คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
นางมลฤดี พรหมจักร หรือ นางมลฤดี บุญรถ เดิมชื่อว่า อินทหวา พรหมจักร เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2497 ปีมะเมีย ที่บ้านนาคำ ตำบลฟ้าฮ่วน อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี บิดาเป็นนักบวช ส่วนมารดาประกอบอาชีพทำนา เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ได้ช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา และเลี้ยงวัว-เลี้ยงควายตามวิถีของเด็กชนบท ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
แต่ในความที่เป็นคนชื่นชอบในหมอลำ ซึ่งเป็นสื่อพื้นบ้านที่สามารถหารับฟังได้ทางสื่อวิทยุในสมัยนั้น โดยเฉพาะอิทธิพลของหมอลำ อังคนางค์ คุณไชย และฉวีวรรณ ดำเนิน ทำให้สาวส่ำน้อยที่ชื่อ อินทหวา พรหมจักร มีความใฝ่ฝันที่ยากจะเป็นหมอลำบ้าง จึงฝึกฝนการลำด้วยตนเองจากการฟังหมอลำทางสถานีวิทยุ
จนเมื่อ หมอลำสมพงษ์ (จำนามสกุลไม่ได้) ซึ่งเป็นหมอลำในหมู่บ้าน คิดจะตั้งคณะหมอลำขึ้นมา เพราะเห็นว่ามีหนุ่ม-สาวในหมู่บ้านหลายคน มีน้ำเสียงดี รวมถึง อินทหวา พรหมจักร ด้วย หลังจากการตั้งคณะจึงได้ไปเชิญให้ หมอลำคำนึง (จำนามสกุลไม่ได้) มาช่วยสอนการฟ้อนการรำให้ ซึ่งถือเป็นครูคนแรกของหมอลำอินทหวา ได้พัฒนาทักษะในการลำจนเป็นที่น่าพอใจของครู จึงได้รับบทแสดงเป็นเรื่องแรก คือ เรื่อง “นางในโรงแก้ว” และได้รับบทนางเอกประจำคณะ “สมพงษ์ศิลป์” ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 16 ปี ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ในวงการเป็น มลฤดี พรหมจักร รับบทนางเอกต่อมาจนถึงอายุ 27 ปี หมอลำคณะสมพงษ์ศิลป์ ก็ได้แยกย้ายกันไปเพราะต่างคนต่างก็มีครอบครัว
หลังจากนั้น หมอลำมลฤดี จึงได้ออกไปร่วมแสดงกับคณะหมอลำอื่นๆ เรื่อยมา จนกระทั่งอาจารย์สมาน (ไม่ทราบนามสกุล) แห่งบ้านนาแวง ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ได้มาเห็นฝีมือในการลำ จึงได้นำตัวไปฝากกับ คณะหมอลำทองลำ เพ็งดี ซึ่งเวลานั้นหมอลำคณะนี้อยู่ในช่วงขาลง แต่มลฤดีก็ได้รวมกับคณะของ ทองคำ เพ็งดี และ ฉวีวรรณ ดำเนิน ฟันฝ่าอุปสรรคเรื่อยมา จนสามารถมีโอกาสนำกลอนลำที่ตนเองแต่งขึ้นเป็นครั้งแรก จากคำแนะนำของ ทองคำ เพ็งดี บันทึกเสียงในสังกัด บริษัทเสียงสยาม ในรูปแบบการลำภูไท ในชุด “สาวนักเรียนตำตอ"
มลฤดี พรหมจักร : ตำนานสาวนักเรียนตำตอ "ราชินีลำภูไท"
จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากมหาชนผู้รับฟัง ทำให้ชื่อเสียงของ มลฤดี พรหมจักร เป็นที่รู้จักนับตั้งแต่นั้นจนถึงปัจจุบัน และมีโอกาสบันทึกเสียงอีกหลายชุดทั้ง ลำภูไท ลำผญาย่อย ลำตังหวาย ลำคอนสะหวัน ฯลฯ จึงนับว่าเป็นศิลปินอีสานที่มีความสามารถในการขับลำท้องถิ่น และเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นได้เป็นอย่างดี
ออกผลงานลำล่องลำชุด "วิญญานแม่" (ตำนานบุญข้าวประดับดิน) ได้โด่งดังและนิยมสูงสุดอีกรอบ คุณแม่มลฤดี พรหมจักร เป็นศิลปินที่ทำคุณประโยชน์ช่วยเหลือสังคมมาตลอด เช่นงานถ่ายทอดศิลปะการร้องลำให้กับหน่วยงาน หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดมา
วิญญาณแม่ (บุญข้าวประดับดิน) : มลฤดี พรหมจักร
จนมาถึงช่วงกลางปี พ.ศ. 2551 ได้ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ได้เข้ารับรักษากับหมอเฉพาะทางมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ถึงปี พ.ศ. 2562 ได้ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ และเป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้าย จึงต้องงดการรับงานแสดงหมอลำไว้ก่อน เพื่อหยุดพักรักษาตัวเรื่อยมา
จนกระทั่งได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กรกฏาคม 2565 เวลา 13.06 นาที ณ บ้านโบกม่วง หมู่ 6 ตำบลนาแวง อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี สิริรวมอายุได้ 68 ปี
ทีมงานเว็บไซต์ประตูสู่อีสาน ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว 'พรหมจักร' ด้วยครับ
เป็นที่รู้กันว่า "ถ้าชอบผ้าไหมต้องไปอีสาน" สุดยอดของไหมงามแห่งหนึ่งที่เลื่องลือเป็นที่รู้จักของนักเลงผ้าก็ต้องที่ “ร้านคำปุน” ในตลาดเมืองอุบลราชธานี เพราะไหมทุกผืนของร้านนี้งามประณีตอย่างหาที่ติได้ยาก เหมาะสมกับสนนราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผ้าไหมจากท้องถิ่นอื่น แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็จะไม่เสียดายเงินเลย
เจ้าของร้าน - ช่างทอนามกระเดื่องจนเป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดก็คือ คุณป้าคำปุน ศรีใส ชื่อ “คำปุน” นั้น แปลว่า ทองคำเนื้อดีบริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อใครได้พบตัวจริงแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า คุณป้าคำปุนนี้ คือทองคำบริสุทธิ์ตัวจริง สมชื่อทีเดียว
