คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ภาษาพูดของผู้คนในภาคอีสานนั้นมีหลายสำเนียงที่แตกต่างกันไป ไม่มี "ภาษาอีสาน" นะครับ มีแต่เป็นภาษาพูดดั้งเดิมของชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ซึ่งมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ [ เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ชาติพันธุ์ชนเผ่าไทยในอีสาน ] ดังนั้น เมื่อท่านเดินทางไปท่องเที่ยวอีสาน ท่านจะได้ฟังสำเนียงเสียงพูดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละจังหวัด คำที่เสนอในที่นี่รวบรวมมาจากที่กระผมอาวทิดหมู มักหม่วน ได้ตอบไว้ใน Facebook Fanpage มาแล้วแต่ค้นหาย้อนหลังยาก ท่านเว็บมาดเซ่อเลยขอร้องแกมบังคับให้นำมารวบรวมไว้ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง แฟนนานุแฟนที่ต้องการทราบความหมายของคำ หรือประโยคใดก็สอบถามเพิ่มเติมมาได้นะขอรับ ยินดีนำมาตอบให้ทราบทั้งในเว็บไซต์และเฟซบุ๊คต่อไป
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
จ่อล่อ-แล้ว-งันเฮือนดี-ฟ้าวฟั่ง-ป่างง่าง-เกิบ-แต๊ะ-จ้าวจ้าว
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "จ่อล่อ"
เป็นคำถามมาจากนักเรียน(คนอีสาน)เกิดใหม่ใหญ่ลุน บ่เคยได้ยินมาก่อนกับคำที่ผู้เฒ่าผู้แก่เว้ากันว่า "กินข้าวเหนียวกับปลาปิ้ง บ่มีแนวซดละคาคอจ่อล่อ" อาวทิดหมูบอกผมแหน่ว่า "จ่อล่อ" คือแบบใด๋น้อ
จ่อล่อ ว. อาการที่ผลไม้ติดคอกลืนไม่ลง หรือกินข้าวเหนียวแล้วกลืนไม่ลง เรียก คาคอจ่อล่อ อย่างว่า ปิ้งตับไก่ของไทกินเอย ไทกินแล้วเสียแนวไก่ต่อ ไนหมากค้อคาคอจ่อล่อ (บ.) ถ้าของใหญ่ว่า โจ่โล่ จ่อล่อแจ่แล่ โจ่โล่เจ่เล่ ก็ว่า. caught in throat (of fruit or nut).
คนอีสานบ้านเฮาเอิ้นว่า "แค้นเข้า" คือ อาการกลืนบ่ลง ติดคอ ต้องมีน้ำล่องคอด้วย การกินข้าวเหนียวจึงควรมีต้มหรือแกงไว้ซดน้ำ ถ้าไม่มีก็ควรมีน้ำเปล่าใส่แก้ว ใส่ขันไว้ใกล้ๆ ตัว รู้สึกฝืดคอให้กินน้ำตาม อันนี้คนแก่เป็นบ่อยไม่ใช่ว่าเคี้ยวไม่แหลก แต่น้ำลาย น้ำย่อยในปากมันน้อย (กะกินเข้าบ่แซบน้อ มันฝืนบ่อยาก กะเลยบ่มีน้ำลาย) ต้องระวังให้มากครับ เด็กน้อยก็มีโอกาสคือกันเด้อ
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "แล้ว"
เป็นประเด็นใน "สังคมสื่อโซเชียล" เมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยป้ายเขียนบนกระเบื้องแผ่นเรียบหน้างานก่อสร้างว่า "ห้องน้ำไม่แล้ว" แต่ก็ยังมีคนเข้าไปใช้บริการกันอยู่ คนเขียนผิดตรงไหน?
แล้ว ว. เสร็จ สิ้น จบ พูดจบ เรียก เว้าแล้ว ทำเสร็จ เรียก เฮ็ดแล้ว แต่งจบ เรียก แต่งแล้ว อย่างว่า ยุตินั้นเป็งจาลทุกข์โศก ก็หากแล้วท่อนี้ถวายไว้ที่สูงก่อนแล้ว (สังข์). done, finished, ended, already.
"ห้องน้ำไม่แล้ว" ในป้ายจึงมีความหมายว่า "ห้องน้ำยังก่อสร้างไม่เสร็จ" ซึ่งมีแต่คนอีสาน 1000% เท่านั้นที่จะเข้าใจได้ ทีหลังต้องเขียนว่า "ห้องน้ำยังก่อสร้างไม่เสร็จ" หรือ "งดใช้บริการ กำลังก่อสร้าง" หรือ "งดใช้กำลังปรับปรุง" นะจ๊ะพ่อหนุ่มขายแรงงาน มิเช่นนั้นเมื่อมาทำงานต่ออาจจะได้เจอ "บางสิ่งคาจ่อล่อในโถส้วม" เด้อ (ดูความหมายจากคำข้างบน)
มีอีหล้าคำแพงทางโคราช มายามปู่ยามย่าทางอุบลฯ ได้ยินปู่บอกว่า "อยู่บ้านเฝ้าเฮือนเด้อ มื้อแลงปู่กับย่าสิไป 'งันเฮือนดี' ทางบ้านคุ้มเหนือ" อ้ายทิดหมูบอกน้องหล้าแหน่ว่า "งันเฮือนดี" คืออีหยัง นางบ่เข้าใจ
งัน ก. ทำให้เอิกเกริก ฉลอง สมโภช การฉลองงานเรียก งัน เช่น งันกฐิน งันอัฐะ งันกองบวช งันเฮือนดี (เรือนที่มีคนตายเรียก เฮือนดี) การแสดงมหรสพ เช่น การอ่านหนังสือผูก ร้องลำและการเล่นต่างๆ เรียก งันเฮือนดี. to celebrate.
