คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
ฝน ธนสุนทร เป็นนักร้องหญิงร่วมสมัย ที่ร้องเพลงได้ดีทั้งแนวลูกทุ่งและแนวป็อป เธอเริ่มอาชีพ ในวงการเพลงด้วยการร้องเพลงแนวป็อป แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่เมื่อหันมาจับแนวลูกทุ่ง กลับได้รับความนิยมจนถึงขีดสูงสุด เธอมีผลงานเพลงออกมาเป็นระยะ และได้รับความนิยมจากแฟนเพลงตลอดมา อาจารย์ชลธี ธารทอง นักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดัง ที่ปั้นนักร้องลูกทุ่งประดับวงการมากมาย ยกย่องเธอว่าเป็น 1 ใน 4 นักร้องลูกทุ่งหญิงทีมีมาตรฐานสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับ ผ่องศรี วรนุช , พุ่มพวง ดวงจันทร์ และ สุนารี ราชสีมา
ฝน ธนสุนทร มีชื่อจริงว่า เตือนใจ ศรีสุนทร เกิดเมื่อ 29 มิถุนายน 2517 อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ในครอบครัวยากจนที่มีสมาชิกมากถึง 10 คน โดยพ่อถีบสามล้อ และแม่หาบของขาย เธอเป็นลูกคนโต และก็ได้ช่วยครอบครัวหารายได้ทุกทางที่พอจะทำได้ ระหว่างปี 2524-2529 เรียนชั้นประถมที่ โรงเรียนมุขมนตรี ช่วงปี 2531-2536 เรียนชั้นมัธยมที่ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ฝนจบปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ จาก วิทยาลัยปทุมธานี
ฝน ธนสุนทร ซึ่งมีปู่เป็นผู้ฝึกฝนการร้องเพลงลูกทุ่ง เนื่องจากเคยเป็นนักร้องเชียร์รำวงเก่า เริ่มหารายได้จากการร้องเพลง ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 2 เมื่อมีผู้ที่ชื่นชอบหน้าตาที่สะสวยของเธอ เข้ามาจีบ โดยนำเรื่องการว่าจ้างให้เธอไปร้องเพลงตามงานเลี้ยงต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง แต่เสียงของเธอก็เป็นที่ยอมรับของคนที่ได้ฟัง ทำให้เธอมีงานมาเรื่อยๆ ในช่วงเดียวกันนั้นเธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการประกวดมิสทีนโอเล่ และได้ตำแหน่งมาครอง หลังจากนั้น จึงได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา "ลูกอมโอเล่"
ต่อมาสมัยเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 เธอได้รับเชิญให้ไปบันทึกเทปเพลงที่จัดทำขึ้นเพื่อฉลอง 100 ปีจังหวัดอุดรของทางจังหวัด โดยเธอได้ร้อง 3 เพลง คือ กราบเท้าพ่อหลวง, อุดรฯ มีของดี และเพลง 3 ส. โดยได้รับค่าเหนื่อยมา 500 บาท ซึ่งการทำงานในงานเพลงชุดนี้ ทำให้อาจารย์ปรีชา อรัญวารี นักจัดรายการวิทยุในสังกัดของบริษัท ชัวร์ออดิโอ ที่อุดรบ้านเกิด และได้ชักนำเธอเข้าสู่การเป็นนักร้องอาชีพเต็มตัว
ฝน ธนสุนทร ได้เซ็นสัญญาณเป็นเวลา 4 ปี กับบริษัท เคลฟเวอร์เอนเตอร์เทนเม้นท์ บริษัทในเครือของชัวร์ออดิโอ ที่เน้นทำเพลงแนวสตริง เนื่องจากทางต้นสังกัดเห็นว่า หน้าตาของเธอเหมาะกับแนวเพลงแบบนี้มากกว่า ซึ่งฝนก็ทำงานกับเพลงแนวนี้ได้ดี โดยมีผลงานเพลงออกมาในแนวป็อป 2 ชุด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 คือ "มุมหนึ่งของหัวใจ" และ "สายฝนแห่งความรัก" แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
บริษัทจึงตัดสินใจเปลี่ยนแนวเพลง มาให้เธอมาลองร้องเพลงลูกทุ่งตามแนวที่เธอถนัด โดยให้เริ่มร้องเพลงคู่กับ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย และเกษม คมสันต์ ในชุด "เกี่ยวก้อย" ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากขึ้น จนในที่สุดก็มีผลงานเดี่ยวออกมาในปี พ.ศ. 2544 ชื่อ "ฮักอ้ายโจงโปง" ก่อนจะมาประสบความสำเร็จล้นหลามกับชุด "ใจอ่อน" ซึ่งนับตั้งแต่นั้น เธอก็ผลิตผลงานลูกทุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง จวบจนถึงปัจจุบัน และได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมากมาย และทำให้เธอขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของวงการลูกทุ่งปัจจุบัน
รับบทเป็น เพชรา เชาวราษฎร์ อดีตนางเอกชื่อดังของฟ้าเมืองไทย ในละครโทรทัศน์เรื่อง "มิตร ชัยบัญชา มายาชีวิต" ของ เจแอสแอล ทางช่อง7สี โดยประกบคู่กับ "กอล์ฟ พุฒิชัย อมาตยกุล" และ ละครเรื่อง ดาวจรัสฟ้า ทางไทยทีวีสีช่อง 3 รับบทเป็น ฟ้า คู่กับ ปอ ทฤษฎี