นางคำปุน ศรีใส เกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พุทธศักราช 2476 ที่คุ้มวัดกลาง ตำบลยโสธร อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ จังหวัดยโสธร) เป็นบุตรของนายโหล่ง และนางน้อย ศรีใส สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนสามัคคีวัฒนา เมื่อปีพุทธศักราช 2485 นางคำปุนได้รับการปลูกฝังอบรมจากครอบครัวให้เป็นคนดี มีจิตใจโอบอ้อมอารี และได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมการทอผ้าที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ โดยเฉพาะจากคุณยายและคุณแม่น้อย ศรีใส ทำให้นางคำปุน รักและชื่นชมศิลปะการทอผ้า
แม้เมื่อมีครอบครัวสมรสกับ นายเตียซ้ง แซ่แต้ ซึ่งมีอาชีพค้าขาย ทำให้ต้องหยุดการทอผ้าเพื่อไปประกอบอาชีพตามสามีซึ่งมีกิจการร้านค้าส่งสินค้าทั้งข้าวสาร ผลไม้ อาหารทะเลและอาหารอื่นๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี แต่ นางคำปุน ศรีใส ได้ซึมซับวิถีการทอผ้าจากบรรพบุรุษเป็นชีวิตจิตใจ จึงทำให้หวนกลับมายึดอาชีพการทอผ้าอีกครั้ง
นางคำปุน จึงได้พัฒนาการทอผ้าไหม และขยายเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนอย่างจริงจัง ที่บ้านพักใกล้สี่แยกถนนผาแดงตัดกับถนนพิชิตรังสรรค์ (ใกล้ศาลจังหวัดอุบลราชธานี) พร้อมกับเปิด ร้านคำปุน ขายผ้าที่หน้าตลาดใหญ่ เทศบาลเมืองอุบลราชธานี (ขณะนั้น) ส่วนศิลปะการทอผ้าไหม ก็ได้พัฒนาลวดลายให้วิจิตรพิสดาร โดยยึดรากฐานการทอผ้าอีสานดั้งเดิม คือ หมี่ ขิด ยก และ จก เป็นพื้นฐานในการทอ และได้พัฒนาผ้าไหมให้มีลวดลายที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ต่อมา เมื่อกิจการมีความก้าวหน้ามีผู้สนใจสั่งซื้อผ้าไหมมากขึ้น ทำให้นางคำปุนได้ขยายกิจการ และได้รับอนุญาตให้ขยายเป็นโรงทอผ้าไหม ด้วยกี่จำนวน 24 หลัง โดยใช้ชื่อว่า โรงทอผ้าไหมคำปุน ในที่ดินที่กว้างขวาง เลขที่ 331 ถนนศรีสะเกษ ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ผ้าทอที่มีชื่อเสียงของบ้านคำปุน คือ ผ้าไหมมัดหมี่ผสมการจก (การปัก) ด้วยไหมสีต่างๆ มีทั้งไหมเงินไหมคำลงบนผืนลายผ้า ช่วยให้ผ้ามีความงดงามวิจิตรตระการตามากขึ้น อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอันโดดเด่นของผ้า จากความคิด ปรัชญา และความสามารถในการสร้างสรรค์งานฝีมือ ด้วยลวดลายที่เต็มไปด้วยศิลปะ กลับบ่งบอกถึงความเป็นอัจฉริยะในทางความคิด และการออกแบบที่งดงามแปลกตา อีกทั้งทรงคุณค่าอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
ผลงานของ นางคําปุน ศรีใส นั้นจะมีความโดดเด่นที่ความประณีตของเนื้อผ้า ที่เกิดจากการคัดเส้นไหมที่มีคุณภาพ และการให้สีสันที่ผสมกลมกลืนกันได้อย่างสวยงาม มีเสน่ห์ที่ลวดลายเด่นชัด ทำให้ผ้าที่ออกมาจึงสวยงามจนเป็นที่กล่าวขวัญกันในเชิง “ผ้ามีระดับต้องบ้านคำปุน” ทั้งนี้ก็ด้วยกรรมวิธีในการทอตลอดจนการให้สีผ้า ผ้าคําปุน ได้รับความสนใจจากบุคคลผู้มีชื่อเสียงของประเทศ นําไปใช้ในพิธีการต่างๆ อยู่เสมอ เช่น ในการหมั้น การเข้าเฝ้า เป็นต้น รวมทั้งการนำไปเป็นของขวัญและของกำนัลกับแขกผู้มาเยือนชาวต่างประเทศ และยังถูกนำใช้เป็นเครื่องแต่งกายของตัวเอกในภาพยนตร์ เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” และ "สุริโยทัย" เป็นต้น
นางคำปุน ศรีใส ยังได้มีการถ่ายทอดให้บุตรชาย นายมีชัย แต้สุจริยา เป็นผู้สืบสานตำนานผ้าไหมคำปุน ดำเนินกิจการแทน จึงทำให้ผ้าไหมคำปุนก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง ผ้าแต่ละผืนได้ออกแบบผสมผสานรากฐานเดิม กับเทคนิคสมัยใหม่ ทำให้ผืนผ้ามีความวิจิตรพิสดาร เพิ่มมูลค่า มีราคาผืนละเรือนหมื่นเรือนแสน แม้จะมีราคาสูง ก็ยังมีผู้เฝ้ารออยากจะครอบครองผ้าที่ผลิตจาก "บ้านคำปุน" อยู่ตลอด ผลิตไม่ทันด้วยความที่ต้องใช้ความประณีต และเป็นการทำด้วยมือช่าง (hand made) ทุกขั้นตอน ไม่ได้ใช้เครื่องจักรสมัยใหม่เข้ามาช่วยในการผลิตแต่อย่างใด
คำปุน ศรีใส - ศิลปินมรดกอีสาน พ.ศ.2558
นางคำปุน ศรีใส สร้างความดี ความงาม ด้วยพลังกาย พลังใจ ด้วยสติปัญญาและพลังศรัทธา จึงส่งผลให้ นางคำปุน ศรีใส รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ จากองค์กรต่างๆ และที่น่าชื่นชม เหนือสิ่งอื่นใดคือผลงาน แห่งอัจฉริยภาพในการทอผ้าไหม อันเป็นการสืบสานใยตำนานผ้าพื้นเมืองให้คงอยู่
นางคำปุน ศรีใส - ศิลปินแห่งชาติ พุทธศักราช 2561
ในวันนี้ แม่คำปุน ศรีใส ในวัยที่ล่วงเลยมาถึง 89 ปีแล้ว แม้ไม่ได้นั่งบน "กี่ทอผ้า" ดังเช่นในอดีต แต่การเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการทอผ้าไหมจนมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ และด้วยคุณลักษณะของผู้มีจิตใจเมตตา โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และอุทิศตนเพื่องานสาธารณประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ แม่คำปุน ศรีใส จึงนับเป็นบุคคลผู้ทรงคุณค่า เป็น “ครู” ผู้ให้ ที่ได้มอบสมบัติอันสูงค่าให้กับแผ่นดินไว้อย่างงดงาม ...