งันเฮือนดี กะคือไปงานศพนั่นแหละ "งัน" คือ การเฉลิมฉลอง สนุกสนาน คนโบราณเพิ่นบ่ให้เศร้าโศกในงานศพ เพื่อให้ญาติมิตรลืมคนตาย จึงมีมหรสพคับงัน เช่น การร้องลำ การเล่าเรื่องนิทาน การแสดงต่างๆ ส่วน "เฮือนดี" น่าจะมาจาก "เรือนผี" คือ มีคนตาย แต่อยากให้มีความเป็นมงคลไม่น่ากลัว เลยเพี้ยนเป็น "เฮือนดี" นั่นเอง
สมัยนี้การพนันเข้าสิงคน ตามบ้านนอกบ้านนาจะมีพวกผีพนันมาขออนุญาตเจ้าภาพในการเล่นพนัน เช่น โบก โป ไฮโล ไพ่ โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหายที่เมื่อก่อนอนุญาตให้เล่นได้ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าภาพจนสว่าง (นัยว่า ไม่ให้กลัวผี) แต่เดี๋ยวนี้ไม่อนุญาตแล้วหนา อย่าหาทำเด้อ
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "ฟ้าว"
ช่วงนี้มีวันหยุดยาว ใกล้เทศกาลปีใหม่ มีการเดินทางท่องเที่ยว เมือยามบ้าน รถกะติด อุบัติเหตุกะหลาย กะอย่าพากัน ฟ้าว ฟั่งฟ้าว ฟ้าวฟั่ง หลายเด้อพี่น้องเอย
ฟ้าว ว. รีบ ด่วน อย่างว่า การอวนมีเฮียกหามาฟ้าว (กาไก) ฟ้าวบวชฟ้าวสิก ฟ้าวเอาเมียฟ้าวปะ (ภาษิต) ค่าวค่าวดิ้นดิ้นดั่นหิวกระหาย เขาค่อยเฟือแขนขุนฮอดเฮือนทังฟ้าว มาดาย้านกลัวตายดับหน่อ ชักนวดน้าวสองเจ้าจิ่งคืน (ฮุ่ง). hurrying, urgent, rushed.
ฟั่ง ว. รีบ ด่วน ทำโดยอาการรีบด่วนเรียก ฟั่ง อย่างว่า กวาดไพร่เข้าเมืองใหญ่ในปะกัน แมนก็ถือพลายโดยกล่าวเอาเจืองเจ้า กูก็ถอยแฮงฟ้าวฉับพลันทังฟั่ง เจ้าหมื่นม้าวเมือแท่นนางเฟือ (ฮุ่ง) โทเรใจฟั่งมโนปานม้า (กาไก) บาคราญท้าวจานางทังฟั่ง (กา) ยังหิวไห้อาทรทังฟั่ง (สังข์). hurried, rushed, urgently.
ฟ้าวฟั่ง ว. รีบเร่ง อย่างว่า อันใดเป็นตาหย้ำให้ทำกินฟ้าวฟั่ง อย่าได้นั่งเค้าเม้าคอยถ้าแต่เขา (ย่า). hurried, rushed, urgent.
ฟั่งฟ้าว ว. รีบด่วน รีบด่วนเรียก ฟั่งฟ้าว อย่างว่า ม้าก็ทยานฟั่งฟ้าวเถิงท้าวบ่นาน (กาไก). hurried, rushed, urgently.
ไปไหนมาไหน เดินทางขอให้มีสติเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ไม่ใช่แต่เราแต่เพื่อครอบครัวของเรา ญาติ มิตร และผู้ร่วมเดินทางอื่นๆ ปลอดภัยไปด้วยกัน
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "ป่างง่าง"
มื้อแลงวานนี้มีคนหงายท้องป่างง่าง ย้อนคึดว่าคนอื่นสิคึดคือนักการเมืองซั่วๆ บ่รับร่างรัฐธรรมนูญแน่นอน บาดห่าผลออกมาเลย "หงายท้องป่างง่าง เจ็บปางตายเลยทีเดียว"
ป่างง่าง ว. ลักษณะที่ผู้ใหญ่ล้มเรียก ล้มป่างง่าง เด็กล้มเรียก ล้มแป่งแง่ง. describes appearance of adult who has fallen down.
ยืมรูปลูกหล่าที่บ้านมาประกอบ (ตาลตาล กับน้องจัมโบ้ก็นอนหงายป่างง่าง คือกัน)
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "เกิบ"
เกิบ น. รองเท้า รองเท้าของคนธรรมดาเรียก เกิบ ของพระราชามหากษัตริย์เรียก เกิบแก้ว. shoes.
คำที่เกี่ยวเนื่อง "เกิบแต๊ะ" มีความหมายว่า
แต๊ะ น. รองเท้าแตะ รองเท้าชนิดไม่หุ้มส้น ทำด้วยไม้งิ้ว ไม้ทองหลาง เรียก รองเท้าแต๊ะ เกิบแต๊ะ ก็ว่า. thongs (footwear), flip-flops.
มีเพลงร้องกันเล่นๆ ว่า "เชิบๆๆ หมาคาบเกิบเข้าป่าบักนัด..." ยามไปเอาบุญนำวัดนำวา หรือเฮือนชานบ้านอื่นระวังเขาลักเกิบเด้อ ผู้ลางคนใส่คู่งามๆ ของหมู่เมือบ้านถิ่มคู่ฮ้างๆ ไว้ต่างหน้าซั่นดอกวา แม้แต่เกิบพระก็ไม่เว้นจนกระทั่งพระ-เณรต้องใช้อารมณ์ศิลปินสลักที่เกิบว่า "เกิบพระ - เกิบเณร" ดังภาพ
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "จ้าวจ้าว"
จ้าวจ้าว ว. อาการปวดระบม ปวดระบมเรียก ปวดจ้าวจ้าว อย่างว่า ปวดจ้าวจ้าวคือผ้ำบ่มหนอง (บ.). dull (ache), sore.
