![]()
|
นิทานพื้นบ้าน ที่พบกันในภาคอีสานนั้นมีมากมายหลายร้อยเรื่อง เป็นการเล่าถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อๆ กันมา ส่วนใหญ่ตัวละครที่กล่าวถึงจะมีลักษณะเฉพาะโดดเด่น และเป็นตัวแทนสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ทัศนคติ ความเชื่อและค่านิยมแห่งยุคสมัย ซึ่งสามารถจัดเป็นกลุ่มๆ ตามลักษณะเด่นได้ดังนี้
จากการเล่าสืบทอดต่อๆ กันมาด้วยกลวิธีเล่าเรื่องด้วยปากธรรมดา มาจนถึงการขับเป็นบทกลอน การใส่ทำนองเล่าเรื่อง (มีดนตรีประกอบ) เมื่อมาถึงยุคที่มีตัวอักษรใช้ ก็มีการบันทึกด้วยการจารลงบนใบลาน ด้วยอักษรตัวธรรม และอักษรไทยน้อย และใช้สํานวนภาษาถิ่นอีสาน มีลักษณะฉันทลักษณ์ หรือรูปแบบคําประพันธ์ อยู่ 2 รูปแบบ คือ โครงสาร และกาพย์ ซึ่งโดยปกติแล้ววรรณกรรมส่วนใหญ่นิยมประพันธ์เป็นโครงสาร ส่วนกาพย์นิยมใช้ประพันธ์นิทานคําสอน หรือนิทานที่ใช้ในการเซิ้ง เพื่อความสะดวกในการจดจํา
นิทานพื้นบ้านอีสานไม่นิยมบอกชื่อผู้แต่ง ผู้คัดลอก หรือผู้เขียน แต่มีความเชื่อกันว่า การสร้างหนังสือถวายวัดถือได้ว่า เป็นการถวายที่ได้อานิสงส์แรง เพราะเป็นการสืบต่ออายุของพุทธศาสนา ซึ่งสมัยก่อนนิยมใช้วัดเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอด ตลอดจนการอนุรักษ์นิทานเหล่านี้ไปพร้อมๆ กันด้วย ต่อมาก็ได้มี "การปริวรรต" คือการถอดความออกมาเป็นเนื้อหาร้อยแก้ว บันทึกด้วยการพิมพ์ลงในกระดาษเป็นรูปเล่มอย่างปัจจุบัน จนถึงการนำไปสร้างเป็นสื่อรูปแบบต่างๆ ทั้งบันทึกลำเรื่องต่อกลอน ภาพยนตร์ ละคร การ์ตูน เป็นต้น
นิทานอีสาน จะมีส่วนร่วมในการควบคุมสังคม คือ สอนจริยธรรม และระเบียบจารีตประเพณีอันพึงปฏิบัติแก่ประชาชน เช่น เรื่องเกี่ยวกับ ฮิตสิบสอง คองสิบสี่ เนื้อหาของนิทานอีสานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา เพราะวัดเป็นสถาบันกลางในการส่งเสริมและการอนุรักษ์ไว้ เช่น เรื่องชาดก จริยธรรม คติธรรม ตอบสนองความเชื่อในเรื่อง ภูตผีวิญญาณ และศาสนาชาวบ้าน เช่น บทบายศรีสู่ขวัญต่างๆ ความเชื่อเกี่ยวกับบุญ กรรม นรก สวรรค์ ภพนี้ ภพหน้า เป็นต้น นอกจากนี้เนื้อหาของนิทานอีสานยังสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ และค่านิยมทางสังคม ซึ่งผู้แต่งได้บันทึกความเชื่อ อุดมการณ์เหล่านั้นในรูปแบบจริยวัตรของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งตัวเอกในนิทานนั้น ส่วนใหญ่มักจะมีจริยาวัตรแบบพระเวสสันดร คือมุ่งแสวงหาธรรมะ สร้างบุญบารมี และมีความเก่งกาจ อิทธิฤทธิ์ เพื่อใช้ในการปราบฝ่ายอธรรม (ธวัช ปุณโณฑก, 2522)
ในภายหลังจึงมีการรวบรวมบรรดานิทานเหล่านี้ไว้ ซึ่งเมื่อจัดกลุ่มให้แคบเข้า ก็จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท ดังนี้
เป็นนิทานขนาดค่อนข้างยาว ถึงยาวมากๆ ซึ่งมักจะมีผู้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หรือจารลงในใบลาน โดยมากที่พบมักแต่งเป็นคำกลอนอีสาน เมื่อนำมาเล่าสู่กันฟังในยุคหลัง จึงถูกนำมาปริวรรตหรือเรียบเรียงใหม่ให้เป็นร้อยแก้ว เพื่อให้อ่านทำความเข้าใจได้ง่าย โดยนิทานประเภทวรรณคดีนี้ มีวิธีถ่ายทอดไปสู่ชาวบ้านในรูปแบบหรือ 3 วิธีใหญ่ๆ คือ
นิทานประเภทวรรณคดีนี้ โดยมากเป็นเรื่องราวทางจินตนาการ หรือเป็นเรื่องแต่ง แต่อาจมีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง เช่น ขูลูนางอั้ว ผาแดงนางไอ่ กำพร้าไก่แก้ว บักหูดสามเปา เป็นต้น
"ก้อม" แปลว่า สั้น นิทานก้อมจึงเป็นนิทานขนาดสั้น กะทัดรัด ซึ่งลักษณะพิเศษของนิทานก้อมคือ มีมุขตลก มุขขำขัน อยู่ในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเมื่อเล่าถึงจุดขำขัน หรือจุดปล่อยมุข นิทานก็จบเรื่อง หรือจบตอน นิทานก้อมนี้ไม่ค่อยมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มักจะถ่ายทอดโดยวิธีเล่าสู่กันฟัง ในสถานการณ์ที่อำนวยให้เล่านิทานก้อมก็คือ เมื่อมีการรวมกลุ่ม หรือชุมนุมกัน เช่น หลังกินข้าวตอนเย็น ลงแขกเกี่ยวข้าว หรือ รวมกันทำกิจกรรมส่วนรวมในวัด เป็นต้น
นิทานก้อม โดยมาก ต้นเค้าหรือที่มา มักจะมาจากเรื่องจริง ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่ที่เป็นเรื่องแต่งหรือคิดขึ้นเองก็คงมีบ้างเช่นกัน ตัวอย่างนิทานที่เข้าข่ายเป็นนิทานก้อม เช่น พ่อเฒ่ากับลูกเขย หลวงพ่อกับเณรน้อย เป็นต้น
นิทานก้อมเรื่อง "พ่อเฒ่ากับลูกเขย" หรือ "เจ้าหัวกับจัวน้อย" นั้นตัวละครเอกคือ ลูกเขย และจัวน้อย (เณรน้อย) นั้นมักจะเป็นผู้ชนะ เนื่องจากผู้เล่าเรื่องพวกนี้มักจะเป็นคนในวัยกลางคน ผ่านประสบการณ์ที่ได้เป็น ลูกเขย (ผู้น้อยกว่า) และการเคยเป็นสามเณรหรือพระหนุ่มมาก่อน ได้รับการข่มเหงเต็งเต็ก หรือเป็นเบี้ยล่างมายาวนาน เมื่อมาเล่านิทานก้อมจึงมักสร้างให้ตัวเอกชนะ พ่อเฒ่า หรือเจ้าหัว (หลวงพ่อเจ้าอาวาส) เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคม และวัฒนธรรม ที่ไม่อาจทำได้ในชีวิตจริง เมื่อมีการเล่านิทานจึงสมมุติให้ ผู้น้อยเอาชนะผู้ใหญ่ด้วยเล่ห์ เพทุบายต่างๆ ให้สะใจทั้งบรรดาคนเล่า และคนฟังที่อยู่ในสถานะทางสังคมเดียวกัน เป็นการละเมิดกฏทางศีลธรรมประเพณีได้ เพื่อความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียดนั่นเอง
นิทานก้อม ถ้าจะแบ่งให้ละเอียดลงไปอีก จะประกอบไปด้วยท้องเรื่อง ดังนี้
นิทานพื้นบ้านอีสาน ที่นำมาเสนอต่อไปนี้ เป็นเพียงบางส่วนที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็มีหลายสำนวนที่อาจมีความแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยในรายละเอียด แต่แก่นเรื่องมีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ (รวมทั้งหลายๆ เรื่องก็ตรงกันกับนิทานของทางเพื่อนบ้าน สปป.ลาว หรือกลุ่มประเทศใกล้เคียง อันเป็นวัฒนธรรมร่วมกันนั่นเอง) ท่านใดมีนิทานเหล่านี้อยากเผยแพร่ก็แจ้งกันมาได้ครับ ทางอีเมล์ webmaster (@) isangate.com ได้เลยครับ
"เซียงเมี่ยง" เป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องของคนเจ้าปัญญา ที่มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นสำนวนต่างๆ แล้วแพร่กระจายไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในชื่อต่างๆ กันเช่น ใน ประเทศพม่า เรียก "งะแล็ดโต่ งะโฆญ่" ประเทศกัมพูชา เรียก "ธนัญชัย (ธนัญจีย)" ประเทศเวียดนาม เรียก "จ่างกวิ่ง" ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เรียก "อาบูนาวัส (Abu Nawas)" ประเทศฟิลิปปินส์ เรียก "ฮวน ปูซอง (Juan Pusong)" และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เรียก "เซียงเมี่ยง" เหมือนกับภาคอีสานของไทย
จากการศึกษาพบว่าเรื่อง "ธนัญชัย" ของกัมพูชา และ "จ่างกวิ่ง" ของเวียดนามคล้ายเรื่อง "ศรีธนญชัย" ของไทยสำนวนภาคกลาง ส่วนเรื่อง "เซียงเมี่ยง" ของสปป.ลาวนั้นเหมือนเรื่อง "เซียงเมี่ยง" ของไทยอีสาน ส่วนประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ พบว่า มีเนื้อหาคล้าย "ศรีธนญชัย" ของไทยบางตอนเท่านั้น กล่าวคือ เรื่อง "อาบูนาวัส" (Abu Nawas) ของประเทศอินโดนีเซีย มาเลเชีย และสิงคโปร์นั้น จะมีเรื่องราวเพียงตอนเดียวเท่านั้นที่เหมือนของไทย ส่วน "ฮวน ปูซอง" ประเทศฟิลิปปินส์นั้นพบว่ามีเนื้อหาคล้ายของไทยอยู่ 2 ตอน
