![]()
|
อักษรขอม พัฒนามาจาก อักษรหลังปัลลวะ ซึ่งพัฒนามาจากอักษรปัลลวะอีกทีหนึ่ง เป็นตัวอักษรของราชวงศ์ปัลลวะในอินเดียใต้ ภายหลังได้มาติดต่อกับภูมิภาคอุษาคเนย์ จึงได้ถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงตัวอักษรไว้ให้กับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้อีกด้วย ต่อมาอักษรชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในภูมิภาคนี้ มีวิวัฒนาการต่อไปจากอักษรปัลลวะ เป็นอักษรหลังปัลลวะ หลังจากนั้นก็แตกแขนงเป็นสองสาขาใหญ่ๆ คืออักษรมอญโบราณ และอักษรขอมโบราณ
อักษรขอมโบราณ ใช้ในอาณาจักรต่างๆ สองฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่สมัยก่อนเมืองพระนคร ต่อมาจึงกลายเป็นอักษรท้องถิ่นในสมัยพระนคร และเป็น ต้นแบบของอักษรไทย และ อักษรเขมร ในปัจจุบัน
เอกลักษณ์ของอักษรขอม คือ เปลี่ยนบ่าอักษรของอักษรปัลลวะเป็นศก หรือหนามเตย อักษรนี้พัฒนาไป 2 ทิศทาง คือ เป็นอักษรขอมในประเทศไทย (ใช้เขียนภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาเขมร) และอักษรขอมในประเทศกัมพูชา (ใช้เขียนภาษาเขมร ภาษาบาลี)
พบหลักฐานการใช้อักษรขอมโบราณเขียน ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ในบริเวณภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ ของประเทศไทยปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 - 16 แต่จะไม่พบเอกสารโบราณประเภทจารึกที่ใช้อักษรขอมโบราณ ในแถบภาคเหนือตั้งแต่จังหวัดตากขึ้นไป หลักฐานทำนองนี้รวมไปถึงโบราณสถาน ที่เรียกว่า ปราสาทหิน ปราสาทอิฐ และพระปรางค์แบบขอม หรือลพบุรี ที่มีอยู่ทั่วไปในภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ แต่ไม่เคยปรากฏอยู่ทางภาคเหนือ
ในประเทศไทย อักษรขอม ถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในงานด้านศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อักษรขอมที่ใช้เขียนภาษาบาลีเรียก อักษรขอมบาลี ส่วนที่ใช้เขียนภาษาไทยเรียก อักษรขอมไทย ซึ่งมีอักขรวิธีต่างจากอักษรขอมกลุ่มอื่นๆ ต่อมา อักษรขอมไทยถูกแทนที่ด้วยอักษรไทย ส่วนอักษรขอมบาลียังคงใช้เขียนภาษาบาลีเรื่อยมา แม้จะมีการพัฒนาอักษรไทยและอักษรอริยกะมาเขียนภาษาบาลีก็ตาม อักษรขอมบาลีถูกยกเลิกไปในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม
อักษรขอม ที่ใช้จารในใบลานที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยมีอยู่ 2 แบบ คือ
ลักษณะอักษรขอมที่นิยมจารลงในใบลานมีอยู่ 3 ลักษณะ 3 ส่วน คือ ตัวอักษรหนามเตย และเชิงอักษรขอมทุกตัว จะมีเครื่องหมายเขียนหยักไว้ข้างบนที่เรียกว่า หนามเตย
หนามเตยโดยปกติแล้วจะเขียนติดกับสระ ยกเว้นตัวที่เขียนประสมกับสระอา อิ อี ส่วนเชิงอักษรนั้นเป็นเครื่องหมายแทนตัวอักษรที่เป็นตัวตาม ตัวสะกดจะเขียนไว้ข้างบนเชิงที่เป็นตามนั้นจะเขียนไว้ข้างล่างถ้าเป็นการเขียนเป็นภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นการเขียนเป็นภาษาไทยเชิงอาจเป็นตัวสะกด ซึ่งจะแนะนำวิธีการเขียนอักษรขอมต่อไป
เรียนอักษรขอมเบื้องต้น EP.1
