คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
เจรียง หรือ จำเรียง ภาษาเขมรในสุรินทร์เรียกว่า จรีง หรือ จำรึ่ง เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่เน้นการขับร้องมากกว่าการร่ายรำ ขับร้องเป็นเพลงคล้ายทำนองแบบการอ่านทำนองเสนาะ มักจะใช้ "กลอนสด" เป็นส่วนใหญ่เนื้อร้องเป็น ภาษาเขมร บรรยายถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน คำว่า "เจรียง" เป็นคำกริยาในภาษาเขมรแปลว่า "ร้อง" ส่วนคำว่า "จำเรียง" หรือที่ชาวเขมรทางกัมพูชาออกเสียงว่า "จ็อบ-เรียง" นั้นเป็นคำนาม แปลว่า "บทร้อง" เจรียงมีลักษณะการขับคล้ายกับการขับวรรณคดีเสภาในภาคกลางที่เรียกว่า “เสภา” ภาคเหนือเรียกว่า “จ๊อย”
การเรียกเจรียง จะเรียกตามชนิดของเครื่องดนตรีที่เล่นประกอบการเจรียง เช่น ถ้าใช้ปี่ที่มีชื่อว่า เป์ยจรวง เป่าประกอบเรียกว่า เจรียงจรวง ถ้าใช้ ซอ บรรเลงประกอบเรียก เจรียงตรัว และหากนำเจรียงไปขับขานกับการละเล่นพื้นบ้านอะไรก็จะใช้คำว่า เจรียง นำหน้าการละเล่นนั้นๆ
เจรียง เป็นการละเล่นพื้นบ้านในลักษณะของ เพลงปฏิพากย์ (dialogue songs) คือ เพลงที่ชายหญิงใช้ร้องโต้ตอบกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเกี้ยวพาราสี มีจุดเด่นอยู่ที่โวหาร การชิงไหวพริบกันเพลงพื้นบ้านที่ใช้ขับร้องนั้น จะแตกต่างกันไปบ้างตามลักษณะวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น สังเกตได้จากการใช้ภาษา ท่วงทำนอง เนื้อหา เครื่องดนตรี การร่ายรำ การแต่งกาย และโอกาสที่ขับร้อง เพลงปฏิพากย์ เป็นเพลงที่ร้องเล่นกันเป็นกลุ่มเป็นวง
เจรียง ซึ่งเป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรในแถบอีสานใต้ และตามแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา เป็นเพลงที่เล่นในเทศกาล หนุ่ม-สาวมีโอกาสได้พบปะกัน เช่น เทศกาลตรุษสงกรานต์ เทศกาลกฐิน ผ้าป่า ในงานบุญต่างๆ ที่จัดขึ้นที่วัด เจรียง จึงเป็นการละเล่นพื้นบ้าน เป็นเพลงปฏิพากย์ของชาวไทยเขมร โดยชายหญิงร้องโต้ตอบกันไปมา มีทั้งเจรียงที่ร้องโต้ตอบเป็นคู่ๆ ระหว่างชายหญิง และมีการร้องกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมีผู้นำขับร้อง เรียกว่า หัวหน้า หรือ พ่อเพลง และแม่เพลง อาจจะมีลูกคู่คอยร้องรับในจังหวะ เช่น เจรียงซันตูจ เจรียงตรด เจรียงเบริน เป็นต้น การแสดงอย่างเดียวกันนี้ในประเทศกัมพูชา เรียกว่า "โอะกัญโตล"
การเจรียง จะเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู เป็นการรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ แล้วเริ่ม บทปฏิสันฐานกับผู้ฟัง เพื่อบอกเล่าถึงความสำคัญของการแสดงว่า งานนั้นๆ มีการบำเพ็ญกุศลอะไร บางครั้งก็ยกนิทานประกอบ การเจรียงอาจจะเจรียงเป็นกระทู้ถามตอบ ในช่วงหลังๆ จะเพิ่มความสนุกสนานโดยใช้บทหยอกล้อ กระทบกระเทียบ ในลักษณะตลกคะนองเพิ่มเข้ามา
ปัจจุบัน การละเล่นเจรียง เกือบทุกประเภทที่เคยได้รับความนิยมในอดีต ได้ถูกหลงลืมและลดความสำคัญไปจากสังคมชาวไทยเขมร จนแทบจะไม่มีให้ชมให้ฟังอีกเลย จะมีไม่กี่เพลงที่เหลืออยู่ แต่ใกล้ดับสูญตามไปด้วย แต่ก็ยังมีบทเพลงเจรียงบางประเภท ที่ได้สอดแทรกแนวปรัชญาแห่งการดำเนินชีวิต ตามหลักพุทธศาสนาของกลุ่มชาวไทยเขมรไว้อย่างพร้อมมูล ด้วยเหตุนี้เจรียงจึงยังคงอยู่คู่กับวัฒนธรรมสังคมชาวไทยเขมรตลอดมา ในสภาพที่เสี่ยงต่อการสูญหาย ทั้งนี้เพราะสภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันนั่นเอง