จากการศึกษาเปรียบเทียบนิทาน "ศรีธนญชัย" ฉบับต่างๆ ในประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้นั้นพบว่า มีไม่มากตอนนัก และไม่มีความซับซ้อนมากเท่ากับเรื่อง "ศรีธนญชัย" ที่มีปรากฏอยู่ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ลักษณะของตัวละครที่มีปรากฏในประเทศดังกล่าวนั้น เป็นลักษณะที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป เพราะเป็นลักษณะประจำของนิทานที่มีตัวเอกเจ้าปัญญา หรือฉลาดแกมโกง ซึ่งต้องแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อค่านิยมของสังคมระดับต่างๆ
แม้นิทานเรื่องนี้จะมีปรากฏเล่าสู่กันฟังหลายสำนวนก็ตาม ด้านโครงเรื่อง แนวความคิด และตัวละคร จะมีลักษณะที่คล้ายกันมาก ทั้งนี้คงเพราะนิทานเรื่องนี้มีจุดกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน ส่วนความแตกต่างในชื่อตัวละคร การเรียงลำดับเหตุการณ์ และรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อหา ในแต่ละสำนวนนั้นมีปรากฏอยู่บ้าง ก็คงเนื่องมาจากความแตกต่างกันในด้านสภาพสังคม วัฒนธรรม ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนค่านิยมของแต่ละชนชาติ แต่ละท้องถิ่นนั่นเอง
นิทานพื้นบ้านเรื่อง "เซียงเมี่ยง" เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมในประเทศลาว เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการผจญภัยของชายหนุ่ม ซึ่งเกิดมาจากครอบครัวสามัญชน ในการใช้ไหวพริบและความฉลาดในการใช้สติปัญญา เพื่อเอาชนะกษัตริย์ผู้ครองนครและคหบดี โดยนิทานเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการช่วงชิงระหว่างชนชั้น ซึ่งคล้ายคลึงกับวรรณกรรมลาวเรื่องอื่นๆ ซึ่งความฉลาดและมีศิลธรรมของตัวเอกในเรื่อง มีความสำคัญมากกว่าชาติกำเนิด
ชื่อ "เซียงเมี่ยง" เป็นนิทานหรือวรรณคดีร่วมในดินแดนสองฝั่งโขง (อาณาจักรล้านช้าง) คล้ายคลึงกันกับการรับประทาน "ข้าวเหนียวนึ่ง" เพราะพบว่า มีการเล่าสืบต่อกันมาทั้งในฝั่ง สปป.ลาว ภาคเหนือของไทย และภาคอีสานบ้านเฮา เนื้อหาคล้ายคลึงกัน ต่างเพียงสำเนียงและคำศัพท์บางคำเท่านั้น และไปคล้ายกันกับนิทานเรื่อง "ศรีธนญชัย" ของภาคกลาง ที่เดิมนั้นแต่งเป็นกาพย์และถูกแปลงเป็นร้อยแก้วในภายหลังเช่นเดียวกัน
ในบทความเรื่อง “ศรีปราชญ์อยู่ที่ไหน ศรีธนญชัยอยู่ที่นั้น” (ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2541) “สุจิตต์ วงศ์เทศ” ให้ความเห็นไว้ดังต่อไปนี้
“ศรีธนญชัย เป็นนิทานตลกขบขัน ที่ได้ชื่อมาจากตัวเอกเจ้าปัญญาแบบฉลาดแกมโกง นิทานเรื่องศรีธนญชัยแพร่หลายทั่วไปในดินแดนประเทศไทย และในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า นิทานเรื่องนี้กำเนิดที่ไหน? หรือแพร่หลายกระจายจากดินแดนแห่งใด ?
เมื่อเอ่ยชื่อ “ศรีธนญชัย” คนไทยทั่วไปจะรู้ทันทีว่า หมายถึงคนมีปฏิภาณเป็นยอด มีไหวพริบเป็นเยี่ยม แต่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเป็นร้อยเล่มเกวียน จนยากที่ใครจะรู้เท่าทัน ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงพวก “ตลกหลวง” ที่ทำหน้าที่ถวายเรื่องราว และการกระทำที่สนุกสนาน ให้พระเจ้าแผ่นดินสมัยโบราณทรงมีอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์
ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำแหน่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็น “ตลกหลวง” อยู่ด้วย 2 ชื่อ คือ “นักเทศ” และ “ขันที” บางแห่งเขียนติดกันว่า “นักเทศขันที” แต่หมายถึง เจ้าหนักงาน 2 คน
“นักเทศ” จากชื่อชี้ชัดว่า หมายถึงชาวต่างชาติ คือไม่ใช่พวกสยาม และน่าจะมีลักษณะพิเศษอยู่ด้วย คือเป็นพวกกะเทย เรื่องนี้มีร่องรอยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นพวกที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาซื้อมาจาก อินเดีย และเปอร์เซีย ส่วน “ขันที” คงเป็นผู้ชายจีนที่ถูกตอนแล้ว (ปรากฏในนิยาย ละคร ภาพยนตร์จีนที่เกี่ยวกับราชสำนักหลายเรื่อง)
ทั้งพวกนักเทศและขันทีล้วนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ คือ “แขก” กับ “เจ๊ก” ที่ถูกตอน หรือหรือถูกทำให้เป็นกะเทย แล้วถูกซื้อ-ขายเข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และน่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายใน เพราะได้รับสิทธิพิเศษ
น่าสงสัยว่าพวกนักเทศขันทีเหล่านี้แหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมหมายกำหนดการเข้าเฝ้า และระเบียบการต่างๆ ในราชสำนัก รวมทั้งถวายเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย บางทีพวกนักเทศหรือขันทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่อง "ศรีธนญชัย" ก็ได้ เพราะนิทานเรื่องนี้มีแพร่หลายทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งน่าจะมีเค้ามาจากต่างประเทศ
นิทานเรื่อง "ศรีธนญชัย" สมัยแรกเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากสืบๆ กันต่อมา ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหนและแพร่หลายไปอย่างไรบ้าง สมัยแรกๆ นี้ยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีผู้เอานิทานเรื่องศรีธนญชัยไปแต่งเป็นร้อยกรอง หรือเป็นกาพย์ กลอนแบบต่างๆ ที่นิยมตามท้องถิ่นนั้น เพื่อขับลำเล่านิทาน หรืออ่านเป็นทำนองให้ชาวบ้านฟัง ในประเทศไทยทางภาคกลาง และทางภาคใต้เรียกชื่อตัวเอกว่า "ศรีธนญชัย" ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานไม่เรียกว่า "ศรีธนญชัย" แต่เรียกชื่อตัวเอกว่า "เชียงเมี่ยง"
นิทานเรื่อง "ศรีธนญชัย" จงใจกำหนดบุคลิกของ "กษัตริย์" ให้เป็นตัวตลก ต้องยอมจำนนต่อสติปัญญา เล่ห์เหลี่ยมของศรีธนญชัยเสมอ ลักษณะอย่างนี้ปรากฏว่ามีอยู่ในนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยหลายเรื่อง ต่อมาก็นำไปแต่งเป็นบทละครนอก เช่น ท้าวสามล ในเรื่อง สังข์ทอง เป็นต้น
เหตุที่ประเพณีพื้นบ้านพื้นเมืองกำหนดให้บุคลิกของ "กษัตริย์" ในนิทาน และในตัวละครเป็นตัวตลกอย่างนั้น ดูเหมือนจะเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคมและวัฒนธรรม เพราะตามปกติคนทั่วไปไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน และไม่มีสิทธิล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินได้ ต่อมาเมื่อเล่านิทานหรือดูละครเท่านั้น สามัญชนจึงจะมีโอกาสละเมิดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ได้”
(สุจิตต์ วงษ์เทศ “ศิลปวัฒนธรรม” ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๑)
ส่วนเรื่อง “ขะต้ำป๋าค่ำตุ๊” หรือ “กะต้ำป๋าค่ำตุ๊” (ตุ๊ = สาธุ หมายถึง พระภิกษุ) นั้น เป็นเรื่องชวนหัวทำนองเดียวกับ "เซี่ยงเมี่ยง" แต่เปลี่ยนตัวละครจาก "เซียงเมี่ยง" เป็น "ขะต้ำป๋า" จากพระราชา หรือเจ้าเมือง ให้เป็นพระภิกษุ (ตุ๊เจ้า) มีเล่ากันทางภาคเหนือของไทยอีกสำนวนหนึ่ง
เนื้อเรื่องมีมากมาย แตกต่างกันออกไป เช่น เรื่อง “ตุ๊เจ้าห้ามขุดจิ๊กกุ่งในวัด”