อักษรขอมมี 41 ตัว แบ่งเป็น สระ 8 ตัว พยัญชนะ 33 ตัว
ตั้งแต่โบราณมา การเรียนอักษรโบราณอีสาน ไม่ว่าจะเป็นอักษรขอม อักษรธรรม บทปัญญาบารมี เป็นบทใช้สอนฝึกหัดอ่านเขียน และถือว่าถ้าใครสามารถอ่านเขียนปัญญาบารมีได้แล้ว ถือว่ามีความรู้เรื่องอักษรโบราณแล้ว ครูผู้สอนจะให้หาประสบการณ์ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองต่อไป
เรียนอักษรขอมเบื้องต้น EP.2
อักษรขอม | อักษรธรรมโบราณอีสาน | อักษรไทยน้อย | วรรณกรรมอีสาน
เรียบเรียงโดย : มนัส สุขสาย
คำว่า อักษร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายไว้ว่า ตัวหนังสือ วิชาหนังสือ คำ เสียง พยัญชนะ
อักษรธรรม เป็นอักษรที่คนโบราณอีสานใช้จารึกหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา สรรพวิชา ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่างๆ ของชาวอีสานเป็นเวลาช้านาน อักษรโบราณอีสานเป็นมรดกทางปัญญา ที่ปราชญ์โบราณวางเกณฑ์อักษรวิธีเอาไว้เป็นกลางๆ เป็นหนังสือหนังหาเสร็จอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่มีรูปวรรณยุกต์แต่มีเสียงวรรณยุกต์ไว้ครบถ้วน เหมาะสมกับผู้ใช้สามารถผันเอาเองตามต้องการ
ประวัติของอักษรโบราณอีสานนั้น นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ในการทำสังฆายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ณ ชมพูทวีป เมื่อประมาณ พ.ศ. 300 ได้มีการจารึกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นลายลักษณ์ครั้งแรก อักษรที่ใช้จารึกในครั้งนั้นเรียกว่า อักษรพรหมี และอักษรนี้เป็นแม่บทของอักษรเทวนาคี และอักษรปัลลวะ
นักปราชญ์ทั้งไทยและต่างประเทศยอมรับว่า อักษรปัลลวะ เป็นต้นแบบของอักษรชาติต่างๆ ในแหลมทอง โดยเฉพาะในภาคอีสานมีวรรณกรรมเกี่ยวกับการเดินทางไปสืบเอาพระพุทธศาสนา ในประเทศอินเดียเรื่องหนึ่งคือ "เซตะพน" หรือ "เสถพน" ในเรื่องมีว่า พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทราบข่าวว่า วัดพระเชตุพน เมืองสาวัตถีเจริญรุ่งเรืองมาก ประสงค์จะทราบความจริง และจะได้คัมภีร์พระอภิธรรม พระองค์จึงทรงแต่งตั้งราชทูตคณะหนึ่งไปสืบดู ซึ่งคณะราชทูตมี ขุนไท ผู้เป็นหลานของพระเจ้าแผ่นดินเป็นหัวหน้า พร้อมด้วย ขุนพาย ขุนพล ขุนลิงล้ำ เป็นรอง นายกรวิก เป็นองครักษ์ และมีคนโบราณใหญ่สูง 8 ศอก เป็นคนนำทางพร้อมไพร่พล 500 คน เป็นชาย 400 หญิง 100 คน ในการเดินทางครั้งนั้นใช้ช้างและม้าเป็นพาหนะ
คณะราชทูตออกเดินทางประมาณเดือนอ้าย เดินทาง 3 เดือน ถึงเมืองหงสาวดีเข้าเฝ้าเจ้าเมือง และพักอยู่ที่นั่น 3 คืน แล้วเดินทางไปอีก 3 เดือน 14 วัน ถึงปลายแดนเมืองหงสาวดี พบเจดีย์ใหญ่ชื่อพระธาตุชะกุ้ง (ชเวดากอง) พากันบูชาแล้วเดินทางเข้าป่าหิมพานต์ พบสิงสาราสัตว์ ภูตผีปีศาจ และธรรมชาติต่างๆ มากมายเป็นเวลา 7 ปี จึงถึงแม่น้ำมหิง ไพร่หนุ่มสาวที่เดินทางไปด้วยได้แต่งงานให้กำเนิดเด็กประมาณ 300 คน
