คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ดินแดนภาคอีสานร่ำรวยไปด้วยแหล่งอารยธรรมโบราณคดีหลากหลาย วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในแถบนี้ มีแบบอย่างผสมกลมกลืนกัน ทั้งความเชื่อที่มาจากศาสนาพุทธ ฮินดู ภูติผีวิญญาณ ความเชื่อดังกล่าวเป็นคติความเชื่อที่มีความหมายต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในระดับครอบครัว ระดับหมู่บ้านและระดับรัฐ จากข้อมูลท้องถิ่นด้านภาษา วรรณกรรม พิธีกรรม ตลอดจนแบบแผนในการดำรงชีวิตของชาวอีสาน โดยเฉพาะหลักฐานทางพุทธศาสนานั้น ไม่สามารถสนองตอบความต้องการทางใจ หรือสามารถเป็นที่พึ่งทางใจได้ ในขณะที่เกิดภัยพิบัติ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ความแห้งแล้งอย่างสาหัส หรือเหน็บหนาวในหน้าเก็บเกี่ยว ชาวอีสานจึงหันไปพึ่งพาเทวดา ฟ้าดิน ภูติผี วิญญาณ อันได้แก่ ผีฟ้า ผีแถน ผีปู่ตา ผีตาแฮก ตลอดจนผีมเหสักข์หลักเมืองแทน
มูลเหตุแห่งความเชื่อว่า ธรรมชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น แผ่นดิน ผืนน้ำ พืช สัตว์ มนุษย์ อุบัติขึ้นในโลกด้วยอำนาจแห่งผีฟ้าหรือผีแถน ซึ่งในพงศาวดารล้านช้างกล่าวถึงชนกลุ่มแรกที่ออกมาจากน้ำเต้าปุ้งว่า
ขุนทั้งสามคือ ปู่ลางเชิง ขุนเค็ก ขุนคาน ขออนุญาตต่อแถน เพื่อลากลับมาอยู่เมืองมนุษย์ตามเดิมโดยอ้างว่า "ข่อยนี้อยู่เมืองบน ก็บ่แก่น แล่นเมืองฟ้าก็บ่เป็น" พระยาแถนจึงอนุมัติให้อพยพลงมาอยู่ "นาบ่อนน้อยอ้อยหนู" และให้ควายลงมาไถนาด้วย ต่อมาควายตัวนี้ตายลงจึงเกิดเป็นต้นน้ำเต้าขึ้น ที่ซากของควายมีผลน้ำเต้าใหญ่มากผลหนึ่ง (ชาวอีสานเรียกว่า น้ำเต้าปุ้ง) เมื่อผลน้ำเต้านั้นโตเต็มที่ก็ได้ยินเสียงคนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก
ขุนทั้งสามจึงเอาเหล็กชีแดง(เหล็กแหลมเผาไฟ)เจาะรูเพื่อให้คนออกมา 2 รู คือ พวกไทยลม กับ ไทยผิวเนื้อดำคล้ำ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกข่า ขอม เขมรและมอญ แต่ยังมีคนเหลืออยู่ในน้ำเต้าปุ้งอีก ขุนทั้งสามจึงหาสิ่วมาเจาะใหม่อีก 3 รู พวกที่ออกมารุ่นหลังนี้ไม่ถูกรมควันจากเหล็กชี จึงมีผิวกายขาวกว่าได้แก่ ไทยเลิง ไทยลอ ไทยคราว ซึ่งกลายมาเป็นบรรพบุรุษของคนลาว คนไทย คนญวณ ในภายหลัง จึงปรากฏในฮีตคองว่า
เถิงเดือนเจียงนั้นให้เลี้ยงผีมดผีหมอ ผีฟ้า ผีแถน และนิมนต์พระสงฆ์เจ้าเข้าปริวาสกรรม"