ประเภทการเจรียง แบ่งออกได้หลายแบบ เช่น
1. เจรียงซันตูจ แปลว่า ร้อง-ตกเบ็ด เป็นการร้องเล่นในงานเทศกาลต่างๆ หรืองานบวชนาค และที่แพร่หลายกันมากคือ ช่วงเดือน 10 (ไงแซนโดนตา) และช่วงเดือน 5 (แคแจด) ในวันฉลองส่วนมากจะจัดเป็นงานวัด หนุ่มๆ ที่มาร่วมงานจะมารวมกันเป็นกลุ่มๆ และหาคันเบ็ดมา 1 อัน เหยื่อที่ปลายคันเบ็ดนั้นใช้ขนม ข้าวต้มมัด ผลไม้ผูกเป็นพวง
วิธีการตกเบ็ดนั้น ที่ใดมีกลุ่มหญิงสาวนั่งรวมกันอยู่ กลุ่มหนุ่มๆ จะพากันร้องรำทำเพลง แล้วก็หย่อนเบ็ดให้เหยื่อไปลอยอยู่ตรงหน้าสาวคนนี้บ้าง คนโน้นบ้าง ผู้ที่ถือคันเบ็ดจะเป็นผู้ร้องเพลง (เจรียง) เอง หากสาวผู้นั้นรับเหยื่อ (หรือขนม) ไปแสดงว่าพอใจ หลังจากเสร็จงานแล้ว ฝ่ายหนุ่มจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอหรือทาบทามต่อไป
2. เจรียงกันกรอบกัย (เพลงปรบไก) เป็นการเล่นเจรียงคนเดียว ไม่มีดนตรีเป็นแบบแผน ส่วนใหญ่ใช้วิธีตบมือหรือสีซอเป็นการเจรียงแบบตลก
3. เจรียงตรัว เป็นการขับร้องเดี่ยวเป็นนิทาน ประกอบซอ คล้ายการ "ลำพื้น" ของชาวอีสานเหนือ ผู้ขับร้องจะสีซอไปด้วย
4. เจรียงจาเป็ย เป็นการขับร้องเดี่ยวเป็นนิทาน ประกอบพิณกระจับปี่ มีผู้เล่นคนเดียวเป็นผู้ขับร้องและดีดจาเป็ย
เพลง : เจรียงยายยิง ศิลปิน : สังเวียนทอง อรุณรุ่ง
5. เจรียง-จรวง แปลว่า ขับร้องโดยมี "ปี่จรวง" เป่าประกอบ เป็นการขับร้องโต้ถามกันเป็นเรื่องตำนาน สุภาษิตต่างๆ เดิมใช้ "ปี่จรวง" ประกอบแต่ปัจจุบันใช้ "ซอ" แทน
6. เจรียงนอรแก้ว มีผู้แสดงประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 2 คน เป็นการเล่นโต้ตอบระหว่างชายหญิง โดยแต่ละฝ่ายจะมีพ่อเพลงและแม่เพลงร้องนำ และมีลูกคู่ร้องตาม ต่อจากนั้นชาย-หญิงแต่ละฝ่ายจึงร้องโต้ตอบกันเป็นคู่ๆ โดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ
7. เจรียงปังนา เป็นการขับร้องคล้ายกับเจรียงนอรแก้ว แต่มีจังหวะเร็วกว่า มีผู้แสดงประกอบด้วยชาย 1 คน หญิง 1 คน คนตีกลองโทน 1 คน ขับร้องโดยบรรยายเรื่องราวตามต้องการ
8. เจรียงเบริน เป็นการร้องเพลงคลอกับ "ซอ" แบบร้องคู่ชาย-หยิง วิวัฒนาการมาจากการเล่น "กัญต๊อบไก" ซึ่งมีการร้องโต้ตอบ มีเครื่องดนตรี "ปี่อ้อ" ประกอบ ต่อมาการเล่นชนิดนี้ได้นำ "แคน" เข้ามาเป่าประกอบทำนองเจรียงเบริน คล้าย "หมอลำกลอน" ของชาวอีสานเหนือ เป็นทำนองขับลำนำเรื่องราวหรือโต้ตอบซักถามนิทานชาดก ซึ่งเข้าใจว่าเกิดขึ้นในช่วง 50-60 ปี มานี้ การเล่นเจรียงเบริน มีองค์ประกอบต่างๆ คือ ผู้เล่น ชาย-หญิง 2-3 คน สถานที่แสดงไม่จำกัดสถานที่จะเป็นที่ไหนก็ได้ ที่เหมาะสม
การแสดงเจรียงเบริญพื้นบ้าน จังหวัดสุรินทร์
การแต่งกาย แต่งแบบพื้นบ้านโบราณ ต่อมามีการพัฒนาให้หญิงนุ่งกระโปรง ชายสวมกางเกงขายาว ดนตรีที่ใช้ประกอบ มี แคน ซึ่งเป่า "ลายแมงภู่ตอมดอก" เป็นส่วนใหญ่ ท่ารำจะมีท่ารำพื้นฐานอยู่ 5 ท่าคือ ท่ารำเดิน ท่ารำถอย ท่ารำเคียง ท่ารำเกี้ยว ท่าดีดนิ้ว และท่าเตะขา