จ้าว น. ชื่อพรรณข้าวจำพวกหนึ่ง มีสองชนิด คือ ข้าวเหนียว และข้าวจ้าว เข้าเจ้า ก็ว่า อย่างว่า เข้าเหนียวกับเข้าเจ้า ปนกันบ่มีเบื่อ คือดั่งเชื้อพี่น้องปนได้แฮ่งมัน (บ.). rice (not glutinous rice).
แม่หญิงเจ้าปวดระบม รู้สึกปวดจ้าวจ้าว ก็เพราะพี่หมื่นใช้สมุนไพรผิดนี่เอง (ตามเทรนด์มาแฮงกับเขาหน่อยหนึ่งน้อ) เป็นอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อเพราะการทำงานหนัก การถูกทุบตีจนกล้ามเนื้อช้ำ ต้องประคบด้วยสมุนไพรนะออเจ้า 😍🥰😘
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
ภาษาพูดของผู้คนในภาคอีสานนั้นมีหลายสำเนียงที่แตกต่างกันไป ไม่มี "ภาษาอีสาน" นะครับ มีแต่เป็นภาษาพูดดั้งเดิมของชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ซึ่งมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ลาว ส่วย เยอ กุย ภูไท กะเลิง กุลา ญ้อ ฯลฯ (อ่านเพิ่มเติมที่นี่) ดังนั้น เมื่อท่านเดินทางไปท่องเที่ยวอีสาน ท่านจะได้ฟังสำเนียงเสียงพูดที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละจังหวัด อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยังคงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค รวมทั้งสื่อสารข้ามฝั่งไปยังพี่น้องทาง สปป.ลาว ได้ด้วย
ผู้เขียนได้รับคำถามจากแฟนานุแฟนของเว็บไซต์ "ประตูสู่อีสานบ้านเฮา" ทั้งจากทางอีเมล์ webmaster (@) isangate.com และในทาง Facebook Fanpage ของเว็บไซต์นี้และ Facebook ส่วนตัว ให้ช่วยอธิบายความหมายของคำในภาษาอีสานอยู่เนืองๆ ส่วนใหญ่จะตอบใน Facebook ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านไปก็อาจจะค้นหายาก วันนี้เลยนำคำตอบเหล่านั้นมารวบรวมไว้ที่นี่ เพื่อให้ค้นหาอ่านได้ง่ายขึ้น ขอเชิญทุกท่านทัศนากันได้เลยครับ
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
เป็นตาซังคัก-อืดสืด-อืดลืด-มุ่นอุ้ยปุ้ย-เปิ่นเวิ่น-แค้น-มิด
ได้รับจดหมายน้อยจากอีหล่าคำแพงทางเมืองชลถามมาด้วยความร้อนรุ่มในหัวใจ เนื่องจากมีผู้บ่าวที่หมายตาหมายใจมาบอกว่า "น้องเป็นตาซังคัก" ถามเพื่อนคนอีสานก็บอกว่า "ซัง คือ เกลียด" อาวทิดหมูบอกน้องหล้าแหน่ว่า "ผู้บ่าวเพิ่นซังน้องแฮงบ้อค่า"
โอย! น้อ เป็นตาหลูโตนแท้หล้าเอย บ่ได้เป็นคือน้องคึดในใจดอกเด้อ เขายกยอน้องว่า "เป็นตาฮักขนาด" ต่างหากเล่า อีหล้าเอย... "
"เป็นตาซังคัก" ไม่ได้หมายถึง "น่าเกลียดมาก" แต่อย่างใด แต่หมายถึง "น่ารัก น่าชัง" ส่วนใหญ่แล้วคำนี้ผู้ใหญ่ (ลุง ป้า ปู่ ย่า ตา ยาย) จะกล่าวถึงเด็กน้อยที่เป็นลูกหลานที่มีหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู ว่า "อีหล่าจะแหม่นเป็นตาซังคัก" (หลานน่ารักจัง)
แต่คติโบราณอีสานนั้นท่านบอกว่า "ถ้าบอกว่าเด็กน้อยน่ารักผีโพงจะมาเอาไป (อายุไม่ยืนนั่นเอง)" ท่านจึงใช้คำกล่าวที่เป็นตรงกันข้าม ว่า "เป็นตาซัง" เพื่อหลอกผีสางนางไม้ให้เชื่อว่าน่าเกลียด เด็กจะได้อายุยืนยาวนาน นั่นแล...
คำนี้ "เป็นตาซังคัก" ถ้าไปค้นผ่านเพื่อนกู(เกิ้ล) มักจะเจอความหมายว่า "เป็นตาซังคักๆ = น่าเกลียดมากๆ" อันนี้บอกเลยว่า "ผิดแน่นอน มาจากคนที่พอรู้จักภาษาอีสานแล้วคิดว่าคงใช่เอามาเขียน" แล้วก็ลอกต่อๆ กันมาในหลายๆ เว็บเลยไม่รู้ว่าต้นฉบับคือใครเขียนก่อน แล้วก็ลามไปถามกันในกระทู้พันทิพดอทคอม ทำให้เข้าใจผิดกันไปไกลนะขอรับ คนอีสาน 1,000% อย่างอาวทิดหมูขอนั่งยัน นอนยันตามความหมายข้างบนขอรับ รู้ไว้ว่านั่นคือคำชมที่ซ่อนอยู่ด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "อืดสืด"
อีนางหล้าอยู่ทางไท (สาวโรงงานทางปราจีนบุรี) จดหมายน้อยมาถามว่า "อาวทิดหมูมื้อวานไปลอยกระทงกับหมู่ ในยินเสียงผู้บ่าวกลุ่มหนึ่งแซวกลุ่มอีหล้าว่า จะแม่น 'สาวอืดสืด' คัก บ่ฮู้ว่าหมายความว่าจั่งได๋ เขาย่องนางหล้าว่างามบ่"
อืดสืด ว. คนที่มีลักษรณะอ้วนเตี้ย เครื่องนุ่งห่มสกปรกมอมแมม เรียก อืดสืดตดเหม็น. squat and filthy (person).