เว็บไซต์ประตูสู่อีสาน ขอแสดงความเสียใจ และไว้อาลัยกับการจากไปของ แม่คำปุ่น ศรีใส ผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม สาขาทัศนศิลป์-ถักทอ พ.ศ. 2537 ศิลปินมรดกอีสาน สาขาทัศนศิลป์ (หัตถกรรมผ้าทอ) พ.ศ. 2558 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2561 สาขาทัศนศิลป์ ประเภทประยุกต์ศิลป์ เมื่อเย็นวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 ในวัย 91 ปี
นายมีชัย แต้สุจริยา หรือ “ครูเถ่า” เกิดเมื่อ 24 ธันวาคม 2501 ทายาทแห่ง 'บ้านคำปุน' เป็นบุตรของ นายเตียซ้ง แซ่แต้ และ คุณแม่คำปุน ศรีใส (ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ทอผ้า) ประจำปี 2561) ผู้เป็นมารดาที่ได้ถักทอคุณค่าผืนผ้ามาตั้งแต่ครั้งอดีต เถ่า เริ่มหลงใหลในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมบ้านเกิดของตน หลงใหลในเสน่ห์ผืนผ้าของคุณยาย โดยเฉพาะ 'ผ้าปูมเก่า' ของคุณยาย ด้วยเป็นหลานยายของ “คุณยายน้อย จิตตะยโศธร” ซึ่งสืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองยโสธร ที่เป็นผ้าบรรดาศักดิ์ของต้นตระกูล อันมีลวดลายอันวิจิตร ผ่านการทอที่ประณีต มาตั้งแต่วัยเยาว์
ประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยของภูมิภาคแห่งนี้ เป็นแหล่งการเรียนรู้ชั้นดีในวัยเด็กของมีชัย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ ศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองอันเก่าแก่ คุณยายของเขาเป็นช่างทอผ้า ผู้ซึ่งต้องเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อขายงานฝีมือของตนอยู่เป็นประจำ มีชัยในวัยเด็กจะเฝ้ามองเหล่าชาวบ้านหญิงกระทบ 'ฟืม' บนกี่ทอผ้า เพื่อสานด้ายแต่ละเส้นเข้าด้วยกัน โดยในแต่ละวัน ช่างฝีมือจะบรรจงทอเส้นด้ายที่ผ่านกรรมวิธีมัดหมี่ อันเป็นวิธีการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยการมัดเส้นด้ายหรือเส้นไหม เพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์อันประณีตงดงาม ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนั้นกินเวลานานหลายเดือน
เถ่า หรือ มีชัย อยากจะมีส่วนร่วมในการลงมือทอผ้า แต่วัฒนธรรมไทยนั้นไม่อนุญาตให้ 'เด็กผู้ชาย' ทอผ้า เขาจึงสนองความอยากรู้ของตัวเองด้วยการช่วยเหล่าช่างทอผ้าหญิงย้อมมัดด้าย การลงมือซ่อมกี่ทอผ้าโบราณของคุณยายที่ได้รับตกทอดมา (คุณยาย รุ่นที่ 2 คุณแม่ รุ่นที่ 3 และมีชัย สืบทอดเป็นรุ่นที่ 4) และเฝ้าเก็บเกี่ยวเคล็ดลับภูมิปัญญาต่างๆ ขณะนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่า เขาจะกลายมาเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านสิ่งทอสมัยใหม่คนสำคัญของประเทศ
ขณะกำลังเรียนชั้นมัธยมในกรุงเทพฯ มีชัย มักติดตามคุณยายไปตระเวนขายผ้าไทย ที่ท่านทอเองตามตลาดนัดต่างๆ โดยบางครั้งผ้าทั้งผืนขายได้เงินเพียง 200 บาทเท่านั้น แต่แม้อาชีพช่างทอผ้าจะไม่สร้างรายได้มากนัก แต่ประสบการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้มีชัยได้มีโอกาสรู้จักกับเหล่านักสะสม และนักค้าสิ่งทอคนสำคัญของประเทศ ผู้มักเอ่ยปากชมงานฝีมือของคุณยายเขาอยู่เสมอ ได้มีโอกาสรู้จักกับดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียง ทั้ง ยศวดี บุญหลง, สมชาย แก้วทอง และคุณโนริโกะ (นงนุช โรจนเสนา) ได้เห็นและซึมซับวิธีการทำงาน จนเข้าใจความต้องการใช้ผ้าที่แตกต่างกันไป ตามเทคนิคการออกแบบและตัดเย็บ บวกกับคำแนะนำของบรรดาดีไซเนอร์ ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจที่จะออกแบบผ้าไทยให้ตอบสนองความต้องการที่แตกต่าง
ความรู้และความสนใจในสิ่งทอของมีชัยค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และตลอดระยะเวลา 4 ปีของการเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขารัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขาก็ได้มีโอกาสช่วยคุณยายทอผ้าไหม และได้เรียนรู้กระบวนการอันซับซ้อนและกินเวลา ที่แม้กระทั่งช่างทอผ้าฝีมือดีก็ยังสามารถทอได้เพียงราว 4 ผืนต่อปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเมื่อรายได้จากการผลิตงานฝีมืออันเปี่ยมคุณค่านี้ กลับแทบไม่เพียงพอสำหรับยังชีพ ช่างทอผ้าหลายคนจึงค่อยๆ หันไปจับอาชีพอื่นที่สร้างรายได้ดีกว่าแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้สำหรับมีชัย
