foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

art local people

ในบรรดา "ศิลปะพื้นบ้านอีสาน" ที่ว่าด้วยความบันเทิง "หมอลำ" เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าอัตลักษณ์หนึ่งของอีสาน หมอลำก็มีหลายแขนง เช่น ลำกลอน ลำเพลิน ลำเรื่องต่อกลอน ลำซิ่ง ฯลฯ บรรดาหมอลำที่เลื่องชื่อจนเป็นระดับตำนานในแต่ละแขนงนั้นมีอยู่ไม่กี่คน หากพูดถึงลำกลอนก็ต้องยกให้ หมอลำเคน ดาเหลา หรือหมอลำถูทา ทองมาก จันทะลือ ที่ต่างก็เป็นศิลปินแห่งชาติ ถ้าประเภทลำเรื่องต่อกลอนก็ต้องยกให้คู่นี้ หมอลำทองคำ เพ็งดี กับ หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน ซึ่งเป็นคู่พระคู่นางแห่งคณะหมอลำรังสิมันต์

แต่ถ้าเป็น ลำเพลิน ถ้าถามแฟนๆ ชาวอีสานก็ต้องยกให้ ทองมี มาลัย หมอลำเพลินผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านหนองเลิง อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ผู้ทำให้ตู้เพลงในร้านอาหาร และปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส ส่งเสียงลำเพลินชุดบักสองซาว และชมรมแท็กซี่ กระหึ่มเมือง

ผู้สร้างตำนานลำเพลินให้โด่งดังคับกรุงเทพฯ ในกลอนลำชุด ชมรมแท็กซี่ ที่ดังสะเทือนไปทุกหย่อมหญ้า เป็นที่ชื่นชอบของมิตรหมอแคน แฟนหมอลำ ที่พอได้ยินเสียง "เดิน เดิน ชม เจอะชมรมแท็กซี่เจ้าเก่า ดื่มเหล้านั่งอยู่ในร้าน ภัตตาคาร ที่ขาประจำ..." เป็นต้องลุกขึ้นมาฟ้อน ใช่แล้วครับ ผู้ลำกลอนนี้คือ ทองมี มาลัย นั่นเอง

thongmee malai 02นายทองมี มาลัย

นายทองมี มาลัย ฉายา "ตำนานราชาลำเพลิน" ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการหมอลำอีสานอีกคนหนึ่ง ถือกำเนิดเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2487 ที่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 9 บ้านหนองเลิง ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร

เล่าเรียนระดับประถมศึกษาจาก โรงเรียนวัดบ้านหนองเลิง ในหมู่บ้าน จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่บ้านมีอาชีพทำนาเป็นหลักก็ได้ช่วยทางบ้านทำนา แต่มีความสนใจในการร้องลำมากเป็นพิเศษ

ทองมี มาลัย เริ่มเข้าสู่วงการหมอลำตั้งแต่อายุ 14 ปี โดยหัดเรียนหมอลำกับครูผัน ศิลาลักษณ์ แห่งคณะหมอลำอีสานลำเพลิน ได้หันมาประกอบอาชีพหมอลำ โดยเป็นพระเอกหมอลำใน คณะอัศวินสองดาว (ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2510) โดยรับบทการแสดงเป็น "ขุนแผน" ในลำนิทานพื้นบ้านเรื่อง "ขุนช้าง ขุนแผน" มีชื่อเสียงจนชาวบ้านขนานนามว่า "ราชาลำเพลิน" จวบจนมีชื่อเสียงในละแวกนั้น จึงได้แยกตัวออกมาตั้งคณะหมอลำเป็นของตัวเอง ชื่อคณะ "ทองมีลำเพลิน"

ประมาณปี พ.ศ. 2513-2514 ทองมี มาลัย ขยับจากหมอลำบ้านนอกมาเป็นหมอลำอัดแผ่นเสียง โดยการชักนำของยอดนักสร้างแห่งยุค เทพบุตร สติรอดชมภู เจ้าของสำนักงานหมอลำชื่อดังแห่งจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งใน พ.ศ. นั้นต้องยอมรับว่า "สำนักงานหมอลำเทพบุตร สติรอดชมภู" เป็นศูนย์รวมหมอลำและนักร้องอีสานที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน เพราะมีหมอลำและนักร้องดังในสังกัดมากมาย เช่น หมอลำทองคำ เพ็งดี ฉวีวรรณ ดำเนิน บานเย็น รากแก่น แห่งคณะรังสิมันต์ มีนักร้องดังของอีสานยุคนั้นอย่าง เทพพร เพชรอุบล ศักดิ์สยาม เพชรชมภู ฯลฯ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากเทพบุตรทั้งสิ้น

