีอาการอย่างไรก็จะช่วยกันพูดออกมา) และถามต่อว่าต้องทำอย่างไรจึงหายดี เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่ง ก็ได้รับคำตอบว่ามีผีปู่ตาประจำหมู่บ้านมาประทับร่าง ท่านก็จะบอกว่า คนป่วยเคยพูดจาลบหลู่ท่าน บางรายก็ไปปัสสาวะรดอาณาบริเวณที่ท่านพำนักโดยไม่ให้ความยำเกรง ท่านโกรธจึงบันดาลให้เจ็บป่วย เมื่อได้ยินเช่นนั้นร่างทรงบริวาร ญาติและชาวบ้านที่นั่งอยู่ในพิธีก็จะถามว่า แล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร ในบางรายผู้ที่ประทับร่างก็บอกวิธีแก้ไขโดยการต้องถวายของเซ่นให้ ณ ขณะนั้น ได้แก่ หมาก พลู ยาสูบ เหล้าขาว หรือ น้ำหวาน เป็นต้น ส่วนใหญ่ญาติๆ ผู้ป่วยมีการเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว ก็สามารถยกถวายได้ทันที หากท่านได้สูบยา เคี้ยวหมาก ดื่มเหล้า หรือ หรือรับประทานสิ่งที่ต้องการ ก็จะตอบว่า พอใจแล้วก็จะออกจากร่างทรงไป แต่ในบางรายผู้ที่มาประทับร่างแม่ครูมะม็วดอาจต้องการที่จะร้องรำทำเพลงร่วมกับคนป่วยและญาติ
ฝ่ายนักดนตรีก็ต้องบรรเลงเพลงที่องค์ชอบ และเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านพอใจ ในบางรายหากองค์ต้องการให้ญาติพี่น้องลุกรำด้วยกัน ทุกคนก็ต้องลุกรำตามที่ขอ ในขณะที่บางรายกุมารทองมาประทับร่างก็บอกว่า อยากทานขนม อยากดื่มน้ำแดง ก็ต้องถวายให้ หรือหากต้องการให้เจ้าของบ้านตั้งศาลให้ได้ประทับอยู่ในอาณาบริเวณบ้านของผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยก็ต้องทำทันทีหลังเสร็จสิ้นพิธีกรรม จากการร่วมสังเกตการณ์และสัมภาษณ์ผู้ร่วมในพิธีกรรมทราบว่า องค์ที่มักเข้ามาประทับร่างแม่ครูมะม็วด ได้แก่ ครูกำเนิดของผู้ป่วย ผีบรรพบุรุษ ผีปู่ตาประจำหมู่บ้าน ผีไร่ผีนา ฤาษี นางกวัก แม่โพสพ กุมารทอง หรือญาติของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นต้น
จากการสัมภาษณ์อดีตผู้ป่วยรายหนึ่ง ได้บอกว่า ตอนที่ป่วยนั้นก็ไม่ทราบว่า ไปทำอะไรผิดมา แต่เมื่อแม่ครูมะม็วดได้รับการประทับร่างและบอกว่า ตนไปฟันจอมปลวกใหญ่ในที่นา โดยไม่ได้มีการบอกกล่าว ทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ที่จอมปลวกนั้นไม่พอใจ จึงบันดาลให้เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อได้ทราบวิธีแก้ไขว่าต้องมีการเซ่นไหว้ขอขมา หลังจากประกอบพิธีกรรมเสร็จ ญาติพี่น้องก็ได้เตรียมเครื่องเซ่นไหว้ไปขอขมาบริเวณที่เคยเป็นจอมปลวกทันที จากนั้นไม่นานผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น และหายเป็นปกติในที่สุด จากการสัมภาษณ์ผู้ที่เคยป่วยไข้หลายราย ก็ได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันว่า หลังประกอบพิธีแล้วอาการป่วยก็จะทุเลาขึ้น หลายรายก็หายจากอาการป่วยอย่างเหลือเชื่อ
จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมตามลำดับขั้นคือ แม่ครูมะม็วดจะทำหน้าที่เป็นเจ้าพิธี เป็นผู้รำดาบเรียกว่า รำกาบเป (กาบ มาจากภาษาเขมร แปลว่า ฟัน, เป แปลว่า กระทงกาบกล้วย) เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร ไม่ให้เข้ามาขัดขวางการประกอบพิธีกรรม และหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องทำหน้าที่เข้าทรงครั้งสุดท้ายก่อนเสร็จพิธีโจลมะม็วดในครั้งนั้น ซึ่งเรียกว่า การซาปดาน ทั้งนี้จะต้องมีผู้ประกอบพิธีกรรมคนอื่นๆ ที่เรียกว่า บริวาร ซึ่งสามารถเข้าทรงได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้อาวุโส เช่น ครูมะม็วด มาเข้าทรงร่วมกันในพิธีกับครูมะม็วดด้วย ส่วนคนที่ร่วมในพิธีก็จะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกข้อมือคนป่วย และร่วมเรียกขวัญไปพร้อมด้วยอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี
พิธีกรรมการโจลมะม็วด นับว่าเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจของคนในชุมชน เพราะสามารถสร้างความอบอุ่นและปลอดภัยแก่คนในหมู่บ้านได้ ในยามที่คนเราต้องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดด้านร่างกาย ทางใจ และความตาย อาจกล่าวได้ว่า พิธีกรรมการโจลมะม็วด สามารถช่วยให้ชาวบ้านได้หนีจากความเจ็บปวดทางใจได้ทางหนึ่ง กล่าวคือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจในยามที่มีปัญหา และไม่สามารถหาทางออกได้ จากการสัมภาษณ์คนในชุมชนได้ทราบว่า คนในชุมชนมีความแตกต่างหลายด้านทั้งในแง่ความคิด ความเชื่อ และสิ่งของที่บูชา แต่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านต่างมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างเดียวกัน คือ การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลรักษาตนเองและหมู่บ้าน ดังปรากฏว่า มีการบูชาศาลปู่ตาประจำหมู่บ้านร่วมกัน ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี การเคารพต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน หรือการร่วมกันมาให้กำลังใจผู้ป่วย เมื่อมีการประกอบพิธีกรรมการโจลมะม็วดในครอบครัวใด ครอบครัวหนึ่ง การกระทำเช่นนี้สามารถสะท้อนให้เห็นว่า ชาวบ้านในชุมชนมีเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจร่วมกัน ทั้งการยอมรับนับถือในสิ่งที่มีตัวตน เช่น พระสงฆ์ และในสิ่งที่ไม่ตัวตน เช่น ผี เทวดา ศาลปู่ตา (ตาจ้ะเสราะ) ประจำหมู่บ้าน เป็นต้น
ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม แต่ถือได้ว่า พิธีกรรมการโจลมะม็วด สามารถเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เป็นที่ยอมรับกันในชุมชนเขมรหมู่บ้านปรือเกียนได้เป็นอย่างดี และจากความเชื่อความศรัทธาต่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ชาวบ้านก็จะหาทางแสดงออกมา จนเกิดเป็นพิธีกรรมที่สอดคล้องกับความเชื่อของตน เช่น ประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ประจำปี หรือประกอบพิธีกรรมการโจลมะม็วดในก่อนถึงฤดูการดำนา หรือในยามที่เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้สามารถเป็นเครื่องชี้บอกถึงความเชื่อของชาวบ้านได้ โดยการส่งผ่านมาสู่พิธีกรรมการขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ตนอาจจะทำการลบหลู่ดูหมิ่น จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม รวมไปถึงการได้มีโอกาสตอบแทนโดยการเซ่นไหว้ รวมทั้งการขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นช่วยประทานพรให้ตนเองและชาวบานอยเย็นเป็นสุข พิธีกรรมการโจลมะม็วดจึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน อย่างน้อยการที่แม่ครูมะม็วด (เจ้าพิธี) และแม่มะม็วดคนอื่นๆ รับองค์มาประทับในร่าง ชาวบ้านก็รู้สึกอุ่นใจว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาคอยปกป้องคุ้มครอง ส่วนผู้ป่วยที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุรวมไปถึงญาติก็รู้สึกอุ่นใจที่พิธีกรรมดังกล่าว สามารถช่วยไขข้อข้องใจในอาการเจ็บป่วยได้ ทำให้ญาติและผู้ป่วยมีกำลังใจว่าอาการเจ็บป่วยจะดีขึ้น จึงนับว่า พิธีกรรมการโจลมะม็วด ได้แสดงบทบาทหน้าที่ในฐานะที่เป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
การประกอบพิธีกรรมการโจลมะม็วด เพื่อรักษาคนป่วยแต่ละครั้งนั้น ลูก หลานที่ทำงานอยู่ในที่ห่างไกล จะต้องเดินทางกลับมาร่วมในพิธีด้วยเสมอ เพื่อเป็นการให้กำลังใจคนป่วย และมาร่วมรับฟังสาเหตุเพื่อจะได้แก้ไขร่วมกัน จากการสัมภาษณ์คนในครอบครัวของผู้ป่วยรายหนึ่ง ทำให้ทราบความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่ว่า “มีความสุขที่ได้เห็นลูกหลานกลับมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า มาให้กำลังใจพ่อ และมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากตนเอง ตลอดจนคนในครอบครัวด้วย เพราะมีโอกาสไม่มากนักที่จะได้พบลูกหลานของตนเอง นอกจากวันหยุดสำคัญประจำปี”
ส่วนลูกหลานก็กล่าวว่า “จำเป็นต้องมา เพราะหากไม่มา อาจทำให้ผีปู่ย่าตายายไม่พอใจได้ ที่สำญคืออยากให้พ่อหายจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นมานานแล้ว เมื่อแพทย์สมัยใหม่รักษาไม่หาย ก็คงต้องพึ่งพาวิธีการแบบโบราณ ซึ่งปฏิบัติกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ แม้ใครไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ ไม่หายก็ไม่เป็นไรถือว่าได้ลองแล้ว หากหายขึ้นมาก็นับเป็นความโชคดีที่สุด”
โจลมะม็วด (โจน-มะ-ม็วด) พิธีกรรมความเชื่อรักษาโรค
พิธีกรรมการโจลมะม็วด นอกจากจะทำให้ลูกหลานได้กลับมาานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อสร้างกำลังใจแก่ผู้ป่วยแล้ว ความร่วมมือร่วมใจกันของชาวบ้านหรือผู้ที่มาร่วมงาน ก็ทำให้เห็นถึงพลังความสามัคคี ความห่วงใยในสุขทุกข์ของคนในชุมชนเดียวกันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การที่ชาวบ้านต่างก็นำปัจจัยมาช่วยอาจเป็นเงินทอง ข้าวสาร อาหารแห้ง พืช ผัก ผลไม้ ติดมือมาให้บ้านเจ้าภาพ ก็แสดงให้เห็นถึงน้ำใจอันงดงามของชาวบ้าน ซึ่งข้าวสารที่ชาวบ้านนำมานั้นส่วนใหญ่จะใช้ในการประกอบพิธี ส่วนหนึ่งก็นำใช้ในการขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากตัวผู้ป่วย และผู้ที่ร่วมอยู่ในพิธีกรรมก็จะร่วมทำไปพร้อมกันด้วย (เรียกว่า การปจีร)
นอกจากนี้คนอื่นๆ ยังได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า ต้องการมาให้กำลังใจผู้ป่วย ในขณะเดียวกันก็อยากให้แม่มะม็วดขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปจากตน และคนในครอบครัวด้วยจึงเต็มใจมาร่วมงาน ซึ่งแต่ละคนก็ตั้งใจที่จะร่วมพิธีกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก่อนทราบว่าจะใช้เวลาประกอบพิธีกรรมตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งรุ่งเช้าของอีกวัน (ไม่นับช่วงเตรียมงาน) แต่ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 7-8 ชั่วโมง โดยเริ่มจาก 6 โมงเย็น หรือ 1 ทุ่ม และเสร็จสิ้นประมาณ 2 หรือ 3 นาฬิกาของอีกวัน เท่าที่สังเกตทุกคนที่ร่วมงานไม่มีผู้ใดแสดงทีท่าว่าเบื่อหน่าย หรือรีบกลับไปนอน ยิ่งดึกยิ่งพบว่าหลายคนลุกขึ้นมาร่วมรำไปพร้อมกับแม่มะม็วดอย่างสนุกสนาน ซึ่งการแสดงออกของชาวบ้านทำให้เห็นว่า พิธีกรรมการโจลมะม็วด ได้แสดงบทบาทในด้านการเป็นเครื่องมือในการรวมตัวกันของลูกหลาน และเป็นแหล่งรวมความสามัคคีของคนในหมู่บ้านได้เป็นอย่างดี เหนือสิ่งอื่นใด การปฏิบัติและการเสียสละของชาวบ้านสามารถสะท้อนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของกลุ่มชน และเป็นเสมือนแหล่งรวมคนให้มีกิจกรรมร่วมกันอย่างชัดเจน
ข้อมูล : อาจารย์สารภี ขาวดี
อาจารย์ประจำหลักสูตรภาษาไทยและการสื่อสาร คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : เรือมม็วด (การรำบวงสรวงบูชา) | ความเชื่อเรื่องผีในชุมชนอีสาน
ด้วยอาณาเขตที่กว้างขวางของภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนในภาคอีสานนั้น มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และสภาพวิถีชีวิต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ คือ ส่วนที่มีวัฒนธรรมภาษา กูย เขมร ในพื้นที่บริเวณกลุ่มจังหวัดอีสานใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์) และส่วนที่มีวัฒนธรรมภาษาไทลาว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนมากบริเวณกลุ่มจังหวัดในเขตอีสานตอนเหนือ (ซึ่งในพื้นที่นี้ ก็ยังมีชาติพันธุ์กลุ่มย่อยออกไปอีกหลายกลุ่ม เช่น ภูไท ไทญ้อ ไทโส้ แสก เหวียดเกี่ยว ฯลฯ)