เถิงเดือนเจ็ดฟ้าวเลี้ยงมเหสักข์หลักเมือง บนอารีกขาเทพยดาทั้งสี่ คือ ท้าวจตุโลกบาล ผู้ปกครองรักษาโลกอันได้แก่ ท้าวธตะรัฏฐะ ท้าววิรุฬหวะ ท้าวรัฐปักขะ และท้าวกุเวระและเทพยดาทั้งแปด"
ชาวอีสานจึงยึดมั่นในลัทธิภูติผีวิญญาณตลอดมา จึงพบได้ว่า มีพิธีกรรมจำนวนมากที่พยายามติดต่อกับวิญญาณโดยผ่าน กระจ้ำ หรือ หมอจ้ำ และมีการเซ่นสรวงบวงพลี เพื่อให้เป็นที่ชื่นชอบของวิญญาณเหล่านั้น กระจ้ำหรือหมอจ้ำต้องสาธยายเวทย์มนต์ ซึ่งมีการผูกสัมผัสเป็นบทร้อยกรองขับเห่ เพื่อพรรณาเนื้อความที่วิงวอน ขับไล่วิญญาณและสิ่งชั่วร้าย บทพรรณาในพิธีกรรมเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาโดยการนำเครื่องดนตรีมาประกอบ เปลี่ยนจากหมอจ้ำมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับลำนำที่เรียกว่า หมอลำ โดยมีแคนเป็นเครื่องประกอบ เพิ่มความสนุกสนาน ทำให้เกิดการฟ้อนรำประกอบ
ดนตรีและการฟ้อนรำของชาวอีสานนั้น ส่วนใหญ่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม และเป็นการรื่นเริงหลังฤดูการเก็บเกี่ยว หรือมีความสำเร็จในการประกอบอาชีพ เช่น การล่าสัตว์ การเพาะปลูก ย่อมต้องมีการขอบคุณวิญญาณหรือเทพเจ้าที่ได้ช่วยอำนวยให้เกิดผลดี ดังปรากฏในพงศาวดารว่า
พระยาแถนหลวงให้ศรีคันธพะเทวดา ลาลงมาบอกสอนคนทั้งหลายให้เฮ็ด ฆ้อง กลอง กรับ เจงแวง ปี่พาทย์ พิณ เพี๊ยะ เพลงกลอน ได้สอนให้ดนตรีทั้งมวล และเล่าบอกส่วนครูอันขับฟ้อนฮ่อนนะสิ่งสว่าง ระเมง ละมาง ทั้งมวลถ้วนแล้ว ก็จั่งเมือเล่าเมือไหว้แก่พระยาแถนหลวงสู่ประการนั้นแล"
ตามความเข้าใจของคนทั่วไปคิดว่า รำ หรือ ระบำ เป็นการร่ายรำหรือฟ้อนของคนภาคกลาง ฟ้อน เป็นการร่ายรำของคนภาคเหนือ เซิ้ง เป็นการร่ายรำของคนภาคอีสาน แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ การฟ้อนของภาคอีสานนั้นมีมานาน และเรียกว่าฟ้อนมาโดยตลอด เช่น ในวรรณคดีอีสานหลายเรื่องจะใช้คำว่า ฟ้อน ตลอด ไม่ปรากฏคำว่า รำ ให้เห็นเลย อย่างคำว่า "ยามยามฟ้อน ระทวยฟ้อน ลิงโขนฟ้อน กินรีหย่องฟ้อน ทั้งลำและฟ้อน ฟ้อนหย่อนขา คนฟ้อนใส่กัน หมอแคนฟ้อนแอ่น ฯลฯ"
ส่วนคำว่า "เซิ้ง" นิยมใช้ในงานบุญบั้งไฟ การเซิ้งบั้งไฟเป็นการฟ้อนประกอบการขับกาพย์เซิ้ง ลักษณะขึ้นลงตามจังหวะช้าๆ ของกลองตุ้ม พังฮาด หรือในบางครั้งก็มีโทนประกอบ นิยมเซิ้งกันเป็นกลุ่มๆ ตั้งแต่ 3-4 คนขึ้นไป จะมีหัวหน้าเป็นคนขับกาพย์เซิ้งนำ แล้วคนอื่นๆ จะร้องรับไปเรื่อยๆ อย่างเซิ้งในบุญบั้งไฟที่ว่า