ใครจะไปรู้ว่านักร้องสาวเสียงดี ฝน ธนสุนทร จะต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นอย่างที่ใจคิด กว่าจะมาเป็นนักร้องลูกทุกชั้นแถวหน้าในปัจจุบันนี้ เพราะเมื่อนับย้อนไป เมื่อครั้งที่นักร้องสาวเดินทางมาเสี่ยงโชคในเมืองหลวงใหม่ๆ ด้วยความหวังจะเป็นนักร้องลูกทุ่ง แต่เมื่อไม่เป็นดังหวัง เพราะผลงานชิ้นแรกกลับเป็นงานเพลงแนวสตริง ทำให้ไม่ได้รับการตอบรับจนเกือบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน บอกตอนนั้นทั้งร้องไห้และเสียใจ ที่ทำความฝันไม่สำเร็จ แถมยังไม่สามารถหาเงิน ส่งไปจุนเจือทางบ้านได้
''ตอนนั้นฝนลำบากมากค่ะ ครอบครัวก็ลำบาก แม่หาบของขาย กำไรวันละ 60-70 บาท พ่อก็ขี่สามล้อได้วันละ 30-40 บาท แล้วที่บ้านอยู่กัน 9 คน ก่อนหน้านี้คุณปู่จะเป็นเสาหลักของบ้าน พอฝนโตมาสักหน่อยก็จะไปร้องเพลงตามงานต่างๆ ได้วันละ 400-500 บาท ก็ถือว่าเยอะก็ให้ที่บ้านใช้ได้พออยู่พอกิน จนคุณปู่เสียฝนก็กลายเป็นเสาหลักของบ้านต้องทำทุกอย่าง จนได้เข้ากรุงเทพฯ มาร้องเพลงเซ็นสัญญากับค่ายชัวร์ แต่ตอนนั้นเขาเห็นว่าฝนน่าจะออกเป็นแนวสตริง ก็เลยได้ออกมา 2 ชุด แต่ไม่ดังไม่มีใครรู้จักเลย ก็เริ่มท้อใจ ทางบริษัทก็ท้อ ตอนนั้นถึงขั้นจะฉีกสัญญาและก็จะกลับบ้าน สงสารพ่อแม่ที่ต้องรอเงินจากเรา เพราะฝนเป็นพี่สาวคนโต ต้องหาเงินเลี้ยงดูทางบ้าน บางคนก็ไม่เข้าใจหาว่าเราไม่ยอมส่งเงินให้พ่อแม่ เพราะคิดว่าเป็นนักร้องแล้วต้องมีเงิน ท้อมากจนกำลังตัดสินใจว่าจะกลับบ้าน แต่แล้วก็มีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้เราเป็น ฝน ธนสุนทร คือ มีงานปีใหม่ที่บริษัท ฝนก็ร้องเพลงของ พี่ผึ้ง - พุ่มพวง ทุกคนก็เลยเห็นว่าเราร้องเพลงนี้ได้ ก็เลยมาร้องเพลงแนวนี้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ''
ยอมรับว่าชื่นชอบเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็กๆ ''ค่ะ ฟังเพลงลูกทุ่ง ร้องเพลงลูกทุ่งมาตั้งแต่จำความได้''
สุดภูมิใจที่ตอนนี้ชีวิตตนเองและครอบครัวดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า ''ก่อนหน้านี้ฝนเสียใจมากที่ปู่เลี้ยงเรามา แต่เราไม่มีโอกาสดูแลเพราะปู่เสียไปก่อน จนมาวันนี้ก็บอกกับตัวเองว่าจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด ตอนนี้พ่อก็สบายๆอยู่บ้านหาปลา แม่ก็ไปงานทอดกฐิน ใช้ชีวิตมีความสุข ดีใจที่ทำให้ท่านสบาย อยากจะบอกลูกๆ ทุกคนที่มีโอกาสดูแลท่านอยู่ ก็อยากให้ทำเต็มที่ค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิต'' สำหรับการเปิดใจจุดพลิกผันของนักร้องสาวคนสวย ฝน ธนสุนทร
ปีหลังๆ ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นสาว ฝน ธนสุนทร บนหน้าจอทีวีในฐานะพิธีกร คอมเมนเตเตอร์มากกว่าการร้องเพลง จนทำให้บางคนเริ่มคิดว่า ฝน อาจจะเลิกร้องเพลงแล้วก็ได้ "ทุกคนจะคิดว่าฝนห่างหายจากวงการเพลง ไม่ได้หายนะคะ ยังร้องเพลงอยู่ จ้างงานได้นะคะ ยังร้องเพลงอยู่ และยังมีซิงเกิลออกมาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องเหมือนกัน
แต่ว่าอาจจะไม่ได้รับการโปรโมตมากมายนัก แล้วก็เหมือนกับกระแสแนวเพลงอินดี้มาแรง เราก็จะแบบเหมือนมีดรอปๆ ลงไปบ้างแต่เราก็ยังมีงานเพลงอยู่ตลอด แล้วก็ไปทัวร์คอนเสิร์ต รับงานอีเวนต์ก็ยังมีอยู่ตลอด ที่แฟนๆ เห็นเหมือนห่างหายไป อาจจะเป็นเพราะว่า เห็นฝนทางจอทีวีเยอะ เล่นละคร พิธีกร คอมเมนเตเตอร์ค่ะ"
"ตอนนั้นคือมันไม่เหมือนกับว่าเป็นโรคพุ่มพวงนะคะ คือจริงๆ แล้วเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง แต่เรายังไม่ถึงขั้นเป็นโรคพุ่มพวง มันเหมือนกับว่า เป็นการเริ่มต้น ถ้าไม่ดูแลตัวเองก็จะเป็นโรคพุ่มพวงแล้วนะ อันนี้มันคือจุดเริ่มต้นแล้วนะ เกือบจะก้าวเข้าไปมากกว่าค่ะ ตอนนี้พอรู้ตัวถ้าเราจะเป็นอย่างนั้น เราก็ดูแลตัวเอง ก็คือพูดแต่ปากไม่ได้ ต้องทำจริงๆ แล้วนะ ไม่หายขาดค่ะ มันเหมือนกับว่า พอเราอายุมากขึ้น ไอ้พวกเซลล์ต่างๆ มันก็อ่อนแอลง เป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งเราทำงานเยอะ ไม่ได้พักผ่อน กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มันก็จะรวมพลังกันทำร้ายเรา
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดูแลตรงนี้ให้ดีที่สุด ให้ร่างกายเรากลับฟื้นขึ้นมาแข็งแรง ซึ่งตอนนี้ก็คือค่อนข้างแข็งแรงดีแล้ว แต่ถ้าคุณยังกลับไปทำแบบนั้นอีก มันก็จะมาอีกนะ เพราะเหมือนเซลล์เราเริ่มอ่อนแอลงบ้างแล้ว การรับงานต่างๆ ก็ต้องคำนึงด้วยนะคะ ต้องวางแผนให้ดีๆ ว่าเราจะเดินทางตอนไหนเมื่อไหร่ยังไง แล้วเราจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก็วางแผนว่านั่งรถไปหรือบินไป เราจะไม่เหนื่อยจนเกินไป ก็ถ้าจะมีงานซ้อน เราก็จะคำนวณว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวเราก็จะขออนุญาต รับแค่งานเดียว"