ชาวอีสานกับความเชื่อเรื่อง "ผี" มีความสัมพันธ์กันในลักษณะการพึ่งพาอาศัย ตามบทบาทหน้าที่ของผีแต่ละประเภท ด้วยการขอพรและต่อรองในสิ่งที่ต้องการหรือการบนบาน ชาวอีสานเรียกการบนบานว่า “การบ๋า” เป็นการขอให้ผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือให้ได้รับความสำเร็จในเรื่องต่างๆ มักจะบนบานในเรื่องลาภยศชื่อเสียง ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย โดยต้องแจ้งเวลา สถานที่ และสิ่งที่จะนำมาตอบแทนแลกเปลี่ยน หากประสบความสำเร็จ นอกจากนั้น โดยทั่วไปชาวอีสานมักจะบนบานเกี่ยวกับ ฝน ปริมาณน้ำ อากาศในฤดูทำนา บนเพื่อไม่ให้ติดทหารเกณฑ์ การบนเพื่อให้การค้าขายได้กำไร บนเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือสอบบรรจุข้าราชการได้ การกล่าวขอพรในโอกาสที่จะต้องมีการเดินทาง ย้ายถิ่นฐาน หรือย้ายเข้ามาในหมู่บ้าน การแต่งงานมีครอบครัวใหม่ เป็นต้น เมื่อประสบผลสำเร็จตามความประสงค์ก็จะตอบแทนผี ด้วยการแสดงความเคารพผ่านเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ หรือมอบสิ่งของ อาหาร หรือมหรสพให้ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าไม่ทำตามที่บ๋าหรือบนบานก็จะ "ผิดผี" ทำให้เกิดเหตุร้ายต่างๆ ตามมาได้
ความเชื่อเรื่อง "ผี" เกิดขึ้นจากความไม่รู้ของมนุษย์ และความไม่รู้นั่นเองที่เป็นที่มาของ 'ความกลัว' มนุษย์กลัวความมืดมิด เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในความมืดนั้น และสิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดในความมืดก็คือ ดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ที่พวกเราเรียกกันว่า "ผี" นั่นเอง ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงของคนในชุมชน เป็นศูนย์รวมจิตใจ ความรักสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชนจากการเคารพนับถือ ผีปู่ย่า-ตายาย บรรพบุรุษ เกิดการเซ่นสรวงบูชาร่วมกันขึ้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษา แต่วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในภาคอีสานก็ยังคงเป็น 'ชุมชนเกษตรกรรม' มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นภูมิภาคที่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบชีวภาพ ภูมิภาคอีสานมีความผูกพันกับธรรมชาติ และมีการถ่ายทอดแนวคิด ภูมิปัญญา คติ ความเชื่อ จนเป็นแบบแผนการดำรงชีวิตที่สำคัญของชุมชน หลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีปฏิบัติของชาวอีสานคือ การประกอบพิธีกรรมที่เคร่งครัด อาทิ การบูชาสิ่งลี้ลับตามความเชื่อ เทวดาอารักษ์ ตลอดจนผีสางนางไม้ อย่างจริงจัง โดยมีการเซ่นสรวงบูชาตามฤดูกาลของความเชื่อ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจทางศาสนา ด้วยมีความเชื่อว่าการกระทำนี้จะส่งผลให้เกิดความคุ้มครองจากภยันอันตราย เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อธรรมชาติ รวมทั้งบรรพบุรุษ
ความเชื่อเรื่อง 'ผี' ของชาวอีสาน เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องผีที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจมาช้านาน ผีสำหรับชาวอีสานนั้นจะดำรงอยู่ในทุกสภาวะของการมีชีวิต บางครั้งก็กระตุ้นให้เกิดความสนใจในฐานะผู้พิทักษ์ หรือผู้ช่วยเหลือ บางครั้งก็มุ่งร้ายหมายขวัญ ชาวอีสานเชื่อว่า ผีเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจ มีฤทธิ์สามารถบันดาลทั้งความทุกข์ความสุข ความสมหวังและความสิ้นหวังให้แก่มนุษย์ได้ การบวงสรวงและการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ จึงเป็นรูปแบบของการสร้างสรรค์ โดยผ่านกระบวนการปลูกฝัง การบอกต่อ การขัดเกลาทางสังคม และผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผนวกเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมที่ติดแน่นอยู่กับวิถีชีวิตของชาวอีสาน พิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีจึงได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ด้วยความสำนึกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องส่งต่อแก่บุตรหลาน เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามประเพณีและความเชื่อที่มีมาแต่อดีต
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในวิถีชีวิตของชุมชนชาวอีสานนั้น มีลักษณะของความเชื่อที่เป็นการผสมผสานระหว่าง พุทธศาสนาแบบชาวบ้าน และความเชื่อเรื่องผี ซึ่งแสดงออกในรูปของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ และตัวบุคคล โดยพิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวกับผี จะแสดงออกในลักษณะของการเซ่นสรวง ไม่ว่าจะเป็นผีแบบดีหรือผีแบบร้าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสุข สงบ ในการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการบำบัดรักษาโรค แต่พิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จะแสดงออกในรูปของสัญลักษณ์แห่งความดีงาม เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น อันเป็นส่วนสำคัญที่คนในชุมชนยึดถือและปฏิบัติ อาทิ การทำบุญตามหลักพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา และการฟังธรรม แต่ในอีกมุมหนึ่งของพิธีกรรมและประเพณีจะเป็นการผสมผสานของความเชื่อระหว่างผี พราหมณ์ พุทธ โดยมักเป็นความเชื่อในอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ ความเชื่อในพระพุทธรูป พระธรรม โดยมีพระสงฆ์เป็นสื่อกลางในการส่งผ่านความเชื่อนี้สู่คนในชุมชน ความเชื่อผสมผสานในลักษณะนี้แสดงออกในรูปการสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ สวดมนต์คาถา เป็นต้น