โอยอีหล้านางเอย เจ้ามาสิงามเลิ่กแท้น้อบาดนี้ อาวทิดหมูหลับตาจินตนาการแล้วแหม่นสิกอดบ่หุ้มพุ้นล่ะติ จั่งได้กะสิอย่าเสียใจเด้อ ขอให้จิตใจเฮางามเป็นพอ เป็นกำลังใจให้เด้อ
มีคำที่คล้ายกันอีกคำหนึ่งคือ "อืดลืด"
อืดลืด ว. ไม่เรียบร้อย ไม่เกลี้ยงเกลา การทำโดยปราศจากความสะอาด เรียก เฮ็ดอืดลืด. messy, untidy.
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต บ่เกี่ยวกับความหมายปานได๋ดอกเด้อ)
หลายคนได้ฟังเพลงของอดีตผู้ใหญ่บ้านหำ เฉลิมพล มาลาคำ เพลงชื่อ "มุ่นอุ้ยปุ้ย" แล้วก็สงสัยว่า "ย่านมุ่นอุ้ยปุ้ย" มีความหมายว่าอะไรนะ อยากรู้จัง
ปุ้ย ว. ละเอียด ถ้วยโถโอจานที่แตกหาชิ้นดีไม่ได้ เรียก มุ่นอุ้ยปุ้ย. fine, into tiny bits.
อุ้ยปุ้ย ว. แหลกละเอียด เรียก มุ่นอุ้ยปุ้ย. powered, smashed to bits.
ความหมายในเพลงคือ การจินตนาการของผู้แต่งเพลง (ผู้ร้อง คนเดียวกัน) ที่คาดว่าคืนนี้ ผู้สาวที่ตนเองหลงรักนั้น "หนานผักชีของน้องนางหล้า จะถูกดุด ถูกดุนจากเขาผู้นั้นจนมุ่นอุ้ยปุ้ย แหลกละเอียดนั่นเอง" มันผิดหวังในใจที่คนรักของตนเองที่มั่นหมายแล้วไม่ได้ มันเศร้าใจหลายเนาะ
เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การเลือกตั้งในอเมริกา ต่างฝ่ายต่างก็เชียร์กันขาดใจ ผลสิออกมาเป็นอย่างใดก็ยากที่จะคาดเดา (รูปแบบมันบ่คือบ้านเฮา) แต่ถ้าผลออกมาแล้วมันต้อง "มุ่นอุ้ยปุ้ย" แน่นอน บ่ฮู้ว่าพ่อใหญ่ใด๋สิได้แบกถุงปุ๋ยเมือบ้าน เป็นพ่อใหญ่ทรัมป์ หรือพ่อใหญ่ไบเดน ติดตามต่อไปเด้อพี่น้อง (ผลออกมาเป็น พ่อใหญ่ทรัมป์ แบกถุงปุ๋ยเมือบ้าน แต่เลายังบ่ยอมแพ้ใด๋ อีกสี่ปีเจอกันว่าซั้น!)
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้เสนอคำว่า "เปิ่น, เปิ่นเวิ่น"
เฝ้ารอดูพายุจากการทำนายของกรมอุตุนิยมวิทยาทั้งวันเลยวันนี้ แต่ก็ "เปิ่น" ขึ้นไปทางมุกดาหารซ้ำ ฝนทางบ้านอาวทิดหมูมีพอรินๆ นี่ล่ะ พอสาบานน้ำบ่ตายนี่ล่ะ ทางอื่นเป็นจั่งใด๋น้อ ส่งข่าวมาบอกกันแหน่เด้อ
เปิ่น น. แฉลบ เลี่ยง เช่น ถากไม้ขวานแฉลบไปถูกขา เรียก ขวานเปิ่นใส่ขา. to glance off ricochet, go aside.
แต่ถ้าผู้สาวงาม "เปิ่นเวิ่น" นั้นผัดเป็นตาฮัก ตาฮักเด้อนางเอย คำภาษาอีสานนี่มีความหมายมากมายจริงๆ อยากพ้อเด้น้องสาวเจ้าผู้แก้มเปิ่นเวิ่นนั่นนา
เปิ่นเวิ่น ว. หน้าตาที่เบิกบานแจ่มใสเรียก เปิ่นเวิ่น อย่างว่า แก้มเปิ่นเวิ่นแก้มเจ้าเปิ่นเวิ่น ขี้กะเต๋อวังเวินไหลเซาะน้ำเซินอยู่ย่าวย้าว (กลอน). cheerful.