โอ เฮา โอ ศรัทธา เฮาโอ ขอเหล้าเด็ดนำเจ้าจักโอ
ขอเหล่าโทนำเจ้าจักถ้วย หวานจ้วยจ้วยต้วยปากหลานชาย
ดักมายายหลานชายให้คู่ คันบ่คู่ตูข้อยบ่หนี
ตายเป็นผีสินำมาหลอก ออกจากบ้านสิหว่านดินนำ
คันให้แล้วหลายแก้วสิให้พร เลี้ยงควายด่อนให้เป็นโตเขาคำ
เลี้ยงควายดำให้เป็นโตเขาแก้ว เลี้ยงใหญ่แล้วกะคาดไฮ่คาดนา "
ส่วนการที่มีความเข้าใจว่า เซิ้ง หมายถึงการฟ้อนของคนอีสานนั้น น่าจะมาจากการประดิษฐท่ารำ "เชิ้งกระติบ" ขึ้น โดยนำเพลงมาจากหมอลำ และใช้ดนตรีประกอบด้วย กลอง แคน ซึง กรับ โปงลาง ซึ่งในครั้งนั้นผู้แสดงทุกคนแต่งตัวนุ่งซิ่น ห่มผ้าสไบ เกล้าผมสูง และนำกระติบข้าวห้อยทางไหล่ขวา สาเหตุของการนำกระติบข้าวมาใช้ในการแสดง เพราะเห็นว่ากระติบข้าวเป็นสัญญลักษณ์ของคนอีสาน การเซิ้งครั้งแรกนั้น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เป็นผู้ตั้งชื่อให้ว่า "เซิ้งอีสาน" ต่อมาได้มีการนำไปแสดงกันแพร่หลาย และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เซิงกระติบข้าว" มีการดัดแปลงท่ารำอีกมากมาย เช่น เซิ้งสวิง เซิ้งสาวไหม เซิ้งข้าวปุ้น เซิ้งกระด้ง เซิ้งกระหยัง เซิ้งสาละวัน เซิ้งแหย่ไข่มดแดง เป็นต้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วจะเป็นลักษณะของการฟ้อนมากกว่าการเซิ้ง ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว
ลักษณะการฟ้อนพื้นบ้านอีสานที่ปรากฏในวรรณกรรมพื้นบ้านนั้น แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของชาวอีสาน คือ การฟ้อนแอ่นตัวมาข้างหลังนิยมโยกตัว และย้อนหรือย่อเข่าขึ้นลง ซึ่งมีลักษณะเนิบๆ นิยมฟ้อนในลักษณะเป็นขบวนโดยเยาะย่างเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กัน ซึ่งลักษณะการฟ้อนเช่นนี้ปรากฏในวรรณกรรมพื้นบ้านหลายเรื่อง เช่น
ฟังยินซุงพาดพ้อม ปนมีแกมแก
นางกะลิงประดับ แกว่งแพนเพื่อยฟ้อน
เสียงสันแก้ว กินรีฮ้องฮ่ำ "
แกว่งแพนเพื่อยฟ้อน เป็นลักษณะการฟ้อนทิ้งแขนไปด้านหลังอย่างอ่อนช้อนสวยงาม
นางกะลิงฟ้อน บูชายียาบ พุ้นเยอ
ว่อนๆ ก้อง แคนได้พาทย์ซุง "
การฟ้อนยียาบ เป็นลักษณะการฟ้อนด้วยการเคลื่อนไหวที่อ่อนช้อยสวยงาม หรือ
ฟังยินครื้นๆ ก้อง เสียงเสพนนตี พุ้นเยอ
คีงกลมงาม อ่อนทั่วระทวยฟ้อน
บูชาเจ้า พระองค์หลวงซ้องพระเนตร
สรรพสิ่งพร้อม เขาหลิ่นชื่นชม "
ลักษณะการเคลื่อนขบวนฟ้อนนั้นนิยมฟ้อนเป็นแถวตอน หรือแถวหน้ากระดาน เป็นการฟ้อนเป็นขบวนตามตามกัน เช่น