วิธีการเล่น จะเริ่มจากการบูชาครู แนะนำตนเอง มีการบอกกล่าวถึงความสำคัญของงาน แล้วเริ่มเจรียงถาม-ตอบ เจรียงเรื่อง สุดท้ายจะเจรียงลา คุณค่าของเพลงพื้นบ้านเจรียงให้คุณค่าในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านภาษาสามารถเลือกสรรคำที่ไพเราะ มีสัมผัสที่เป็นภาษาเขมร แต่ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว เนื้อหาของบทร้องเจรียงยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ประเพณี ค่านิยม สังคมและอาชีพด้านต่างๆ นอกจากนี้เพลงพื้นบ้านเจรียงเบรินยังให้ความบันเทิงใจ ให้ความเพลิดเพลิน และสนองตอบสภาวะด้านจิตใจได้ด้วย
9. เจรียงตรุษ เป็นการร้องรำเป็นกลุ่มในวันขึ้นปีใหม่ (13 เมษายน วันสงกรานต์) โดยมีพ่อเพลงร้องนำแล้วลูกคู่ก็ร้องตาม หรือร้องรับ เดินทางเป็นคณะไปร้องอวยพรตามบ้านต่างๆ เมื่ออวยพรเสร็จก็จะขอบริจาคเงินเพื่อไปทำสาธารณะประโยชน์ต่างๆ ลักษณะการร้องรำอันนี้คล้ายกับ "การเซิ้งบั้งไฟ" ของชาวอีสานเหนือ
10. เจรียงกันตรึม ใช้ในงานมงคลโดยเฉพาะ เช่น กล่อมหอ ในงานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ มีผู้เล่นประกอบ 4 คน เป็นชายทั้งหมด เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่อ้อ 1 คน ซอด้วง 1 คน กลองโทน 2 คน คนตีกลองจะเป็นผู้ขับร้อง
มีการนำเอา "เจรียง" มาทำเป็นเพลงลูกทุ่งกันบ้างแล้ว ที่คุ้นเคยหน่อยและโด่งดังพอตัว เพราะได้ดัดแปลงเนื้อร้องจากภาษาเขมรมาเป็นภาษาไทยให้ฟังง่าย อย่างเพลง "ลูกเทวดา" ของ สนุ๊ก สิงห์มาตร
ลูกเทวดา - สนุ๊ก สิงห์มาตร
ซึ่งน่าจะมาจากต้นฉบับแบบเนื้อยังเป็นภาษาเขมรปนไทยอยู่ คือเพลง "เจรียงยิ่งยงสอนน้อง" โดย นักร้องจอมชี้(นิ้ว) ยิ่งยง ยอดบัวงาม แต่ดูเหมือนคนจะรู้จักเพลงนี้(ในสไตล์ภาษาเขมร)มากเพราะ คำมอด พรขุนเดช จากวงดนตรีลูกทุ่งหมอลำคณะเสียงอีสานนำไปร้อง (หาดูใน Youtube ได้นะ)
เจรียงยิ่งยงสอนน้อง - ยิ่งยง ยอดบัวงาม
เนื้อเพลง เจรียงยิ่งยงสอนน้อง - ศิลปืน ยิ่งยง ยอดบัวงาม
...... ปะโอนบองเอย ไงแนะไงเจียว เวเลียละออ.. เอ.เบอทาเนียงจองบานอังกอ
ออยเนียงยัวสราโตว.เก็น.. เอ.เบอทาเนียงจองเทิดทม สรวลบวนยางเบ็ญ.
บอนกุซอนออยเนียงบำเพ็ญ. ไกวละไกลเว็น เนอโอน..
ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ
ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา
(....ดนตรี...)
สมัยซบไงกีเฮาสมัยพัฒนา ซบ.ไง.กีเฮาสมัยพัฒนา. กีเมียนน่ะตองคลับ
กีเมียนน่ะตองบาร์ โกนเมงนะโปรสะไล แจจั๊วะ...เพาะสรา โตวนานีโมวนา กีจิมอเตอร์ไซค์
กลางคืนนะเที่ยวคลับ กลางวัน...หลับสบาย เดาะมันนะเตือนเลิง อังกุยยุมจองบานปะเตย
คลูนทมนะเปินระเบ็ย มันแจ๊ะ...ตนำบาย วิชานะไม่มี ติดตัวนะทรามวัย
ดอลเนียงนะปานปะได บองคลาด...เสรยยากรอ โกนเพนคะเมารวล หากินนะไม่พอ
เปอเนียงนะขาดกรออ ออยเนียงคอมวิชา...นะวิชา
(...ดนตรี..)
ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ
ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา
(...ดนตรี..)
แมเอานะนา.คละ ยากรอมันเทยปรูน ออยแตนะโกนซรูน
ออยโกนบานศึกษา ร่ำเรียนนะวิชา หาความรู้ใส่ตัว โกนคละนะเวียจูน
มันเด๊ะ...กึดเวไกล ทั้งหญิงนะทั้งชาย พากันเที่ยวคลับบาร์
กัญชงนะกัญชา ยาอง...ยาอี ยาบ้าก็มี พากันมั่วอบาย พ่อแม่อับอาย
เอียลเซราะ...เอียลแซร มันเตรยนะโกนแม มันแจ๊ะ.แยะเคาะเตรา
โคยมุนะแมเอา โคยดอล...ยัยตา ตัวเราก็ยังเด็ก ออยเร่งการศึกษา
ใครมีนะวิชา เขาว่า...เมียนประแซน ยากรอนะยังนา วิชา.จูยาบานเมน
กึดออยนะเมนเตน เนอโอน...ปะวอซะเร็ย .ละออบองเอย สดับบองยิ่งยงอันยัย
.โอนเกลียดโอนชังเกอไคว แดลบองยิ่งยงอันยัย ปรัวบองสลันซรัยเนอโอ..โอน
(...ดนตรี..)
ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ
ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา
หลายคนมักจะตั้งคำถามเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยฟังหมอลำมาก่อน ส่วนผู้ที่ชื่นชอบหรือคุ้นเคยในการฟังลำเป็นอย่างดี อาจจะไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะฟังจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เฉพาะอย่างยิ่ง “หมอลำกลอน” ถ้าไม่โอละนอ แทบจะบอกได้เลยว่า นั่นไม่ใช่หมอลำกลอน ซึ่งเท่ากับเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นคำถามนี้
อันที่จริงคำว่า “โอนอ” หรือ “โอ้ละนอ” นั้นก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ฟังมานานแล้ว เนื่องจากคำว่า “โอ” นั้น ทำนองลำบางประเภทออกเสียงว่า “โอย” เช่น
ลำยาว (ลำล่อง) ร้องขึ้นต้นว่า “โอย…ละนอ ฟ้าเอ๋ยฟ้าฮ้องส่วยผู้ใดซวยแฮ่งเสียตื่ม”
ลำเพลิน ร้องขึ้นต้นว่า “โอยละหนอหละพี่เอ๋ย” หรือ “โอ้โอ่ยนอชาย”
รวมลำกลอน โดย หมอลำเคน ดาเหลา
ดังนั้น หลายคนจึงเข้าใจผิด เพราะหยิบเอาเฉพาะคำว่า “โอย” มาตีความ โดยลืมฟังคำต่อไปคือคำว่า “ละนอ” มาต่อท้าย ก็เลยกลายเป็นว่าภาคอีสานนั้นแห้งแล้ง ถึงขนาดหมอลำต้องร้องโอดครวญเป็นภาษาเพลง ทั้งๆ ที่ “โอย” คำนี้ มาจากคำว่า “โอยละนอ” หรือ “โอนอ”
เรื่องนี้น่าจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ชอบเอาภาษาส่วนกลางเข้าไปจับภาษาถิ่น ซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดจากการตีความได้ง่าย
นิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง มักจะใช้คำว่า “โอละนอ” หรือ “โอนอ” เมื่อกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับความรักหรือการเกี้ยวพาราสี เช่น
โอนอ ปานนี้นางแพงแก้ว เถิงปรางค์ผาสาท
แม่แจ่มเจ้า สิกุมให้บ่าวลาง แลนอ
และ
โอนอ ขูลูท้าว ผัวขวัญหลายชาติอวนเอย
บาหากละน้องไว้ ทางพี้บ่คนิง แลนอ
โอนอ แพงแสนสร้อย เสมอตาตนพี่ เฮียมเอย
พี่ก็คิดฮอดน้อง ประสงค์ตั้งแต่งไฟ
แสนสิไกลเหลือล้น บ่มีคนไปใส่ก็ตามถ้อน
ใจหากคึดฮอดน้อง นอนลี้อยู่บ่เป็น
โอนอ เจ้าอย่าได้ลวงพางข่อย เสียแฮงอ้ายนั้นเนอ เจ้าคำเอ๋ย
เมื่ออี่พี่จักขัดอยู่แท้ การเจ้าบอกไป อุ่นเอ๋ย
โอนอ คำไขน้อยสีไวซู่พี่ อี้เฮียมเอ๋ย
น้องอย่ามีใหม่ซ้อน ลืมอ้ายขาดขวัญ น้องเอ๋ย
โอนอ พี่หากคิดเถิงเจ้า สายคอบ่ฮู้สว่าง อวลเฮย
วิบากเป็นกำพร้า ยินค้อยคั่งทวง
พี่นี้เป็นดั่งชาลีท้าว กัณหาพลัดแม่ วันนั้น
ก็บ่ปานพี่พรากน้อง เดียวนี้ดุ่งมา พี่นา
แม้แต่ประเพณีเกี่ยวกับความรัก เช่น ประเพณีเกี้ยวสาวลงข่วง ก็ใช้คำว่า “โอนอ” นำหน้าบทพูด ที่เรียกว่า “คำผญา” เช่น
(ชาย) โอนอ อันว่าสุดที่ทางไกลล้ำ เดินทางมาถามข่าว
สุดที่คอยล่ำเยี่ยม หาน้องก็บ่เห็น อุ่นเอย
เจ้าก็นอนในห้อง แจเฮือนคอยถ้าพี่
แสนสิคิดฮอดน้อง นอนแล้วหากต่าวฝัน
(หญิง) โอนอ อ้ายเอย แนวหญิงนี้ คือกันกับดอกท่ม
ครันว่าอ้ายบ่หักไม้หมิ้น ดวงดั้วบ่หล่นลง ได้แล้ว
น้องนี้แนวนามเชื้อ สกุลญิงยศต่ำ
ญิงหากสุขอยู่ย้อน บุญสร้างพร่ำผัว
ต่อมาเมื่อภาษาพูดและภาษาวรรณกรรมถูกพัฒนามาเป็นภาษาเพลง คำว่า “โอนอ” ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบเพลง ดังคำ “ขับโคลง” ของหนุมาน ในนิทานเรื่อง พระลักษณ์-พระราม (รามเกียรติ์) สำนวนเก่าของอีสานที่ว่า
โอนอ มาเสียดายโพธิ์ศรีต้นลังกาบานแบ่ง เพื่อนเด
ง่าหากโปดจากต้นบ่มีเอื้อต่อลำ แลนอ
โอนอ มาเสียดายบุปผาต้นลังกาหอมอ่อน เพื่อนเด
บัดนี้ กาบฮ่วนแล้วใบซิเยี้ยมล่ำคอย นี้เด
โอนอ เมื่อก่อนกี้งูหากคาบกินกบ เดนอ
เทื่อนี้ บ่มีดาวอยู่อ้อมดูเส้าหม่นหมอง แลนา
เมื่อนั้น หุลละมานท้าวขับสาส์นแล้วอย่า
เนือด ๆ ฟ้อนบาท้าวอ่านโคง”