ภาษาอีสานวันละคำด้วยภาพ วันนี้ขอเสนอคำว่า "แค้น"
คนในภาคอื่นอาจจะเข้าใจผิดกันได้ง่ายๆ ถ้าไม่เข้าใจความหมายของคำ ดังเช่น เมื่อช่วงวันหยุดยาวหลายวันที่ผ่านมา หนุ่มเมืองกรุงมาเที่ยวทางอีสานด้วยการขี่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่ ฟังเสียงคำรามฮึ่มๆ มาแต่ไกล แต่ด้วยความไม่ชำนาญทางจึงทำให้ล้มคว่ำไม่เป็นท่า ที่มุมโค้งใกล้ศาลากลางบ้าน ลุงชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ด้วยความมีน้ำใจรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือทันที...
ลุง : "เอ็งแค้นไหม เอ็งแค้นไหม เจ็บตรงไหนบ้าง...." (พูดเสียงดังถามด้วยความเป็นห่วง)
ชายหนุ่ม : "ผมพลาดท่าล้มเอง ไม่แค้น ไม่โกรธใครหรอกลุง...." (ชายหนุ่มฝืนใจตอบด้วยความเจ็บปวด)
คำถามของลุงนั่นไม่ได้หมายถึงว่า "ไอ้หนุ่มไปคั่งแค้นใครมา" แต่หมายความว่า "เอ็งจุก เสียดแน่น เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?" ว่าแล้วก็ยื่นน้ำดื่มยี่ห้อ "แก้แค้น" ให้ดิ่มเพื่อคลายแค้น "จุกเสียด" เฮ้อ!!!
แค้น ก. ติดขัด คับใจ คับใจ เรียก แค้น อย่างว่า รื้อจักเยื้อนยากได้พอยีบยาบเดียวหนึ่งนั้น พอเมื่อสุรภาพพานพาดดอยดนแจ้ง กุมภัณฑ์แค้นเคืองมโนค้อยคั่ง รือจักใช้แอ่วอ้วนโอมน้องก็ใช่การ (สังข์). to encounter hindrance, to feel oppressed.
แค้น ก. ติด ขัดข้อง ข้าวติดคอเรียก แค้นเข้า แค้นเข้าคาคอ เป็นต้น
แค้น ภาษาอีสานในเครื่องหมายการค้านี้คือ อาการ "ติดคอ" เช่น "เข้าคาคอ ข้อยแค้น เอาน้ำมาล่องคอแหน่"
บ่แม่นเคียดให้ไผ (โกรธให้ใคร) แล้วดื่มน้ำยี่ห้อนี้สิหายแค้นเด้อ คนละความหมายกัน หรือเอาขวดตีหัวสะบ้อหึ?
ภาษาอีสานวันละคำ มื้อนี้ขอเสนอคำว่า "มิด"
ในคืนอันเหน็บหนาวมืดสนิท ที่นอกชานบ้านหลังหนึ่ง มีเสียงอ้อนของหญิงสาวว่า "อ้ายคือมิดแท้"
พลันได้ยินเสียงตอบจากไอ้หนุ่มว่า "หึยส์สส... น้องแห่งคือ 'เพชรา' ตั่ว"
บทสนทนานี้หนุ่ม-สาววัยรุ่นสมัยศตวรรษที่ 21 นี้อาจจะไม่เข้าใจ พร้อมกับอุทานว่า "ไรว๊า!!..วัยสะรุ่นไม่เก็ตอ๊ะ" แต่ถ้าวัยเกิน 50 ปีขึ้นไปอย่างอาวทิดหมู รับรองต้องเก็ตแน่นอนใช่ไหม?
มิด ว. เงียบ อาการเงียบไม่มีเสียง เรียกว่า มิด มิดจี่ลี่ มิดซี่ลี่ ก็ว่า. silent, without noise.
ดังนั้น ที่น้องสาวว่า "อ้ายคือมิดแท้" นั่นย่อมหมายความว่า "พี่ทำไมเงียบไป" ไม่ได้หมายถึง "พี่หล่อดัง มิตร ชัยบัญชา" พระเอกหนังในสมัยนั้น จึงไม่ต้องไปสวนตอบน้องว่า "น้องช่างงามเหมือน เพชรา เชาวราษฎร์" ดอกเด้อ อายเขา บักหล้า 😁🤣😂
หน้าที่ : 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่อง นกกระจอกน้อย หรือ นกจอกน้อย หรือ ท้าววรจิต-นางจันทะจร เป็นวรรณคดีเก่าแก่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะแต่งขึ้นในสมัยใด ใครเป็นผู้แต่ง ไม่มีหลักฐานปรากฎ เป็นมรดกทางวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานอีกเรื่องหนึ่งที่มีการบันทึก (จาร) บนใบลาน แล้วเอามาเล่า (เทศน์) โดยพระสงฆ์ ตลอดถึงนำมาแสดงขับลำแบบพื้นบ้าน ทั้งโดยหมอลำกลอน และลำเรื่องต่อกลอนมาหลายยุคหลายสมัย เป็นหนึ่งในวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานคลาสสิคอีกเรื่องหนึ่ง ที่พบหลักฐานมีมาหลายฉับบที่ถูกปริวรรตจากคำกลอนในใบลานมาเป็นร้อยแก้ว ที่ผู้เขียนนำมาเรียบเรียงใหม่ในครั้งนี้ 4 สำนวน คือ
ในอดีตกาล ยังมีนกกระจอกน้อยผัวเมียคู่หนึ่ง ทำรังอาศัยอยู่ในหนวดเคราของพระฤาษีอย่างมีความสุข ทุกวันนกตัวผู้จะออกไปหาเหยื่อ ส่วนตัวเมียจะกกไข่อยู่ในรัง วันหนึ่งแม่นกฟักไข่ ส่วนพ่อนกก็ออกไปหาเหยื่อตามปกติ และได้บินไปที่สระบัวแห่งหนึ่ง พ่อนกมัวแต่หาเหยื่อในดอกบัวเพลินลืมเวลาจนพลบค่ำ ดอกบัวก็หุบกลีบลง ทำให้พ่อนกออกมาจากดอกบัวไม่ได้ ต้องรอดอกบัวบานในเช้าวันรุ่งขึ้นจึงออกมาได้ และรีบบินกลับรังในทันที ฝ่ายแม่นกนั้นคิดว่า ผัวนอกใจไปมีเมียใหม่ จึงได้ทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นเพราะความหิวและหึงหวง ตัวผู้ได้สาบานแสดงความซื่อสัตย์ของตนต่อนกตัวเมียว่า "หากตนคิดมีชู้นอกใจเมีย ขอให้เป็นบาปเป็นกรรมอันร้ายแรงตัวเท่ากับพระฤาษี ขอให้ตกนรกอยู่ในอเวจี"