ตุ๊เจ้าเห็นชาวบ้านมาขุดจิ๊กกุ่ง (จิ้งโกร่ง) ในวัดเอาไปกิน จึงเขียนประกาศว่า “ห้ามขุดจี๊กกุ่งในวัด”
ขะต้ำป๋า จึงเอาถ่านเขียนต่อท้ายป้ายประกาศนั้นว่า “ขุดได้นำถวาย”
ตุ๊เจ้าอยากกินจี๊กกุ่ง เลยเขียนต่อท้ายอีกว่า “หลังโบสถ์มีสองขุม (หลุม) อาจจะซ้อน (มีสองตัว)"
ในนิทานพื้นบ้านเหล่านี้ และบทละครที่ท้าวสามลเป็นตัวตลกนั้น เป็นวรรณกรรมเสียดเย้ยเท่านั้น ยังไม่ใช่วรรณกรรมการเมืองแต่อย่างใด
ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีทั้งศาล รูปปั้น และสระศรีธนญชัย (เล่าต่อๆ กันมา จริง-เท็จมิทราบได้)
มาที่ชื่อ "เซียงเมี่ยง" มาจากคำ 2 คำ คือ "เซียง" หมายถึง ชายผู้ผ่านการบวชเป็นสามณรมาแล้ว (หลายปี) เมื่อสึกออกมาจึงเรียกว่า "เซียง" ในขณะที่ชายผู้ผ่านการบวชเป็นพระมาหลายพรรษาเมื่อสึกออกมาจะเรียกว่า "ทิด" [ อ่านเพิ่มเติม : กองฮด ] ส่วน "เมี่ยง" คือชื่อของคนนั่นเอง แต่เมื่อเอามารวมกันเป็นคำว่า "เซียงเมี่ยง" นั้นมีความหมายว่า "เป็นชายกะล่อน เจ้าปัญญา ไม่น่าเชื่อถือ" อย่าให้ใครให้ฉายาว่าเราเป็น "บักเซียงเมี่ยง" นะขอรับ
"เซียงเมี่ยง" บางที่เขียนเป็น "เซียงเหมี้ยง" คือนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในภาคเหนือ และภาคอีสาน ค้นพบพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2501 ซึ่งมีเนื้อหาต่างจาก "ศรีธนญชัย" สำนวนกาพย์ที่แพร่หลายในภาคกลาง เนื้อเรื่องกล่าวถึง "พญาทวาละ" ผู้ครองเมืองทวาลี (ฉบับอักษรธรรม 1 ผูกวัดนามึน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ว่าเป็นเมือง สียุดทิยา) มเหสีประสูติพระโอรส แต่โหรทำนายว่า กุมารน้อยจะเลี้ยงยาก ต้องหาเด็กที่เกิดวันเวลาเดียวกันมาเลี้ยงคู่กันไปเพื่อเป็นการแก้เคล็ด
และในเมืองทวาลีนี่เอง ก็มีผู้ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า หมั่นตั้น กับผู้หญิงชื่อว่า นางปลี แต่งงานอยู่กินกันมาหลายปีดีดัก ก็ยังไม่มีลูก จนอยู่มาวันหนึ่ง ตอนกลางคืน นางปลีนอนหลับและฝันว่า ตนนั้นหิวข้าว จึงเดินไปหาเก็บขี้หลักเหยี่ย (ขยะ) กินจนอิ่ม สะดุ้งตื่นขึ้นมา ก็ประหลาดใจยิ่งนัก เลยไปหาพราห์มเฒ่า แถวๆ นั้นและเล่าความฝันให้ท่านพราห์มฟังว่า ''ข้าน้อยได้เดิน เลาะเก็บหยากไย่ ขี้หลักเหยี่ย กินจนอิ่มท้อง ฝันแบบนี้ มันจะเกิดอะไรหรือมีความหมายว่าอย่างไรท่าน''
พราห์มเฒ่าก็ได้ทำนายความฝันนั้นว่า ''เจ้าจักมีลูกชาย ซึ่งเป็นผู้มีบุญยาธิการ มีปัญญาล้ำเลิศ กว่าชาวบ้านทั่วทั้งแผ่นดิน เป็นคนฉลาดหลักแหลม'' หลังจากนั้นอีกไม่นาน นางปลี ก็ได้ตั้งท้องและคลอดออกมาเป็นผู้ชายจริงดังคำทำนาย จึงได้ตั้งชื่อลูกชายไว้ว่า ''เมี่ยง'' และนี่คือกำเนิดของผู้ชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงขจรไกลในเวลาต่อมานั่นเอง
พญาทวาละจึงไปขอลูกนางปลี ซึ่งเกิดวันเดียวกันกับพระโอรสมาเลี้ยงร่วมกัน โดยให้นางสนมเป็นคนเลี้ยง เมื่อเด็กชายโตขึ้นจึงถวายตัวเป็นมหาดเล็ก และมีช่วงหนึ่งได้ออกบวชเป็นสามเณร แล้วก็สึกออกมารับใช้กษัตริย์ต่อไป (ชายที่บวชเณรแล้วสึกออกมา ชาวบ้านจะเรียด "เซียง" นำหน้าชื่อ) นายเมี่ยง จึงถูกเรียกว่า "เซียงเมี่ยง" ซึ่งเขาเป็นผู้มีปัญญา มีปฏิภาณไหวพริบดี มีเล่ห์เหลี่ยม และฉลาดแกมโกง จึงทำให้ชีวิตของเขาต้องคอยฝ่าฟันปัญหาที่เกิดจากความฉลาดของเขานั่นเอง (เรื่องชื่อพ่อ-แม่ของเซียงเมี่ยงนี้ ไม่อาจฟันธงว่าเป็นชื่อใด เพราะผู้เขียนบทความค้นไปก็พบมากมายหลายชื่อ ตามสำนวนของแต่ละแหล่งนะครับ ก็คงเพราะเป็นเรื่องเล่าสืบต่อๆ กันมานั่นเอง อย่างสำนวนของจินดา ดวงใจ ก็ว่าชื่อ นายชัย กับ นางศรี)
เซียงเมี่ยง ฉบับ "อักษรธรรม 1 ผูกวัดนามึน" ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นั้นเนื้อเรื่องที่แสดงถึงความเป็นเจ้าปัญญาของเซียงเมี่ยงนั้นมีเป็นตอนๆ รวม 38 ตอน ดังนี้
1) เซียงเมี่ยงเลี้ยงน้อง 2) เซียงเมี่ยงเก็บหมาก 3) เซียงเมี่ยงกินข้ออ้อยจนเกิดมีปัญญาเหนือกว่าคนอื่น 4) ลองปัญญากับสมภาร 5) พนันกับลาวส่งเมี่ยง 6) เซียงเมี่ยงแต่งงาน (เลือกคู่) 7) ให้ยาดีแก่พระราชา 8) พระราชาแกงแร้งให้เซียงเมี่ยงกิน 9) เซียงเมี่ยงหลอกพระยาเลียขี้แร้ง 10) พระราชาให้นางสนมเล่นออกไข่ 11) เซียงเมี่ยงติเรือนพระราชา 12) เซียงเมี่ยงติช้างพระยา 13) พระราชาให้ไปหาปากง่าม 14) เซียงเมี่ยงหลอกพระยาลงหนองน้ำ 15) พระราชาให้ไปหาผ้าลายตีนแต้ม 16) เซียงเมี่ยงหลอกดูก้นสมภาร 17) พระราชาสั่งให้เซียงเมี่ยงล่วงหน้าไปก่อน 18) พระราชาสั่งให้มาก่อนไก่ 19) เซียงเมี่ยงขอที่เท่าแมวดิ้นตาย 20) เซียงเมี่ยงขอเงินหนึ่งบาท
21) พระราชาให้นางสนมไปอุจจาระรดเรือนเซียงเมี่ยง 22) เจ้าต่างเมืองมาท้าชนหัวล้าน 23) ภรรยาบอกให้เซียงเมี่ยงหาเงิน 24) เซียงเมี่ยงทายใจเสนา 25) เซียงเมี่ยงหลอกให้ดมตด 26) เซียงเมี่ยงทายว่าพระราชาจะตายใน ๗ วัน 27) เซียงเมี่ยงตอบปัญหากับราชครูเมืองตานี 28) เซียงเมี่ยงแก้มือศึกเมืองปัญจานคร 29) พระราชาให้เซียงเมี่ยงไปเก็บพริก 30) เซียงเมี่ยงกองก้นรับเสด็จ 31) เซียงเมี่ยงชนวัว 32) เซียงเมี่ยงชนไก่ 33) เซียงเมี่ยงสานตะกร้าในน้ำ 34) เซียงเมี่ยงกู้เงินจะใช้คืนในสองเดือน 35) เซียงเมี่ยงเอาเปรียบเณรน้อยในเรือ 36) เณรน้อยแก้แค้นเซียงเมี่ยง 37) เซียงเมี่ยงถูกยาเบื่อตาย 38) กระดูกเซียงเมี่ยงทำพิษแก่แม่หม้าย
ยังมี "นิทานเซียงเมี่ยง" อีกหลายสำนวน ผู้เขียนค้นพบว่ามีฉบับอื่นๆ ที่มีเนื้อหาและสำนวนแตกต่างกันไปบ้าง เช่น
ด้วยความที่ "ศรีธนญชัย" เป็นวรรณกรรมร่วมกันของภูมิภาคนี้ แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันดังกล่าวข้างต้น กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง วรรณกรรมอาเซียน "ศรีธนญชัย : พระเอกเจ้าปัญญา" ณ ห้องประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา โดยมีนักวิชาการและผู้สนใจวรรณกรรมจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนมาร่วมประชุมกว่า 200 คน เพื่อเป็นการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมมรดกร่วมอาเซียน ที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อการเสนอเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมของอาเซียนต่อไป
การแสดงละคร "ศรีธนญชัย" สำนวนภาคกลางประเทศไทย ในงานสัมมนา
อ่านต่อ : เซียงเหมี้ยง นิทานพื้นบ้านลาว การใช้ภูมิปัญญาเอาชนะชนชั้นปกครอง
"ผีปอบ" ถ้าถามผมผู้เขียนก็จะนึกถึงความสนุกสนานมากกว่าความน่ากลัว โดยเฉพาะ "ปอบหยิบ" ในตำนานจากหนังชุด "ผีปอบ" ที่นำแสดงโดย "ณัฐนี สิทธิสมาน" โดยการแต่งตัวของปอบหยิบในยุคนั้น หลายคนคงติดภาพยายแก่ใส่เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุง ยกมือสองข้างขึ้นทำท่าหยิบจับ ออกวิ่งไล่ชาวบ้านไปทั่ว หรือที่วิ่งหลบลงในโอ่งน้ำ ซึ่งใบก็ไม่ได้ใหญ่โตนักแต่ก็ลงไปอยู่ด้วยกันได้ตั้งหลายคน นั่นช่างมีความบันเทิง ตื่นเต้น สนุกสนานมาตลอดในหลายๆ ภาคต่อเนื่องกันมา จนกลายเป็นตำนานของ "ผีปอบ" เลยทีเดียว วันนี้ไม่ได้มารีวิวหนังนะครับ แต่มีหลานๆ ถามว่า "อาวทิดหมู ผีปอบมันมีอีหลีบ้อ เว้าให้ฟังแหน่" ก็เลยเป็นที่มาของบทความนี้
ภาพยนตร์ "บ้านผีปอบ" ในตำนานเรื่องแรกฉายปี พ.ศ. 2532 มีภาคต่อมาอีกมากมาย...