คณะทูตได้เดินทางไปอีก 1 ปี จึงพบพระฤาษีไตคำ ได้ทราบข่าวเรื่องมาลัยเจดีย์ วัดพระเชตุพน เมืองสาวัตถี ซึ่งอยู่บนเขาเนมินธร ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดี คณะเดินทางขึ้นเขาเนมินธร ผู้คนในคณะเป็นโรคท้องตาย 205 คน ที่เหลือจึงเดินทางไปอีก 8 วัน จึงถึงเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าถวายราชบรรณาการแก่พระมหากษัตริย์เมืองสาวัตถี พักอยู่ที่นั่น 1 คืน รุ่งขึ้นเดินทางไปวัดพระเชตุพน เข้าเฝ้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชแล้วบูชามาลัยเจดีย์ ได้ทำการวัดเอาสัดส่วนต่างๆ ของเจดีย์เอาไว้
คณะทูตได้ขอพระอภิธรรมปิฎกทั้ง 7 คัมภีร์ สมเด็จพระสังฆราชก็พระราชทานให้ดังประสงค์ ชายที่ไปด้วยในคณะมีความเลื่อมใสขอบวชเป็นพระภิกษุที่วัดพระเชตุพน 15 คน นอกนั้นพักอยู่ที่นั่น 1 เดือน แล้วได้เดินทางกลับ ขากลับได้ชมหมู่บ้านหิมพานต์ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก แล้วเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา การกลับมาในครั้งนั้นได้รับการต้อนรับจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นอย่างดี และพระอภิธรรมที่ได้มาทั้ง 7 คัมภีร์นั้นได้สร้างหอคำบรรจุเอาไว้ ปราชญ์โบราณชาวอีสานได้อ่าน ได้ศึกษาจารึกที่ได้สืบเอามานี้ใช้สั่งสอนอบรมประชาชนสืบมา
ชาวอีสานโบราณใช้อักษรประจำถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ที่นิยมกันมากมี 3 ชนิด คือ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมหัวเมืองชายแดนที่เป็นประเทศราช ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เข้าเป็นประเทศสยามอันเดียวกัน และอิทธิพลของอักษรไทยแพร่เข้ามาในหัวเมืองอีสาน เริ่มแรกนั้นอักษรไทยก็ใช้เฉพาะงานในหน้าที่ราชการเท่านั้น ส่วนชาววัดและชาวบ้านทั่วไป ยังคงใช้อักษรพื้นเมือง
ครั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ได้มีการจัดพิมพ์หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาด้วย อักษรไทยปัจจุบันในใบลานสำเร็จ และเผยแพร่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่นั้นมา การจาร (เขียน) อักษรโบราณอีสาน ทั้งอักษรขอม อักษรธรรม อักษรไทยน้อย ก็ลดความนิยมลงเรื่อยๆ หนังสือเหล่านี้ส่วนมากไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควร เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่สรรพวิชาการ มรดกทางปัญญาที่ล้ำค่าของปราชญ์โบราณอีสานต้องสูญเสียไป
ณ บัดนี้ ด้วยความร่วมมือของ อาจารย์มนตรี โคตรคันทา ผู้สร้างสรรค์เว็บไซต์ "สะออน" (ชื่อเดิม Sa-On : สะออนอีสาน ก่อนจะจดโดเมนใหม่ในชื่อ IsanGate.com) แห่งนี้ จะได้นำผลงานการค้นคว้าของข้าพเจ้ามานำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วยมุ่งหวังที่จะให้เป็นแหล่งสืบสานภูมิปัญญา ของหมู่เฮาชาวอีสาน ไว้ให้ลูกหลานได้ค้นคว้าต่อไป
สำหรับท่านที่สนใจอยากจะได้หนังสือวรรณกรรมอีสาน ตำราเรียนอักษรโบราณอีสาน โปรดติดต่อโดยตรงที่ อาจารย์มนัส สุขสาย สำนักพิมพ์มูนมังไทยอีสาน 299 หมู่ 11 (บ้านนิคมจัดสรร) ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000 โทรศัพท์ 045-241716 (ส่งธณานัติสั่งจ่าย ปณ.แจ้งสนิท จำนวน 175 บาท [ค่าหนังสือ + ค่าส่ง] ได้เลยครับ) |