ฤาษีได้ยินนกสองตัวทุ่มเถียงกันเช่นนั้นจึงโกรธ ได้ถามนกออกไปว่า "ทำไมตนจึงมีบาป ทั้งๆ ที่บำเพ็ญเพียรมีตบะแก่กล้าดังนี้" นกตัวผู้บอกว่า "เป็นเพราะฤาษีไม่มีลูกสืบสกุล ตายไปก็ตกนรก" * ท่านฤๅษีได้ฟังก็โกรธมากในตอนแรก แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้ตามคติโบราณของชาวอินเดียและจีนแล้วจึงเห็นด้วย และตัดหนวดเคราออกพร้อมรังนก บอกให้ทั้งคู่ไปทำรังอาศัยอยู่ที่ป่าเลา (ป่าแขมป่าเลา) ส่วนพ่อฤๅษีจึงลาศีล สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวมีลูกหญิงชายจะได้ขึ้นสวรรค์พ้นนรกขุมปุตตะเสียที
* เป็นคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ตามคติความเชื่อของชาวอินเดียโบราณว่า หญิงชายที่ไม่แต่งงานพระเจ้าไม่รับขึ้นสวรรค์ และหนักยิ่งไปอีกว่า ถ้าชายที่แต่งงานแล้วถ้าไม่มีบุตร "ลูกชาย" สืบสกุลก็ยังตกนรกขุม "ปุตตะ" อยู่ดี ส่วนชาวจีนโบราณถือว่า "หญิง" เท่านั้นที่ไม่แต่งงานแล้วพระเจ้าไม่รับขึ้นสวรรค์ ผลกระทบด้านสังคมในป๎จจุบันทำให้ประเทศจีนและอินเดียมีประชากรมากกว่าพันล้านคน ประเทศอินเดียนั้นประเพณีแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะต้องเสียค่าสินสอดทองหมั้นและค่าใช้จ่ายทุกอย่างแก่ฝ่ายชาย ส่วนประเพณีจีนฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายแสวงหาคู่ (ชาย) มาแต่งงานกับลูกสาวของตน ทั้งอินเดียและจีนจะมีประเพณีที่ตรงข้ามกับของไทยโดยสิ้นเชิง
นกสองผัวเมียได้อพยพพาลูกไปอาศัยอยู่ในป่าเลา จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดไฟไหม้ป่า และลุกลามมาจนใกล้รังนกกระจอกคู่นี้ แม่นกได้ขอคำสัญญาจากพ่อนกว่า "ถ้าไฟไหม้มาถึงรัง ทั้งคู่จะไม่ยอมไปไหน จะยอมตายด้วยกันที่รังแห่งนี้พร้อมลูกน้อย ถ้าใครผิดคำมั่นสัญญาไม่ว่าชาติไหนจะไม่ยอมพูดกับเพศตรงข้ามอีกต่อไป" พ่อนกรับคำตามสัญญานั้น ในที่สุดไฟป่าก็ลุกลามมาถึงรังนก แต่เมื่อไฟมาถึงรัง พ่อนกทำผิดสัญญาบินออกจากรัง ส่วนแม่นกตั้งจิตอธิษฐานใจแน่วแน่ว่า "เกิดชาติหน้าขอให้เป็นคนพ้นจากกำเนิดเดียรัจฉาน (สัตว์) จะไม่ขอพูดกับผู้ชายอีก" แม่นกถูกไฟครอกตายคารังพร้อมลูกๆ ฝ่ายพ่อนกแม้จะบินออกจากรัง แต่ก็ไม่สามารถบินผ่านเปลวไฟอันโหมกระหน่ำอย่างแรงไปได้ ถูกไฟป่าไหม้ตายเช่นกัน และก่อนจะขาดใจตั้งสัจจะอธิฐานว่า "เกิดชาติหน้าขอให้เป็นคนพ้นจากกำเนิดสัตว์ จะขอพูดกับผู้หญิงตลอดไป"
คำสัตย์อธิษฐานเป็นจริงในภพชาตินี้แล้ว จากนั้นพ่อนกได้เกิดเป็นเจ้าชายชื่อ "ท้าววรจิต" ส่วนแม่นกก็ได้เกิดเป็นเจ้าหญิงชื่อ "จันทะจอน" หรือ จันทะจร พระนางจันทะจอนสาวแสนสวยก็ไม่เคยออกปากพูดกับชายใดๆ แม้แต่กับพระราชบิดา ทำให้พระราชบิดาเป็นทุกข์เป็นหนักหนา จึงได้ป่าวประกาศออกไปว่า "ถ้าผู้ใดสามารถทำให้ธิดาของตนพูดกับผู้ชายได้ หรือว่านางพูดกับชายใดก็จะยกนางให้ และยกเมืองให้ปกครอง" แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้
ท้าววรจิตได้ยินกิตติศัพทฺ์ความงามของนาง และทราบข่าวที่บิดาของนางจะยกนางให้กับผู้มีความสามารถทำให้นางพูดได้ จึงได้ไปร่ำเรียนวิชาถอดจิตกับพระฤาษีจนสำเร็จ แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่กับย่าจำสวน แล้วจึงให้ย่าจำสวนพาไปพบกับเจ้าเมือง เพื่ออาสาพูดกับนางจันทะจร ท้าววรจิตได้ถอดจิตไว้กับหมอนและเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องนอนของนางจันทะจร ทำให้เครื่องใช้นั้นๆ พูดได้ และเล่านิทานให้หมอนฟัง ตอนสุดท้ายได้พูดถึงผู้หญิงต้องเสียเปรียบและพ่ายแพ้ผู้ชายตลอด แต่นางจันทะจรก็ยังไม่ยอมเอ่ยวาจาใดๆ ออกมา