ถ้ามีคนบอกว่า บุปผา บุญมี นักร้องสาวเสียงดี เป็นลูกหลานฅนเมืองอุบลราชธานี คงจะไม่มีใครรู้จักและนึกขึ้นได้ว่าเธอร้องเพลงอะไรกัน แต่ถ้าบอกว่า ดอกอ้อ ทุ่งทอง เจ้าของอัลบั๊ม อกหักวันแห่เทียน ก็อาจจะมีหลายๆ คนร้องอ๋อ เพราะในชุดนี้มีเพลงที่ไพเราะอยู่หลายเพลง โดยเฉพาะเพลง ข้อความในมือถือ เพลง อกหักวันแห่เทียน และเพลง เจ็บโตย้อนโฟร์วีล ก็ดังตามกันมา และนี่คือประวัติของเธอพอสังเขป
อัลบั๊มแรก อกหักวันแห่เทียน อยู่ในสังกัดของยักษ์ใหญ่ในวงการเพลงอย่าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ซึ่งออกมาเมื่อปี 2546 ซึ่งดูแลทางด้านคำร้องและทำนองโดย อาจารย์สุดโก้ เจียรนัย และเรียบเรียงดนตรีโดย อาจารย์สวัสดิ์ สารคาม แนวเพลงของอัลบั้มนี้ออกมาในลูกทุ่งหมอลำอีสาน
และล่าสุดกับอัลบั๊มชุดที่ 2 ของเธอ เบอร์โทรเจ้าชู้ โดยมีครูเพลงบ้านป่า ครูสลา คุณวุฒิ กับทีมงานที่ลงตัวมาร่วมสร้างสรรค์และเติมแต่ง พัฒนาการร้อง การลำเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด และมีความตั้งใจที่จะสืบสานวัฒนธรรมของอีสานให้คงอยู่ต่อไป ทั้งเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ของหมอลำ ที่ปัจจุบันแทบจะหานักร้องรุ่นใหม่ที่มีความรัก และสนใจกับแนวเพลงลูกทุ่งหมอลำ
แม้ว่าอัลบั้มชุดนี้คงความเป็นลูกทุ่งหมอลำ แต่ก็หลากหลายด้วยแนวเพลง และจังหวะไม่ว่าจะเป็น "เบอร์โทรเจ้าชู้" เป็นลำเพลินประยุกต์ จังหวะสนุก สะท้อนภาพชีวิตผู้คนในยุคมือถือ จากปลายปากกาของ ครูสลา คุณวุฒิ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตผู้ชายในสังคมปัจจุบันที่เที่ยวแจกจ่ายเบอร์โทรให้สาวๆ แบบไม่อั้น ซึ่งอาจจะไปตรงใจของผู้ฟังหรือแฟนเพลงหลายคนก็ได้ หรือบทเพลง "ขอยืนเคียงข้าง" เป็นลำเดินกาฬสินธุ์ ที่อยากให้ฟังกัน เนื่องจากเป็นบทเพลงที่คอยให้กำลังใจของคนรัก ที่จะสัญญาจะอยู่เคียงข้างฝากความรัก ความหวัง เหมือนดั่งหุ้นส่วนความฝัน พร้อมเติมพลังให้กันตลอดเวลาโดยฝีมือการแต่งของ ครูสลา คุณวุฒิ อีกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีบทเพลงลูกทุ่งอีสานอย่างเพลง "ขายก้อยคอยอ้าย" บทเพลงที่พูดถึงความรัก ความผิดหวังที่เกิดขึ้นระหว่างแม่ค้าขายก้อยกับหนุ่มแท็กซี่ ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของนักแต่งเพลงรุ่นใหม่อย่าง วสุ ห้าวหาญ
งานเพลงชุดนี้ ยังเป็นงานเพลงที่มีความแตกต่าง และแต่งเติมสีสันของความเป็นลูกทุ่งหมอลำ และลูกทุ่งอีสานคงอยู่ตลอดไปแล้ว ครูสลา คุณวุฒิ ในฐานะของผู้ดูแลการผลิต มีเจตนารมณ์ให้เด็กรุ่นใหม่ได้ฟังเพลงหมอลำ และอยากให้ศิลปินรุ่นใหม่ร่วมสืบสานวัฒนธรรมของอีสาน หวังว่า ดอกอ้อ ทุ่งทอง จะสามารถถ่ายทอดความเป็นนักร้องลูกทุ่งหมอลำผ่านกลอนลำได้อย่างไพเราะน่าฟัง และเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่น่าจับตามอง
ดอกอ้อ ทุ่งทอง ได้ฝากขอบคุณเป็นพิเศษว่า "กราบขอบพระคุณครูเพลงทุกท่านที่คิดสรรหางานที่ดีที่สุดมาให้ พิเศษสุดขอบคุณครอบครัวพี่บ่าว ข้าวเหนียว พี่นรินทร์ ที่ช่วยดูแลทุกอย่างระหว่างการทำงาน ขอบคุณ อาจารย์ตี๋ใหญ่ (สันติ สืบพัฒนกุล) ที่ช่วยประสานงาน หากสิ่งใดที่เป็นความประทับใจจากงานชุดนี้ ดอกอ้อ ขออุทิศแด่พระคุณของ คุณพ่อ คุณแม่ และมอบตอบแทนพระคุณของแฟนเพลงทุกท่านค่ะ"
ดอกอ้อ ทุ่งทอง มีผลงานอัลบั้มคู่ร่วมกับน้องสาวที่เป็นนักร้องด้วยกัน คือ ก้านตอง ทุ่งเงิน สังกัดค่าย แกรมมี่โกลด์ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อีกด้วย
ดอกอ้อ ทุ่งทอง เจ้าของซิงเกิ้ลล่าสุด "เมียเก่า" ศิลปินอีกคนที่ไม่ยอมทิ้งการเรียน ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นก็ตาม เนื่องด้วยอาชีพที่ต้องเดินสายมอบเสียงเพลง มอบความสุขให้กับแฟนเพลงทั่วประเทศแล้ว ก็ยังมานะ อดทน จนสามารถคว้าใบปริญญามาให้แม่ได้ชื่นใจจนสำเร็จ
ดอกอ้อ ทุ่งทอง บัณฑิตหมาดๆ สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต ใช้เวลาร่ำเรียนจนสำเร็จการศึกษาด้วยกันทั้งหมด 4 ปีเต็ม ด้วยความมานะพยายาม ที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย จนประสบความสำเร็จในวันนี้ โดยในวันงานได้มี คุณแม่สำราญ พร้อมด้วยน้องก้านตอง ทุ่งเงิน และคนในครอบครัว ไปร่วมแสดงความยินดีกันอย่างอบอุ่น