ความเชื่อเรื่อง 'ผี' ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ในบริบทของสังคมอีสานเชื่อว่า มีคู่กับสังคมมาอย่างช้านาน และได้กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมระหว่างความเชื่อ และความสัมพันธ์ของการดำรงชีวิต เสมือนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยเฉพาะความเชื่อของชาวอีสานที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ระบบอำนาจทางธรรมชาติ หรืออำนาจที่เหนือธรรมชาติ ในวัฒนธรรมอีสานความเชื่อเรื่องผี จึงกลายเป็นสัญลักษณ์เชิงอำนาจ ที่เกี่ยวข้องกับบริบทและความสัมพันธ์ทางสังคมที่สร้างสมและสืบทอดมาจนเป็น “วัฒนธรรมแห่งความเชื่อ” ความเชื่อเรื่องผีของชุมชนอีสาน เป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นและศรัทธา ในวิถีการดำรงชีวิตของชาวอีสานมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก อาทิ ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีดอนเจ้าปู่ ผีตาแฮก ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่นๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล อาทิ ผีปอบ เป็นต้น
ในบริบทสังคมอีสาน ความเชื่อเรื่องผี ได้ผสานร่วมกับ ความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จนบางครั้งไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ชัดเจนว่า การประกอบพิธีกรรมของชาวอีสาน พิธีกรรมใดเป็นพิธีกรรมของผี และพิธีกรรมใดเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานดำรงไปพร้อมๆ กับการประกอบอาชีพตามวิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ที่อ้างอิงกับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ ซึ่งกระบวนการผลิตทางการเกษตรจะได้ผลดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับการดลบันดาลของผี อาทิ การเชื่อว่า 'ผีแถน' เป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดน้ำในการเกษตรหรือการทำนา ดังนั้นก่อนที่ชาวอีสานจะลงมือในการเพาะปลูกข้าว จะต้องมีการประกอบพิธีกรรมบวงสรวงผีพญาแถน และก่อนลงมือหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว ชาวอีสานจะประกอบพิธีกรรมไหว้ผีนา หรือที่ชาวบ้านเรียกกันในชุมชนว่า 'ผีตาแฮก' โดยมีความเชื่อว่า ผีตาแฮกจะช่วยดลบันดาลให้ข้าวมีความเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ชาวบ้านชุมชนอีสานก็จะทำพิธีกรรมสู่ขวัญลานนวดข้าว หรือสู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในรอบปีต่อไป
แม้ว่าสังคมโลกจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดกับคนในหมู่บ้าน หรือชุมชน และสมาชิกในชุมชนไม่สามารถหาคำตอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีคนในหมู่บ้านเกิดอาการเจ็บป่วยแบบไร้สาเหตุ และได้พยายามรักษาในทางวิทยาศาสตร์ (กินยาแผนปัจจุบันตามหมอสั่ง) จนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาได้ สิ่งสุดท้ายที่คนในชุมชนอีสานจะต้องนึกถึงก็คือ เกิดจากการกระทำของภูติผี อาจถูกคุณไสย อาจเกิดจากการล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือคนป่วยอาจเคยกระทำการใดๆ อันเป็นการล่วงเกิน หรือเป็นเหตุให้อำนาจเหนือธรรมชาติไม่พอใจ จะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม (สำหรับบางคนอาจเจตนากระทำ เพราะไม่เชื่อหรือศรัทธา) โดยญาติจะต้องรีบเชิญคนดี มีวิชามา “ถอนคุณไสย” ให้ หรือแก้ไขโดยการขอขมาและทำให้ภูตผีเหล่านั้นพึงพอใจ
ถ้าลองแบ่งกลุ่มความเชื่อเรื่องผีออกไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ ก็จะมองเห็นความเชื่อมโยงในความเชื่อของแต่ละกลุ่ม ที่มีทั้งความเหมือนและแตกต่างกัน รวมทั้งวิธีปฏิบัติตามความเชื่อต่อผีเหล่านั้น แยกออกมาได้พอสังเขปดังนี้
ชาวไทยเชื้อสายคะแมร์ หรือเขมร ที่อาศัยในบริเวณอีสานใต้ จะมีความเชื่อเรื่องผี และนับถือผีมาก่อนที่จะนับถือศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเรียกผีว่า "โขมจ" และแบ่งผีออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
ผีเหล่านี้ทำให้คนได้รับผลกระทบจากผีทำร้ายในหลายลักษณะ ได้แก่ ความเจ็บป่วย (คมอจเทอ) ผีเข้า (คมอจโจล) หรือ ผิดผี (ค็อฮคมอจ) ซึ่งถ้าถูกผีทำให้เจ็บป่วยต้องทำพิธีเซ่นไหว้เรียกว่า “แซนคมอจ” โดยใช้อาจารย์เจ้าพิธีกรรมเป็นผู้ช่วยเหลือดำเนินการ ถ้าผีสิงในร่างก็ต้องใช้อาจารย์ที่มีเวทมนตร์คาถามาขับไล่ผีที่เรียกว่า “หมอผี” เป็นต้น
วิถีชีวิตคนไทยเชื้อสายคะแมร์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ 'ผี' ตั้งแต่เกิดจนตาย ความเชื่อเรื่องผีทำให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวสนิทแนบแน่นขึ้น เพราะในช่วงเดือนสิบตามจันทรคติของทุกปี เหล่าคนไทยเชื้อสายเขมรจะทำพิธี "แซนโฎนตา" เพื่อแสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อบรรพชนผู้ล่วงลับ (ผีดี) ลูกหลานไม่ว่าจะไปทำหน้าที่การงานอยู่แห่งหนใด ก็จะพากันกลับบ้านเพื่อเข้าร่วมพิธีนี้ให้จงได้
ความเชื่อเรื่องผีทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เพราะในแต่ละชุมชนในช่วงเข้าสู่ฤดูทำนาในเดือน 6 ก็จะทำพิธี "แซนเนียะตา" เพราะมีความเชื่อกันว่าต่างก็มีเนียะตาคนเดียวกัน เป็นศูนย์รวมจิตใจ ความเชื่อเรื่องผีช่วยสร้างบ้านแปงเมือง เห็นได้จากการยกวีรบุรุษผู้เก่งกล้าในท้องถิ่นขึ้นเป็นผีบ้าน ผีเมือง เช่น พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง หรืออีกนามคือ เชียงปุม อดีตเจ้าเมืองสุรินทร์ เป็นต้น ซึ่งมีการเซ่นสรวงกันทุกปีมิได้ขาด
ส่วนการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ทำตามแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หาย ชาวเขมรเชื่อว่า ก็น่าจะมาจากอำนาจที่มองไม่เห็นกระทำให้มีเหตุร้าย ดังนั้นเมื่อมีเหตุให้เป็นไปแล้ว คนส่วนใหญ่ในชุมชนเขมรก็มักนึกถึง 'ร่างทรง' หรือ 'แม่มะม็วด' เพราะเชื่อว่า สามารถทำนายทายทักและหาวิธีแก้ไขให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้ เหตุนี้จึงต้องจัดให้มี พิธีกรรมการโจลมะม็วด จึงเป็นสื่อกลางเพียงอย่างเดียว ที่คนในชุมชนเขมรจะนำมาใช้เป็นสื่อกลาง เพื่อติดต่อสื่อสารกับอำนาจเหล่านั้น อันจะนำไปสู่หนทางแก้ไขความผิดพลาดได้ทันท่วงทีและถูกทาง