งามยิ่งแย้ม คือแท้ดั่งสิหัว
มีทั้งฮูปนางฟ้า แย้มยิงพอแสน
คือดั่งมีมายา เหลียวแลหัวแย้ม
มีทั้งฮูปนาคาเกี้ยว นาคีนอนไขว่
กินรีหย่องฟ้อน งามแย้งจ่องเครือ "
ลักษณะของการ "หย่องฟ้อน" คือการฟ้อนในลักษณะการเยาะย่างไป ถ้าเป็นการฟ้อนที่เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กัน เป็นจำนวนมากจะใชคำว่า ยาบยาบ เช่น
หลิงเบิ่ง ยาบยาบฟ้อน ฝูงหมู่นางกะลิงพุ้นเยอ คิงกลมงาม แอ่นมือทั้งฟ้อน "
หมอลำพร้อม หมอแคนฟ้อนแอ่น
พากันแอะแอ่นฟ้อน ลำย้อนโจทย์กัน
ปานสวรรคหนห้อง เมืองทองพระอินทร์อยู่
ดูดั่งคนมากล้น สนแล้ว แอ่วสาว
ฝูงหมู่เฮาสีแก้ว สาวงามมีมาก
เขาหากตกแต่งเอ้ ตัวฟ้อนค่องกัน "
ฟ้อนแอ่น หรือ แอะแอ่นฟ้อน เป็นลีลาการฟ้อนของชาวอีสานที่นิยมแอ่นตัวมาทางด้านหลัง ซึ่งเราจะเห็นลักษณะการฟ้อนเช่นนี้ได้จาก การฟ้อนของหมอลำ นอกจากนี้ยังมีลักษณะการรำอีกหลายแบบ เช่น
ในวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานยังมีการฟ้อนดาบ ซึ่งคล้ายกับฟ้อนเจิงในภาคเหนือ เรียกว่า ฟ้อนดาบลาคำ ซึ่งก็คือการรำกระบี่กระบอง ซึ่งเป็นการฟ้อนเพื่อแสดงความพร้อมในการศึกสงคราม
คลิกไปอ่าน การแสดงที่ปรากฏในภาคอีสาน
เพลงเซิ้งต่างๆ เป็นเพลงที่ใช้ร้องประกอบพิธีกรรม ตามความเชื่อของชาวอีสาน ใช้ร้องโดยมีจุดมุ่งหมายในการร้อง เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ดึงดูดให้คนไปร่วมพิธี และการร้องเพลงเซิ้งยังเป็นสื่อกลางในการขอความร่วมมือในพิธีนั้น เช่น ขอเงิน ขอสิ่งของ หรือขอความร่วมมืออื่นๆ ตามแต่จะต้องการ การร้องเพลงเซิ้งจะประกอบด้วยคนขับกาพย์นำ และจะมีลูกคู่คอยร้องรับ ลักษณะบทเพลงจะเป็นเพลงแบบด้นกลอนสด
การเซิ้งบั้งไฟ เป็นการบวงสรวงอ้อนวอนแด่พญาแถน เพื่อขอให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้ชาวบ้านได้ทำไร่ ทำนากัน บทเซิ้ง ที่ใช้เป็นคำกลอนภาคอีสานชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กาพย์" ซึ่งวรรคหนึ่งประกอบขึ้นด้วยคำจำนวน 7 พยางค์ คำสุดท้ายของวรรคแรกจะสัมผัสกับคำที่ 1 หรือคำที่ 3 ของวรรคถัดไปอย่างนี้เรื่อยๆ
"โอ เฮา โอ ศรัทธา เฮาโอ ขอเหล่าโทนำเจ้าจักถ้วย ดักมายายหลานชายให้คู่ ตายเป็นผีสินำมาหลอก คันให้แล้วหลายแก้วสิให้พร เลี้ยงควายดำให้เป็นโตเขาแก้ว |
ขอเหล้าเด็ดนำเจ้าจักโอ หวานจ้วยจ้วยต้วยปากหลานชาย คันบ่คู่ตูข้อยบ่หนี ออกจากบ้านสิหว่านดินนำ เลี้ยวควายด่อนให้เป็นโตเขาคำ เลี้ยงใหญ่แล้วกะคาดไฮ่คาดนา" |