ตัวท้าววรจิตนั้นจำเรื่องราวในอดีตชาติเมื่อครั้งเป็นนกกระจอกได้ จึงได้นำเรื่องนกกระจอกในอดีตชาติของตนมาเล่าให้หมอนฟัง แต่ตอนจบเรื่องแกล้งเล่าให้ผิดไปว่า "นกตัวเมียบินหนีไฟป่าไปเสียก่อน ปล่อยให้ตัวเองกับลูกน้อยถูกไฟคลอกตาย" คำพูดดังกล่าวแทงใจดำของนางจันทะจรซึ่งระลึกชาติได้เช่นกัน ทำให้นางโกรธมาก จึงพูดโต้แย้งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า "เรื่องที่ท้าววรจิตพูดนั้นไม่เป็นความจริง" เมื่อพูดเพียงเท่านั้นเหล่าเสนาอำมาตย์ที่แอบดูเหตุการณ์อยู่ ก็เอาฆ้องกลองมาตีเสียงดังสนั่นก้องเป็นสัญญาณว่า นางจันทะจรได้พูดกับผู้ชายแล้ว
เจ้าเมืองทรงพอพระทัยที่เห็นลูกสาว นางจันทะจร พูดกับ ท้าววรจิต แล้ว ซึ่งท้าววรจิตก็เป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามจากต่างเมือง จึงมีรับสั่งให้อภิเษกสมรสท้าววรจิตกับเจ้าหญิงจันทะจรให้ครองเมืองแทนพระองค์ตามสัญญา ทั้งสองปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม อย่างสุขเกษมสำราญ ในบั้นปลายชีวิตพระเจ้าวรจิตได้สละราชสมบัติออกผนวช แบบสันยาสีคตินิยม ของคนอินเดีย บำเพ็ญบารมีตามแบบฉบับของพระโพธิสัตว์จนสิ้นอายุขัย แม้พ่อฤๅษีก็สละเพศฆราวาส ออกบวชบำเพ็ญสมณะธรรม จนได้บรรลุโมกขธรรมเบื้องต้น เมื่อสิ้นอายุขัยได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์
ลำเรื่องต่อกลอน เรื่อง นกกระจอกน้อย - คณะเพชรอุบล (โดย ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม และคณะ)
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง ท้าวกำพร้าผีน้อย เป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่จุติลงมาเกิดที่เมืองอินทปัตถ์ เป็นเด็กที่กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเด็กขอทานเพื่อเลี้ยงชีพ ชาวบ้านบางคนก็เมตตาให้ทาน บางคนก็รังเกียจหาทางกลั่นแกล้งเสมอ และนิทานเรื่อง "ท้าวกำพร้าผีน้อย" ยังเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของทางฝั่ง สปป.ลาว และในภาคอีสานของไทย ที่มีต้นตำรับจากใบลาน มีการเรียบเรียงเป็นคำกลอน และสำนวนต่างๆ เรื่อง "ท้าวกำพร้าผีน้อย" เป็นเรื่องเก่าที่เล่าปากต่อปากเรื่อยมา ต้นฉบับนี้มาจากใบลาน อักษรธรรม ๑ ผูก วัดโนนกุง ตำบลนาคำ อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี มีเรื่องโดยย่อดังนี้
นิทานพื้นบาน - กำพร้าผีน้อย
ที่เมืองอินทปัตถ์ มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ ได้เที่ยวขอทานเขากินจนโตเป็นหนุ่ม จนเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และยังถูกไล่ออกไปทำไร่ทำนาบริเวณที่มีผีดุ แต่ยังดีที่เด็กกำพร้ายังมีวาสนา มีผีเป็นเพื่อน จีงได้ชื่อว่า "กำพร้าผีน้อย"
แล้วจึงออกจากเมืองมาทำนาทำไร่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เมื่อข้าวพืชงอกงามขึ้น ได้มีสัตว์ต่างๆ มากิน แม้จะไล่อย่างไรก็ไม่ไหว เอาอะไรมาทำเครื่องดักก็ยังขาดหมด จึงไปขอเอาสายไหม จากย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) มาทำจึงจับได้ช้าง ช้างเมื่อถูกจับได้กลัวตายจึงร้องขอชีวิต และบอกว่าจะให้ของวิเศษถอดงาข้างหนึ่งให้ ท้าวกำพร้าผีน้อย จึงปล่อยไปแล้วเอางาช้างมาไว้ที่บ้าน
ต่อมาท้าวกำพร้าดักได้เสือ เสือก็ยอมเป็นลูกน้อง โดยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนจะมาช่วย ต่อมาจับได้อีเห็น อีเห็นก็ยอมเป็นลูกน้อง เช่นเดียวกันกับเสือ ต่อมาจับพญาฮุ้ง (นกอินทรีย์) พญาฮุ้งก็ยอมเป็นลูกน้อง และตัวสุดท้ายจับได้คือ "ผีน้อย" ที่มาขโมยกินปลาที่ไซ ผีน้อยก็ยอมเป็นลูกน้อง