ความเชื่อเรื่องผีของคนไทยเชื้อสายกูย (หรือ กวย หรือ ส่วย หรือเยอ) ที่อาศัยอยู่ในเขตอีสานใต้เช่นเดียวกับชาวคะแมร์หรือเขมร ก็เชื่อในเรื่องผีเช่นเดียวกัน โดยเรียกผีว่า "กะโมจ" "มาร" หรือ "คอล" และยังแบ่งผีออกเป็น 3 กลุ่มเช่นเดียวกันง
เช่นเดียวกับคนไทยเชื้อสายเขมรมีการจัดพิธี "แซนยะจุ๊" เหมือนกับพิธีแซนเนียะตา มีการเล่นผีมอ หรือแกล มอ เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เหมือนกับคนไทยเชื้อสายเขมรมีการทำพิธีรำมม็วด แต่มีผีอยู่ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในกลุ่มชาวไทยกูยเท่านั้นคือ "ผีปะกำอะจึง" ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในกลุ่มที่เลี้ยงช้างเท่านั้น ไม่พบในกลุ่มชาวกูยที่ทำนาหรือตีเหล็กแต่อย่างใด (คำว่า "ปะกำ" หมายถึง เชือกหนัง ที่ทำมาจากหนังควาย ส่วนคำว่า "อะจึง" นั้นเป็นภาษากูยแปลว่า ช้าง ปะกำอาจึง จึงแปลว่า เชือกคล้องช้าง)
ซึ่งชาวกูยจะกระทำพิธีไหว้ผีปะกำอาจึงก่อนออกไปคล้องช้าง หรือเมื่อคล้องช้างได้แล้วก็จะเซ่นไหว้อีกครั้ง หรือเมื่อต้องนำช้างออกไปจากหมู่บ้านไปทำงานที่อื่นๆ ก็ต้องทำการเซ่นไหว้ก่อน ปัจจุบันมีการเซ่นไว้ในพิธีแต่งงานด้วย จึงทำให้ความเชื่อเรื่องผีปะกำจึงยังดำรงอยู่ แม้ว่าคนไทยเชื้อสายกูยหลายๆ ครอบครัวจะเลิกเลี้ยงช้างไปแล้วก็ตาม และยังคงนิยมการทำพิธีแต่งงานบนหลังช้าง (พิธีซัตเต) กันอยู่ รวมทั้งการแห่นาคไปบวชด้วยช้าง [ อ่านเพิ่มเติม : หมู่บ้านช้าง ]
ในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว เมื่อกล่าวถึง ผี หรือวิญญาณ จะมี 2 ความหมาย ความหมายแรก ผี คือ วิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่ยังไม่ได้ไปเกิดในภพใหม่ เพราะต้องคอยปกปักรักษา คุ้มครองลูกหลานและคนในสายตระกูล ส่วนความหมายที่สอง หมายถึง วิญญาณที่ปรากฏทั่วไปซึ่งมีทั้งให้คุณและโทษแก่มนุษย์ มีการจำแนกผีออกเป็น 3 ประเภท เช่นเดียวกัน
ความเชื่อเรื่องผีของคนในกลุ่มไทยลาวนี้ ก่อให้เกิดพิธีกรรมมากมาย เพื่อการเซ่นสรวง บูชา บัดพลี และวิงวอน ให้ผีที่ตนนับถือได้ช่วยเหลือให้พ้นจากเหตุร้ายต่างๆ และดลบันดาลให้ชีวิตประสบแต่ความสุข ความเจริญ สมหวังในสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา ซึ่งพิธีกรรมทั้งหลายเหล่านี้จะสามารถแยกย่อยเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
ในภาคอีสานยังมีกลุ่มชาติพันธุ์คนไทยญวณ หรือไทยเชื้อสายเวียดนาม (เหวียดเกี่ยว) อพยพเข้ามาอยู่อาศัยด้วยทางอีสานเหนือหลายจังหวัด เช่น หนองคาย อุดรธานี นครพนม สกลนคร มุกดาหาร และอุบลราชธานี ก็พบว่า มีความเชื่อเกี่ยวกับผี ภาษาเวียดนามเรียกว่า มา (ma) มีการให้ความเคารพกราบไหว้บูชามากที่สุดคือ "ผีบรรพบุรุษ" เนื่องจากมีความเชื่อว่า การมีหิ้งบูชาเพื่อไหว้บรรพบุรุษในบ้านเ ป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว การกราบไหว้บนบานก็เพื่อให้ท่านช่วยปกปักรักษา และดูแลลูกหลานให้ปลอดภัย มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้า และยังมีการไหว้ผีอื่นๆ เช่น ผีบ้าน ผีเรือนหรือเทพธรณี (คนไทยเรียก พระแม่ธรณี) จะมีไหว้เพียงบางกลุ่มเท่านั้น (ซึ่งแตกต่างจากในประเทศเวียดนามที่ยังคงไหว้กันอยู่) ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีอื่นๆ เช่น ผีประจำหมู่บ้าน ก็มักจะทำตามความเชื่อแบบกลุ่มคนไทย รวมทั้ง การทรงเจ้า ก็จะมีทำเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น เรียกว่าวัฒนธรรมเลื่อนไหลไปตามชุมชนรอบข้าง
แต่ในส่วนพิธีกรรมที่ชาวเหวียดเกี่ยวอนุรักษ์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นคือ พิธีฌาปนกิจศพ นั้นยังคงกระทำอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งการทำพิธีศพของชาวเวียดนามจะไม่มีการเผา แต่ใช้การฝังแทน เพราะต้องการให้วิญญาณกลับไปบ้านเพื่ออยู่คุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข นอกจากนั้นก็ยังนับถือเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งพวกเขาเรียกว่า เถิ่น (thân) หรือ แถ็งห์ (thà'nh)
ในทุกกลุ่มชนชาติพันธุ์ในภาคอีสาน เวลาที่มีความทุกข์ทางกาย ทางใจ ก็มักจะไปพึ่งผี บนบานสารกล่าวขอให้ผีช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางกาย และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กลุ้มรุมทำร้ายจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือแม้กระทั่งความรัก โดยจะต้องมีสิ่งตอบแทนผีเล็กๆ น้อยๆ ตามที่คนได้สัญญาไว้กับผี (ติดสินบนผี) ทำให้เกิดพิธีกรรมต่างๆ ขึ้น "
แต่ผีหลอกยังไม่น่าลัวเท่ากับคนด้วยกันหลอกกันเอง คนที่อาศัยความไม่รู้ สร้างความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ขึ้น เพื่อกดคอมนุษย์ด้วยกันเองดังเช่นทุกวันนี้สิที่น่ากลัวเอามากๆ ยิ่งกว่าผีใดๆ โปรดมีวิจารณญาณกันด้วยนะครับว่า สิ่งใดน่าเชื่อถือ (เพราะสมัยโลกออนไลน์ สังคมก้มหน้า ขีดเขี่ยหน้าจอ นี่หลอกกันง่ายและมากมายสุดๆ กอร์ปกับความโลภก็ยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียเป็นเงินแสน เงินล้าน ดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ ระวังกันให้ดี)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ผีปอบ ผีแม่หม้าย | พิธีกรรมการโจลมะม็วด
ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราว "ความอาถรรพณ์ของคืนพระจันทร์เต็มดวง" ถือเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่มีกันอยู่ทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ และความลี้ลับ หรือเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว มักจะเกิดขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ฝรั่ง แขก จีน ไทย หรือแม้กระทั่ง ขแมร์ ลาว กูย ก็ไม่ต่างกัน ในประเทศไทยก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คนไทยเชื้อสายจีนและเวียดนามมีพิธีไหว้พระจันทร์กันเป็นประจําทุกปี แต่ไม่ค่อยมีใครได้ยินว่า มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการไหว้พระจันทร์ของชาวขแมร์ หรือเขมร ทั้งๆ ที่ความเชื่อเหล่านี้มีมาหลายชั่วอายุคนแต่โบราณกาล
พิธีกรรมความเชื่อในการบูชาพระจันทร์ของชาวเขมร เป็นปรัชญาที่สอนให้คนรู้จักความรักความสามัคคี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการแบ่งปัน รู้จักประมาณตน มีเหตุมีผล รู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองด้วยความไม่ประมาท ซึ่งล้วนแต่เป็นแนวทางในการดําเนินชีวิต ที่จะนําไปสู่วิถีการพึ่งตนเองแบบพอเพียง และความเป็นศิริมงคลของพี่น้องชาวเขมรในพื้นที่อีสานใต้มานาน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าชุมชนชาวขแมร์ในเขตอีสานใต้ส่วนใหญ่ได้ละทิ้งพิธีกรรมนี้ไปนานกว่า 50-60 ปี มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ที่ชุมชนบ้านขนาดมอญ ตําบลตาตุม อําเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
“ปะออกเปรี้ยะแค” ตามการออกเสียงของชาวสุรินทร์ หรือ "ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค" ชาวบ้านขแมร์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษเรียกขาน แปลตามตัวอักษรในภาษาเขมรถิ่นไทย คือ 'ปะอ๊อก' หรือ 'ปังอ๊อก' แปลว่า กรอก หรือ ป้อน 'เปรี้ยะ' แปลว่า พระ เขมรออกเสียงว่า เปรี๊ยะ เช่น พระพุทธ เขมรพูดว่า เปรี๊ยะปุทธ์ ส่วน 'แค' แปลว่า ดวงจันทร์ หรือ พระจันทร์ เมื่อรวมกันแล้ว "ปะออกเปรี้ยะแค" จึงแปลว่า “กรอกพระจันทร์” หรือ “ป้อนพระจันทร์” สิ่งที่ป้อนนั่นคือ "ข้าวเม่า" และจะป้อนในคืนพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 12 (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12) และมีความเชื่อกันว่า ข้าวเม่า ที่กรอกเข้าปากผู้เข้าร่วมพิธีนี้ เป็นเหมือนอาหารทิพย์ ที่ใครได้กินจะมีความเป็นศิริมงคล แคล้วคลาดจากสิ่งเลวร้าย เป็นประเพณีสำคัญอีกหนึ่งประเพณีของทางประเทศกัมพูชา (เขมรต่ำ) ซึ่งเรียกว่า "บอน อม ตุก (ពិធីបុណ្យអុំទូក)" หรือเทศกาลน้ำ
จากเรื่อง "พออกพระแข" ของ นายสมฤทธิ์ สหุนาฬ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นกวีชนบท และคนดีศีขรภูมิ (ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ที่บันทึกไว้ในหนังสือ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพระครูพิบูลวรการ (ปิ่น ที่ปคุโณ) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2532 ณ เมรุวัดปราสาท ตําบลระแงง อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ได้เขียนไว้ในหน้า 48-51 ความว่า
“เดือนสิบสอง ข้าวเหนียวพันธุ์เบาจําพวก 'ข้าวบังเอว' กําลังโน้มรวงเริ่มสุก เหลืองพอเหมาะกับการตําข้าวเม่า กรอบอร่อย การทําบุญตักบาตรข้าวเม่า จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมเนียมประเพณี สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่การตักบาตรข้าวเม่านั้น เขาทํากันในเวลากลางคืน เมื่อพระจันทร์วันเพ็ญเดือนสิบสองอยู่ตรงศีรษะพอดี
กลางลานวัดจะปักเสาสองต้น สูงท่วมศีรษะห่างกันราว 2 เมตร มีไม้กลมๆ เป็นราวสูงเพียงตา ที่ราวติดเทียนขี้ผึ้ง ผูกราวติดไว้กับเสาหลวมๆ พอหมุนได้ไม่ติดขัด ที่ทางเหล่านี้ มีมัคทายกร่วมกับพระในวัดช่วยกันตระเตรียมไว้แล้วตั้งแต่ช่วงบ่าย ฯลฯ
สามทุ่มล่วงแล้ว พระจันทร์เต็มดวงพ้นปลายไม้ สว่างไสวดุจกลางวัน ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว และเด็กๆ ถือขัน แบกกระเฌอ หรือถ้วยโถ โอชาม ที่บรรจุข้าวเม่ากับกล้วยสุก มากันคนละหวีสองหวีตามมีตามเกิดไปชุมนุมกันที่ลานวัด หนุ่มสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยสดงดงามเพื่อประกวดประชันกัน
ห่างจากที่ตั้งเสาพิธีพอประมาณ จะปูด้วยเสื่อสาด ลาดด้วยผ้าขาว ตั้งบาตรไว้เรียงราย ได้เวลาใกล้เที่ยงคืน นิมนต์พระเข้าประจําที่ สมาทานศีล สวดมนต์ ผู้คนจะยกขันขึ้นอธิฐานขอให้กุศลผลบุญจงมีแก่บุพการี แล้วบรรจงใส่บาตรข้าวเม่ากันจนทั่วถึง ผู้คนจะกระจายกันนั่งรายรอบที่ตั้งเสาพิธีอยู่ห่างๆ ปล่อยเสาพิธีสถานให้เป็นลานกว้างวงกลมในเขตพิธีกรรม รอกําหนดประกอบพิธีกรรม”
พอถึงวันขึ้น 15 ค่ําเดือน 12 หนุ่มสาวจะพากันออกไปเกี่ยวข้าวใหม่ เอามาใส่กระดังแล้วย่ำด้วยเท้าให้หลุดจากรวง เพื่อให้ได้ข้าวเปลือกมาคั่วให้สุกทั่วเมล็ด แล้วเอามาใส่ครกไม้ ตํา-ควัก ด้วยไม้พายจนได้เป็น "ข้าวเม่า" เตรียมไว้สําหรับการตักบาตรเข้าเม่า อุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษกันทุกบ้าน
เสร็จแล้วก็จะหากล้วย น้ําผึ้ง มะพร้าว น้ําตาล เท่าที่พอจะหาได้เพื่อเตรียมไว้ เมื่อได้ของครบ แล้วก็จะเอาขี้ผึ้ง (ต้องเป็นขี้ผึ้งแท้เท่านั้น) มาฝั้นทําเป็นเทียนคนละ 1 เล่ม วัดความยาวให้ได้รอบศีรษะของตัวเอง เป็นความเชื่อว่าเทียนแต่ละเล่มจะเป็นเหมือนดวงชะตา หรือตัวแทนของผู้เป็นเจ้าของ ที่จะจุดเพื่อบูชาพระจันทร์ และเป็นการเสริมดวงชะตาบารมีของตัวเองด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็อาบน้ําชําระล้างเนื้อตัวให้สะอาด ตกค่ําทั้งหนุ่ม-สาว พ่อเฒ่าแม่เฒ่า เด็กๆ ในหมู่บ้านก็จะนําสิ่งของที่ตรียมไว้ไปวัด หนุ่มสาวก็จะนัดกันไปลอยกระทงริมสระน้ำ พระสงฆ์ร่วมกับพ่อเฒ่าแม่เฒ่าก็จะเอาเทียนขี้ผึ้งทั้งหมดมารวมกัน แล้วแบ่งออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆ กัน แต่ละส่วนจะนำมาพันกันเป็น 1 แท่ง ก็จะได้เทียนขี้ผึ้งแท้ ขนาดสั้นบ้าง ยาวบ้าง เล็กบ้างใหญ่บ้าง จํานวน 12 แท่ง ที่จะใช้ในพิธีกรรม โดยจะมีตาพรมกับยายโสร สองผัวเมีย (สมมุติขึ้นมา) จะเป็นผู้นําในการประกอบพิธี