ผจญภัยไร้พรมแดน : ผ้ากาบบัวแห่งบ้านคำปุน
หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีชัยได้มีโอกาสเข้าทำงานที่ บริษัทการบินไทย ในตำแหน่ง พนักงานต้อนรับ (สจ๊วต) อยู่ถึง 8 ปี เวลาบินมีชัยจะติดกระดาษออกแบบ สำหรับออกแบบลายผ้าไปด้วยทุกครั้ง บางไฟลต์ถึงปลายทาง เพื่อนร่วมงานออกไปเที่ยวกันหมด ก็อยู่แต่ในห้องโรงแรม หรือไม่ก็ไปเดินในเมืองนิดๆ หน่อยๆ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการนั่งทำงาน ได้งานชิ้นดีๆ เยอะ มีลายผ้าสวยๆ หลายลายที่เขียนระหว่างเดินทาง สุดท้ายก็ลาออกจากการเป็นสจ๊วต เพราะคุณแม่ห่วงในการทำงานนี้ (แม่คิดว่า 'อันตราย' จากข่าวเครื่องบินตก และในช่วงนั้นเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย เคยทำไฟลท์ไปรับคนไทยอพยพกลับบ้านที่ประเทศจอร์แดน)
กลับมาทำอาชีพทอผ้าที่เราหลงรักดีกว่า ซึ่งสามารถสร้างอาชีพให้คนอื่นได้ด้วยหลายสิบคน แล้วแต่ละคนก็เลี้ยงดูครอบครัวได้ มีชัยเลยคิดว่าจะยึดอาชีพทอผ้าเป็นอาชีพสุดท้าย จริงๆ ที่บ้านทอผ้าอยู่แล้ว เป็นการทอแบบดั้งเดิม มีแค่คุณยายกับคุณแม่ทอกันอยู่ 2 กี่ คุณยายยังชีพด้วยการทำผ้าขาย ท่านเป็นสายตระกูลเจ้าเมืองยโสธร ทำให้ได้สืบทอดความรู้เรื่องผ้ามา ก็ทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้านที่ใจกลางอำเภอเมืองอุบล (บ้านคำปุน หัวมุมถนนผาแดงตัดกับพิชิตรังสรรค์)
ตั้งแต่ปี 2520 จนบัดนี้ "บ้านคำปุน" ที่อำเภอวารินชำราบ ก็ยังเป็นโรงงานเดียวของอุตสาหกรรมจังหวัดอุบลฯ ที่มีการจดทะเบียน ไม่มีโรงงานทอผ้าอื่นเลย บ้านหลังใหญ่ของคำปุนพอมีที่ตั้งกี่ทอผ้าได้ 7 กี่ ก็สร้างโรงเรือนเพิ่ม ให้ตั้งได้อีก 5 กี่ ยายทำงานที่บ้าน ให้เพื่อนบ้านมาช่วย ป้าเป็นคนมัดหมี่ แม่ทำเส้นยืน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มทอผ้าแห่งแรกของอุบลราชธานี
ผจญภัยไร้พรมแดน : ผ้ากาบบัวแห่งบ้านคำปุน 2
อุบลราชธานีมีตำนานและชื่อเสียงด้านการทอผ้าและลายผ้าโบราณ "ผ้ากาบบัว" จังหวัดอุบลฯ ขาดการสืบสานภูมิปัญญาในด้านการทอผ้า มีชัยเลยขอทุนจากทางจังหวัด เพื่อจัดซื้อเครื่องมือทอผ้าให้หมู่บ้านนำร่อง 5 หมู่บ้าน แล้วก็ฝึกช่างทอผ้ารุ่นใหม่คนแล้วคนเล่า คนบางคนทอมัดหมี่ไม่เป็น ขิดไม่เป็น ก็ให้คนอื่นมาเก็บขิดให้ โดยมีชัยเป็นผู้ออกแบบให้ ผ้าที่ทอมีเทคนิคหลายแบบ ทั้งยก ทั้งมัดหมี่ เพื่อให้ทุกคนได้ฝึกทุกอย่าง มีชัยเล่าว่า
"เวลาไปสอน เราก็สอนทุกขั้นตอนว่า ย้อมแบบนี้นะ เราทำทั้งวันให้แม่ๆ ดู แม่ก็ยืนดูเฉยๆ บอกว่าทำแบบนี้นะแม่ แม่ก็บ่นว่า โอย แม่เฮ็ดบ่ได้ดอก แม่บ่มีแฮง ลูกมีแฮงหลาย (หัวเราะ) หรืออย่างพอวันเข้าพรรษาเราก็จะเชิญทุกคนเข้ามาดูว่าเรามีลายอะไรใหม่ หรือบางทีเราให้ผ้าไหมไปเลย มัดมาแล้ว ทอแล้ว ให้แม่ๆ ไปแกะลายทอของตัวเอง
มีหลายคนถามว่า เรามีลิขสิทธิ์ให้ผ้ากาบบัวมั้ย ผมจะตอบว่า ในวันที่ผมมอบให้ชุมชน ผมไม่ต้องการประโยชน์อะไรมากกว่าการให้มีการสืบทอดเรื่องทอผ้า และกระจายรายได้ให้ชุมชน สร้างความภาคภูมิใจให้เขา สร้างสัมมาอาชีพ เป็นสิ่งที่เราต้องการมากกว่าลิขสิทธิ์ใดๆ"
คุณมีชัยยังเล่าต่อไปอีกว่า "จริงๆ แล้วงานที่ผมทำได้มีหลายอย่าง ผมทำอาหารอีสานให้ นิตยสารดิฉัน 16 รายการ ลงในสื่อหลายครั้งเรื่องอาหารอีสาน เป็นนักจัดดอกไม้ของปาร์คนายเลิศสมัยก่อน ครบรอบ 25 ปีโรงแรมก็ยังเป็นคนจัดดอกไม้อยู่
แต่สิ่งที่สำคัญ มีความสุข และมีค่าที่สุดของชีวิต ก็คือ งานทอผ้า ตอนนั้นคิดว่าจะทำจนกว่าจะไม่มีแรงทำ ถ้าเราจะหยุดทำงานโดยที่ไม่ทำอะไร ก็ขอตายดีกว่า เพราะชีวิตของเราก็คือการทำงาน เวลาที่เราทำคือช่วงที่มีความสุขทั้งสิ้น"