ดังนั้นคำว่า “โอนอ” หรือ “โอละนอ” จึงกลายเป็นธรรมเนียมการเกริ่นนำขึ้นเพลง เฉพาะกลุ่มภาษาตระกูลลาวล้านช้าง เช่น ไทยภาคอีสาน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เลยไปจนถึงเขตมณฑลยูนนาน ตอนใต้ประเทศจีน เช่น
โอ้นอ โอ้นอ น้องเอย หนอน้องนอ ตูมดอกนอเดือนเต้า
เมียบ่หนี อกสินวลสิไลแล้ว บ่หนีทางพระเนอน้อง
สิคึดต่อ อ้ายตายนำเด้อ น้องเอย… ”
ຂັບງື່ມຜ່າຊຳ(ຂັບຕໍ່ແຍ) ຂັບງື່ມໂດຍ: ໂອທອງ ແສງອາລຸນ
ขับงึมโดย: โอทอง แสงอาลุน
โอนอ มาอิดูโตนเด อกสิเพแตกแลง คำแพงเอย
อันแม่นว่า บ่แม่นหน่ายหลดตั้งแก้งแปลงล้อมพระนาง คิงบางเอย…
บัดนี้เจ้าผู้ก้อนน้ำล้าง ฮูปฮางเสมอเขียน
ขอเป็นดาวเดือนเพ็งแต่งลงยามสิย้อย
อันแม่นว่าสาธุเนอขอให้เป็นของข้อยบัวผันไคแน พี่น้องเอย
คันได้เป็นแท้ ๆ ตนน้องก็บ่แหนงสังแล้ว… ”
โอยแหละโอยนอ นางเอยนางเอย” หรือ “โอย โอยนอ ชายเอยชาย”
โอ่ยนอ…”
ลำสาละวัน ทำนองลำวัฒนธรรมล้านช้าง โดย หมอลำอินแต่ง แก้วบัวลา
โอนอ จิตระวังใจระเว อกสิเพแตกแล่ง โอ…โอย แพงนางเอย
โอนอ น้องหล่ากะวิงน้องอยู่บ่แล้ว แก้วอยู่หว่างใจอ้ายนา ”
โอนอ มักไถด้ำหรือไถคน นาโนนหรือนาต่ำ แม่ซิตำฮากไม้ไถบักอ้ายซิรับรอง ”
จากกลอนลำและคำขับทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหมอลำต้อง “โอละนอ” หรือ “โอนอ” โดยเฉพาะหมอลำกลอน ทั้งนี้เพราะ
ที่มา : สนอง คลังพระศรี นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ สิงหาคม ๒๕๔๐
นอกจากเรื่องการขึ้นลำด้วย "โอละนอ" แล้วยังมีคำถามที่ตามมาอีกคือ ท่วงทำนอง หรือ สังวาสลำ ที่หลายๆ คนสงสัย สังวาสลำไม่ใช่ชนิดของการลำแต่อย่างใด เพราะการลำของหมอลำในภาคอีสานนั้นแบ่งเป็น ลำโบราณ ลำคู่หรือลำกลอน ลำหมู่ ลำซิ่ง ซึ่งในการลำเหล่านี้ก็จะมีกลอนที่เป็นการเกริ่นนำ (กลอนขึ้นลำ) กลอนเดินเรื่อง กลอนเต้ย (กลอนลา) กลอนลงลำ เป็นต้น
สังวาสลำ คือ สำเนียงการลำ (สังวาส คือ พื้นถิ่น/ท้องถิ่นนั้นๆ) บางทีใช้คำว่า "วาทลำ" จะมีใช้ในลำกลอนที่มีการแสดงเป็นเรื่องราว ซึ่งจะบ่งบอกว่า หมอลำคณะนั้น คนนั้นเป็นคนพื้นถิ่นใด หรือเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ใด การลำที่มีวาทลำเป็นเอกลักษณ์และมีความแตกต่างกันเด่นชัดจะมีอยู่หลายจังหวัด เช่น
ลำศรีธนมโนห์รา โดย คณะรังสิมันต์ (ทองคำ เพ็งดี - บานเย็น รากแก่น)
ลำกลอนประวัติเมืองอุบลฯ ฉลอง 200 ปี
ผู้ลำ : ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม ผู้แต่ง : กำนันดวง จันทร์น้อย
ในเวลานี้จะมีการเรียกลำทำนองขอนแก่น ออกเป็น 2 ยุค 2 สไตล์ คือ
มีข้อมูลคณะหมอลำชื่อดังที่เป็นรู้จักกันดี มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วภาคอีสาน (ข้ามไปฝั่ง สปป.ลาว ด้วย) การจองคิวจ้างไปแสดงในงานต่างๆ นั้นยาวข้ามปีกันเลยทีเดียว ข้อมูลนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 นะครับ ปัจจุบันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ้างแล้วก็ได้ ตามการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตัวพระเอก นางเอก ทีมตลก หางเครื่อง และอุปกรณ์แสง สี เสียง ที่พัฒนาขึ้นมาก แข่งขันกันชัดเจนเลยทีเดียว
วงดนตรีลูกทุ่งหมอลำ ลำเรื่องต่อกลอน ที่เป็นความบันเทิงอันดับหนึ่งของพี่น้องชาวอีสาน การแสดงด้านหน้าเวทีตั้งแต่เริ่มต้น โชว์นักร้องน้องใหม่ หางเครื่อง ไปจนเต้ยลาช่วงสุดท้ายถือว่า เป็นความสุดยอดและคุณภาพทั้งด้านการแสดงโชว์เพลง เสื้อผ้า เวที เล่นตลก หมอลำ พระเอก นางเอก จัดนักแสดงได้ลงตัวเหมาะกับกลอนลำ ลำเรื่องต่อกลอนและช่วงเต้ยลาสุดท้ายในช่วงรุ่งสาง เรียบเรียงเรื่องราวได้เป็นอย่างดี จนจัดอันดับเป็นสุดยอดแห่งปี สำหรับ "10 อันดับคณะหมอลำยอดเยี่ยมแหงปี 2558" มีดังนี้