พิธีปะอ็อกเปรี๊ยะแค เป็นการเสริมสร้างสิริมงคลแก่ชีวิต และเสี่ยงทายว่า เดือนไหนจะมีฝน เดือนไหนจะแล้ง เพื่อให้ลูกหลานได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ได้โดยไม่เดือดร้อนในวันข้างหน้า ส่วน 'ข้าวเม่า' ที่พากันนํามาตักบาตร เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะคลุกรวมกัน แล้วแบ่งปันกันกินคนละหนึ่งอุ้งมือ แต่สําหรับผู้หญิงที่กําลังตั้งครรภ์ จะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่นอีกเท่าตัว เพราะเราจะเผื่อแผ่ไปให้อีกคนที่อยู่ในท้องด้วย และจะมีอีกอย่างหนึ่งที่หนุ่มๆ ต้องการมากก็คือ น้ําตาเทียน ที่หยดลงบนใบตอง หลังจากการทําพิธีเสร็จแล้ว เพราะมีความเชื่อกันว่า ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ที่ให้คุณในด้านเมตตามหานิยม ใครได้ไปเวลาจะออกจากบ้านก็นํามาสีปาก จะทําให้การเจรจาทุกอย่างสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี มีแต่คนรักคนหลง โดยเฉพาะเวลาจีบสาวๆ
เมื่อถึงเที่ยงคืน จะมีบุรุษผู้สูงอายุผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม นุ่งขาวห่มขาว ถือไม้เท้ายาว มีบุรุษสะพายย่ามเป็นลูกศิษย์ติดตามมาด้วยผู้หนึ่ง เดินจากภายนอกเข้ามาในบริเวณพิธีสถาน กระทําซุ่มเสียงกระแอมกระไอ เดินสู่สถานพิธีตั้งเสา พอปรากฎเห็นโดดเด่นเป็นจุดสนใจ จึงหยุดยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มาร่วมชุมนุม
แล้วผู้ใหญ่ในกลุ่มคนหนึ่ง (ซึ่งได้กําหนดตัวไว้แล้ว) จะถามร้องถามขึ้นว่า “นั่นใคร” บุรุษชีปะขาวจะตอบว่า “เราเอง” ผู้ถามก็จะถามอีกว่า “เราเองนะคือใคร มาจากไหน มีธุระอะไร” บุรุษชีปะขาวจะตอบว่า “เราคือ ตาพรหม** มาจากสํานักเขนาะตาพรหม มาที่นี่เพราะได้ยินเสียงเอะอะอึงคนึง ไม่รู้ว่าพวกท่านกระทําการสิ่งใดกัน ชะรอยจะพากันทําบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอะไรกันขึ้นกระมังเราจึงเข้ามาดู”
ผู้เป็นใหญ่ในกลุ่มจะแจกแจงว่า “เราไม่ได้กระทําบาปหยาบช้า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอะไร วันนี้เรามาชุมนุมกันทําบุญ จะประกอบพิธีไหว้พระจันทร์ ถ้าท่านเป็นตาพรหมท่านมีความรู้เรื่องนี้ไหม” ชีปะขาวจึงตอบว่า “เราพอจะรู้บ้าง” ผู้เป็นใหญ่จะกล่าวว่า “ถ้าท่านรู้ข้อธรรมในเรื่องนี้ จงแสดงธรรมให้พวกเราฟังก่อน เราจึงจะเชื่อถือ” ชีปะขาวจึงถามว่า “จะให้แสดงธรรมข้อใด” ผู้เป็นใหญ่ตอบว่า "ว่านะโมให้เรา ฟังก่อนก็แล้วกัน”
ตาพรหมจะติดตลก แกล้งว่านะโมผิดๆ เพื่อแทรกบทตลกให้เป็นที่ฮือฮา ผู้เป็นใหญ่จะกล่าวว่า “ท่านว่าข้อธรรมไม่ถูก ท่านไม่ใช่ตาพรหมที่แท้จริง ชะรอยท่านจะเป็นผู้ประสงค์ร้าย ปลอมแปลงเข้ามาเพื่อทํามิดีมิร้าย” ได้เฮฮากันเป็นคํารบสอง เมื่อถึงรอบที่สาม จึงสวดนะโมได้ถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ ผู้คนทั้งหลายจึงกล่าวรับรองว่า “จริงท่านคือตาพรหมตัวจริง” แล้วขอเชิญท่านเป็นประธานในพิธีพาพวกเราไหว้พระจันทร์ นําสวดคาถาบวงสรวงสังเวยแก่พระจันทร์เถิด
ตาพรหมจะบอกให้ทุกคนพนมมือ แล้วจุดเทียนชัย 12 เล่ม ที่ติดไว้บนราวพาดเสาพิธีกรรม นําใบตองกล้วยตานีที่ยังอ่อนๆ ปลอดตําหนิ ปราศจากริ้วรอยแตกปริ มาวางเรียงกับพื้นดินใต้ราวเทียนชัย เพื่อรองรับน้ําตาเทียนไว้เสี่ยงทาย บอกให้ทุกคนคอยกล่าวคําบวงสรวงสังเวยพร้อมกัน โดยตาพรหมนําสวดนะโม 3 จบกล่าวบวงสรวงให้ทุกคนว่าตาม ตามด้วยคาถาบูชาพระจันทร์ ดังนี้ “เนียง จันทรา เปรียะมหาอูด็อมเปรี้ยะเอ็นเซวย เซาะ เซวยอ็อบภิรมณ์เปรี้ยะมหาอุดอมก็วงเลอพิเมียน” (เจ้าแม่จันทรา พระมหาอุดม พระอินทร์เสวยสุย เสวยภิรมณ์ พระมหาอุดมสถิตเหนือพิมาน) กล่าวจบ 1 รอบ ตาพรหมจะให้กราบ ทุกคนจะหมอบกราบพร้อมกันสงบนิ่ง
**ตาพรหม หมายถึง พระพรหมผู้สร้างโลกและสรรพสัตว์ ตามคติศาสนาพราหมณ์ ที่เชื่อกันว่า พระพรหม จะลงมาดูแลปกป้องชาวโลกทุกปี เพื่อไม่ให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างถูกทําลาย ตาพรหม ในพิธี จึงเป็นตัวสมมุติแทนองค์พระพรหมผู้เป็นเจ้า ที่จะลงมาร่วมในพิธีไหว้พระ
การบูชาพระจันทร์เสร็จสิ้น ตาพรหมก็จะหมุนราวไม้ไผ่ให้เทียนที่กําลังติดไฟชี้ปลายลงดิน จากนั้นผู้ช่วยของตาพรหมก็จะยกใบตองกล้วยที่มีน้ําตาเทียนขึ้นมาทํานาย โดยถือเอาต้นใบเป็นต้นปี กลางใบ เป็นกลางปี และปลายใบเป็นปลายปี หยดเทียนหนาในตําแหน่งใด ก็เชื่อว่าฝนจะตกชุกในเดือนนั้นส่วน น้ําตาเทียนชายหนุ่มทั้งหลายจะแบ่งกันไปเก็บไว้เป็นสิริมงคล โดยเชื่อกันว่าให้คุณด้านเมตตามหานิยม
ทํานายเสร็จ ตาพรหมและลูกศิษย์ จะได้รับการถวายข้าวเม่า 1 ขัน กล้วย 1 หวี คนละ 1 ชุด ตาพรหมจะอวยพรให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข ประสบโชคลาภ ทํามาหากินได้อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งกําชับให้ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เลี้ยงดูกันให้ดี มีความรักสมัครสมานสามัคคี มีความเห็นอกเห็นใจกัน เตรียมตัวเตรียมใจ พร้อมรับสถานการณ์ของดินฟ้าอากาศในแต่ละเดือน จะได้ไม่เกิดความอดอยากยากจน พร้อมกับบอกลาแล้วก็เดินจากไป
ฝ่ายพระสงฆ์จะบรรยายธรรมต่ออีกสักครู่ เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็ถวายปัจจัยไทยทาน มัคทายกจัดบาตรเข้าเม่า พร้อมกับกล้วย มะพร้าว น้ําตาล น้ําผึ้ง ขึ้นกุฏิ แบ่งส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงดูกันในหมู่ผู้ไปร่วมในพิธี ที่ยังคงนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วงนี้มัคทายกและผู้ใหญ่จะช่วยกันแจกจ่ายข้าวเม่า และกล้วยน้ําว้าสุกให้กินกันอย่างถ้วนหน้า