และเป็นข่าวดีอีกข่าวหนึ่งคือ ตัวอักษรไทยน้อย ไทยอีสาน นั้น กำลังจะถูกสร้างสรรค์ให้เป็นอักขระบนระบบคอมพิวเตอร์ มีแป้นพิมพ์เปลี่ยนได้เหมือนกับภาษาอื่นๆ เช่น ไทย-อังกฤษ เราก็จะมี ไทยอีสาน-อังกฤษ เป็นต้น การดำเนินการดังกล่าวนี้กำลังดำเนินการโดย คุณเทพพิทักษ์ การุญบุญญานันท์ ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่บล็อกคุณเทพพิทักษ์ โครงการอักษรอีสาน เลยครับ และตอนนี้ยังมีการทดลองเอาไปใช้กับเพลงคาราโอเกะเพื่อการศึกษา โดยอาจารย์สานิตย์ โภคาพันธ์
อักษรธรรม และอักษรไทยน้อย, Dhamma - Thainoi script
คะลำ เป็นลักษณะความผิดบาป ผิดจารีต ไม่เหมาะ ไม่ควร อาจมีโทษมากหรือน้อย หรือไม่มีโทษ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม คะลำจึงเป็นหลักคำสอนที่ปฏิบัติกันมาจนเป็นขนมธรรมเนียมที่มีลักษณะเป็นข้อห้าม
ข้อคะลำที่สัมพันธ์กันกับเวลานั้น มีหลายข้อที่สัมพันธ์กับบุคคลและสถานที่ด้วย ซึ่งแยกออกจากกันลำบาก แต่เพื่อให้เห็นภาพกว้างๆ โดยรวม และไม่ต้องแบ่งซอยลงไปมากจนเกินไป จึงขอยกตัวอย่างดังที่แบ่งข้างต้น ซึ่งข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลานั้น น่าจะหมายถึงเวลาที่เป็นงานเทศกาล ประเพณีประจำปี หรือเวลาของการประกอบอาชีพประจำฤดูกาล โดยเฉพาะการทำนา รวมทั้งประเพณีเฉพาะกิจในระดับส่วนบุคคลที่เกี่ยวพันกับสังคม ตัวบุคคลและสถานที่ด้วย รวมทั้งกิจวัตรประจำที่อยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน แต่ในที่นี้จะเอาเวลาเป็นตัวตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับที่แบ่งหัวข้อไว้ เช่น
เวลา หรือ ขั้นตอนในการทำนา ซึ่งจะต้องดำเนินการสอดคล้องตามระยะเวลา เนื่องจากต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ในสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมที่ยังควบคุมธรรมชาติไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติแล้วจะต้องคะลำ ผิดประเพณี "กินไม่บกจกไม่ลง" นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติที่สัมพันธ์กับข้าว เช่น
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำที่สัมพันธ์กับเวลา เช่น บุญหรืองานประเพณี พิธีกรรมต่างๆ อาทิ
การแต่งงาน ถือว่าเป็นงานมงคลในช่วงชีวิตของคน ดังนั้นจึงมีข้อคะลำเพื่อให้เกิดความมั่นใจในชีวิตคู่ สร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป รวมทั้งข้อคะลำที่ควรทราบในระหว่างมีชีวิตคู่ด้วย เช่น
วันสงกรานต์ หรือ วันเนา เชื่อกันว่ามาจากคำว่า "เน่า" หมายความว่าถ้าใครกระทำผิดคะลำในวันนี้แล้ว เวลาตายไปจะเน่าเหม็น สำหรับในวันนี้ของสังคมอีสานในอดีตถือว่า เป็นวันหนึ่งในรอบปีที่ต้องผ่อนคลาย สนุกสนานให้เต็มที่ การเตรียมการเตรียมงานหรือเวียกงานต่างๆ ต้องกระทำก่อนหน้านั้นให้เสร็จสิ้น หากมีบุคคลใดฝ่าฝืนทำสิ่งใดในวันนี้ถือว่าคะลำ ไม่เจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายไม่ขึ้น จะต้องตายเน่าตายเหม็นอย่างไม่มีศักดิ์ศรี ซึ่งคล้ายกับข้อห้ามของวันว่างในประเพณีของคนใต้