"บ้านผีปอบ" เป็นภาพยนตร์ไทย ประเภทหนังผี ที่ไม่สยองแต่ผสมผสานด้วยความตลกขบขัน ที่มีการสร้างภาคต่อมาถึง 14 ภาคตั้งแต่ปี 2532−2554 ถือเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีภาคต่อมากที่สุด เป็นหนังที่นำเอาตัวละครผีปอบมาจากนิยายของ เหม เวชกร มาถึงเรื่องความเป็นมาของผีปอบนั้นเป็นอย่างไร? ความจริง หรือความเชื่อ กันแน่?
"ปอบ" เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน และในฝั่งเพื่อนบ้านของไทยอย่าง สปป.ลาว (ในภาคอื่นๆ ก็มีแต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่เป็นข่าวกันมากนัก) โดยเชื่อกันว่า "เป็นผีที่กินของดิบๆ สดๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม" โดยการสืบค้นหาแล้วพบว่า การเป็นผีปอบนั้น มักจะเป็นกับผู้ร่ำเรียนวิชาทางไสยศาสตร์ คาถาอาคม ของขลัง เวทมนตร์ คงกระพัน ซึ่งคนที่จะเรียนรู้วิชาเหล่านี้ได้ จะต้องมีความมั่นคง เชื่อมั่น และสามารถทำตามข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์ได้ ถ้ากระทำผิดข้อห้ามที่กำหนดไว้ไม่ได้ ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า "คะลำ" หรือ "ขะลำ" จึงกลายเป็น "ปอบ" ซึ่งความเป็นปอบนี้จะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย (อ่านเพิ่มเติมในเรื่อง คะลำ สำหรับ ผู้ที่ร่ำเรียนวิชาความรู้)
ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวนี้ยกตัวอย่างเช่น ห้ามลอดราวตากผ้า (ที่อาจมีผ้าชุดชั้นใน ผ้าถุง) ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามลอดใต้บันได เป็นต้น ในอดีตนั้นคงจะทำได้ไม่ยากนัก บ้านเมืองไม่ได้เจริญอย่างปัจจุบัน สามารถเดินหลบหลีกได้ แต่พอมายุคสมัยที่บ้านเรือนเจริญขึ้นไม่ได้มีแค่บ้านชั้นเดียวหรือสองชั้น แต่เป็นอพาร์ทเมนต์ คอนโดมีเนียม นับสิบ นับร้อยชั้น การจะไม่ลอดใต้ถุนบ้านมันก็คงทำไม่ได้แล้วล่ะ
คลิปตัวอย่าง "บ้านผีปอบ" สั้นๆ เพื่อความบันเทิง ใครเคยดูบ้าง? (มีหักมุกตอนจบด้วย)
"ปอบ" เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนพวกผีกระสือหรือผีกองกอย แต่ "ปอบ" คือจิตวิญญาณมิจฉาทิฏฐิ จะเข้าแฝงร่างสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และใช้ร่างหรือรูปลักษณ์ของคนๆ นั้น ไปกระทำการไม่ดีต่างๆ และเชื่อด้วยว่า หากวิญญาณปอบเข้าสิงสู่ผู้ใด จะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดาๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า "ไหลตาย"
ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบ นั้น เป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้า หรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณ บุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกจากชุมชนไปเลยทีเดียว
ปอบ เป็นผีที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมไทย มีการนำไปอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ อาทิ ภาพยนตร์ชุด บ้านผีปอบ เป็นต้น ตามตำนานของทางพระพุทธศาสนาเล่าว่า ผีปอบ คือ ผีสายยักษ์ อยู่ในสายการปกครอง ของท้าวเวสสุวัณ ที่เข้าสิงร่างมนุษย์ ก็เพื่ออาศัยร่างมนุษย์กินอาหาร โดยเฉพาะอาหารสดคาว หรือ สัตว์เป็นๆ เช่น ไปหักคอเป็ด ไก่ ในเล้ากิน หรืออาศัยร่างเหมือนเป็นร่างทรง จะเข้าสิงร่างมนุษย์ที่มีวิบากกรรมทางนี้ คือ อดีตเคยนับถือผีเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกยามมีทุกข์ จนเป็นประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา มีจิตผูกพันกับผี และกรรมทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์เซ่นไหว้ผี บางทีก็ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น เป็ด ไก่ บางทีก็ฆ่าสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย เป็นต้น
ในความเชื่อของชาวอีสาน (ไม่แน่ใจว่าภาคอื่นๆ ยังมีอยู่หรือไม่) ผีปอบเป็นผีที่มีความน่ากลัวอย่างมาก หากมีคนตายที่ผิดปกติมักจะกล่าวกันว่า "ถูกปอบกิน" แต่กระนั้นก็มีอาการบ่งบอกที่ชัดเจนว่า ตายอย่างไรจึงจะเรียกว่าปอบกินได้ แต่วันนี้เราจะทำความเข้าใจกันว่า "ปอบ" คืออะไร
ตามคติความเชื่อของชาวอีสาน ปอบเป็นผีชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ "วิญญาณ" ของคนที่ตายไปแล้ว น่าจะจัดอยู่ในจำพวกของ "สาง" หรือถ้าพูดแบบจักรวาลทัศน์ก็เป็นพวก "อสุรกาย" ปอบเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งผู้ที่เรียนวิชาอาคมแล้วไม่สามารถรักษาของหรือข้อ "คะลำ" ได้ ก็จะกลายเป็นปอบเรียกว่า "ปอบวิชา" อีกพวกหนึ่งเป็นปอบที่เกิดจาก "การปลูกว่าน" แล้วดูแลไม่ถูกวิธี ทำให้ว่านชนิดนั้นกลายเป็นปอบ หรือในบางครั้งคนปลูกเป็นปอบ
ในกรณีที่มนุษย์เป็นปอบ ไม่ได้หมายความว่าร่างกาย หรือตัวตนของเขาเองที่เป็นปอบ แต่มันหมายความว่าคนๆ นั้นเลี้ยงปอบ หรือมีเชื้อปอบติดตัว คล้ายกับคนที่ติดเชื้อโรคสามารถรักษาให้หายได้ เมื่อเป็นแล้วจะต้องหาเลี้ยงปอบที่ตนมี โดยการให้ไปกินคนนั้นคนนี้ ปอบที่มีคนเลี้ยงจึงเรียกว่า "ปอบเจ้า" แต่เมื่อใดที่เจ้าของปอบตายลง ปอบจะตามไปอยู่กับลูกหลานของเจ้าของเดิม เรียกว่า "ปอบเชื้อ" แต่ถ้าเจ้าของเดิมไม่มีลูกหลาน มันจะไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น คำ (ป่าชุ่มน้ำ) โพน ดอน ฯลฯ เรียกว่า "ปอบเฮื้อ" (เฮื้อ = ที่รกร้าง) จัดว่าเป็นปอบที่อันตรายมาก เพราะไม่มีเจ้าของดูแล มันจึงสามารถหากินเองได้โดยไม่มีใครควบคุม
เมื่อความเชื่อเรื่อง "ปอบ" ยังฝังแน่นอยู่ในความคิดของคนอีสาน การเยียวยารักษา และพิธีกรรมที่เป็นเครื่องปลุกขวัญกำลังใจ ให้กับคนในหมู่บ้านที่เกิดเหตุการณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พิธีกรรมปราบผีปอบ” มีทั้งพิธีกรรมที่ทำในระดับตัวบุคคล หรือกลุ่มคนที่เชื่อว่า "ถูกผีปอบเข้าสิงร่าง" ส่วนใหญ่จะนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีกรรม สวดคาถาอาคม รดน้ำมนต์ ขจัดปัดเป่าวิญณาณร้ายให้ออกไปจากตัว จากนั้นก็จะทำพิธีผูกข้อมือด้วยด้ายสายสิญจ์ ที่ปลุกเสกไว้แล้ว ถ้าอาการของคนไข้หรือคนที่เชื่อว่าถูกผีเข้านั้นหายเป็นปลิดทิ้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อเรื่องผีปอบกันมากขึ้น (ซึ่งในทางพุทธแท้ๆ ไม่มีบัญญติไว้ ไม่ต้องสอบทาน เสาะหา เหตุผลในย่อหน้าถดไป)
ส่วนในระดับชุมชนใหญ่ๆ ถ้าหมู่บ้านไหน มีคนเสียชีวิตติดต่อกันหลายศพ อาจจะพบว่า ประชาคมของชุมชนนั้น เชื่อว่าเกิดจากฝีมือของผีปอบ ผู้นำชุมชนก็จะเป็นหัวเรือใหญ่ในการพาชาวบ้านลงขัน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง “หมอผี” มาช่วยปราบผีปอบ