โดยให้ผู้ร่วมในพิธี นั่งเงยหน้า หันเข้าหาพระจันทร์ คนแจกก็จะร้องบอกให้เงยหน้า อ้าปาก แล้วก็เอาข้าวเม่ากรอกเข้าปาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ โดยสตรีที่กําลังตั้งครรภ จะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มอีก 1 ส่วน สําหรับอีก 1 ชีวิตที่อยู่ในท้อง การกระทํานี้เองที่เรียกว่า “ปะออกเปรี้ยะแค” ซึ่งแปลตามตัวอักษร คือ ปะอ๊อก แปลว่า กรอก หรือ ป้อน เปรี้ยะ แปลว่า พระ แค แปลว่า ดวงจันทร์ หรือ พระจันทร์ ปะออกเปรี้ยะแค จึงแปลว่า “กรอกพระจันทร์” หรือ “ป้อนพระจันทร์”
พิธีการบูชาพระจันทร์นี้ จะกระทำทุกๆ วันเพ็ญเดือน 12 ของแต่ละปี เป็นอารยธรรมที่ได้รับจากอินเดีย เข้าสู่ราชสํานักขอมโบราณ ก่อนจะแพร่หลายมาถึงภูมิภาคนี้นั่นเอง
ยังมีประเพณีนี้ในชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์เขมร บ้านพราน ตำบลพราน อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีความเชื่อแบบเดียวกัน แต่จะมีความแตกต่างในจำนวนของจำนวนเทียนที่ใช้จุดจะมีน้อยกว่าเพียง 8 เล่ม ซึ่งเทียนทั้ง 8 เล่ม เป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาลในรอบเดือนที่สำคัญต่อการทำการเกษตรกรรมคือ
การประกอบพิธีกรรมการเสี่ยงทายฤดูกาลจากน้ำตาเทียนนี้ จะสังเกตน้ำตาเทียนที่หยดออกจากเทียนที่มีการหมุน โดยสังเกตว่า หากน้ำตาเทียนค่อยๆ หยดจากเทียนเล่มไหนก็แสดงว่าช่วงของเดือนนั้น จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับ ลม ฟ้า (เมฆ) และ ฝน (น้ำ) อย่างไร ถ้าเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดถี่ การกระพริบของไฟแรงหรือดับไป ก็แสดงว่าฝนจะตกมากและมีลมแรง ถ้าหากเทียนเล่มไหนมีน้ำตาเทียนหยดน้อย ไฟไม่กระพริบ ก็แสดงว่าฝนไม่ค่อยตก หรืออาจจะแล้งในช่วงเดือนนั้นและไม่มีลมพัด ขณะที่หากไส้เทียนเผาไหม้ตกลงเป็นประกายไฟ ก็หมายถึงจะมีฝนฟ้าคะนองมากจนอาจเกิดอุทกภัยขึ้นได้
ประเพณีปังอ๊อกเปรี๊ยะแค ที่ทำกันอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เขมร ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในบางหมู่บ้าน ตำบล ของอำเภอไพรบึง และอำเภอขุนหาญ มีอุปกรณ์ที่จะต้องเตรียมใช้ในการประกอบพิธี ดังนี้คือ
เมื่อใกล้เที่ยงคืน กรรมการวัดและมัคทายกจะนำเอาครก สาก และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เตรียมไว้ไปตั้งสนามกลางแจ้ง ซึ่งจะมีบริเวณที่คนดูได้มากๆ (พิธีนี่ต้องทำกลางแจ้ง) โดยตั้งครกลูกหนึ่งทางทิศเหนือ อีกลูกหนึ่งตั้งทางทิศใต้ ระยะห่างกันประมาณหนึ่งเมตรเศษๆ เอาสากตำข้าววางพาดที่ปากครก แล้วเอาเทียนขี้ผึ้งแท้ (ขนาดใหญ่–ยาวเท่ากัน) จำนวน 8 เล่ม ติดกับสากตำข้าวโดยให้ตั้งฉากขึ้น แล้วเอาใบตองกล้วย 2 ก้าน วางกับพื้นใต้สากระหว่างครกทั้งสอง (เพื่อรองรับน้ำตาเทียนซึ่งจะหยดลง) จัดหนุ่มสาว 8 คน จัดเป็นจำนวน 4 คู่ โดยให้จับสากด้านทิศใต้ 2 คู่ และจับสากด้านทิศเหนืออีก 2 แล้วให้ชายหญิงแต่ละคู่เอาช้อนตักข้าวเม่าในจานป้อนซึ่งกันและกัน (ชายป้อนหญิง หญิงป้อนชาย) ป้อนข้าวเม่าเสร็จแล้วป้อนกล้วยสุข สุดท้ายจึงเอาน้ำมะพร้าวอ่อนให้ดื่มร่วมกัน
ปังอ๊อกเปรี๊ยะแค ประเพณีป้อนข้าวพระจันทร์
ชาวบ้านจะมีการสังเกตพระจันทร์ หรือดวงจันทร์บนท้องฟ้าว่า ใกล้จะตรงศีรษะแล้วหรือยัง ถ้าเห็นว่าใกล้จะตรงแล้ว ก็ให้พิธีกรหรือมัคทายกกล่าวสวดชุมนุมเทวดา (สัคเค กาเม จะ รูเปฯ) เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธ์ยิ่งขึ้น
เมื่อมองดูท้องฟ้าเห็นพระจันทร์อยู่ตรงศีรษะ ให้จุดเทียนชนวน 8 เล่ม ยื่นให้หนุ่มสาวทั้ง 8 คน (ข้างละ 4 คน) ให้หนุ่มสาวเอาเทียนชนวน จุดเทียนขี้ผึ้งที่ติดสากไว้แล้วพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าเทียนทุกเล่มติดไฟแล้ว ให้หนุ่มสาวหมุนสากโดยเริ่มหมุนเวียนขวา ขึ้น–ลง ช้าๆ เทียนแต่ละเล่มจะลุกไหม้ ขณะที่หมุนสากลงด้านล่าง เทียนก็จะเกิดหยดน้ำตาเทียนลงบนใบตองกล้วย ให้หนุ่มสาวหมุนสากตำข้าวที่มีเทียนชนวนติดอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมด
เทียนที่ติดบนสากตำข้าวทั้ง 8 เล่มนั้น เป็นเครื่องหมายของเดือนที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลที่มีฝนตก และช่วงก่อนที่จะเข้าสู่การเก็บเกี่ยวรวมจำนวน 8 เดือน เริ่มนับเอาเดือน 5 (ปีใหม่โบราณ หรือเดือนเมษายน) ถึงเดือน 12 (เดือนพฤศจิกายน) โดยนับจากทิศใต้เป็นเล่มที่ 1 (เริ่มจากเดือน 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12) ตามลำตับ ที่ต้องนับจากด้านทิศใต้ เพราะฤดูฝน ลมมรสุมจะพัดจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ
ขณะที่เริ่มหมุนสาก ขึ้น–ลง พระสงฆ์สามเณรจะมีการสวดชัยมงคลคาถา (ชยันโต) สวดไปจนกว่าเทียนจะลุกไหม้หมด จึงหยุดหมุนสาก พระสงฆ์สวดต่อด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลังฯ เสร็จพิธีก็จะมีการทำนายให้ผู้ร่วมพิธีทราบ ส่วนน้ำตาเทียนที่หยดลงบนใบตองกล้วย ถือว่าเป็นของดี เอาไปทำเป็นสีผึ้งเสน่ห์ (นวดเสน่ห์) ผสมน้ำมันจันทน์ทาสีปาก ทาหน้า เป็นเสน่ห์ให้คนรักดีนักแล (แต่ต้องให้อาจารย์หมอเสน่ห์ทำให้) ชาวบ้านอยากได้กันมาก เมื่อเสร็จพิธีต้องยื้อแย่งกันชุนละมุนวุ่นวายไปหมด เพื่อให้ได้น้ำตาเทียนที่หยดลงใบตอง
ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยี พยากรณ์ฝนฟ้าอากาศ ชาวบ้านตลิ่งชัน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พึ่งพาพิธีเสี่ยงทายเทียน ซึ่งจัดเพียงครั้งเดียวในรอบปี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 จะมีพิธีไหว้พระแข (พระจันทร์) ในค่ำคืนเดียวกัน ปัจจุบันพิธีกรรมโบราณนี้ยังอยู่ สะท้อนความเชื่อของชุมชนที่สืบเชื้อสายเขมรแต่มาอยู่อาศัยในภาคกลางของประเทศไทย
เสี่ยงทายฝนผ่านพิธีไหว้พระแข ชาวบ้านตลิ่งชัน ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)