ทองมี มาลัย มาบันทึกเสียงครั้งแรกกับห้างแผ่นเสียงทองคำ-เสียงสยาม ของเสี่ยเล้งซึ่งร่วมหุ้นกับเสี่ยงู้ สองมังกรพันลายแห่งย่านสะพานเหล็กบน โดยชุดแรกที่เผยแพร่สู่สาธารณชนคือ ลำเพลินเรื่อง "ขุนช้าง-ขุนแผน" และกลอนลำเพลินที่สร้างชื่อในระยะแรกคือ "ลำเพลินบอกข่าวชาวบ้าน" ที่แต่งโดย ครูสุพรรณ ชื่นชม

thongmee malai 01

ผู้ประสานงานเรื่องการบันทึกแผ่นเสียง และงานแสดงหน้าเวทีในกรุงเทพฯ คือ ทิดโส สุดสะแนน (ครูสุรินทร์ ภาคสิริ) นักจัดรายการวิทยุ ซึ่งตอนหลังทิดโสได้นำ ทองมี มาลัย มาบันทึกแผ่นเสียงกับ ห้างกรุงไทย ของเสี่ยจุ่น โดยมีกลอนลำที่แฟนๆ รู้จักบ้างคือ ลำเพลินไอเลิฟยู ลำเพลินเชิญทอดกฐิน ฯลฯ

ระหว่างปี 2516-2520 เป็นยุคทองของเพลงลูกทุ่งอีสาน ที่มี ศักดิ์สยาม เพชรชมภู ดาว บ้านดอน อังคนางค์ คุณไชย และบานเย็น รากแก่น กำลังดังสุดขีดฮิตติดลมบน ทำให้หมอลำเพลินอย่าง ทองมี มาลัย ต้องถอยทัพกลับอีสานบ้านเกิด

ปี 2523 ลาศ เมืองอุบล นำเอา ทองมี มาลัย มาบันทึกเสียงอีกครั้งกับ ห้างเลปโส้ ของนายห้างวิศาล ซึ่งคราวนี้ได้นำกลอนเด็ดๆ หลายกลอน อาทิ บักสองซาว ชมรมแท็กซี่ มาสร้างชื่อเสียงแบบถล่มทลาย ทำให้ ทองมี มาลัย กลับมาสู่ความนิยมอีกครั้งจนได้ฉายาเป็น "เจ้าพ่อลำเพลิน" ตั้งแต่บัดนี้น

โดยเฉพาะ "ลำเพลินชมรมแท็กซี่" ก็โด่งดังเป็นพลุแตกไม่ว่าบ้านนอกในกรุง แม้แต่สถานีวิทยุในกรุงเทพฯ หรือเขตภาคกลางก็ยังนำมาเปิดกัน เรียกว่าตามตู้เพลง ห้องอาหาร ปั๊มน้ำมัน ที่รวมพลของเหล่าบรรดาคนขับแท็กซี่ทั่วกรุง ต้องได้ยินเพลงนี้กันไม่ขาดระยะ จนมีชุด ชมรมแม่ค้า ออกมาติดๆ ให้เหล่าแม่ค้าลาบ ส้มตำ และซุปหน่อไม้ ได้ร้องกันครื้นเครง จัดเป็นกลอนลำอมตะและมีวรรคทองที่ชาวแท็กซี่ (ไม่ว่าจะเกิดภาคใด) ก็จำกันได้ดี "เดินๆๆๆ ชม เจอะชมรมแท็กซี่เจ้าเก่า..." ในห้วงเวลาเดียวกันนั้นก็เป็นยุคเฟื่องฟูของลำเพลิน ที่มีหมอลำรุ่นใหม่อย่าง สมถิ่น เจริญชัย สนธยา กาฬสินธ์ และรุ่งโรจน์ เพชรธงชัย เป็นหัวแถวฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายหญิงได้แก่ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย ดวงเนตร วาสนา และยุพิน สายใจ