ขบวนการปราบผีปอบ จึงเป็นอีกธุรกิจหรือการดำเนินการหารายได้จากความเชื่อนี้ ซึ่งจะมี "หมอผี" หรือ "เกจิดัง" เป็นที่รับรู้กันในชุมชนย่านนั้น โดยคิดราคากันเป็นรายหัว เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าราคาถูกๆ นะ รายหัวนี่ไม่ใช่หัวปอบ แต่เป็น "รายหัวคนที่ได้รับผลกระทบ" ซึ่งก็คือชาวบ้านในชุมชนนั้นที่มีความกลัว โดยผู้นำชุมชน หรือคณะกรรมการหมู่บ้าน จะประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านผ่านเสียงตามสาย ให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อเป็น "ค่ายกครู" ให้คณะที่จะมาทำพิธีปราบปอบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเก็บครอบครัวละ 100 บาท ถ้าเป็นหมู่บ้านใหญ่เช่นมี 500 หลังคาเรือน ก็จะเก็บเงินได้กว่า 50,000 บาท ไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ
“การปราบผีปอบ” หากเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล กลุ่มคน หรือชุมชน การว่าจ้างเป็นไปโดยความสมัครของคนในชุมชน ผ่านการประชุมในระดับหมู่บ้าน ทำเพื่อให้เกิดความสบายใจ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่เดือดร้อนผู้อื่น แต่บางกรณีก็ต่างออกไป มีทำให้เกิดการใส่ร้ายกล่าวหาตัวบุคคลว่า "เป็นปอบ" สร้างความสับสนแตกแยกกันขึ้นในหมู่บ้าน ชุมชน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ผ่านคำพูดของกลุ่มคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอผีกลุ่มนี้เท่านั้น และทำให้มีผู้เดือดร้อน ถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ตามที่เคยปรากฎเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้ และยิ่งเป็นยุคสื่อสังคมออนไลน์ใกล้ตัว ที่มีการไลฟ์สดก็ยิ่งดูน่ากลัว แพร่กระจายเป็นวงกว้าง
ความขัดแย้งของกลุ่มคนโดยปกติก็มีกันอยู่ทั่วไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความขัดแย้งนั้น นำเอาไปผูกกับความเชื่อเรื่อง "ผีปอบ" ก็จะสร้างรอยร้าวแตกแยก ยากที่จะประสาน ไม่ฟังเหตุและผลของกันและกัน และถ้ามีกลุ่มที่เป็นผู้นำหรือมีความเชื่อในการปราบผีปอบมาชี้ว่า "เป็นปอบ" ก็อาจถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ถูกผลักออกจากกลุ่มไม่คบค้าสมาคมด้วยเลย
“กลุ่มคน” ที่จะถูกยัดเยียดข้อหาว่า "เป็นปอบ" จะมีพฤติกรรมเด่นๆ อยู่ 2 แบบคือ
กลุ่มแรก เป็นคนที่ขยันขันแข็งทำมาหากิน ได้ผลผลิตเกินหน้าเกินตา จนถูกมองว่าเกินความเป็นจริง อย่างเช่น พื้นที่ทำนาแค่ 5 ไร่ เพื่อนบ้านคนอื่นจะปลูกข้าวได้ผลผลิตประมาณ 30 – 50 กระสอบ (ขึ้นอยู่กับพื้นที่) ขณะที่คนที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็น "ปอบ" จะสามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตมากกว่า 100 กระสอบ ซึ่งในอดีตคนส่วนใหญ่จะเชื่อว่า "ต้องเป็นปอบ หรือ เป็นผู้ที่สามารถใช้เวทมนต์คาถา จึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้" แต่ปัจจุบัน ทฤษฎีการทำนา 1 ไร่ 1 แสนบาทก็พิสูจน์ได้แล้วว่า การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูงกว่าคนอื่น สามารถทำได้จริงผ่านความรู้ทางการเกษตรและความขยันขันแข็ง
กลุ่มที่ 2 เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านติดต่อกันหลายศพ โดยไม่ทราบสาเหตุ ฆาตกรลี้ลับอันดับแรกที่คนจะคิดถึงก็คือ “ผีปอบ” ในกลุ่มนี้จะแบ่งได้เป็นอีก 2 แบบคือ ปอบที่เข้าไปกินคนแบบเงียบแล้วตายแบบสงบ บางครั้งเรียกว่า "ไหลตาย" และแบบที่เข้าสิงร่างคนทั้งเป็น แล้วพูดจาเพ้อเจ้อไปเรื่อย มีอาการเกร็ง ชักกระตุก ตาลอย สั่นสะท้านไปทั้งตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ อาการแบบนี้ชาวบ้านจะสรุปกันทันทีว่าผีเข้า และผีตนนั้นส่วนใหญ่ก็คือ "ผีปอบ" นั่นเอง (ในภายหลังทางการแพทย์ก็พิสูจน์ได้ว่า การไหลตาย คือโรค ไม่ใช่ผีแต่อย่างใด)
ดร.เชิดศักดิ์ ฉายถวิล นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “หมู่บ้านผีปอบ” เปิดเผยว่า จากผลการวิจัยประเภทของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ มีอยู่ 2 ชนิดคือ ปอบถูกกล่าวหา ซึ่งมีลักษณะเป็นการกลั่นแกล้งของคนในหมู่บ้าน ที่มีปัญหาข้อพิพาทหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน และกลุ่มผีปอบที่เชื่อว่าโดนผีเข้าสิงร่างอย่างจริงจัง คือมีลักษณะคล้ายผีปอบ แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันได้ โดยยังไม่มีนิยามความหมายได้ว่าเป็นอย่างไร ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา โดยได้ลงพื้นที่คลุกคลีกับคนในหมู่บ้านปอบแห่งนี้มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
“ขณะนี้กำลังรวบรวมเก็บข้อมูลและลงพื้นที่หมู่บ้านผีปอบ จังหวัดศรีสะเกษ แต่ขอไม่ระบุชื่อหมู่บ้าน เพราะเกรงจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนในหมู่บ้าน เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ เป็นการรวมตัวกันของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ และถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ของตนในแต่ละจังหวัดในภาคอีสาน การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจว่า คนที่ถูกกล่าวหาเป็นผีปอบและถูกขับไล่ออกจากชุมชนหรือถิ่นฐานเดิม แล้วมารวมตัวดำเนินชีวิตกันภายในหมู่บ้านเดียวกันโดยที่ไม่มีปัญหาอย่างชุมชนเดิมที่เคยอาศัยอยู่”
“ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบส่วนใหญ่ มักมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ หรือมีพฤติกรรมทั้งในเชิงบวกและลบ ที่แตกต่างหรือไม่ปฏิบัติตามกลุ่ม แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะเหลือผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปอบโดยตรงเพียงไม่กี่คน แต่ข้อครหา ที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ ว่าปอบคืออะไร ยังส่งผลกระทบต่อสมาชิกในครอบครัวแม้จะเป็นรุ่นลูกหรือหลานก็ตาม ”
ดร.เชิดศักดิ์ กล่าวถึงเป้าหมายงานวิจัยชิ้นนี้ โดยมุ่งหวังให้คนในชุมชนคลี่คลายความกลัวจากความเชื่อ และค้นหาสิ่งที่ยังเป็นข้อสงสัยในเรื่องปอบอยู่ โดยจะนำผลการวิจัย ไปเผยแพร่ต่อในชุมชนอื่นๆ ที่มีความเชื่อเรื่องผีปอบ ในมุมมองเชิงวัฒนธรรม เพราะเห็นว่าวัฒนธรรมคือ วงจรชีวิต อาชีพ การดำรงชีวิตอยู่กับสังคม
“คนในภาคอีสานตกเป็นเครื่องมือความเชื่อเรื่องผีปอบ ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน และมีผลกระทบต่อโครงสร้างภายในชุมชนหรือครอบครัวได้ เพราะหากหมู่บ้านใดก็ตามที่เชื่อเรื่องนี้ ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านสูญหายไป ตอนเย็นๆ ไม่กล้าออกจากบ้านไปพบปะพูดคุยกันตามวิถีชนบท” ดร.เชิดศักดิ์ กล่าว
รายการทีวีชุมชน ช่อง ThaiPBS สารคดี "ชุดสักการะ" ตอน ผีปอบ