สำหรับข้อคะลำที่ห้ามประพฤติปฏิบัติในวันเนาตามความเชื่อของคนอีสานมีดังนี้
สรุปคือห้ามทำการงานทุกอย่างในวันดังกล่าว ให้สนุกสนานร่วมงานของเพื่อนบ้านอย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นการผ่อนคลายความเคร่งเครียดตรากตรำทำงานตลอดปีอีกวันหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำอื่นๆที่สอดคล้องกับเวลา เช่น
ยังมีเพิ่มเติมสำหรับการกระทำที่ถือว่า "คะลำ" ไม่ควรทำ เป็นการรวมอริยาบถของคนในลักษณะต่างๆ
คะลำเกี่ยวกับการยืน
คะลำเกี่ยวกับการย่าง (เดิน)
คะลำเกี่ยวกับการนั่ง
คะลำเกี่ยวกับการนอน
คะลำเกี่ยวกับการกิน
คะลำเกี่ยวกับการไปการมา
คะลำทั่วไป
กลับไปที่ คะลำ ขะลำ หน้าที่ 1
คะลำ เป็นลักษณะความผิด บาป ผิดจารีต ไม่เหมาะ ไม่ควร อาจมีโทษมากหรือน้อย หรือไม่มีโทษ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม คะลำ จึงเป็นหลักคำสอนที่ปฏิบัติกันมา จนเป็นขนมธรรมเนียมที่มีลักษณะเป็นข้อห้าม
คะลำ หรือ ขะลำ ความหมายตาม พจนานุกรมภาษาถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2537 หน้า 16 ว่าไว้ดังนี้
พจนานุกรมภาษาลาว โดย ดร.ทองคำ อ่อนมะนีสอน หน้า 24 ให้ความหมายไว้ดังนี้ "กะลำ น. สิ่งใดที่เฮ็ดลงไปแล้วบ่ดี บ่งาม เกิดโทษเกิดภัย เกิดเสนียดจัญไรแก่ตนและผู้อื่น โบราณเอิ้น กะลำ คะลำ ขะลำ ก็ว่า" อย่างว่า "หัวโล้นอยากลำ หัวดำอยากเทศน์ คะลำ (พาสิด)"
คำว่า "คะลำ" เป็นภาษาอีสาน ในสารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ให้ความหมายว่า "คะลำ น. ผิด บาป กรรม สิ่งใดที่ทำลงไปผิดจารีตประเพณี ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ผิดศีลธรรมในทางพระศาสนา จะมีโทษมาก โทษน้อย หรือไม่มีโทษ แต่สังคมรังเกียจ สิ่งนั้นเรียก คะลำ อย่างว่า ของมันผิดอย่าได้กระทำ ของคะลำอย่าได้ไปต้อง ของพี่น้องอย่าได้ไปซูน (บ.). sin, transgression, taboo." ได้แก่ ไม่ดี ไม่งาม ไม่เหมาะไม่สม เป็นบาปเป็นกรรม ถ้าทำอะไรลงไปผู้เฒ่าผู้แก่ทักท้วงว่า คะลำ คะลำคำนี้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทำจะไม่กล้าทำต่อไป คำว่า คะลำ จึงถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้
คะลำ นี้ในสมัยโบราณถ้าใครไม่ปฏิบัติอาจมีโทษมาก หรือน้อย หรือไม่มีโทษ แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่ในปัจจุบัน เมื่อบ้านเมืองมีการพัฒนาทางด้านการศึกษา เทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้น การคะลำของชาวอิสานจึงค่อยๆ หายไปกับกาลเวลา เพราะการคะลำบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ล้าสมัย เช่น คนอยู่กรรม (อยู่ไฟหลังคลอดลูก) จะไม่ให้กิน เนื้อวัว เนื้อควาย ผัก ผลไม่บางอย่าง จะผิดกรรม ให้กินข้าวบ่ายเกลือ ปลาขาวนาปิ้งเท่านั้น ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันนั้นได้ทดลองและวิจัยแล้วพบว่า ถ้าร่างกายหลังหลังคลอดไม่กินของเหล่านี้ ก็จะขาดวิตามินบำรุงร่างกาย และไม่มีน้ำนมให้ลูกกินด้วย การคะลำจึงควรเลือกปฏิบัติเป็นอย่างๆ ตามกาละเวลา