บ้านคำปุน เคยทำผ้าให้มหากาพย์หนัง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งมีชัยได้นำความรู้ดั้งเดิมมาปรับตีความใหม่ เลือกสีเข้มให้เหมาะกับความเป็นนักรบ และเอาลายอีสานไปใส่ เลือกลักษณะผ้าที่เวลาโดนแสงจะไม่วิบวับมาก เพื่อให้เหมาะกับการถ่ายทำหนัง หรืออย่างหนังเรื่อง สุริโยไท มีชัยก็ทำมัดหมี่ที่มีลูกปัด เป็นเทคนิคที่หยิบยืมมาจากการทอผ้าของ ชนเผ่ากะตู ใน สปป.ลาว
ซึ่งคุณมีชัยพูดถึงงานทำผ้าให้กับวงการภาพยนตร์ว่า "แต่ผมคงไม่ทำให้หนังอีกต่อไปแล้ว ทำแล้วเหนื่อย เพราะเยอะมากครับ ผ้าคาดเอวพระเอกคนเดียวก็ไม่รู้กี่สิบชิ้นแล้ว เราแทบต้องวางงานเราทั้งหมดของคำปุนเพื่อมาทำ แต่งานนั้นก็คุ้มเพราะทำให้ได้รับใช้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 แบบห่างๆ แล้วก็ได้มีโอกาสถวายรายงานด้วย
งานวันนั้นเขาให้เราประจำตรงนิทรรศการเรื่อง 'เครื่องแต่งกาย' คนเดียว เมื่อพระองค์เสด็จมาเราก็ถวายคำนับแล้วก็รู้สึกว่า โอ ตัวเราเล็กเหลือเกิน ทำไมพระองค์ท่านมีบารมีใหญ่หลวง แล้วพระองค์ตรัสถามเราว่า 'ผ้าปูมนี้ออกแบบเองเหรอคะ สีนี้สวยเหมือนฝันเลย' เราก็ดีใจที่พระองค์ทรงรู้จักผ้าปูม รู้ว่าไหมนี้เป็นไหมน้อย
ครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้รับใช้พระองค์ท่านอย่างนี้ ถึงเราจะเสียหายอะไร ถ้าเทียบกับความปีติยินดีที่พระองค์ท่านทรงมี เมื่อได้ทอดพระเนตรงานของเรา ก็ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป"
ครูศิลป์ของแผ่นดิน 2 : ครูคำปุน ศรีใส
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ท่านเคยมาเยี่ยมบ้านคำปุนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ท่านเขียนรูปให้รูปหนึ่งเป็นพิเศษ แล้วท่านก็บอกว่า “เถ่ารู้มั้ยว่าพระมีหลายแบบ งานที่เถ่าทำเนี่ยเหมือนขรัวกวาดลานวัด เราเลือกเป็นพระได้ จะเป็นพระปฏิมาให้คนเขากราบไหว้บูชา หรือจะเป็นขรัวกวาดลานวัด เถ่าเลือกเอา”
สมัยที่มีชัยเริ่มพัฒนาผ้าแรกๆ ยังไม่มีใครกล้าพลิกแพลงการออกแบบผ้าแบบใหม่ เนื่องจากแต่เดิมอุบลราชธานีเป็นเมืองที่รุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรม เคยมีเจ้าครองนคร จึงมีขนบแบบแผนค่อนข้างมาก เขาจึงให้ความระมัดระวังในการที่จะออกแบบผ้าใหม่ ไปพร้อมกับรักษามรดกดั้งเดิมไปพร้อมๆ กัน มีชัยคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเอาลวดลายจารีตเดิมมาทำซ้ำ แต่สามารถพัฒนาต่อยอดเทคนิคใหม่ได้ อย่างเช่น การพัฒนา 'ผ้ากาบบัว' ซึ่งใช้เทคนิควิธีดั้งเดิมมาผสมผสานกันถึง 4 วิธี นั่นคือ มัดหมี่ ขิด จก มับไม (Mubmai)** มารวมกันในผ้าผืนเดียว ผ้าที่เขาพัฒนาขึ้นได้กลายเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดอุบลราชธานี และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น 'มรดกชาติ' ในปี 2557 ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นของขวัญผ่านทาง คิงเพาเวอร์ ทูลเกล้าฯ ถวายเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคท ในโอกาสเสด็จฯ เยือนเมืองเลสเตอร์อีกด้วย (ทีมสโมสรเลสเตอร์เจ้าของทีมคือคนไทย คิงเพาเวอร์ นั่นเอง)
** มับไม คือการใช้ไหม 2 สี (สีเข้มกับสีอ่อน) ปั่นเกลียวเป็นหางกระรอก
ในการออกแบบผ้ากาบบัวของมีชัย ไม่เพียงแต่เป็นการออกแบบเทคนิคลายผ้าเท่านั้น แต่ยังมุ่งสืบสานมรดกพื้นบ้าน และสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ปัจจุบัน เขาได้พัฒนาชุมชนทอผ้าในจังหวัดอุบลราชธานีขึ้นมาอย่างน้อย 5 ชุมชน ให้สามารถทอผ้าเพื่อเลี้ยงชีพ และพัฒนาผ้าจนเกิดลวดลายใหม่นั่นคือ 'ผ้ากาบบัวแสงแรก' ซึ่งถือเป็นผ้าที่คิดขึ้นเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง จึงกล่าวได้ว่านอกจากการพัฒนาลวดลายแล้ว เขายังช่วยพัฒนาระบบ และมุมมองของชาวบ้านที่ต่อภูมิปัญญาให้คงอยู่และสร้างแนวทางที่จะดำเนินต่อไป