"รู้สึกตื้นตัน ตื่นเต้น ดีใจมากค่ะ ที่เราสามารถเรียนจบแล้วนำใบปริญญามามอบให้แม่ได้ ขอบคุณทุกคนเลยทั้งแม่สำราญ น้องก้านตอง พี่น้องที่อบอุ่นของดอกอ้อ ทีมงานแกรมมี่ โกลด์ แฟนทีวี ที่มาร่วมแสดงความยินดีกับดอกอ้อในวันนี้ รู้สึกเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่ลูกคนนี้ต้องทำให้แม่ แล้ววันนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว ภูมิใจมากๆ ค่ะ
น้องมีผัวแล้ว - ดอกอ้อ ทุ่งทอง
ยังไง ดอกอ้อ อยากฝากถึงน้องๆ ทุกคน อยากให้ตั้งใจเรียนหนังสือ ทำหน้าที่ของลูก ของนักเรียน ของนักศึกษาให้ดีที่สุด ไม่อยากให้ทิ้งการเรียน ส่วนใครที่หลงผิดไปชั่วครู่ชั่วยาม ก็ให้ดูพี่ดอกอ้อเป็นแบบอย่างก็ได้นะคะ ว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข การเรียนรู้สามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าสาย อยากให้ทุกคนสู้ๆ นะคะ" ดอกอ้อ ทุ่งทอง กล่าวทิ้งท้าย
อยากมีผัวใหม่ - ดอกอ้อ ทุ่งทอง
โปรเจคพิเศษ “น้องอินดี้ พี่หมอลำ” ซึ่ง “ดอกอ้อ” โคจรมาพบกับหนุ่มอินดี้ 300 ล้านวิว “บอย พนมไพร” เจ้าของเพลงฮิต “ทดเวลาบาดเจ็บ” กับผลงานเพลงใหม่ล่าสุด “ตะเว็นตกดิน” ศิลปิน “ดอกอ้อ ทุ่งทอง และ บอย พนมไพร” เพลงนี้เป็นอารมณ์ช้ำรักของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่พยายามทำใจให้ลืมรักที่แย่ๆ ซึ่งมีหนุ่มคนสนิทมาอยู่เคียงข้างคอยปลอบใจ หากยังรู้สึกไม่ดีขึ้นก็จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าตะวันจะตกดิน
เพลงนี้แต่งโดยนักแต่งเพลงฝีมือดีอย่าง “ปรีชา ปัดภัย” และเรียบเรียงดนตรีโดยนักเรียบเรียงพันล้านวิวอย่าง “จินนี่ ภูไท” ที่แม้ว่าสไตล์การร้องเพลงจะแตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 คน ดอกอ้อและบอยก็สามารถถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้ลงตัวสุดๆ และเพลงนี้ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ทีมงาน MV ดอกอ้อและบอยไปถ่ายทำกันที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น บรรยากาศการทำงานเป็นกันเอง ศิลปินและทีมงานพร้อมก็ลงมือถ่ายได้เลย เพราะอากาศดีและยังมีดวงตะวันที่ให้เราได้ภาพสวยงามตามเพลง “ตะเว็นตกดิน” อยากให้ได้รอติดตามชมไปพร้อมๆกันเร็วๆนี้
ตะเว็นตกดิน - ดอกอ้อ ทุ่งทอง - บอย พนมไพร
ดอกอ้อ ทุ่งทอง กล่าวว่า “ดีใจที่โปรเจคนี้ได้น้องบอยมาร้องเพลงคู่กันค่ะ เคยคิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากร้องเพลงคู่กับน้องสักครั้ง เพราะเป็นคนละสไตล์เราแนวหมอลำส่วนน้องแนวอินดี้ ร้องเพลงคู่กันคงเป็นอะไรที่น่ารักมากนะ แล้ววันนี้อ้อกับน้องบอยได้มาร้องด้วยกันแล้วจริงๆ และเป็นครั้งแรกของพวกเรา 2 คนที่ได้ร้องเพลงคู่กันด้วย อยากให้ทุกคนได้ลองฟังกันว่าเราจะถ่ายทอดบทเพลงนี้ออกมาได้ถูกใจแฟนๆหรือเปล่า ฝากไว้ด้วยนะคะ กับเพลง ตะเว็นตกดิน ของ ดอกอ้อ ทุ่งทอง ร้องคู่ บอย พนมไพร แล้วมาฟังม่วนๆนำกันเด้อจ้า”
ติดตามชีวิตและการแสดงของเธอได้ที่ Facebook : ดอกอ้อ ทุ่งทอง
มยุรี พันธนาม หรือชื่อในวงการ : ดาว มยุรี นักร้องจากภาคอีสานอีกคน เกิดเมื่อ 24 มิถุนายน 2512 มีภูมิลำเนาเดิม ตำบลบ้านนาไร่ใหญ่ อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นบุตรของ นายสมบูรณ์/นางเสวย พันธนาม จากบ้านมาทำงานในเมืองกรุงฯ ในตำแหน่งสุดหรู "คนรับใช้ในบ้าน"
ด้วยเหตุที่ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ชีวิตหักเหเมื่อพบกับ กิตติศักดิ์ สายน้ำทิพย์, ประกิต ชิมสัน ที่ได้ชักนำเข้าสู่วงการเพลง เรียนจบโรงเรียนพณิชยการสยาม แล้วเบนชีวิตเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง โดยมีผลงานเพลงลูกทุ่งชิ้นแรกคือ "ให้มันเหลืองเข้าไว้" แต่มาดังเป็นที่รู้จักในชุด มีเมียแล้วไม่เอา และตามด้วยชุดอื่นๆ อีกหลายชุด เพลงที่เป็นที่รู้จักเช่น สาวแผงลอย , มิน่าล่ะ
ปัจจุบันสมรสแล้วกับมนูญ พิมพาทอง มีบุตรสาวน่ารัก "น้องเฟรช-ด.ญ.ณัฐธิดา" มีธุรกิจขายเคมีภัณฑ์การเกษตร บริษัทมาแฟค เคมีคอล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปุ๋ยแซบ 007 เป็นหลัก แต่ยังคงมีผลงานเพลงออกมาเป็นระยะๆ