มันเป็นช่วงเวลาของลำเพลินประยุกต์ที่นำเอาเสียงของ "แซ็กโซโฟน" มาโซโล่แทนเสียงแคน และกระแสลำเพลินที่มาแรงเหลือเกิน จึงทำให้การปรับท่วงทำนองลำเป็น "ลำแพน" ที่มีหมอลำหนุ่มอย่าง "ทองมัย มาลี" ออกอัลบั้มมาแข่งกับ ทองมี มาลัย โดยเฉพาะก่อนที่จะเข้ามาถึงยุคลำเต้ยครองเมือง โดยกลอนเด็ด "สาวจันทร์กั้งโกบ" ของไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร พรศักดิ์ ส่องแสง

ปี 2535 หลังจาก บริษัทนิธิทัศน์โปรโมชั่น ประสบความสำเร็จจากการนำ "บานเย็น รากแก่น" มาลำคู่กับ "ปฤศนา วงศ์ศิริ" (ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น ปริศนา ในภายหลัง) ก็หันไปปัดฝุ่นนำ ทองมี มาลัย มาร้องประกบคู่กับ ทองมัย มาลี พ่วงด้วย รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำเพียงชุดเดียวก็ต้องเลิกรา เพราะบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน

thongmee malai 06

ช่วงปลายของ ทองมี มาลัย ก็ไม่ได้ทำคณะหมอลำอีกแล้ว แต่ยังเดินสายรับเชิญไปตามงานต่างๆ บ้าง มีการทำสัญญาบันทึกเสียงกับ ห้างเอ็มดีเทป ของเสี่ยฮั้ว ในชุด "เต้ยสาวซิ่งยีนส์ขาด" ดูเหมือนจะเป็นแนวการลำที่ทองมีไม่ถนัดนัก แต่ก็ทำตามกระแสที่ตลาดยังมีความต้องการอยู่

ศิลปินกินคน

ความดังของ ทองมี มาลัย นั้นดังจนได้ฉายาว่า "ศิลปินกินคน" ซึ่งมีการสัมภาษณ์ออกอากาศทางสถานีวิทยุในสมัยนั้น โด่งดังแค่ไหน เอ๊ะกินคนอย่างไร? เลยถอดบทสัมภาษณ์นั้นมาให้ได้อ่านกันพอสังเขปนะครับ