เมื่อตอนที่ได้งาช้างมานั้น ท้าวกำพร้าได้เอางาช้างมาไว้ที่บ้าน ในงาช้างนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ "นางสีดา" อาศัยอยู่ โดยที่ท้าวกำพร้าไม่รับรู้เรื่องนี้ คราใดที่ท้าวกำพร้าออกไปไร่นา นางสีดาได้ออกมาทำอาหารไว้รอท้าวกำพร้าทุกครั้งไป จนท้าวกำพร้าสงสัยว่า เป็นผู้ใดหนอมาทำอาหารมารอเราทุกวัน
ต่อมาท้าวกำพร้าได้แอบดูจนรู้ความจริง จึงจับนางไว้แล้วจึงทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อจะไม่ให้นางหลบเข้าไปอยู่อีก นางจึงได้อยู่กินเป็นภรรยากับ้าวกำพร้ามาตั้งแต่บัดนั้น ความสวยงามของสีดา เป็นที่เลื่องลือ ข่าวนี้ได้ยินไปถึงหูพระราชา จนพระราชาเห็นแล้วก็มีความรักใคร่ จึงคิดจะยึดเอาตัวนางสีดามาเสีย แต่ก็กลัวผู้คนจะติเตียน จึงได้ท้าทายท้าวกำพร้าให้พนันขันแข่งต่างๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าท้าวกำพร้าแพ้ ก็จะยึดนางสีดามาเป็นของพระองค์ แต่ถ้าพระองค์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง
การแข่งขันในคราวนั้นคือ การชนวัว การชนไก่ การแข่งเรือ แต่ปรากฏว่า ท้าวกำพร้าชนะในการแข่งขันทุกครั้ง เพราะในการชนวัวนั้น เจ้าเสือแปลงเป็นวัวมาช่วยท้าวกำพร้า พอถึงการชนไก่ อีเห็นก็แปลงเป็นไก่มาช่วยกัดไก่ของพระราชาตาย ในการแข่งขันเรือนั้นพญาฮุ้งมาเป็นเรือและได้ทำให้เรือพระราชาล่มแล้วกินคนจนหมดทั้งลำรวมทั้งพระราชา
เมื่อพระราชาตายแล้วได้รวมหัวกับ "บ่างลั่ว" ตัวหนึ่ง โดยให้บ่างลั่วร้องเรียกวิญญาณของนางสีดามา โดยร้องครั้งแรกนางก็ไม่สบาย ร้องครั้งที่สองสลบไป ร้องครั้งที่สามนางจึงตาย วิญญาณของนางสีดาจึงได้มาอยู่กับพวกผีพระราชา
ส่วนท้าวกำพร้าปรึกษากับผีน้อย ผีน้อยบอกว่า "อย่าเพิ่งเผาจะตามไปดูวิญญาณของนางอยู่ที่ใด?" เมื่อผีน้อยตามจึงรู้เรื่องทั้งหมด ได้วางแผนจับบ่างลั่วตัวนั้น เข้าไปตีสนิทกับบ่างลั่วแล้ว สานข้อง (ที่ใส่ปลา) ครั้งแรกสานด้วยไม้ไผ่แล้วให้บ่างลั่วเข้าไปข้างใน แล้วให้ออกแรงยันดู ปรากฏว่า ข้องแตก
จึงสานใหม่ด้วยลวด แล้วบอกให้บ่างลั่วเข้าไปดูแล้วบอกให้ยันดูใหม่ ปรากฏว่า ข้องไม่แตกจึงรีบหาฝามาปิดขังบ่างลั่วไว้ แล้วรีบเอาข้องมาให้ท้าวกำพร้า เพื่อบังคับให้บ่างลั่วร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับคืนมา ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสีย บ่างลั่วกลัวจึงร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา โดยร้องครั้งแรกร่างของนางสีดาก็เคลื่อนไหว ร้องครั้งที่สองฟื้นขึ้น เมื่อร้องครั้งที่สามก็หายเป็นปกติทุกอย่าง
พอทุกอย่างปกติแล้ว ท้าวกำพร้าจึงหลอกว่า "ขอดูไอ้ที่ร้องเอาวิญญาณคนได้ไหม" บ่างลั่วจึงแลบลิ้นออกมาให้ดู ท้าวกำพร้าจึงตัดลิ้นบ่างลั่วนั้นเสีย เพราะกลัวมันจะร้องเอาวิญญาณไปอีก บ่างลั่วจึงร้องไม่ชัดตั้งแต่นั้นมา
เมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว ชาวเมืองจึงเชิญ "ท้าวกำพร้า" และ "นางสีดา" ปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกำพร้าจึงปกครองบ้านเมืองอยู๋เย็นเป็นสุขตลอดมา
นิทานลาว เรื่อง กำพร้าผีน้อย ນິທານລາວ ກຳພ້າກັບຜີນ້ອຍ
และเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสแห่งนิทานเรื่อง ท้าวกำพร้าผีน้อย นี้ให้มีความงดงามทางวรรณศิลป์จึงขอเอาลำเรื่องต่อกลอน ของ คณะเพชรอุบล ของศิลปินแห่งชาติ ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม และชาวคณะมาปิดท้ายนิทานเรื่องนี้ เชิญฟังลำกันม่วนๆ ได้เลยครับ
ลำเรื่อง กำพร้าผีน้อย โดย คณะเพชรอุบล (นำโดยหมอลำ ป.ฉลาดน้อย)
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
กลอนลำ
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)