ทั้งนี้หากจะแบ่งประเภทของข้อคะลำแล้ว สามารถแบ่งออกกว้างๆ ตามสิ่งที่ได้ไปเกี่ยวข้อง หรือปฏิสัมพันธ์ได้ 3 ลักษณะคือ
ซึ่งการแบ่งลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่ได้แยกออกจากกันเป็นอิสรภาพ หากแต่มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน ในลักษณะองค์รวมความรู้ของค่านิยม บรรทัดฐาน อุดมการณ์ อันจะครอบคลุมไปทั้งหมดของวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การเกิด การอยู่ การกิน การนอน การเจ็บป่วย การแต่งงาน การตาย เป็นต้น ซึ่งจะจัดพฤติกรรมความสัมพันธ์ของผู้คนในระดับต่างๆ เพื่อผลที่น่าปรารถนาทั้งต่อระดับบุคคลและสังคม
ข้อคะลำในหมวดนี้ หากจะแบ่งย่อยออกไปเพื่อระบุให้ชัดเจนแล้ว อาจจะสามารถแยกออกไปได้ในส่วนของระดับ หรือประเภทของบุคคลต่างๆ ในสังคม เช่น
ข้อคะลำ ที่สตรีมีครรภ์ไม่ควรประพฤติปฏิบัติในระหว่างช่วงดังกล่าวนั้นมีมากมาย ทั้งนี้เพื่อต้องการให้ทั้งแม่และเด็ก สามารถที่จะประสบกับสวัสดิภาพของชีวิตให้มากที่สุด ซึ่งในจำนวนข้อคะลำทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่มักจะเน้นหนักไปทางด้านอาหารการกิน (ของแสลง) แบบแผนที่ผู้เป็นว่าที่คุณแม่ควรนำมาประพฤติ ซึ่งหากละเลยแล้วต้อง คะลำ ถือว่าไม่ดี ไม่งามไม่เหมาะสม หนักเข้าจะเป็นบาปกรรม เสื่อมเสียและอาจถึงแก่ชีวิต เป็นต้น
ซึ่งหลายข้อคะลำในบางข้อ หากมองด้วยความรู้มาตรฐาน โดยเฉพาะหลักสุขลักษณะตามหลักโภชนาการแม่และเด็กแล้ว ดูจะเป็นการขัดกันอยู่หลายข้อ แต่เมื่อพิจารณาตามสภาพแวดล้อม และเวลาในช่วงเวลานั้นของสังคมอีสาน ด้วยเงื่อนไข ขีดจำกัดทั้งการแพทย์ วิทยาการรักษาแล้ว ความจำเป็นในสวัสดิภาพของชีวิตและเผ่าพันธุ์ จึงจำเป็นต้องบัญญัติข้อคะลำตามที่บรรพบุรุษแนะนำไว้ จากประสบการณ์ที่เคยประสบอย่างเคร่งครัด เนื่องจากความเคารพนับถือแก่บุคคลที่กำเนิดเกิดก่อนผู้เฒ่าผู้แก่ในสังคมดั้งเดิม ซึ่งข้อคะลำที่นำมาเป็นตัวอย่างประกอบในการพิจารณามีดังนี้
ข้อคะลำในการปฏิบัติ เช่น
ข้อคะลำเรื่องอาหาร เช่น
ตามตำราสุขภาพแผนใหม่ในปัจจุบันนั้น ได้กำหนดอาหารต้องห้ามไว้ 6 ชนิดที่ไม่ควรรับประทานเพราะจะสุงผลต่อการให้นมบุตร คือ อาหารแปรรูป (พวกขนมเค้ก ขนมหวาน ที่ทำจากแป้งสาลี แป้งข้าวโพด นมวัว ถั่วลิสง ซึ่งเด็กบางคนแพ้สารในอาหารเหล่านี้) ผักบางชนิดที่มีแก๊ส เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บล็อกโคลี่ (เพราะทำให้เกิดแก๊สในท้องเด็ก ทำให้ท้องอืดได้ง่าย และผักชีจะทำให้ปริมาณน้ำนมมีน้อย) อาหารหมักดอง อาหารรสเผ็ดจัด อาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (ช็อกโกแลตก็อยู่ในกลุ่มนี้) และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แม่ลูกอ่อนหรือผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ยังอยู่ในภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตของผู้เป็นแม่ และทารกที่เพิ่งคลอดได้ ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงยังมีข้อประพฤติ ปฏิบัติ หรือข้อห้าม ข้อคะลำที่ผู้เป็นแม่ลูกอ่อนต้องคะลำอยู่หลายอย่าง