ผู้สัมภาษณ์ : กี่ศพแล้วครับ
ทองมี : ไม่เท่าไหร่ นับยังไม่ครบสิบหรอก
ผู้สัมภาษณ์ : เป็นไง อร่อยไหม?
ทองมี : แฮ่... แฮ่...
ผู้สัมภาษณ์ : หญิงหรือชาย
ทองมี : ไม่เลือก
ผู้สัมภาษณ์ : เด็กหรือผู้ใหญ่
ทองมี : ได้ทั้งนั้น
ผู้สัมภาษณ์ : ที่ไหน
ทองมี : ทั่วไป
ผู้สัมภาษณ์ : แม้แต่ในกรุงเทพฯ ?
ทองมี : ครับ แต่ที่กรุงเทพฯ ผมเพียงพยายาม ยังไม่ได้กินเข้าไป
ผู้สัมภาษณ์ : อ้าว... แล้วถิ่นไหนบ้างล่ะที่คุณกินเข้าไป
ทองมี : ก็มีที่ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และขอนแก่น
ผู้สัมภาษณ์ : เจ้าหน้าที่ที่นั่นเขาไม่เล่นงานคุณหรือ
ทองมี : ไม่หรอก เพราะมันไม่ผิดกฎหมาย
ผู้สัมภาษณ์ : ฮ้า...! พูดเป็นเล่นไป
ทองมี : อ้าว!... ไม่งั้นผมจะมาคุยอยู่กับคุณ๊ได้ไง
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วญาติพี่น้องเขาล่ะ
ทองมี : เขาเต็มใจ
ผู้สัมภาษณ์ : เป็นไปไม่ได้?
ทองมี : อย่าว่าแต่ญาติพี่น้องเลย ตัวของเขาเองก็ยังเต็มใจที่จะให้กิน
ผู้สัมภาษณ์ : ที่ไม่เต็มใจล่ะ...
ทองมี : ไม่มี และผมไม่ยินดีที่จะกินพวกนั้นด้วย
ผู้สัมภาษณ์ : ทำไมน๊า เขาจึงปล่อยชีวิตเป็นผักเป็นปลาอย่างนั้น
ทองมี : ก็เพราะมันสุขนะซี
ผู้สัมภาษณ์ : สุข! ความตายเป็นสุข!
ทองมี : ใช่
ผู้สัมภาษณ์ : รู้ว่าจะไปตาย ไปเป็นเหยื่อคุณก็ยังสุข?
ทองมี : ใช่
ผู้สัมภาษณ์ : มีหรือในโลกนี้
ทองมี : คุณเคยฟังเพลง "จูบฉันแล้วจงตายเสีย" ไหม?
ผู้สัมภาษณ์ : นั่นมันเพลง ในชีวิตจริงของสัตว์โลกผู้หวงแหนชีวิตมีหรือ?
ทองมี : คุณเคยรู้เรื่อง นางพญาผึ้ง และผึ้งผสมพันธุ์ ไหม
ผู้สัมภาษณ์ : ทำไม
ทองมี : เมื่อนางพญาบินสู่ฟ้า ผึ้งผู้หมู่หนึ่งก็บินไล่หมายเผด็จศึก
ผู้สัมภาษณ์ : ก็มันสุขนี่
ทองมี : ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่า ตัวผู้เข้มแข็งได้เผด็จสวาทนางพญาแล้วจะต้องตายไปตามกฎของมัน แต่ทำไม...
ผู้สัมภาษณ์ : อือม์....
ทองมี : ก็นั่นนะซิ
ผู้สัมภาษณ์ : คุณเป็นราชินีผึ้ง?
ทองมี : ก็เกือบอย่างนั้น
ผู้สัมภาษณ์ : งานของคุณ
ทองมี : ศิลปินพื้นบ้าน ที่มีแคนกับคณะและลูกคอที่พลิกกระดิกดิ้นได้หลายตลบ
ผู้สัมภาษณ์ : และนั่นคือโยงใยล่อเหยื่อของคุณ
ทองมี : แน่นอน
ผู้สัมภาษณ์ : กลอนลำของคุณเป็นสื่อ
ทองมี : ใช่
ผู้สัมภาษณ์ : เขาคงยื้อแย่งกันเพื่องานของคุณ
ทองมี : ก็ใช่อีก
ผู้สัมภาษณ์ : และเมื่อเขารู้ว่างานของคุณมีตาย เขาก็หน่ายหนี
ทองมี : อะไร! เขายิ่งทวีจำนวนอีกไม่ว่า
ผู้สัมภาษณ์ : มาทำไมให้โง่ เดี๋ยวก็เป็นเหยื่อคุณ
ทองมี : ก็บอกแล้วไงว่า ความสุขสนุกสนานอยู่ที่ไหน เขาไม่สนใจหรอกความตาย
ผู้สัมภาษณ์ : คุณมีให้มันอย่างพร้อมมูล
ทองมี : แน่นอน
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณอาศัยช่วงไหนฆ่าเขาล่ะ
ทองมี : ก็ตอนที่เขากำลังฟังกลอนลำของผมอยู่นั่นแหละ
ผู้สัมภาษณ์ : ยังไง
ทองมี : ผมก็เขย่าลูกคอให้เข้าไส้ ใส่เนื้อหาให้แสบซึ้งดึงอารมณ์เขาให้เริ่ด
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วไง
ทองมี : คุณต้องเข้าใจพื้นฐานของคนทางอีสานประเทศเสียก่อน
ผู้สัมภาษณ์ : ทำไม
ทองมี : เขาจะปล่อยอารมณ์สุดขีด ด้วยการหวีดร้อง กระทืบเท้า เป่าปาก และกระโดโลดเต้นอย่างไม่ยั้งรั้งอารมณ์ให้หยุด เมื่อเขาสนุกสุขใจอยู่กับการละเล่น
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับงานเพลงของคุณ
ทองมี : อ้าว... ก็ตอนที่ผมเติมอารมณ์ระดมลูกเล่นลงไปนั่นนะ คุณไม่รู้อะไร
ผู้สัมภาษณ์ : คุณเลยใช้ช่วงเผลอเก็บเขามาเป็นเหยื่อ
ทองมี : บ้า... ผมจะได้เสวยตะรางหัวโตประไร
ผู้สัมภาษณ์ : อ้าว... แล้วเขาตายยังไง
ทองมี : เมื่อผมดึงอารมณ์โลดเล่นเผ่นโผนเขาก็เสร็จ
ผู้สัมภาษณ์ : หัวใจวาย
ทองมี : ไม่เพียงเท่านั้น เขาพรูกรูเกรียวยื้อแย่งกันที่จะสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของผมบนเวที เพื่อขยี้อารมณ์เริดของเขาให้สงบ
ผู้สัมภาษณ์ : เหมือนผึ้งผู้กรูเกรียวใส่นางพญา
ทองมี : นั่นแหละ
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคนที่สัมผัสคุณแล้วก็ตาย
ทองมี : ใครบอกคุณล่ะ
ผู้สัมภาษณ์ : อ้าว!... ไม่ใช่กฎของคุณหรือ?
ทองมี : บ้า... ผมไม่ใช่นางพญาผึ้งนี่
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วเขาตายอย่างไร
ทองมี : แหม... ไม่น่าสงสัย ในสภาพอย่างนั้นก็มีอย่างเดียว คือ เหยียบกันตาย
ผู้สัมภาษณ์ : คุณยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น
ทองมี : แน่นอน
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วคุณก็เลยเอาศพนั้นไปลาบ หรือว่าผัดเผ็ด ต้มยำกันล่ะ
ทองมี : ใครจะกินเข้าไปลง
ผู้สัมภาษณ์ : อ้าว!... ก็เห็นว่าคุณเป็น "ศิลปินกินคน"
ทองมี : ที่นี่เมืองไทยนะ ไม่ด้อยพัฒนาป่าเถื่อนเหมือนอูกานดา จะได้กินตับไตไส้พุงได้เหมือนอีดี้ อามิน
ผู้สัมภาษณ์ : แล้ว "กินคน" ของคุณล่ะ หมายความว่าอย่างไร
ทองมี : ก็หมายถึง ความยิ่งใหญ่ในฝีมือของผมที่สามารถระดมอารมณ์แฟนๆ ให้เริ่ดจนลืมตายได้นะสิ
ผู้สัมภาษณ์ : โธ่!... คุณหัดมันมาจากไหนล่ะ
ทองมี : ครูพัน รุ่งศิลป์ ที่บ้านคำเขื่อนแก้ว ยโสธร โน่น
ผู้สัมภาษณ์ : เออ... คนอีสานที่ชอบเรียกตัวเองว่า "คนไทยอีสาน" ทำไมจึงชอบสนุกสนานกันจนสุดฤทธิ์อย่างนั้น
ทองมี : เพราะเขาถือว่าชึวิตต้องแสวงหาความสุข หนักกับงานมามาก เมื่อเขาอยากจะสุขก็ต้องเต็มคราบ
ผู้สัมภาษณ์ : เรียกว่าสนุกกันหมดตัว
ทองมี : ใช่
ผู้สัมภาษณ์ : เฮ้อ!
ทองมี : ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น คุณก็ไม่ได้เรื่อง "ศิลปินกินคน" ไปเขียนหากินนะสิ 555