นอกจาก "ผีปอบ" แล้วยังมีผีอีกตนที่ชาวอีสานเกรงกลัวกันมาก คือ "ผีแม่ม่าย" ถ้าใครเดินทางไปในแถบชนบทอีสานช่วงฤดูแล้ง อาจจะได้เห็นตามรายทางที่ผ่านมี "หุ่นฟางสวมเสื้อสีแดง" ตั้งไว้ตามรั้วบ้าน ที่ตัวหุ่นมีอวัยวะเพศทาสีแดงปักไว้ให้เห็นชัดเจนว่าเป็นผู้ชาย เป็นระยะๆ บ้างก็อาจมีป้ายแขวนที่คอด้วยว่า "บ้านนี้ไม่มีผู้ชาย" ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แน่นอนว่า คงมีผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวถึงแก่ความตายแล้ว 2-3 คนติดต่อกัน ในหมู่บ้านแห่งนี้แน่แล้ว
ความเชื่อในเรื่อง "ผีแม่ม่าย" หรือ "ผีอีซิ่นเหี้ยน" นี้เพิ่งจะมีมาไม่นานประมาณสัก 10-15 ปีได้ เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นใหม่ในภาคอีสาน คนที่ทำหุ่นดังกล่าวไปปักก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่หมอผีหรือเข้าจ้ำแต่อย่างใด เป็นความเกรงกลัวว่าจะสูญเสียสามี และเป็นอุปทานหมู่ด้วย หมายถึงไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ครอบครัวเดียว แต่เชื่อและทำกันทั้งหมู่บ้านย่านนั้น แต่ก็ไม่ได้นัดหมายประชุมปรึกษาหารือกัน เพียงแต่ได้ยินข่าวเมื่อไปร่วมงานศพ ได้ยินเสียงซุบซิบว่า ชายคนนี้ตายเพราะผีแม่ม่ายมาเอาไป เหมือนกับหมู่บ้านโน่น หมู่บ้านนั้น เขาว่าตั้งแต่ทำหุ่นผู้ชายใส่เสื้อแดงแล้ว ก็ไม่มีคนตายอีก กลับมาแล้วก็เลยทำขึ้นมาเองแต่ว่า ให้มีหุ่นคล้ายผู้ชาย สวมใส่เสื้อสีแดง จะใหญ่โต สูงเพียงใดไม่ได้กำหนด
การที่ "ผีแม่ม่าย" มาเอาชีวิตแต่ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วไป ไม่มีคำอธิบายใดๆ นอกจากความกลัวจากคำเล่าลือที่ได้ยินมา การที่จะรักษาชีวิตของ "สามี" หรือ "ผัว" ไว้ได้โดยไม่ต้องลงทุนมากมายคือ "การทำหุ่นฟาง" ที่แสดงความเป็นชายไว้หน้าบ้าน (ก็ปักส่วนความเป็นชายสีแดงเด่นไว้ด้วยอย่างชัดเจน) เพื่อให้ผีแม่ม่ายมาเอาไป การสวมใส่เสื้อสีแดงไว้ก็เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายๆ สะดุดตา ส่วนป้ายห้อยคอ "บ้านนี้ไม่มีผู้ชาย" นั้นคงจะยืนยันว่า "ผีแม่ม่าย" มีการศึกษาอ่านภาษาไทยออกได้รู้ว่า ในบ้านไม่เหลือผู้ชายแล้ว นั่นเอง (ไปอ่านเหตุผลเต็มๆ ที่นี่ครับ)
จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถระบุแลยืนยันได้ชัดเจนว่า ที่แท้จริงแล้ว "ผีปอบ ผีแม่ม่าย" คืออะไร มีอยู่จริงหรือไม่? แต่สำหรับผู้เขียนนั้นเชื่อว่า "ที่ใดมีการศึกษา ความก้าวหน้าทางการรักษาโรคภัยเข้าถึง มีหมอที่สามารถอธิบาย วินิจฉัย สอบสวนโรค ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ที่นั้นจะไม่มี "ผีปอบ" แน่นอน"
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ความเชื่อเรื่องผีของคนอีสาน | พิธีกรรมการโจลมะม็วด
คำว่า นกหัสดีลิงค์ นี้ เป็นชื่อนกใหญ่ชนิดหนึ่งในเทวนิยายว่า อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ รูปตัวส่วนใหญ่เป็นนก เว้นแต่จงอยปากเป็นงวงอย่างงวงช้าง ชื่อนกหัสดีลิงค์ไม่ค่อยปรากฎในเทวนิยาย คนส่วนมากทราบเรื่องนกขนาดใหญ่ในนิยายก็มี เช่น หงส์ พญาครุฑ นกหัสดิน สำหรับนกหัสดิน รูปร่างเป็นนกทั้งตัวใหญ่โต ขนาดโฉบเฉี่ยวเอาช้างในป่าไปกินเป็นอาหารได้ ไม่เกี่ยวโดยตรงกับนกหัสดีลิงค์
นกที่มีจงอยปากเป็นงวงช้างนี้ ปรากฏในภาษาบาลีว่า หัตดีลิงค์สกุโณ (หัตดี คือ ช้าง ลิงค์ แปลว่า เพศ สกุโณ แปลว่า นก) ในภาษาสันสกฤต คือ หัสดิน ลิงคะ แปลอย่างเดียวกัน ไทยเลือกใช้คำว่า หัสดีลิงค์ แปลกที่คำนี้ไม่มีในปทานุกรม กรมตำรากระทรวงธรรมการ พิมพ์ พ.ศ. 2470 ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 และ พ.ศ. 2525 ค้นคว้าต่อไปพบในอักขราภิธานศรันท์ ของหมอปรัดเล พิมพ์ พ.ศ. 2416 หน้า 328 และพบในปทานุกรม บาลีไทย-อังกฤษ-สันสกฤต ของกรมพระจันทบุรีนฤนาถ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2513 หน้า 867 หรือแม้ในบาลีสยามอภิธานของนาคะประทีป เรียบเรียงไว้ พ.ศ. 2465 ก็มีปรากฏคำนี้อยู่ แสดงว่าคนไทยเรารู้จักคำนี้มานาน
นกหัสดีลิงค์ เป็นชื่อเต็มๆ ของนกประเภทนี้ แต่ในล้านนานั้นเรียกเพียงสั้นๆ ว่า “นกหัส” ส่วนชื่ออื่นที่ปรากฏก็มีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่า “หตฺถิลิงฺคสกุโณ” ซึ่งเมื่อแปลออกมามีความหมายว่า นกมีเพศเหมือนช้าง เรื่องราวของนกหัสดีลิงค์นี่ไม่ปรากฏชัดเจนเฉพาะเรื่อง แต่พอจะประมวลได้จาก นิทานชาดกบ้าง ตำราสัตว์ป่าหิมพานต์บ้าง เมื่อสรุปจะได้ความสังเขปว่า นกหัสดีลิงค์นี้เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ลำตัวเป็นนก มีปีก มีหางอย่างนก แต่มีหัวเป็นช้าง มีลำตัวที่ใหญ่อีกทั้งมีกำลังเทียบเท่าช้าง 5 เชือกมารวมกัน นกหัสดีลิงค์ที่ว่านี้นั้นน่าจะถือกำเนิดในอินเดียก่อนแล้ว จึงแพร่เข้ามาในดินแดนล้านนาดังปรากฏในหนังสือของ ส.พลายน้อยว่า เรื่องนกประหลาดในวรรณคดี หรือนิยายปรัมปรานี้มีอะไรแปลกๆ เป็นเรื่องที่น่าคิดเล่น ชื่อนกในนิยายชองชาติต่างๆ ที่พบจะเทียบเคียงกันได้ก็มีนกเฮาะของจีน นกร้อคของอาหรับ และนกรุค (rukh) ซึ่งท่านผู้รู้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอย่างเดียวกัน
เพราะตามเรื่องก็ว่า เป็นนกใหญ่มีอำนาจไม่ผิดอะไรกันนัก ขุนวิจิตรมาตราได้เล่าถึงเรือง นกเฮาะ ไว้ว่า ในทะเลเหนือของจีน มีนกมหึมาเรียกว่า ไต้เฮาะ รูปร่างใหญ่โตมหึมาเหลือประมาณ ถึงเดือน 6 หน้าคลื่นลม นกเฮาะจะกางปีกออกปกฟ้ามิด เริ่มวิ่งฝ่าระลอกคลื่นเป็นระยะไกล 3,000 ลี้ก่อน แล้วก็โผทยานขึ้นสู่อากาศเป็นระยะสูง 9,00 ลี้ บินมาอาศัยอยู่ในเกาะมลายู นกเฮาะฝรั่งว่าเป็นนกที่เรียกว่า นกรุค (rukh) ถ้าเป็นนกรุคก็ตรงกับนกร้อค (roc) ตามที่มีในอาหรับราตรี เมื่อเช่นนี้นกเฮาะก็เห็นจะเป็นนกร้อคนั่นเอง เสียงเฮาะกับร้อคเข้ากันได้ดีอาจจะเป็นคำเดียวกัน แต่หากเรียกเพี้ยนกันไปตามสำเนียงแขกและสำเนียงจีน
นิยายเรื่องนกร้อคของอาหรับเล่าว่า นกร้อคเป็นนกใหญ่อยู่ในเกาะทางทะเลจีน คราวหนึ่งพวกเดินทะเลไปจอดทอดสมออยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง ได้ขึ้นไปบนเกาะและพบไข่เข้าฟองหนึ่ง มีขนาดใหญ่มาก จึงเอาขวานผ่าออกพบลูกนกขนาดมหึมาอยู่ข้างใน ก็เอาไปทำเป็นอาหารเลี้ยงกัน คนที่กินเข้าไปปรากฏว่า ผมหงอกกันหมด คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยหนวดเคราดำเป็นมัน
พอรุ่งเช้านกร้อคกลับมารู้ว่าพวกเดินเรือกินลูกของมันก็โกรธ มันขนก้อนหินมาทุ่มจนเรือแตกจมทะเล เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตเก่งกาจของนกร้อค ซึ่งก็เห็นจะพอๆ กันกับนกรุคที่เล่ามาแล้ว ตามภาพเขียนของเปอร์เซียแสดงให้เห็นกำลังของนกรุคที่สามารถใช้เท้าจับช้าง ได้ข้างละตัวและที่ปากยังคาบช้างได้อีกตัวหนึ่ง นกร้อคกับนกรุคจึงน่าจะเป็นตัวเดียวกันอย่างแน่นอน