ข้อคะลำในการปฏิบัติ เช่น
ข้อคะลำเรื่องอาหาร ทั้งนี้เชื่อว่าหากรับประทานเข้าไปแล้วจะก่ออันตรายต่อแม่ลูกอ่อน เป็นของแสลง ผิดสำแดง ซึ่งหากพิจารณาตามหลักโภชนาการแล้ว เข้าใจว่าสิ่งของที่คะลำนั้นยากต่อการย่อยเผาผลาญ และอาจมีผลต่อร่างกายที่ยังอ่อนแอของแม่และอาจมีผลต่อลูกได้ ตัวอย่างคะลำ เช่น
ข้อคะลำสำหรับคนเจ็บป่วยนั้น โดยภาพรวมเป็นข้อที่ห้ามปฏิบัติของผู้ป่วยในแต่ละโรค ซึ่งจะบอกกล่าวโดยรวมทั่วไปว่าสิ่งใดควรเว้น ควรไม่กระทำ หลีกเลี่ยงแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ป่วย ทั้งนี้ขอให้พิจารณาภายใต้เงื่อนไขของสังคมอีสานในอดีต ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ต้องช่วยเหลือดูแลตัวเอง ทั้งนี้ความก้าวหน้าทางการแพทย์ สาธารณสุขที่ยังไม่สามารถย่างกรายเข้ามาในสังคมดังกล่าว และได้สืบทอดปฏิบัติสืบต่อกันมานับหลายร้อยปี จากการสังเกต ลองถูกลองผิด สั่งสมเป็นข้อคะลำที่ควรระลึกไว้ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาดังนี้
เด็กถือว่าเป็นวัยที่จะต้องเติบใหญ่ เป็นผู้สืบทอดความรู้ รักษาระเบียบแบบแผนของสังคมในอนาคตต่อไป จึงเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องมีการปลูกฝังแบบแผน ความประพฤติในสังคมอีสานโดยผ่านคะลำ ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ และควบคุมพฤติกรรมของเด็ก ให้อยู่ในระเบียบแบบแผนที่พึงปรารถนาของสังคม และเป็นการเพาะกล้าของความคิด ความรู้ ค่านิยม อุดมการณ์ บรรทัดฐานบางอย่างให้แก่คนจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งด้วย ซึ่งข้อคะลำที่ผู้ใหญ่นำมาใช้กับเด็กรุ่นหลัง มักจะเป็นลักษณะการปราบและปรามพฤติกรรมที่ไม่พึ่งปรารถนา และแสดงถึงผลที่ฝ่าฝืนข้อห้ามข้อคะลำดังกล่าวให้น่ากลัว หรือบางครั้งจะไม่แสดงเหตุผลแต่จะบอกว่าคะลำ ซึ่งนั้นมักจะทำให้เด็ก (ส่วนใหญ่) สยบยอมต่อข้อคะลำเหล่านั้น พร้อมกันนั้นยังเป็นการควบคุมหรือบอกข้อควรปฏิบัติระหว่างผู้ใหญ่ต่อเด็ก และบางข้อยังสามารถใช้กับบุคคลทั่วไปได้ด้วย ทั้งนี้ภายใต้บริบทแวดล้อมในขณะนั้นที่เป็นตัวหล่อหลอมความคิด การรับฟัง เชื่อถือผู้ใหญ่ที่เกิดมาก่อนด้วย ซึ่งตัวอย่างข้อคะลำที่ยกมามีดังนี้
ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาความรู้ เช่น ผู้เรียนไสยศาสตร์ หมอยา (หมอยาสมุนไพร หมอยากระดูก หมอยาเป่า) หมอธรรม
ถือว่าเป็นปูชนียบุคคลสำคัญในสังคมอีสานเมื่อครั้งอดีต เนื่องจากเป็นทรัพยากรบุคคลที่จำเป็นต่อวิถีชีวิต ซึ่งจะเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อคนอีสานทุกเพศทุกวัย เนื่องจากในช่วงเวลาวิกฤติของชีวิต เช่น การเกิด การเจ็บป่วย การตาย และงานพิธีกรรมต่างๆ บุคคลดังกล่าวต้องได้รับเชิญมาประกอบพิธีกรรม หรือไม่มักจะเป็นข้อขะลำส่วนตัว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณวิชาที่ตนเรียนมา