 thongmee malai 03

ทองมี มาลัย โลดแล่นด้วยชื่อเสียงหมอลำเพลินในวงการหลายสิบปี กับการสังกัดค่ายเพลงหลายค่ายในสมัยนั้น ประกบกับหมอลำดังในยุคนั้นมากมายหลายคน ออกอัลบั้มยอดฮิตมาหลายชุด ร่วมกับหมอลำดังอย่าง บานเย็น รากแก่น, ประสาน เวียงสีมา, ป.ฉลาดน้อย ส่งเสริม เป็นต้น มีหมอลำที่เลียนแบบลีลาท่าทาง รวมทั้งมีกลอนลำสไตล์คล้ายคลึงกัน "ลำแพน" สร้างชื่อ อย่างเช่น ทองมัย มาลี เป็นต้น

ทองมี มาลัย ได้จากครอบครัวและแฟนๆ อันเป็นที่รักไปแล้ว เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2545 ในวัย 58 ปี จากโรคภัยประจำตัว ก้านสมองอักเสบ และโรคเส้นเลือดในสมองตีบ หลังจากเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2544 และได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ณ เมรุวัดบ้านหนองเลิง ตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ในฐานะศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานดีเด่น เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2545

thongmee malai 04

ผลงานดีเด่น

  • เป็นหมอลำยุคบุกเบิกที่ ทำให้วงการบันเทิงได้รู้จักหมอลำ อย่างกว้างขวาง
  • เป็นอาจารย์หมอลำ ต้นแบบให้กับคณะหมอลำหลายคณะ
  • เป็นผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม สาขาศิลปการแสดง (หมอลำ) ปี 2540 โดย สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ
  • ศิลปินดีเด่นประจำจังหวัดยโสธร ปี 2541 โดย สภาวัฒนธรรมจังหวัดยโสธร

ชมรมแท็กซี่ชมรมแท็กซี่ โดย ทองมี มาลัย - ประสาน เวียงสิมา - ป.ฉลาดน้อย

thongmee malai 05

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)