ดาว มยุรี กลับเข้าร่วมงานกับอาร์.เอส.อีกครั้ง โดยครั้งนี้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับบริษัทอาร์.สยาม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของอาร์.เอส. พร้อมกับทำอัลบั้มใหม่ ชื่อ "ขอเสียงหน่อย"
ก่อนหน้านี้ เธอเคยร่วมงานกับอาร์.เอสฯ มาแล้ว แต่พอหมดสัญญา เธอก็ลองหาประสบการณ์โดยการไปทำเทปกับค่ายอื่น แต่สงสัยจะไม่ดีเหมือนบ้านเก่า ทำให้นักร้องสาวต้องโบยบินกลับรังเก่า
ดาวกล่าวว่า เพลงชุดนี้ออกแนวเซ็กซี่ เน้นสนุกเป็นส่วนใหญ่ มีเพลงหวานซึ้งเล็กน้อย ที่พิเศษก็ตรงเสื้อผ้าของดาว และ แดนเซอร์ที่ลงทุนนับล้านบาทเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานโชว์ "ครั้งนี้รู้สึกอบอุ่นที่ได้มาร่วมงานกับต้นสังกัดเดิมอีกครั้ง ซึ่งทีแรกคิดจะทำชุดนี้เอง แต่กลัวเหนื่อย เนื่องจากต้องดูแลธุรกิจร้านอาหารด้วย อยากให้แฟนเพลงเป็นกำลังใจอีกครั้ง ตอนนี้วางแผงแล้ว" ดาว มยุรี กล่าว
นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ดาว มยุรี หมดความอดทนกับความเจ้าชู้ดะของสามี เอก-มนูญ พิมพาทอง ผู้บริหารบริษัทมาแฟค เคมิคัล จำกัด ประกาศอย่างเป็นทางการขอยุติความสัมพันธ์ฉันสามี-ภรรยา ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมายาวนาวกว่า 26 ปี ที่ผ่านมาหลายสิบปียอมทรมานใจสุดแสนสาหัสก็เพื่อลูกสาว น้องเฟรช-ณัฐธิดา พิมพาทอง ตอนนี้อุ่นใจลูกโตแล้วเคลียร์กันรู้เรื่อง ขอเดินหน้าไปมีชีวิตใหม่ดีกว่า ยันสามีเป็นคนดีไม่เคยทำร้ายร่างกาย แต่ติดแค่เป็นหนุ่มชอบหว่านเสน่ห์
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/308365
อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/308365
มีเมียแล้วไม่เอา - ดาว มยุรี
นักร้องลูกทุ่งสาว ดาว มยุรี เจ้าของเพลงฮิต มิน่าล่ะ, แฟนเคยมีแต่เลิกแล้ว, รักตัดตอน, มีเมียแล้วไม่เอา ฯลฯ ด้วยเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ และการเอ็นเตอร์เทรนด์บนเวทีทำให้ ดาว มยุรี เป็นนักร้องลูกทุ่งสาวอันดับต้นๆ ที่มีคิวงานแน่นอยู่ตลอดจนถึงทุกวันนี้ ถึงตอนนี้เธอจะยังไม่มีผลงานเพลงใหม่มาให้พวกเราได้ติดตามกัน แต่เธอก็ยังคงโพสต์รูปภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง ยิ่งตอนนี้นอกจากจะเดินทางสายบุญแล้ว เวลาว่างจากคิวงานเธอก็ไปพักผ่อนชื่นชมธรรมชาติ พร้อมอวดหุ่นเป๊ะผ่านบิกินีให้แฟนๆ ได้เห็นหุ่นเป๊ะอีกด้วย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ทำอะไรแม่ไม่ได้จริงๆ แต่ว่ารูปนี้ใครเป็นใครวานบอก
รูปคู่ในอดีตของ 2 นักร้องสาวร่วมยุค ดาว มยุรี - ฮาย อาภาพร นครสวรรค์
หลังจากที่เจ้าตัวศัลยกรรมจนหน้าพัง (ภาษาในวงการแฟชั่นเขาว่า เสพติดความงามเกินขนาด) เธอก็พักรักษาตัวและหายจากวงการเพลงไประยะหนึ่ง จนตอนนี้หายดีแล้ว เธอก็ยังคงมีงานติดต่อมาอย่างต่อเนื่อง ก็ด้วยเพราะความสามารถและจัดเต็มสตรีมสำหรับงานโชว์คอนเสิร์ตของเธอทุกเวที เรียกว่าความเป๊ะความอลังในการโชว์เหมือนเดิมเมื่อตอนสาวๆ เลยจ้า และตอนนี้กลับมาใส่ชุดสุดเซ็กซี่ก็ยังแซ่บเหมือนเดิมเลย
หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา
แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนห่วนๆ
เขียดโม้เขียดขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน
เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน... "
จำกันได้ไหมกับเพลงนี้ อีสานบ้านเฮา เมื่อหลายสิบปีก่อน ประพันธ์โดย ครูพงศักดิ์ จันทรุกขา จากเสียงร้องของขุนเพลงอีสานอีกฅนหนึ่ง เทพพร เพชรอุบล มีแฟนๆ เรียกร้องต้องการรู้จักประวัติของนักร้อง/นักแต่งเพลงท่านนี้ ก็เลยสรรหามาฝากกันครับ
อีสาน บ้านเฮา - เทพพร เพชรอุบล
ชื่อจริง : นายเทพพร บุญสุข ชื่อเล่น อ๋อ ชื่อศิลปิน : เทพพร เพชรอุบล
เกิดเมื่อ : วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2496
ภูมิลำเนา : บ้านเลขที่ 23/4 บ้านโนนใหญ่ ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี
บิดาชื่อ นายมี มารดาชื่อ นางเหรียญ บุญสุข มีพี่น้อง 2 คน โดย "อ๋อ" เป็นบุตรคนเล็ก
การศึกษา : จบชั้น ปวช. ปีที่ 3 แผนกช่างกลโรงงาน จากโรงเรียนองค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเซียอาคเนย์ (โรงเรียน ส.ป.อ. ปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี) หลังจากนั้นก็เข้ามาเรียนต่อที่ โรงเรียนเพาะช่าง กทม. แต่เรียนได้แค่ 2 ปี ก็ลาออก