เขากล่าวว่า “การพัฒนาคือการเรียนรู้ การเป็นศิลปินอาจจะเรียนรู้จากภายใน แต่ในฐานะที่เราทำผ้า เราต้องเรียนรู้จากภายนอก จากคนหลาย ๆ กลุ่มซึ่งมีมุมมองที่ต่างกัน เราต้องการให้คนมีความสุขที่ได้ใช้ผ้าและได้เห็นผ้า เราจะไม่ย้อนกลับไปทำในสิ่งที่เราทำมาแล้ว การทำให้ผ้ามีเอกลักษณ์ สร้างความแตกต่าง ทำให้เราไม่ย่ำอยู่กับที่”
จากโรงงานทอผ้าคำปุน สู่ 'พิพิธภัณฑ์คำปุน' เพื่อเป็นที่เก็บรวบรวมและแสดงผ้าโบราณเมืองอุบลฯ และแสดงกรรมวิธีการผลิตการทอผ้า โดยแยกออกเป็นสองส่วนคือ
การเปิด “บ้านคำปุน” ปีละ 1 ครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือ ให้ คุณแม่คำปุน ได้แบ่งปันความรู้ให้กับช่างทอผ้าคนอื่น รวมทั้งมีการให้ความรู้ด้านผ้าแก่ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชม โดยไม่มีการปิดบังอำพราง โดยจะให้ช่างแต่ละส่วนทำงานประจำวันตามปกติ งาน “มาสเตอร์พีซ” ของที่นี่ทำกันยังไง ทุกคนจะได้เห็นอย่างนั้น และไม่มีความกังวลจะมีใครมาลอกเลียนแบบ เพราะลายเซ็นก็คือลายเซ็น ไม่มีใครเซ็นแทนกันได้ เพราะสิ่งสำคัญที่ตั้งใจคือ แบ่งปันภูมิปัญญาที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
ปัจจุบัน เป็นที่รับรู้ในแวดวงไฮเอนด์ด้านแฟชั่นว่า ผลงานผ้าทอจาก “บ้านคำปุน” นั้น มีความ “ยูนีก-Unique” ชนิดใครต่อใครต่างเต็มใจ “รอคิว” และ “ยินดีจ่าย” ให้แบบไม่เกี่ยง ขอเพียงให้ได้มาครอบครองสักผืนสองผืน เกี่ยวกับประเด็นนี้ คุณเถ่า อธิบาย ความ “ยูนีก” นี้ ไม่ใช่เพราะต้องการ “อัพราคา” แต่เพราะต้องทำงานให้ประณีตทุกขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำนั้นนานมาก
“คำปุน” เป็นแบรนด์ผ้าไทยจากจังหวัดอุบลราชธานี ที่ผู้ใช้ผ้าไทยรู้จักและเชื่อถือในคุณภาพกันมานานหลายสิบปี พูดได้เต็มปากว่าเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมาก
คุณเถ่า บอกต่อว่า ผ้าทอของบ้านคำปุน มีราคาตั้งแต่หลาละ 4,000 บาท ถึงหลาละแสน หรือหลายแสนบาท ความพิเศษของขั้นตอนการผลิต ซึ่งเป็นเทคนิค “หนึ่งเดียว” ในโลก ที่นอกจากจะประกอบด้วยการ มัดหมี่ เกาะ ล้วง และจก แล้ว ยังเป็นงานที่มีความประณีตทุกด้าน เช่น วัสดุต้องเป็นของดีที่สุด อย่าง ไหมน้อย หรือ ไหมสีทองดีที่สุด และเราตีเกลียวเส้นไหมด้วยมือเท่านั้น เหล่านี้คือ ความพิเศษ เพราะแฮนด์เมดทุกขั้นตอน
ลูกค้าของแบรนด์ "คำปุน" มีกำลังซื้อและมีความต้องการซื้อผ้าแบรนด์โปรดอย่างต่อเนื่อง มีคนตั้งตารอว่า คำปุนจะทอผ้าผืนใหม่ออกวางขายเมื่อไหร่ และผ้าที่ออกมาในแต่ละปีจะถูกรังสรรค์ออกมาเป็นแบบไหน เหมือนคอลเล็กเตอร์ที่รอซื้อผลงานของศิลปินคนโปรด โดยไม่ทราบว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร แต่รอคอยด้วยความชื่นชอบและเชื่อถือในตัวศิลปินท่านนั้น คุณมีชัยบอกว่า "การทอผ้าให้บุคคลสำคัญหรือลูกค้าที่สั่งล่วงหน้าว่า ต้องดูว่าลูกค้ารูปร่างอย่างไร สีผิวประมาณไหน จะเอาผ้าไปใช้ตัดเสื้อหรือชุดประมาณไหน แล้วคิดว่าควรจะทำสีเฉดไหน เท็กซ์เจอร์อย่างไร อย่างเช่น สีเหลืองก็มีหลายเฉด ต้องทำให้เหมาะกับผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นนายกฯ ร้านก็ไม่ได้ทอให้เผื่อเลือก นายกฯ ก็ไม่ได้มีสิทธิเลือกมากกว่าลูกค้าทั่วไป"
มีชัย แต้สุจริยา ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ทอผ้า)
มีชัย แต้สุจริยา ศิลปินผู้รังสรรค์ผ้าทอ ที่ช่วยต่อลมหายใจภูมิปัญญาการทอผ้าศิลปะเฉพาะถิ่นของเมืองอุบลฯ อย่างผ้ากาบบัวให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในช่วงวิกฤติโควิดที่ส่งผลกระทบอย่างหนัก ทว่า ครูเถ่า-มีชัย แต้สุจริยา ครูศิลป์ของแผ่นดิน ทายาทรุ่น 3 แห่งบ้านคำปุน ก็ยังยิ้มสู้ประคับประคองกิจการโรงงานทอผ้าและพิพิธภัณฑ์ให้คงอยู่ได้ อีกทั้งมีโอกาสได้สนองพระกรุณาธิคุณของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ในการนำเอาลายผ้าลายขอพระราชทานมาประยุกต์ถักทอ จนได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ คุณเถ่าเชื่อในพลังความรักและการเอาใจใส่กันและกัน พร้อมยึดมั่นในหลักพรหมวิหาร 4 เขาจึงมุ่งปฏิบัติธรรมชำระจิตใจและบำเพ็ญกุศล เพื่อความสุขที่ยั่งยืนทั้งปัจจุบันและอนาคต