ดังนั้นในส่วนของฮีตปฏิบัติของบุคคลดังกล่าว จึงต้องเคร่งครัดเพื่อสร้างความมั่นใจในคุณความดี ความสามารถของตนเอง และสร้างความน่าเชื่อถือศรัทธาแก่ผู้พบเห็น ซึ่งข้อคะลำบางกล่าวอาจจะหาเหตุผลมาชี้แจงได้ชัดเจน ทั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องของศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมหรือจรรยาบรรณที่ผู้ร่ำเรียนทางด้านนี้ต้องมี เชื่อกันว่าสำหรับผู้ที่เรียนคาถาอาคมหากฝ่าฝืน จะมีอาการผิดครู อาจจะเกิดสิ่งไม่ดีต่อตนเอง เช่น คาถาอาคมเสื่อม เป็นบ้า เป็นผีปอบ เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างของข้อคะลำมีดังนี้ เช่น
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำข้อห้ามปฏิบัติของผู้ที่มีวิชาอาคม ที่สอดคล้องกับอาชีพหลักของครอบครัว ซึ่งจะจำเพาะเจาะจงว่าเป็นคะลำอย่างยิ่ง เช่น ผู้มีอาชีพคล้องช้าง ทั้งนี้ข้อคะลำดังกล่าวยังได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆ ข้างเคียงด้วย เช่น ภรรยาคู่ชีวิต อีกนัยหนึ่ง อาจจะสอดคล้องกับข้อที่ควรปฏิบัติของผู้เกี่ยวข้อง อาจจะเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ไปคล้องช้าง และเป็นอุบายตักเตือนห้ามปรามผู้ที่อยู่บ้านปฏิบัติตนให้เหมาะสมทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อรอคอยผู้ชายที่ออกไปคล้องช้าง และข้อเตือนใจเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่อยู่บ้าน เป็นการป้องกันสวัสดิภาพไปด้วย
ซึ่งข้อคะลำของภรรยาหรือฝ่ายหญิงที่อยู่เรือน นับตั้งแต่ฝ่ายสามี ฝ่ายชายออกเดินทางออกไปทำกิจดังกล่าว คือ
นอกเหนือจากข้อคะลำของประเภทบุคคลข้างต้นดังที่กล่าวไปแล้ว ยังมีข้อคะลำที่ห้ามประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลทั่วไปอยู่มากมาย โดยข้อคะลำของบุคคลทั่วไปที่นำตัวอย่างมากล่าวนี้ จะเป็นการบอกโดยรวม อาจจะไม่ใคร่สัมพันธ์กับเวลาหรือสถานที่มากนัก ทั้งนี้จะไม่เจาะจงสถานที่ หรือกำหนดห้วงเวลาที่ชัดเจน บอกเพียงว่าอย่าปฏิบัติเท่านั้น เช่น
นอกจากนี้ยังมีข้อคะลำที่สัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องลาง เรื่องโชคชะตาต่างๆ เช่น
ในส่วนของคะลำที่สัมพันธ์กับสถานที่ ทั้งที่เป็นสถานที่ซึ่งคนสร้างขึ้นมา เช่น บ้านเรือน วัด หรือสถานที่ตามธรรมชาติ เช่น แหล่งน้ำ ป่าเขาต่างๆ คนอีสานจะมีข้อคะลำกำกับไว้ เพื่อควบคุมพฤติกรรม ความประพฤติให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานที่นั้นๆ เพื่อความสัมพันธ์ที่พึ่งปรารถนาในการอยู่ร่วมกัน และสวัสดิภาพของบุคคลนั้น ซึ่งข้อคะลำที่นำมาเป็นตัวอย่างประกอบในส่วนนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น
ข้อคะลำที่เกี่ยวข้องกับบ้านเรือนนั้นมีมากมาย ตั้งแต่การเริ่มสร้างบ้านขึ้นมา จนถึงข้อปฏิบัติในระหว่างอยู่ที่บ้าน เช่น การเลือกไม้ที่จะสร้างบ้าน ห้ามเลือกไม้ที่มีลักษณะดังนี้ มิเช่นนั้นจะคะลำ เช่น
นอกจากนั้นยังมีข้อคะลำเกี่ยวกับบ้านทั้งการสร้างบ้าน และการอาศัยอยู่ในบ้าน เช่น
คลิกไปดู คะลำ ขะลำ หน้าที่ 2
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
กลอนลำ
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)