อาชีพ : นักร้องและนักประพันธ์เพลงลูกทุ่ง
นายเทพพร เพชรอุบล เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 2 คน ของพ่อมี แม่คำเหรียญ บุญสุข เนื่องจากเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการร้องลำ สนใจดนตรีและเสียงเพลง จึงยึดอาชีพเป็นนักประพันธ์เพลงหลังจบการศึกษา (อาจกล่าวได้ว่า วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่เคยนำมาประกอบอาชีพแต่อย่างใด) และประกวดร้องเพลงจนได้รับรางวัลอย่างมากมาย เนื่องจากมีลีลาการร้องและสุ้มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว บุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการยึดอาชีพนักร้องคือ ครูพร ภิรมย์ ศิลปินนักร้องลูกทุ่งผู้โด่งดังในยุคนั้น
นายเทพพร เพชรอุบล ได้สมัครเป็นนักร้องวงดนตรีของ ศักดิ์ศรี ศรีอักษร และครูพิพัฒน์ บริบูรณ์ รับไว้ประจำวง ใช้ชื่อการเป็นนักร้องในครั้งนั้นว่า จะเด็ด เพชรอุบล อยู่ในวงนอกจากเป็นนักร้องแล้ว ยังฝึกแต่งเพลงไปด้วย ฝึกเล่นดนตรีไปด้วย มีโอกาสได้บันทึกเสียงเพลงแรกในเพลง "นับหมอนรถไฟ" แต่งเอง เมื่อ ศักดิ์ศรี ศรีอักษร ยุบวง ก็กลับไปบ้าน สมัครทำงานอยู่ที่ สนามบินอุบลราชธานี หลังจากนั้นได้ร่วมกับสมัครพรรคพวกตั้งวงดนตรี เทพพรโชว์ และเปลี่ยนชื่อเป็น เทพพร เพชรอุบล มีเวลาว่างก็ไปร้องเพลงให้กับวงดนตรีหมอลำชื่อดังยุคนั้นคณะ "รังสิมันต์" ร้องเพลงบ้าง เล่นดนตรีบ้าง ดนตรีที่ถนัดก็คือ แซ็กโซโฟน, แอ๊คโอเดี้ยน
ต่อมา วิเชียร สติรอดชมภู ได้ชักนำให้ไปเป็นโฆษก เล่นดนตรี และเล่นตลกหน้าเวที ประจำวงดนตรีหมอลำคณะ "เพชรสยาม" ภายใต้การนำของ "เทพบุตร สติรอดชมภู" อยู่วงนี้มีโอกาสได้แต่งเพลงให้นักร้องในวงร้องบันทึกเสียงหลายเพลง เช่น ศักดิ์สยาม เพชรชมพู แล้วร่วมก่อตั้ง วงดนตรีศักดิ์สยาม เพชรชมพู จนมีชื่อเสียงโด่งดังโดยมี เทพพร เพชรอุบล เป็นผู้ประพันธ์เพลงด้วยการนำภาษาอีสานมาผสมกับภาษากลาง ออกมาเป็นเพลงลูกทุ่งทำนองอีสาน ซึ่งเป็นยุคเริ่มแรกของการสร้างสรรค์เพลงลูกทุ่งรูปแบบใหม่ ที่ฟังง่าย ติดหูติดปากผู้ฟัง ตัวเขาเองก็มีโอกาสได้บันทึกแผ่นเสียงเหมือนกัน เพลงแรกที่ร้องแล้วสร้างชื่อเสียงก็คือ "คิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ"
ในปี พ.ศ.2518 เขากับเพื่อนๆ ก็ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นเป็นของตัวเอง ชื่อวง เทพพร เพชรอุบล พร้อมๆ กับมีเหตุการ "พระธาตุพนม" โค่นล้ม เขาได้แต่งเพลง "อาลัยพระธาตุพนม" ดังพอสมควร วงดนตรีเทพพร เพชรอุบล ตั้งอยู่ได้ประมาณ 7 ปี ก็เลิกวง เทพพรเองก็ไปร้องเพลงตามห้องอาหารบ้าง รับเชิญทั่วไปบ้าง ไปขึ้นวงลูกศิษย์ลูกหาบ้าง แต่งเพลงขายบ้าง สร้างผลงานเพลงลูกทุ่งไม่น้อยกว่า 30 เพลง
นอกจากนี้ยังประพันธ์เพลงให้กับนักร้องท่านอื่น รวมแล้วไม่น้อยกว่า 80 เพลง ส่งผลให้ศิลปินนักร้องเหล่านั้นมีชื่อเสียง นอกจากนี้ นายเทพพร เพชรอุบล ยังใช้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่ช่วยเหลือสังคม โดยได้แต่งเพลงเพื่อการกุศล และไปเผยแพร่ศิลปะพื้นบ้านที่ประเทศสวิทเซอร์แลนด์ จากการทำงานอย่างหนักมาตลอดชีวิต เป็นผลให้ นายเทพพร เพชรอุบล ล้มป่วยเนื่องจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน เป็นผลให้ปัจจุบันไม่สามารถเคลื่อนไหวและช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง
หนึ่งในขุนพลเพลงอีสาน เทพพร เพชรอุบล ผู้ขับร้องเพลง "อีสานบ้านเฮา" จน "หอมดอกผักกะแยง...." กันไปทั่วประเทศ วันนี้ เขายังหวังกลับมากับผลงานเพลงที่บรรจงแต่งให้ จินตหรา พูนลาภ กับ สิทธิพร สุนทรพจน์ ขับร้อง เทพพร วันนี้ร่างกายยังคงเป็นอัมพฤกษ์ ทำให้พูดออกเสียงได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็คุยได้รู้เรื่อง กล่าวกับ "คม ชัด ลึก" ถึง เพลง ล่าสุด "รอวันฟ้าเปิด" ที่ส่งให้ สิทธิพร ขับร้องในสังกัด อินคัม ว่าคล้ายกับชีวิตของตนเอง
"เพลงนี้เดิมชื่อ ขอวันเวลาวันฟ้าเปิด มันเป็นการเปรียบเทียบตอนวันฟ้าปิด ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่ล้มอย่างเดียว มันมียืนขึ้นบ้าง ผมเปรียบเทียบเหมือนหนุ่มบ้านนอกเข้าไปหางานทำก็คล้ายกับตอนฟ้าปิด แต่เมื่อเราสำเร็จในด้านการงานแล้วทุกอย่าง มันเหมือนเวลาวันฟ้าเปิด สำหรับชีวิตตอนนี้เหมือนฟ้ากำลังแง้มๆ มีตั้งเค้าฝนนิดๆ สุขภาพดีขึ้น บางทีก็เหนื่อย เวลาพูดคุย ช่วงไหนที่กินข้าวแล้วอร่อย จะทำให้อึดอัด จะพูดออกเสียงก็ลำบาก เดี๋ยวนี้จะกินข้าวมื้อเช้าเยอะๆ ตอนเย็นกินข้าวต้ม น้ำหนักมันขึ้นมา 4-5 กก. ตอนนี้ร่างกายเดินได้แล้ว 75-80 เปอร์เซ็นต์"