ในปี พ.ศ. 2565 นี้เราก็ได้ทราบข่าวดีว่า ครูเถ่า-มีชัย แต้สุจริยา ได้รับการยกย่องเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ทอผ้า) ประจำปี พ.ศ. 2564 นั่นทำให้ 'บ้านคำปุน' มีศิลปินแห่งชาติถึง 2 ท่าน คือ ครูเถ่า กับ คุณแม่คำปุน ศรีใส ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์-ทอผ้า) ประจำปี พ.ศ. 2561
“บ้านคำปุน” คือ แหล่งผลิตและจำหน่ายผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ตั้งอยู่ที่ 131 หมู่ 9 ถนนศรีสะเกษ ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี รหัสไปรษณ๊ย์ 34190
> >
พิพิธภัณฑ์คำปุน Khampun Museum of Weaver Culture
Credit : สุขสันต์ แก้วสง่า
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ตำนานผ้ากาบบัว | ผ้าไหมกาบบัวอุบลราชธานี
ชีวิตรุ่งโรจน์สันโดดโลดเต้น ขัดข้องลำเค็ญมาเป็นอาจิน
เป็นเด็กท้องนาเกิดมาคนหมิ่น ต่อสู้หากินผืนดินกันการ ... "
รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย มีชื่อจริงว่า นายไพโรจน์ อุทธา มีชื่อเล่นที่ชาวบ้านเรียกว่า ป็อก เกิดวันที่ 16 ธันวาคม 2495 ในครอบครัวชาวนา บ้านเกิดเดิมอยู่ที่ บ้านหัวคู (ไทบ้านทั่วไปเรียก บ้านแฮ้ง สมัยก่อนนั้นมีอีแร้งเยอะ จับเกาะอยู่บนปลายยางนา) ตำบลเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งพ่อมีอาชีพเสริมจากการทำนาคือ เป็นหมอลำด้วย มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบ้านหัวคู ที่บ้านเกิดนี่เอง ด้วยความชื่นชอบในศิลปะการแสดงหมอลำ จากการติดตามพ่อไปฟังลำบ่อยๆ ในวัยเยาว์จึงจดจำและฝึกลำตามพ่อ
ต่อมาได้ไปร่ำเรียนฝึกฝนการเป็นหมอลำกับคณะหมอลำในหมู่บ้านชื่อ "คณะบ.วิบุญศิลป์ รุ่งเสน่ห์ลำเพลิน" จนมีความสามารถได้เล่นเป็นตัวตลก และตัวตามพระเอกในคณะ ช่วงนั้นได้ฟังลำเพลินที่ออกอากาศทางวิทยุของหมอลำเพลินชื่อดัง ทองมี มาลัย รู้สึกชอบและประทับใจเป็นอย่างมาก จึงได้ร้องลำเลียนแบบทั้งสำเนียง และท่าทางต่างๆ ได้ออกทำการแสดงร่วมกับหมอลำคณะนี้ในแถบจังหวัดร้อยเอ็ด และใกล้เคียง ได้ค่าตัว 7-8 บาทต่อคืน ในบางงานบางที่คณะได้ค่าจ้างสูงขึ้น ก็จะได้ค่าตัวเพิ่มเป็น 12 บาท ตอนนั้นก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
ต่อมาพ่อได้ส่งให้ไปเรียนลำเพิ่มเติมกับหมอลำดัง อาจารย์บุญสิงห์ ปากไฟ ที่จังหวัดยโสธร ช่วงนั้นจังหวะดีได้บันทึกแผ่นเสียงเพลง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่, สาวนาตาหวาน โดยทางพ่อสนับสนุนเงินทุนด้วยการขายวัว ขายหมูให้เป็นทุนในการบันทึกเสียง โดยผู้นำพาไปบันทึกเสียงห้องบันทึกเสียง คือ เทพบุตร สติรอดชมภู แต่เพลงก็ไม่ดัง จึงกลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง ได้ร่วมงานกับคณะหมอลำในหมู่บ้านอีกคณะคือ "ม.ธงชัย ประพันธ์ศิลป์" บ้านโนนสว่าง ที่มี รุ่งสาง เพชรเมืองเส เป็นพระเอกประจำคณะอยู่ก่อน ต่อมารุ่งสางติดเป็นทหารเกณฑ์ ก็เลยได้รับการสนับสนุนให้มาแสดงเป็นพระเอกแทน
ในตอนนั้น รุ่งสางไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ที่ปทุมธานีได้ยินประกาศทางวิทยุ จากนักจัดรายชื่อ นคร แดนสารคาม กับ ลาศ เมืองอุบล ประกาศว่า "ถ้าใครสุ้มเสียงดีให้ส่งการลำสดๆ ลงในเทปมาสัก 2-3 กลอน ถูกใจจะนำไปอัดแผ่นเสียง" ก็เลยมาอัดกลอนลำส่งไป โดยใช้ชื่อในตอนนั้นว่า "ไพโรจน์ เพชรเมืองเส" ปรากฏว่า นักจัดรายการทั้งสองชื่นชอบว่าเสียงดี อยากดูตัว จึงได้ให้ รุ่งสาง เพชรเมืองเส มาชวนไปพบที่เมืองอุบลฯ
เมื่อไปที่สถานีวิทยุได้พบกับ นคร แดนสารคาม กับ ลาศ เมืองอุบล แล้ว นักจัดรายการทั้งสองชื่นชอบในเสียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อพบกันและเห็นหน้าตาก็บอกว่า "หน้าตาดี หุ่นดี เสียงดี อัดเสียงได้เลย" ให้กลับบ้านมาเตรียมตัวรอก่อน ทางโน้นจะประสานห้องบันทึกเสียง นักดนตรี ถ้าพร้อมแล้วจะแจ้งให้ลงไปบันทึกเสียงที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง
สมัยนั้น การจะได้ไปบันทึกเสียงผู้นำพาก็ให้ตัวหมอลำหรือนักร้องหาทุนเป็นค่าเดินทาง ค่ากินอยู่เอง ครอบครัวรุ่งโรจน์ตอนนั้นทางบ้านก็ทำนา ทำไร่ ก็เลยไปช่วยครอบครัวและช่วยแม่ปลูกแตงเพิ่ม นำไปขายได้เงินจนสามารถซื้อจักรยานได้มาคันหนึ่ง มีปืนแก๊ปอยู่กระบอกหนึ่งเอาไว้ยิงนกยิงหนู พอทางกรุงเทพฯ แจ้งมาว่าพร้อมแล้วให้ลงไปอัดเสียง เลยต้องขายรถจักรยานคันนั้นได้เงินมา 1200 บาท ขายปืนแก๊ปได้อีก 700 บาท ยังไม่พอเลยให้พ่อไปขอหยิบยืมมาจาก ท่านญาคูเปี่ยม บ้านโนนคำ เสลภูมิ อีก 800 บาท จึงได้เงินทุนค่าเดินทางและค่าอยู่กินลงไปกรุงเทพฯ ในครั้งนั้น
รวมทีเด็ด ร้องไห้ใส่เดือน - รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย
งานชุดแรกที่บันทึกเสียงคือ "ร้องไห้ใส่เดือน" (2527) ที่ห้องอัดไพบูลย์สตูดิโอ แล้วก็กลับมาบ้านอีกครั้งพร้อมตั้งคณะหมอลำเล็กๆ ไว้รอรับความดังของตัวเองที่จะเกิดขึ้น เฝ้ารอจนผ่านไปนับเดือนจึงได้ยินเสียงตัวเองผ่านสถานีวิทยุต่างๆ หลายๆ กลอนลำในชุดนี้ได้รับการกล่าวถึงมากทีเดียว จนเพื่อนบ้านมาบอกว่า "ได้ยินเสียงลำของรุ่งโรจน์ในสถานีวิทยุบ้านเฮาแล้ว" ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย" ตั้งขึ้นเองโดย "รุ่งโรจน์" มาจากความดังมีชื่อเสียงแล้ว ส่วน "เพชรธงชัย" มาจากความที่เคยเป็นพระเอกในคณะหมอลำ ม.ธงชัย ของอาจารย์เรืองยศ เพชรธงชัย ก็เลยขอนามสกุลท่านมาใช้ ได้บันทึกเสียงกลอนลำมาอีกหลายชุดต่อมา ยังคงลำร่วมกับคณะหมอลำต่างๆ ในพื้นที่อยู่หลายปี รวมทั้งในคณะหมอลำของ พิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย ด้วย
ต่อมาจึงลงทุนตั้งวงดนตรีหมอลำของตนเองชื่อคณะ รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย เดินสายรับงาน จากค่าจ้างคืนละ 9,500 - 12,000 บาทในสมัยนั้นก็ถือว่ามากมายแล้ว จากวงหมอลำเล็กๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับชื่อเสียงในกลอนลำชุด "ชีวิตรุ่งโรจน์" เป็นช่วงที่มีชื่อเสียงมาก เดินสายในแถบภาคอีสาน ช่วงปี 2528-30 ยังไม่มีคณะคู่แข่งที่มีชื่อเสียงจึงเป็นที่รู้จักทั่วไป จนถึงไปแสดงในต่างประเทศหลายแห่ง ทำวงต่อมาอีกประมาณ 13 ปี ก็ยุบวงไปในที่สุด จากสภาพเศรษฐกิจและการแข่งขันที่มากยิ่งขึ้น
ชีวิตรุ่งโรจน์ - รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย
ต่อมา ลาศ เมืองอุบล เป็นนายทุนให้ตั้งคณะขึ้นมาใหม่อีกชื่อ "คณะเพชรปทุมทอง" แต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็ยุบวงอีก เพราะเจอพิษค่าน้ำมันแพง โดย รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย มีผลงานหมอลำและเพลงที่ผ่านมา มีประมาณ 200 ชุด เช่น ร้องไห้ใส่เดือน, เมียเผลอเจอกันใหม่, ค่าดองน้องติ๋ม, ชีวิตรุ่งโรจน์, ชุดรวมเพลงเด็ดๆ (นำผลงานเพลงฮิตของไวพจน์ เพชรสุพรรณ มาขับร้องใหม่) และอื่นๆ อีกมากมาย
ปัจจุบัน รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย อาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 77 บ้านไก่ป่า หมู่ที่ 6 ตำบลหนองพอก อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ยังคงรับงานแสดงเป็นนักร้องรับเชิญทั่วไป งานเล็กงานใหญ่ ใกล้ไกลบอกมา ก็จะไปร่วมงานเสมอ รวมทั้งมีธุรกิจทำเนื้อแดดเดียว เขียงขายเนื้อวัวสด จำหน่ายเป็นรายได้เสริมการทำนาให้กับครอบครัว #เขียงเนื้อวัวสด #รุ่งโรจน์ #เพชรธงชัย ริมถนนร้อยเอ็ด-โพนทอง ช่วงบ้านกู่ ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด
หมอลำรุ่งโรจน์ เพชรธงชัย - ไมค์ทองคำ หมอลำฝังเพชร 2
สนใจติดต่อ รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย ได้ทางโทรศัพท์หมายเลข 086-221-9679 และ 063-021-5341 และติดตามได้ทางช่องทาง Facebook รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย และ Youtube รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย CHANNEL
วิ่งว่าวสนูดวงใหญ่ - รุ่งโรจน์ เพชรธงชัย
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)