การที่เล่าเรื่องนกเฮาะ นกรุค และนกร้อค เท่าที่จะมีเรื่องกล่าวเท้าความถึง ก็เพื่อให้นำมาเปรียบเทียบกับ นกหัสดีลิงค์ ว่า เป็นนกที่ใหญ่โตเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นนกชนิดเดียวกันก็ได้ แต่เมื่อนำมาเขียนเป็นรูปภาพก็แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ความนึกคิด
ความเข้าใจอย่างช่างเขียนจะกำหนดให้เป็นอย่างไร ส่วนเรื่องของนกหัสดีลิงค์ที่ ปรากฏอยู่ในพงศาวดารโยนกในการสร้าง เมืองหริภุญชัย ว่า พระวาสุเทพดาบส ถึงกล่าวว่า เราควรสร้างนครในสถานที่นี้ แต่นครอันเราจักสร้างนี้จักควรตั้งเป็นรูปทรง สัณฐานดังใดฤาจะดี พระสุกทันตฤาษีจึงกล่าวว่า เมื่อครั้งอนุสิษฏฤาษีสหายแห่งเราสร้างเมืองหฬิทวัลลี (เมืองสัชนาลัยสวรรคโลก) นั้นวางสัณฐานเมืองดังรูปเกล็ดหอย เมืองนั้นคนทั้งหลายอยู่เป็นสุขเกษม สำราญยิ่งนัก เราจะสร้างนครครั้งนี้ควรจะเอาเยี่ยงนั้น พระวาสุเทพดาบสจึงว่า ทำไฉนจึงจักได้เกล็ดหอย ในตำนานลำพูนว่า พระดาบสทั้งสองไปเองสู่สำนักพระอนุสิษฏฤาษี
พระอนุสิษฏฤาษี ปฏิสันถารต้อนรับกันแล้ว พระดาบสทั้งสองก็แจ้งยุบลเหตุอันมีประสงค์นั้นแก่พระอนุสิษฏสหายแห่งตน พระอสุสิษฏดาบสก็รับจะจัดหาหอยสังข์หรือเกล็ดหอยส่งไปให้ ครั้นพระดาบสทั้งสองลากลับไปแล้ว พระอนุสิษฏดาบสจึงให้นกหัสดีลิงค์ไปยังมหาสมุทร นำเอาหอยสังข์ขนาดใหญ่มาได้ แล้วก็ให้นำหอยนั้นไปส่งแก่พระดาบสทั้งสอง ยังสถานที่อันจะสร้างนครนั้น จากพงศาวดารการสร้างเมืองลำพูนจะเห็นได้ว่า นกหัสดีลิงค์ก็มีส่วนช่วยในการสร้างเมืองแก่ฤาษีทั้งสอง
ทั้งนี้เนื่องด้วย เป็นนกที่มีขนาดลำตัวที่ใหญ่มีกำลังมากมายสามารถนำเอาสิ่งที่ เกินวิสัยของสัตว์ทั่วไปจะพึงกะทำได้นำมาให้แก่ฤาษีทั้งสอง การรับรู้เรื่องสัตว์หิมพานต์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในความเชื่อของคนล้านนามาแต่โบราณ บางทีอาจจะมีมาก่อนที่จะยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาก็อาจเป็นไปได้ เมื่อได้หันมานับถือพุทธศาสนาแล้วก็แปลงความเชื่อที่มีต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นั้น เข้ามารับใช้คติในทางพุทธศาสนา แล้วในประวัติพุทธศาสนาเองก็ดี วรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาเองก็ดี ก็เอ่ยถึงสัตว์เหล่านั้นด้วย ที่บางครั้งก็มาช่วยเหลือพระพุทธเจ้า ช่วยเหลือเหล่าพระสาวก จึงไม่แปลกที่จะเราจะเห็นสัตว์ประเภทต่างๆ ที่มีรูปร่างไม่เหมือนกับสัตว์ที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงปรากฏอยู่ตามศาสนสถาน ไม่เว้นแม้แต่จะนำเข้ามาใช้ในพิธีกรรมแห่งความตาย อย่างนกหัสดีลิงค์นั้นถ้าหากจะกล่าวว่าจริงๆ แล้วในตำนานก็ดีในหนังสือทางศาสนาก็ดีต่างก็บอกถิ่นที่อยู่ลักษณะของนกหัสดีลิงค์ไว้ดังนี้ว่า นกชนิดนี้มีถิ่นที่อยู่ ณ เชิงเขาพระสุเมรุ ณ สถานที่นั้นเองเป็นป่าไม้ที่ชื่อว่า หิมพานต์ นิสัยของนกหัสดีลิงค์ชอบที่จะกินของสดๆ เป็นอาหาร
ส่วนสำเนียงเสียงร้องของนกชนิดนี้ ในหนังสือสัตว์หิมพานต์กล่าวไว้ว่า "หัสดีลิงค์ก็โผผินส่งเสียงสำเนียงฟังวังเวงใจ” สำหรับรูปร่างของนกชนิดนี้มีลักษณะของการผสมกันระหว่างช้างกับนก โดยมีลักษณะที่หัวเป็นช้าง ส่วนลำตัวเป็นนกทั่วๆ ไป แต่ทว่า นกหัสดีลิงค์นี้มีพละกำลังมากเท่ากับช้าง 5 ตัวรวมกันเลยทีเดียว ดังปรากฏอยู่ในหนังสือธัมมปทัฏฐคาถา ภาคที่ 2 โดยมีเรื่องเล่าไว้ว่า
ในอดีตมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า โกสัมพี เมืองนี้มีพระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้าปรันตปะ ปกครองอยู่และทรงมีพระราชเทวีองค์หนึ่ง ซึ่งทรงพระครรภ์แก่องค์หนึ่ง ในวันหนึ่งพระราชากับพระเทวีทรงนั่งผิงแดดอุ่นอยู่ที่กลางแจ้ง พระราชาก็ได้ให้พระเทวีห่มผ้ากัมพลสีแดงของพระองค์ ขณะที่ทรงนั่งปราศรัยกันอยู่นั้น ก็ได้มีนกหัสดีลิงค์ตัวหนึ่งบินผ่านมาเห็น พระเทวีทรงห่มผ้ากัมพลสีแดง จึงชะลอปีกบินโผลงโดยนักหัสดีลิงค์เข้าใจว่า พระเทวีเป็นก้อนเนื้อฝ่ายพระราชาทรงตกพระทัยด้วยเสียงโผลงของนกหัสดีลิงค์ จึงเสด็จหนีเข้าสู่พระราชนิเวศน์
ส่วนพระเทวีไม่อาจจะเสด็จไปโดยเร็ว เพราะทรงพระครรภ์แก่ นักหัสดีลิงค์โผลงและจับพระนางไว้ในกรงเล็บแล้วก็บินขึ้นสู่อากาศ ธรรมดานกเหล่านี้มีกำลังเท่าช้าง 5 เชือก นกหัสดีลิงค์พาพระนางไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ว ก็ไปจับที่ต้นไทรต้นหนึ่งเพื่อที่จะกินพระนาง จากสิ่งที่ปรากฏในตำนานก็ดีหรือหนังสืออื่นๆ ก็ดีต่างก็ยืนยันว่า นกหัสดีลิงค์นั้นเป็นนกที่มีการผสมกันระหว่างช้างบวกกับนก มีกำลังมากมายมหาศาลเท่ากับช้าง 5 ตัวมารวมกัน อาศัยที่ป่าหิมพานต์
ส่วนที่ว่า เมื่ออยู่ในป่าเหตุโฉนทำไมต้องเกี่ยวกับสวรรค์ชั้นดุสิต นี่เป็นปัญหาที่จะต้องวิเคราะห์กันต่อ เพราะในสวรรค์นั้นสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ส่วนการที่มีสัตว์อื่นๆ เช่น ช้างเอราวัณก็ดีแท้จริงแล้วเป็นการจำแลงตนของเทวดาเท่านั้น หรือแม้แต่เทวดาองค์อื่นๆ จะมีสัตว์เป็นพาหนะก็จะมีอยู่ในสถานที่ต่างหากไม่อยู่รวมกัน ถ้าหากต้องการใช้งานจึงเรียกหาดังนี้ เป็นต้น ถึงจะอย่างไรก็ตาม คนล้านนาก็ได้ยึดถือเอานกหัสดีลิงค์และสัตว์หิมพานต์ตัวอื่นๆ มาใช้ในการต่างศพของผู้มีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน
เจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี หรืออาญาสี่ ซึ่งประกอบด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ และราชบุตร ถือเป็นราชสกุลที่มาแต่เมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า เมื่อท่านเหล่านี้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ให้เชิญศพขึ้นเมรุรูปนกหัสดีลิงค์ หรือ นกสักกะไดลิงค์ แล้วชักลากออกไปบำเพ็ญกุศลที่ ทุ่งศรีเมือง เป็นเวลา 3 วัน จึงเผาศพ การทำศพแบบนักหัสดีลิงค์นั้น จำกัดเฉพาะกลุ่มเจ้านายอุบลฯ เท่านั้น ผู้ไม่ใช่เจ้านายไม่อนุญาตให้ทำศพแบบนี้ ระยะแรกการเผาศพทำที่ทุ่งศรีเมือง มาภายหลังเมื่อ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ปกครองเมืองอุบลฯ ให้ยกเลิกประเพณีการเผาศพที่ทุ่งศรีเมืองเสีย และอนุญาตให้พระเถระผู้ใหญ่ที่ทรงคุณธรรม เมื่อมรณภาพให้จัดประเพณีการทำศพแบบนกหัสดีลิงค์ได้ด้วย
เครดิตและขอขอบคุณ ผู้เขียนต้นฉบับโดย นายตัวดี ท.ทิวเทือกเขา
ในภูมิภาคเอเชียถือว่า ให้ความสําคัญกับการตายมากกว่าการเกิด ซึ่งแตกต่างกันกับชาติตะวันตก จุดใหญ่ที่เป็นการพิสูจน์ถึงความเชื่อขั้วตรงข้ามคือ การนับศักราช ข้อแตกต่างการนับศักราชแบบของพุทธศาสนาคือ นับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 3 เดือน แต่ทางคริสต์ศาสนานั้นเริ่มนับเมื่อพระเยซูประสูติ ด้วยความแตกต่างดังกล่าว จึงเป็นตัวกําหนดพิธีกรรมและการให้ความสําคัญต่อสิ่งๆ นั้น แตกต่างกันออกไป
วัฒนธรรมการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ เป็นความเชื่อโบราณในแถบลุ่มแม่น้ําโขง เริ่มตั้งแต่ เมืองเชียงรุ้งแสนหวี แคว้นสิบสองปันนา ล้านนาเชียงใหม่ ล้านช้างหลวงพระบาง ดินแดนจําปาสัก เรื่อยจนถึงดินแดนอีสาน ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีผู้ครองนคร ก่อนที่จะมีการกั้นอาณาเขตด้วยระบบการเมืองการปกครองแบบสมัยใหม่ อาณาจักรเมื่อครั้งเก่าก่อนนั้น มีการผสมผสานกันโดยเฉพาะด้านประเพณีความเชื่อ ยิ่งถ้าเป็นเชื้อชาติเดียวกันด้วยนั้นรากแก้วแห่งความเชื่อดั้งเดิมย่อมยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้รายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างไปบ้าง เมื่อเรามองตํานานนกหัสดีลิงค์ที่ปรากฏ โดยเฉพาะรูปลักษณ์ก็ไม่แตกต่างกัน ล้วนมีลักษณะหัวเป็นช้าง ตัวเป็นนกตามจินตนาการ ซึ่งเป็นความเชื่อที่คนบางกลุ่มเชื่อว่ามี เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องพระยานาค ความเชื่อเช่นนี้เป็นการยากที่จะพิสูจน์ชัดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และไม่มีเหตุผลจําเป็นที่ต้องพิสูจน์ เพราะความเชื่อเช่นนี้จะมีตัวพิธีกรรมและตํานานรองรับมากมาย เป็นสิ่งที่สังคมได้สถาปนาขึ้นเพื่อเหตุผลทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งถือเป็นการควบคุมสังคมอย่างหนึ่งให้เกิดความสงบสุขและสามัคคีกลมเกลียวกัน ส่งผลให้เกิดการขัดเกลาทางสังคมโดยอาศัยความเชื่อให้ลูกหลานมี หิริโอตัปปะ ไม่ดื้อด้านหยาบโลนหรือเป็นผู้ที่ลุแก่คําาสอนของผู้อาวุโส
การขัดเกลาดังกล่าวล้วนส่งผลต่อการปกครองในราชอาณาจักรนั้นๆ เนื่องจากมีความเชื่อเป็นแบบแผนสําคัญในการมีกิจกรรม หรือพิธีกรรมเกี่ยวข้องกัน ทั้งการเกิด การเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม หรือแม้กระทั้งการตาย เทคนิควิธีการเกี่ยวกับการปลงศพนั้น มีความละเอียดซับซ้อนขึ้นอยู่กับฐานะทางสังคม ไพร่ ทาส คนธรรมดาสามัญ ก็ปลงศพตามมีตามเกิด ส่วนเจ้านายชั้นปกครองล้วนใช้ความเชื่อทางศาสนามาเป็นตัวรองรับ ซึ่งได้แก่ การเผาในเมรุเพราะเป็นความเชื่อของพราหณ์เกี่ยวกับโลกและจักรวาล อันมีเขาพระสุเมรุอยู่กลางจักรวาล หรือ การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ มีความเชื่อรองรับว่าจะนําพาไปสู่ภพภูมิที่ชนชั้นของตนเองมีความเชื่อว่า ควรที่จะไปอยู่ การสร้างงานด้วยเทคนิคต่างๆ ก็เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่โครงสร้างนก การเคลื่อนที่ของนก การติดประดับตกแต่ง จนกระทั้งการเคลื่อนไหวของงวง การกระพริบตา ล้วนเพื่อเสริมให้เห็นเกิดความสมจริง สะท้อนให้เห็นถึงความอัจฉริยภาพของคนโบราณเป็นอย่างมาก ยิ่งในขบวนแห่มา การจัดแบ่งรูปขบวนและผู้คนเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมาก เห็นถึงความจงรักภักดีต่อศพ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หรือพระเถระผู้ใหญ่ ล้วนสะท้อนเห็นความกลมเกลียวสมัครสมานเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชนแทบทั้งสิ้น
ดังนั้นการตายของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ลาว-ไทย โดยเฉพาะในราชวงศ์ชั้นสูงนั้น ล้วนมีความเชื่อของชนชาติฝังอยู่หยั่งรากลึก ยากต่อการหักโค่นไปได้และถือเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนระบบสังคม การเมือง การปกครอง หรือแม้กระทั่งระบบเศรษฐกิจ ให้สามารถเดินควบคู่ความเชื่อและศาสนาเพื่อดํารงรักษาเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่สืบต่อไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงไปแห่งโลกใบนี้
สุจิตต์ วงษ์เทศ. หลวงพ่อขี้หอม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2544.
สุวิชช คูณผล. ตําานานนกหัสดีลิงค์และวิธีเผาศพ. ม.ป.ท. : ม.ป.ป.
อรรถ นันทจักร์. รวมบทความว่าด้วยนกหัสดีลิงค์. มหาสารคาม : ประสานการพิมพ์, 2536.
นางสีดาฆ่า “นกหัสดีลิงค์” เมืองเกษมสีมา
รื้อฟื้นตำนาน สืบสารมรดกทางวัฒนธรรม ต.เกษม อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
ชาวเหนือ หรือที่เราเรียกว่า ชาวล้านนา นับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ทำให้วิถีชีวิตของชาวล้านนาผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อชาวล้านนาในด้านวิทยาการความรู้ต่างๆ รวมทั้งได้มีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดแบบแผนทางวัฒนธรรมหลากหลาย ตลอดจนคติความเชื่อประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ซึ่งหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เน้นเรื่องผลของบาปกรรม ชาติภพ ดังนั้นความเชื่อหลังความตายจึงก่อให้เกิดประเพณี เพื่อการเฉลิมฉลองให้กับคนตายที่ได้สร้างคุณงามความดีมาตลอดทั้งชีวิตขึ้น ประเพณีดังกล่าวนี้เรียกว่า ‘ประเพณีปอยล้อ’ หรือ ‘ปอยลากปราสาท’
‘ปอยล้อ’ คือ การประกอบพิธีทางศาสนาและงานมหรสพ ที่จัดขึ้นเนื่องในการฌาปนกิจสรีระสังขารของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มรณภาพ เพื่อแสดงความกตัญญูและระลึกถึงคุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญต่อสังคม ความโดดเด่นของประเพณีนี้คือ ‘ปราสาท’ หรือ ‘เมรุ’ ขนาดใหญ่ที่จัดสร้างเป็นรูป 'นกหัสดีลิงค์' อย่างวิจิตรงดงาม การทำศพพระสงฆ์ด้วยการใส่เรือนศพทำเป็นปราสาทลากไปสู่ป่าช้าของชาวล้านนา และเรือนปราสาทวางอยู่บนไม้แม่สะดึงมีล้อเลื่อนไปด้วย จึงเรียกว่า ‘ปอยล้อ’ คือ การลากศพไปด้วยล้อเลื่อน นั่นเอง
ประเพณีลากปราสาทศพของล้านนา นิยมจัดพิธีอย่างใหญ่โต แม้จะต้องใช้จ่ายเงินทองมากมาย และเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองอยู่บ้าง แต่ก็ให้ผลทางจิตใจและเป็นการสนองคุณครูบาอาจารย์ครั้งสุดท้าย ซึ่งท่านเป็นผู้เสียสละโลกียสุข งดเว้นจากสิ่งที่ชาวโลกประพฤติปฏิบัติกัน อุทิศตนเพื่อพุทธศาสนา นับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ นอกจากนี้การลากปราสาทศพยังทำแก่ผู้ใหญ่ในแผ่นดิน เช่น เจ้าผู้ครองนคร เจ้านายในพระราชวงศ์ สำหรับในพุทธศาสนา กำหนดเอาพระสงฆ์ผู้ใหญ่ชั้นพระเถระ หรือพระผู้อาวุโสมีพรรษามาก เป็นที่เคารพยกย่องของลูกศิษย์และประชาชนทั่วไป
ปัจจุบันการทำศพพระสงฆ์ ใช้วิธีการ 2 แบบ คือ
อ้างอิง : เปิดตำนานปอยปราสาท วัฒนธรรมล้านนา
ตำนานนกหัสดีลิงค์ (1) | ตำนานนกหัสดีลิงค์ (2) | ตำนานนกหัสดีลิงค์ (3)
เมรุุนกหัสดีลิงค์เทินบุษบก ใน งานพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่พระเทพวิทยาคม "หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ"
รวมผญา สุภาษิต และคำสอย
กลอนลำ
เพลงลูกทุ่งอีสาน มาเข้าใจความหมายของคำภาษาอีสานในเพลงลูกทุ่ง
ภาษาอีสานแยกตามหมวดอักษร
กลอน ภาษิตโบราณอีสาน
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)