อดีตนักร้องระดับแถวหน้าของอีสาน พูดถึงการแต่งเพลงของตนเองว่า มักจะไม่ได้แต่งเก็บเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเขียนตามที่เขาสั่งเพลงมาจะทำได้ดีกว่า "เวลาใคร (ค่ายเพลง หรือนักร้อง) สั่งก็เขียน ถ้าปกติสบายดีก็ไม่ได้เขียน เพราะเวลามีคนสั่งมาก็จะได้พล็อตมาก็จะเขียนได้ดี ตอนนี้ ได้เขียนเพลงให้ มี จินตหรา พูนลาภ สิทธิพร สุนทรพจน์ และนักร้องในค่ายชัวร์ ออดิโอ นอกจากเพลง รอวันฟ้าเปิดแล้ว ยังมีเพลง "ไอดินกลิ่นกรุง" แต่งมาได้ 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ค่ายมาสเตอร์เทปเขาคงเชียร์เพลงอื่นก่อน แล้วมาเชียร์เพลงของเรา อย่างเพลง "คิดฮอดตลอดเวลา" ที่จินตหราร้อง เขาก็มาเชียร์ทีหลัง ชุดของสิทธิพรแต่งไป 3-4 เพลง เขาเลือกมา 1 เพลง ลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่จะยังอยู่ในมือผม แต่บางเพลงก็ซื้อขาดไป เพลงที่แต่งทั้งหมดมีร่วม 500 เพลง มีบริษัท ทีทีซี ของอาร์เอส จัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้"
ขุลพลเพลงอีสาน กล่าวทิ้งท้าย ถึงคนในวงการว่า คิดถึงวงการ แต่ร้องเพลงไม่ได้แล้ว ว่างๆ ให้แวะมาเยี่ยมกันบ้าง "อยากจะกลับมาหน้าเวที ยังคิดถึงวงการ คงไม่มีโอกาสได้ร้องเพลง แต่ผมยังมีมันสมองถ่ายทอดผลงานเพลงให้ วงการลูกทุ่งอีสาน อยากให้มีศิลปินอีสานมากๆ ถ้าใครจะทำเพลงอีสาน ลองติดต่อได้ที่โทร. 08-1262-2451 สำหรับใครที่เผื่อมาขอนแก่น แวะเยี่ยมเยือนกันบ้าง"
ชีวิตที่ดั่งฟ้าจะแง้มเปิด จะสดใสเพียงไร คงต้องอยู่กับแฟนเพลงผู้ฟังและคนในวงการจะได้มีส่วนร่วมในการสร้าง ฟ้าใหม่ให้อดีตขวัญใจอีสานคนนี้
จาก : นสพ. คมชัดลึก วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2548
จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายเทพพร บุญสุข หรือ เทพพร เพชรอุบล ศิลปินและนักแต่งเพลงลูกทุ่งชื่อดัง เนื่องจากอาการป่วยโรคมะเร็งตับ ผู้สื่อข่าวจึงได้ไปที่บ้านพักเลขที่ 118 ม.4 บ้านห้วยชัน ตำบลศิลา อำเภอเมืองขอนแก่น
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 22 ตุลาคม ได้รับการเปิดเผยจาก นางพิกุล บุญสุข อายุ 64 ปี ซึ่งเป็นภรรยาว่า อาการของครูเพลงลูกทุ่งชื่อดัง ได้ทรุดอย่างกระทันหันในช่วงเวลาประมาณ 03.00 น.วันที่ 22 ต.ค. โดยมีอาการตัวแข็ง ไม่ขยับตัวไม่ตอบสนอง มีเพียงแค่อ้าปากค้าง และลืมตากรอกไปมาช้าๆ หรือซึ่งผิดปกติแตกต่างจากวันที่ผ่านมา ที่สามารถพูดคุยได้ วิจารณ์เพลงที่ลูกศิษย์แต่งให้ฟังได้ จึงได้โทรบอกให้เพื่อนญาติๆ ได้ทราบกันว่า อาการไม่ค่อยดี ทรุดหนักมากจนขยับตัวไม่ได้ มีอาการอ่อนแรงตัวแข็ง ไม่ตอบสนอง กินไม่ได้ ดื่มน้ำแทบจะไม่ได้แล้ว
และในวันนี้ได้มี นายธีระชาติ เล็กสิงห์โต ลูกศิษย์นักแต่งเพลง โดยเฉพาะเพลง "คืนเดือนหลายดวง" ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่ได้ร่วมกันแต่งกับลูกศิษย์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อประกอบในภาพยนต์เรื่อง "มนต์รักสีพันดอน" ของ สุรสีห์ ผาธรรม มาเปิดให้ฟัง โดยมีญาติสนิทร่วมรับฟังด้วย
นางพิกุล กล่าวต่อว่า หลังจากเมื่อกลางปีที่แล้ว อาการป่วยด้วยโรคมะเร็งได้กำเริบ ต้องหามส่งโรงพยาบาล จนกระทั่งออกมารักษาตัวที่บ้าน อาการของนายเทพพรก็ทรงและทรุดมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไม่สามารถเดิน หรือช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อสามเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังพูดคุยพยุงนั่ง ยกไม้ยกมือ ทานอาหารได้ เมื่อวานยังพูดคุยหัวเราะกับลูกหลานได้อย่างปกติ แต่กลับทรุดกระทันหันในช่วงดึกที่ผ่านมา ซึ่งทุกคนก็ได้เตรียมใจและทำใจไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 20.14 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายเทพพรได้เสียชีวิตอย่างสงบ โดยมีญาติและศิลปินลูกทุ่งเช่น ศักดิ์สยาม เพชรชมภู, เหลือง บริสุทธิ์, เทพรังสรรค์ ขวัญดารา ทีมตลกที่เคยร่วมงานวงดนตรีเทพพร เพชรอุบล มาเฝ้าดูใจจนวินาทีสุดท้าย โดยญาติจะนำศพไปตั้งบำเบ็ญกุศลที่วัดบ้านห้วยชัน ตำบลศิลา ซึ่งอยู่ใกล้บ้านพักช่วงเช้าวันที่ 23 ตุลาคม นี้