ในการทำเครื่องดนตรีอีสานประเภทเครื่องเป่าอย่าง "แคน" หรือ "โหวด" จะมีการนำท่อเสียงที่ทำจากไม้ไผ่ หรือที่เรียกกันว่า "ลูกแคน" มารวมกันเป็นมัดสอดเข้าไปใน "เต้าแคน" จะอุดด้วยวัสดุธรรมชาติที่เรียกว่า "ขี้สูด" เพื่อไม่ให้ลมเล็ดลอดออกมาตามช่องว่างระหว่างเต้าแคน บังคับให้ลมไหลผ่านลิ้นแคนให้เกิดเสียงต่างๆ "ขี้สูด" นี้จะมีความเหนียว ชุ่มชื้น ไม่แห้ง เป็นกาวธรรมชาติที่หาได้ไม่ยาก เป็นภูมิปัญญาของคนอีสานโบราณ
ชื่อ : แมงสูด , แมงขี้สูด (นักพรตแห่งโพนปลวก)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tetragonisca ,Trigona apicalis และ Trigona Collina
วงศ์ : Stingless bee
แมงสูด เป็นชื่อของแมลงชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในตระกูลผึ้ง มีขนาดลำตัวเล็กๆ และไม่มีเหล็กในในตัวเอง นิสัยเป็นมิตร ไม่ดุร้าย มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับผึ้ง มีวรรณะ เช่น มี นางพญา (แม่รัง) สูดงาน (ไม่มีเพศ) และ สูดสืบพันธุ์ (มีทั้งตัวผู้ตัวเมีย) สามารถผลิตน้ำหวาน และขยายเผ่าพันธุ์ได้ ทางภาคเหนือจะเรียกว่า “แมลงขี้ตึง” แปลว่า แมลงที่ผลิตหรือเก็บน้ำยางได้ ทางภาคอีสานเรียก "แมงขี้สูด” นิยมนำมาอุดแคน หรือถ่วงเสียงเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิด ทำให้เกิดเสียงไพเราะ ส่วนภาคใต้เรียกตัว “อุง” สำหรับภาคกลาง รู้จักในชื่อตัว “ชำมะโรง" หรือ “ชันโรง”
บางครั้งทำรังในระดับทางเดินของคน มีชื่อเรียกภาษาอีสานว่า "สูดเพียงดิน” หมายถึง แมลงชนิดนี้ทำรังระดับเดียวกันกับพื้นดิน แล้วทำท่อขึ้นมาจากพื้นดินครับ ซึ่งปกติแล้วแมลงชนิดนี้มักจะทำรังในที่สูงครับ เช่น โพรงไม้หรือจอมปลวกครับ ”สูดเพียงดิน” นี้ค่อนข้างจะหายากครับ ถ้าใครเจอให้เก็บไว้เลยนะครับเป็นของดีเอามาใส่เครื่องดนตรีชนิดใด ก็ไพเราะจนคนไหลหลง อีกทั้งผู้ร่ำเรียนไสยศาสตร์ มักจะนำไปปลุกเสกเป็นมหานิยม แล
ขี้สูด เป็นแมลงสังคม (Social insect) กลุ่มเดียวกับผึ้ง ลักษณะที่สำคัญแตกต่างกันไปจากผึ้ง คือ เป็นผึ้งขนาดเล็กที่ไม่มีเหล็กใน เป็นแมลงที่เชื่อง ไม่ดุร้ายกับศัตรู บางชนิดขี้อาย ชอบหลบอยู่ในรูหรือโพรงไม้ อยู่ในวงศ์ผึ้ง กลุ่มนี้ว่า "Stingless bee" สามารถสร้างน้ำหวานได้เช่นกัน คำว่า "ขี้สูด" เป็นชื่อเรียกพื้นเมือง (Verrnacular name) ทั่วไปของภาคอีสาน ที่มาของคำนี้สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากลักษณะการสร้างรัง เนื่องจากแมลงกลุ่มนี้ได้เก็บหา ยาง (gum) ชัน (resin) ของต้นไม้ แล้วนำมาอุดยาชันรอบๆ ปากรังและภายในรัง เพื่อป้องกันน้าไหลซึมเข้าไปภายในรัง และยังเป็นการป้องกันศัตรูบริเวณปากรัง
ตัวอ่อนเมื่อกินน้ำหวานแล้ว จะขับถ่ายเกสร หรือยางไม้ออก พวกวรรณะงาน (ตัวสูดไม่มีเพศ) จะขนถ่ายเศษเหล่านั้นไปสะสมไว้ใต้รัง ส่วนนี้เองที่เรียกว่า ”ขี้สูด” เนื่องจากมีกลิ่นหอมแปลกๆ จากยางไม้ดอกไม้นาๆ ชนิด หากจับต้องแล้วเป็นต้องดมสูดกลิ่นอันนี้ ประหลาดแท้ จึงเรียกว่า ขี้สูด อีกอย่าง สมัยโบราณ ไม่มีส้วม จึงอาศัยตื่นแต่เช้า ไปขี้ (ขับถ่าย) อยู่ข้างโพน บังเอิญเจอแมงอันนี้ จึง โก่งโก้ย ไปสูดดมปล่องรัง ได้ทั้งกลิ่นขี้ได้ทั้งกลิ่นน้ำหวาน แมงอันนี้ จึงตั้งชื่อว่า "แมงขี้สูด" นั่นเอง
สำหรับขนาดตัวของแมงขี้สูดโดยเฉลี่ยมีขนาดเล็กกว่าผึ้งพันธุ์ประมาณ 2-3 เท่า เป็นแมลงที่รวมกันอยู่เป็นสังคมเช่นเดียวกับ ผึ้งรวง (ผึ้งมิ้ม ผึ้งหลวง และผึ้งเลี้ยง) ภายในสังคมแบ่งออกเป็น 3 วรรณะ คือ นางพญา (Queen) ตัวงาน (Worker) และตัวสืบพันธุ์ (Male) โดยที่ขนาดลำตัวระหว่างนางพญา กับตัวงานมีขนาดแตกต่างกันมาก ตัวสืบพันธุ์มีขนาดใกล้เคียง หรือเล็กกว่านางพญาเล็กน้อย