การเซิ้งบั้งไฟ
"โอมพุทโธ นะโมเป็นเค้า พระมุนีอยู่หัวเป็นเจ้า อนิจจังลูกหลานเต็มบ้าน ให้บำเพ็ญภาวนาอย่าขาด ให้กินทานจังหันแม่ออก โตสอนโตจื่อเอาให้ได้ ผิดวิสัยอย่าทำเมื่อหน้า ฝูงมัจฉาหมายชมน้ำใหม่ ลางนกทามันฮ้องออกชื่อ |
ข้อยซิเว้ากาพย์พระมุนี เว้าเมื่อหน้ายังกว้างกว่าหลัง เจ้าอย่าคร้านปะฮีตครองธรรม ให้ตักบาตรอย่าขาดวัดศีล เพิ่นสอนบอกอย่าเกิดโมโห บาปอยู่ใกล้บุญนั้นอยู่ไกล เป็นเหล็กกล้ามันถืกหินซา ลางนกใส่มันฮ้องเบื้องขวา ให้จื่อไว่นำฮีตบูฮาน" |
พิธีแห่นางแมว เป็น พิธีขอฝน เมื่อปีใดที่ภาคอีสานแห้งแล้งฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวอีสานจะทำพิธีแห่นางแมว เพื่อขอฟ้าขอฝน เริ่มจากการคัดเลือกแมวสีดำตัวเมียมา 1-3 ตัว นำไปใส่ลงในกระทอหรือเข่ง ที่มีฝาปิดพร้อมพูดว่า "นางแมวเอย ขอฟ้า ขอฝน ให้ฝนตกลงมาด้วยเด้อ" จัดตั้งเครื่องบูชาพร้อมตั้งจิตอธิษฐานขอน้ำฝน ชาวบ้านจะเตรียมขบวนแห่นางแมวไปภายในหมู่บ้าน พอผ่านบ้านใครเจ้าของบ้านจะเตรียมน้ำมาสาดไปให้ถูกขบวนแห่ และตัวนางแมวด้วย ขณะที่แห่ไปนั้นคนที่ร่วมขบวนแห่จะร้องคำเซิ้งแห่นางแมวพร้อมกัน โดยมีผู้นำคนหนึ่งและผู้คนในขบวนจะร้องตาม ชาวอีสานมีความเชื่อว่า หลังจากประกอบพิธีแห่นางแมวแล้วฝนจะตกลงมาตามคำอ้อนวอน ในคำเซิ้งนางแมวมีอยู่ว่า
"เต้าอีแม่นางแมวมาขอไข่ ขอน้ำมนต์ฮดแมวให้แหน่ บ่ได้ปลาเอาหนูกับข้าว แม่เฒ่าเอยอย่าฟ้าวขายลูก ตาเว็นตกฝนตกลงมา ตาเว็นตกฝนตกลงมา ฝนบ่ตกข้าวนาตายแล้ง ตกลงมาฝนตกลงมา |
ขอบ่ได้ขอฟ้าขอฝน บ่ได้ค่าจ้าง เอาแมวข้อยมา บ่ได้ข้าวเหล้าเด็ดก็เอา ข้าวเพิ่นปลูกลูกน้อยเพิ่นแพง ตาเว็นต่ำฝนหน่ำลงมา ฝนบ่ตกข้าวไฮ่ตายคา ฝนบ่ตกกล้าแห้งตายนาน เทลงมาฝนเทลงมา กุ๊ก กู๊ กุ๊กๆ กู๊" |
ฟ้อนแห่นางแมว
พิธีเต้าแม่นางด้ง หรือ แห่แม่นางด้ง เป็นพิธีขอฝนของชาวอีสานเช่นกัน โดยนำกระด้งมาคู่หนึ่ง ใช้ไม้คานสองอันมัดไขว้กันเป็นรูปกากบาท เอากระจก หวี ปั้นข้าวเหนียว กำไลมือ แหวนของหญิงหม้าย วางลงในกระด้ง แล้วเอากระด้งอีกใบหนึ่งครอบข้างบนแล้วมัดติดกับไม้คาน เตรียมหลักไม้ไว้สองหลัก หลักหนึ่ง เป็นหลักแล้ง อีกหลักหนึ่งเป็นหลักฝน หัวหน้าจะทำพิธีโดยจัดเครื่องบูชาด้วยขันธ์ 5 และเหล้าก้อง ไข่หน่วย อธิษฐานขอน้ำฝน ให้คนสองคนจับไม้คาน เต้าแม่นางด้ง หัวหน้าพิธีจะนำชาวบ้านกล่าวคำเซิ้งแม่นางด้งเป็นวรรคๆ เมื่อกล่าวคำเวิ้งจบบทหนึ่ง หากแม่นางด้งเคลื่อนไปตีหลักฝนฝนก็จะตก และถ้าหากเคลื่อนไปตีหลักแล้งฝนก็จะแล้ง ใจความในคำเซิ้งแม่นางด้งจะเป็นการพรรณาสภาพของพืชผล ที่กำลังคอยฝนและคำกล่าวอ้อนวอนขอให้ฝนตก
"เต้าอีแม่นางด้ง มาเวียนนี้ได้สองสามฮอบ ตักตุลี่แม่มี่ตุลา มาสู้แดดหรือมาสู้ฝน ซักไซ้แม่นเขียดจ่านา เชิญทั้งครกไม้บากมาสูญด้งเยอ มีทั้งหวีเขาควายบาย มีทั้งเหล้าไหหลวงจับไก่ แขนลงมาแต่เพิ่นวีด้ง มาปิ่นวัดปิ่นเวียนเดี๋ยวนี้ ฝนบ่ตกเข้านาตายแล้ง หมากหม่วยสุกคาเคือเหมิดแล้ว น้ำใสขาวให้สูพากันอาบ ฝนตกลงตั้งแต่เทิงภูค่อย กิ้งกันลง ฟันกันลงเสมอดังพันสาด เสมอกันแล้วฝนแก้วเลียนลำ สาวไทยเวียงเต้าแม่นางด้ง มาเป่งน้ำเดือนหกใส่ข้าว |
โล่งโค้งเสมอดังกงเกวียน มาคอบนี้ได้สองสามที พาสาวหลงเข้าดงกำแมด มากำฮนนำแม่เขียดไต้ หลังซาแม่นพญาคันคาก ด้งน้อยๆ ฮ่อนข้าวก็ขาวอีสาวก็มี มีทั้งหัวเขาควายบายเกล้า มีทั้งเหล้าไหใหญ่นับแสน เต้นเยอด้งเปอ เคอเยอด้ง ฝนบ่ตก เข่าไฮ่ตายคา แฮ้งอยู่ป่าโฮมโกงเหมิดแล้ว หมากเขือสุกคาข่วนเหมิดแล้ว เห็นหอยตาบถิ่มขึ้นเมือบก น้ำย่อยลงภูหอภูโฮง ตาดแต่นี้เท่าฮอดเสอเพอ มานำกูนี้ให้ฝนฮวยลง เปอเสอเยอด้ง เปอเคอเยอด้ง มาเป่งน้ำเดือนเก้าใส่นา กุ๊ก กู๊ ๆ ๆ" |
เซิ้งแม่นางด้ง
การเซิ้งผีโขน เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งในช่วงงานบุญมหาชาติ ประชาชนจะจัดขบวนแห่เป็นผีโขน โดยผู้ชายภายในหมู่บ้านจะจัดหาเครื่องดนตรี และทำหน้าผี พร้อมทั้งหาเสื้อผ้าคลุม แล้วจะมาพร้อมกันก่อนวันบุญมหาชาติ 5-6 วัน ออกเรี่ยไรจัตุปัจจัยตามหมู่บ้านใกล้เคียง เพื่อสมทบทุนในงานบุญมหาชาติ ในการออกไปเรี่ยไรนี้จะมีบทร้องเรียกว่า กาพย์เซิ้ง เช่น
ตัวอย่างบทเซิ้งผีโขนไหว้พระศรีอารีย์
"โอ โอ่ โอ โอ่ โอ โอะ โอ๋ วาสุคนสูวาสู่คน ว่าสู่คนจะหัวมนปลาก่า ไผบ่ว่า ฟ้าสิผ่าหัวมัน (สร้อย)
"โอมพุทโธละนโมเป็นเข้า เว้าบททำก็จำนำบ่แล้ว ขออัญเชิญพระศรีอาริย์เจ้า ปรากฏตัวเบ่งแบงเหลืองเลือม มาบันดาลในงานคราวนี้ คิดอันใดแล่นใจป่าน้ำ สิสั่งสอนสาวงามบ่าวน้อย เชิญศรีอาริย์ลงมาเบิ่งแน คันผิดใจละอภัยให้ด้วย |
ข่อยซิเว้าตามที่คลองธรรม คิดแคล้วๆ ตั้งต่อใจเทอญ ผู้มิ่งเง้าเป็นเจ้าจอมหัว เป็นผู้เชื่อมในพวกผีมาย ให้ล้วนที่มีแต่สุขใจ อย่าให้ซ้ำคำกาพย์คำกลอน รับฟังข้อยผู้เจ้ากล่าวขาน มาแท้ๆ มารีบเร็วไว จงมาช่วยคุ้มครองรักษา" |
เซิ้งผีโขนส่งเวสสันดร
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)