ส่วนหัวมีตารวม มีหนวด 1 คู่ ตาเดี่ยว 3 ตา ช่วงท้อง (Metasoma) ไม่เป็นรูปปิระมิดมีลิ้นเป็นงวงยาว ขา3 คู่ ขาคู่หน้าและคู่กลาง ค่อนข้างเล็กขาหลังเรียวไม่แผ่แบน ไม่มีเหล็กใน
ตัวของ”สูดงาน”ตัวงานมีจำนวน 12 ปล้อง มีคล้ายนางพญาแต่ขนาดลำตัวเล็กกว่า กรามพัฒนาดีต่อการใช้งาน ขาคู่หลังแผ่กว้างเป็นใบพายมีขนจำนวนมาก รูปร่างคล้ายหวีสำหรับใช้เก็บละอองเรณูของดอกไม้ มีปีกปกคลุมยาวเกินส่วนท้อง และไม่มีเหล็กใน
ลำตัวมีจำนวน 13 ปล้อง คล้ายนางพญา มีขนาดเล็กกว่า หรือใกล้เคียงกัน ตารวมเจริญพัฒนาดี กรามพัฒนาไม่ดีพอต่อการใช้งาน หนวดยาวกว่า วรรณะทั้งสอง โค้งเว้าเป็นรูปดัวยู ปลายส่วนท้องปล้องสุดท้ายมีครีบสำหรับผสมพันธุ์ (genitalia) ส่วนของขาคล้ายกับ “สูดงาน“ แต่ขาคู่หลังของชันโรงตัวผู้เล็กกว่า
ลักษณะรัง การสร้างรังในป่าธรรมชาติเกิดจากการที่สูดวรรณะงานบางตัว เสาะหาแหล่งที่จะสร้างรังใหม่ เนื่องจากประชากรในรังเก่ามาก แออัด และมีนางพญารุ่นลูก (daughter queen) เกิดขึ้นมา ทำให้ต้องแยกรังออกไปสร้างใหม่ ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฤดูผสมพันธุ์ของมัน การสร้างรัง ขึ้นอยุ่กับแต่ละชนิด แต่ละชนิดเลือกสถานที่สร้างรังต่างกัน สามารถแยกลักษณะของการสร้างออกได้ 4 กลุ่มมีดังนี้
แมงขี้สูดนี้จะสร้างปากรังออกมาเป็นหลอดกลม หรือแบนที่สร้างด้วยยางหรือชันไม้ โดยที่แมงสูดแต่ละชนิดจะมีรูปร่างปากรูใกล้เคียงกัน หรือแตกต่างกันไปตามชนิดของมัน ภายในรังมีการสร้างเป็นเซลล์ หรือ หน่วยๆ เพื่อให้นางพญาวางไข่ และตัวงานเก็บ ละอองเรณู น้ำหวาน เพื่อใช้เลี้ยงตัวอ่อน เซลล์เรียงตัวเป็นชั้นๆ ไปตามแนวนอน ตามพื้นที่ภายในรังจะอำนวย วกวนไปมาหลายๆ ชั้นโดยที่ผนังเซลล์แต่ละหน่วยถูกสร้างเป็นผนังบางๆ จากชันยางไม้ผสมไขที่ชันโรงสร้างเคลือบเอาไว้ ภายในรังสามารถแยกเซลล์ออกเป็น หลอดนางพญา หลอดตัวงาน หลอดเก็บเกสร และหลอดเก็บน้ำหวาน และท้ายสุดหลอดที่เก็บขี้สูด
สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็กน้อยเวลาไปทุ่งนากับพ่อ ชอบไปดูตามจอมปลวกเหนือโพนด้วยความอยากรู้ ไปเจอรังของแมลงเล็กๆ ถามพ่อว่าเป็นรังอะไร พ่อบอกว่าเป็นรังของแมงสูด หรือตัวขี้สูด พ่อบอกว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ชาวบ้านจะมาหาขุดหาเอาน้ำหวานจากรังของมัน รวมทั้งเอา “ขี้สูด” เพื่อเอาไปทำประโยชน์ต่างๆ เช่น อุดเต้าแคน อุดเต้าโหวด ใช้ยึดติดขั้น (Frets) ของพิณ หรือซุง ซึ่งจะสามารถเลื่อนไปมาได้ ตามความต้องการของผู้ดีดที่ประสงค์จะให้เสียงลายพิณตรงกับเสียงที่ต้องการในแต่ละลายที่ดีด (ไม่ตายตัวเหมือนกีตาร์ฝรั่ง)
พอโตขึ้นได้เที่ยวไปตามหมู่บ้านต่างๆ ไปเจอชาวบ้านใช้คุไม้ใส่น้ำ ที่สานจากไม้ไผ่เอาชันยามาทาเคลือบไว้ ทำให้บรรจุน้ำได้ไม่รั่ว เมื่อใช้ไปนานๆ อาจมีรูรั่วก็จะใช้ขี้สูดอุดไว้กันน้ำรั่ว เวลาเล่นว่าวจุฬา เอาขี้สูดติดตรงรอยต่อของ ”สะนูว่าว” ปล่อยว่าวลอยลมขึ้นฟ้า เสียง "สะนู" ดังก้องท้องทุ่งทั้งคืน แคนที่เป็นเครื่องดนตรีดึกดำบรรพ์ของโลก ก็เอาขี้สูดติดที่เต้าแคนกับลำแคนที่ทำมาจากต้นไม้ไผ่เหี้ย โหวตเครื่องเป่าก็ใช้ขี้สูดติด รวมทั้งการทำหน้ากลองยาว กลองกิ่ง ชาวบ้านก็เอาขี้สูดติดเพื่อถ่วงเสียงให้ได้ตามที่ต้องการ
กลิ่นของขี้สูดมักมีกลิ่นหอมแปลกๆ ของยางไม้หรือเกสร อนึ่งบนหิ้งพระของปู่ มีก้อนขี้สูดเพียงดิน ปั้นเป็นรูปพระ แกเล่าว่า ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว เอาไว้ทำมาค้าขาย เมตตามหานิยม เป็นของดี
จะเห็นได้ว่า “ขี้สูด” ข้องเกี่ยวทางวิถีอีสานหลายอย่าง ยกแคนขึ้นมาเป่า เอากลองมาตี เอา “โตดโต่ง “ (พิณ) มาดีด ก็จะได้กลิ่น "ขี้สูด” เอา “สะนู” มาเล่นยามลมห่าว ก็มีขี้สูดติด นับว่าเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม หลายอย่าง อีกทั้งแมลงชนิดนี้ช่วยในการผสมเกสร ดอกไม้ต่างๆ ทำให้ผลไม้ติดผลดี นิสัยก็ไม่ดุร้าย ไม่เคยทำลายใคร ดังนักพรตแห่งจอมปลวก เครื่องดนตรีของภาคอีสาน ล้วนต้องมีขี้สูดข้องเกี่ยวทั้งนั้น เสมือนจะบอกว่า
ดนตรีมิเคยทำร้ายใคร มีแต่เอิบอิ่มเติมเต็ม ดังเช่นนิสัยแมงขี้สูด... "
รายการ Foodwork ThaiPBS : น้ำผึ้งชันโรง
ซอกันตรึม หรือ ตรัวกันตรึม เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มีบทบาทสำคัญในวงกันตรึมของอีสานใต้มาช้านาน คันทวน หรือ ตัวซอ ทำจากไม้หลากชนิดที่หาได้ในท้องถิ่น กล่องเสียง ขึงด้วย หนังงูเหลือม หรือหนังจำพวกตะกวด มีช่องเสียง อยู่ด้านตรงข้ามหน้าซอ ใช้สายลวดมี 2 สาย คันชักอยู่ระหว่างสาย คันซอยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีลูกบิดอยู่ตอนนอกซอใช้รัดด้วยเชือก มีคันชักผูกเชือกหางม้า หรือไนล่อนทำหน้าที่ถูลงบนสายโลหะจำนวน 2 สาย ที่พาดขึงในลักษณะเดียวกันกับซอในภาคกลาง เพื่อให้เกิดเสียงดังกังวาล บางครั้งจะเห็นมีการดัดแปลงประยุกต์กะโหลกซอ โดยใช้กระป๋องหรือปี๊บ ซึ่งอาจเรียกแทนว่า ซอกระป๋องหรือซอปี๊บได้
ซอกันตรึม นั้นมีขนาดที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้งาน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขนาด คือ
วงดนตรีกันตรึมพื้นบ้านแบบเดิม มีเครื่องดนตรีครบชุด ประกอบด้วย กลองกันตรึม 2 ลูก ซอตรัวเอก 1 คัน ปี่อ้อ 1 เลา ขลุ่ย 1 เลา ฉิ่ง 1 คู่ กรับ 1 คู่ ผู้เล่นมีประมาณ 6 - 8 คน และมีนักร้องชาย - หญิง โดยทั่วๆ ไป มักนิยมให้มีชาย 2 คน หญิง 2 คน ถ้าเครื่องดนตรีไม่ครบตามที่กล่าวไว้ วงกันตรึมบางคณะก็อาจจะอนุโลมให้มีเครื่องดนตรีดังนี้ กลองกันตรึม 1 ลูก ซอกันตรึม 1 คัน ฉิ่ง 1 คู่ ซึ่งก็จะมีนักดนตรี เพียง 4 คน และอาจจะมีนักร้องฝ่ายชาย 1 คน และฝ่ายหญิง 1 คน ซึ่งถ้าฝีมือคนเล่นซอมีความสามารถเป็นพิเศษ บรรเลงได้ไพเราะก็จะได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ถือว่าครบชุดเป็นวงดนตรีพื้นเมืองได้
การใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสาน มักจะประดิษฐ์ขึ้นให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเสียง ในการบรรเลงที่มีเสียงต่ำ ก็จะใช้ซออู้แทน เพื่อให้คล้ายคลึงกับเสียงผู้เฒ่า ใช้ซอด้วงแทนเสียงหนุ่มสาว ซออี้ แทนเสียงธรรมชาติ เช่น สายลมพัดพลิ้ว
บรรเลงซอกันตรึมซิ่ง โดย อาจารย์กิ่ง ไพโรจน์ซาวด์
ซอกันตรึม เป็นซอ 2 สาย มีช่วงเสียงกลาง มีขนาดเล็กกว่าซออู้ มีคันชักติดอยู่กึ่งกลางระหว่างสายทั้ง 2 ที่เรียกว่า สายเอก และสายทุ้ม กะลามะพร้าวที่นำมาแกะและขึ้นหน้าซอกันตรึมนั้น มักนิยมใช้กะลาชนิดพิเศษ รูปร่างกลม รี ขนาดใหญ่ ตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่ง แล้วใช้หนังแพะ หรือหนังลูกวัวขึงขึ้นหน้า กว้างประมาณ 9-10 เซนติเมตร เจาะกะโหลกทะลุตรงกลาง ทั้ง 2 ข้าง สอดคันทวนเข้าไปในรูผ่า ทะลุออกมา คันทวนทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้ประดู่ ไม้ชิงชัน ขนาดยาวประมาณ 80 เซนติเมตรขึงสายไหมหรือเอ็นที่ปลายลูกบิด 2 เส้น สายเสียงต่ำอยู่ด้านบน สายเสียงสูง (สายเอก) อยู่ด้านล่าง ลูกบิดยาวประมาณ 17-18 เซนติเมตร นำเชือกหรือด้ายป่าน ผูกตรงกึ่งกลางคันทวน เรียกว่า "รัดอก" ที่ด้านหน้าซอ ใช้ไม้ที่มาตัดประมาณ 3 เซนติเมตร เรียกว่า หย่อง
ซอกันตรึม นั้นมีลักษณะออกแนวหวานซึ้ง อ้อยอิ่ง มักใช้เป็นเครื่องดนตรีนำของเพลงต่างๆ สำหรับส่วนประกอบของซอกันตรึมนั้น มีดังนี้
กันตรึมดนตรีวิถีอีสานใต้
หนุ่มสุรินทร์ "อนุชา ทวีเหลือ" ผลิต ซอกันตรึม ขายรายได้ดี
[ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง : ซออีสาน ]
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)