สำหรับนายเทพพร เพชรอุบล นั้นมีชื่อจริงว่า เทพพร บุญสุข เกิดปี พ.ศ. 2496 ปัจจุบันอายุ 66 ปี เป็นชาวบ้านโนนใหญ่ ตำบลก่อเอ้ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี คนที่บ้านเรียกว่า อ๋อ เขาจบชั้น ป. 4 จากโรงเรียนในหมู่บ้าน ก่อนจะไปต่อชั้นมัธยมในตัวจังหวัด และจบการศึกษาชั้นสูงสุดปีที่ 3 แผนกช่างกลโรงงาน จากโรงเรียนองค์การสนธิสัญญาป้องกันเอเชียอาคเนย์ หรือ ร.ร.ส.ป.อ. ปัจจุบันคือ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี เมื่อปี 2509
หลังจบการศึกษา เขาเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาต่อโรงเรียนเพาะช่าง สาขาประติมากรรม แต่เรียนได้ 2 ปีก็ลาออก เนื่องจากอยากเป็นนักร้อง เพราะมีพรสวรรค์ในการร้องรำทำเพลง สนใจดนตรีและเสียงเพลงมาตั้งแต่ยังเด็ก ระหว่างที่เรียนช่างกล ส.ป.อ. ก็เคยขึ้นร้องเพลงให้กับทางโรงเรียน โดยผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการอยากเป็นนักร้องในยุคนั้นของเขาก็คือ พร ภิรมย์ ศิลปินนักร้องลูกทุ่งผู้โด่งดังในยุคนั้น ซึ่งเขาสามารถเลียนเสียงเพลงแหล่ของ พร ภิรมย์ ได้เหมือนมาก
ที่บ้านเกิด เขาจับคู่กับ นพดล ดวงพร โฆษกวิทยุประจำจังหวัดในสมัยนั้น ออกรับงานร้องเพลงตามที่ต่างๆ ในเขตจังหวัด ต่อมาทั้งสองเกิดความคิดขยับขยายความดังออกไปนอกตัวจังหวัด ด้วยการไปเป็นนักร้องวงดนตรีใหญ่ในกรุงเทพฯ จึงพากันมาสมัครอยู่กับวง ศักดิ์ศรี ศรีอักษร ซึ่งที่นี่ พิพัฒน์ บริบูรณ์ เจ้าของวงให้ เทพพร ใช้ชื่อว่า จะเด็ด เพชรอุบล
นอกจากการเป็นนักร้องแล้ว ที่วงเขายังมีหน้าที่พิเศษคือ คัดลอกเพลงจากสมุดเล่มเก่าลงเล่มใหม่ ด้วยเหตุว่าเป็นคนลายมือสวย งานนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีการแต่งเพลงไปโดยอัตโนมัติ ในช่วงนี้ เขาได้ลองแต่งเพลงหลายเพลง โดยใช้ชื่อว่า เทพพร ศิริโมกุล
ที่วงดนตรีศักดิ์ศรี ศรีอักษร เขาได้รับการสนับสนุนให้บันทึกเสียงหลายเพลง แต่เพลงแรกที่เขาแต่งเองร้องเอง มีชื่อว่า “นับหมอนรถไฟ“ ซึ่งเขียนขึ้นจากประสบการณ์การหลงทางในกรุงเทพฯ ของเขาเอง จากนั้น เทพพร ก็แต่งเพลงขึ้นอีกหลายเพลง หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเพลง หมั่นไส้ ซึ่ง ผ่องศรี วรนุช ร้องแก้กับเพลง เสียวไส้ ของสุรพล สมบัติเจริญ
ต่อมาไม่นาน วงดนตรีศักดิ์ศรี ศรีอักษร ก็ยุบวง เทพพร หันไปทำงานสารพัดที่ค่ายทหารอเมริกัน ในสนามบินอุบลราชธานี แต่ถ้ามีเวลาว่างก็ขึ้นร้องเพลงกับวงดนตรีที่เปิดการแสดงในเขตจังหวัด และเล่นดนตรี (แซกโซโฟน กับ แอคคอเดียน ที่ไปเรียนรู้มาจากวงศักดิ์ศรี ศรีอักษร) ให้กับหมอลำคณะรังสิมันต์ ต่อมา วิเชียร สติรอดชมภู ชักชวนให้มาเป็นโฆษก พร้อมทั้งทำหน้าที่เล่นดนตรี และเล่นตลก ประจำวงดนตรีและหมอลำคณะเพชรสยาม ภายใต้การบริหารของ เทพบุตร สติรอดชมภู ซึ่งยังมีวงดนตรีและคณะหมอลำอยู่ในสังกัดอีกหลายวง
ที่นี่ ผลงานการแต่งเพลงของเทพพร ได้สร้างนักร้องดังในสังกัดของเทพบุตร สติรอดชมภูขึ้นมาคนหนึ่ง เขาชื่อ ศักดิ์สยาม เพชรชมพู ที่โด่งดังถึงขั้นสามารถประชันกับวงดนตรีชื่อดังแห่งยุคของภาคกลางอย่าง สายัณห์ สัญญา ได้เลยทีเดียว ซึ่งในช่วงนี้เทพพร เริ่มเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เทพพร เพชรอุบล และหันมารับบทนักร้องอีกครั้ง พร้มกับได้บันทึกเสียงเพลงดัง “คิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ”
เพลงนี้บันทึกแผ่นเสียงลงบนแผ่นเดียวกับเพลง “ลำเพลินเจริญใจ“ ของ ดาว บ้านดอน แต่อยู่คนละหน้า และก็ถูกความดังของลำเพลินเจริญใจกลบเสียสิ้น แต่ต่อมาเกิดเหตุรัฐประหารในประเทศ และมีคำสั่งห้ามโฆษณาตามวิทยุ ทำให้รายการวิทยุไม่มีรายได้ และเตรียมอำลาหน้าปัด จึงเปิดเพลง “คิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ” ที่ขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า “ยกมือขึ้นบ๊าย บาย เป็นความหมายว่าอ้ายลาก่อน“ เพื่ออำลาแฟนเพลง เพลงนี้จึงดังขึ้นมา
คิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ - เทพพร เพชรอุบล
จากนั้นในปี 2518 เขาลาออกจากวง และได้รวบรวมสมัครพรรคพวกตั้งวงดนตรี เทพพร เพชรอุบล ซึ่งสามารถยืนอยู่ในวงการได้ 7 ปี จากนั้นก็ผันตัวเองมาเป็นนักร้องรับเชิญตามวงต่างๆ นอกจากนี้ เทพพร ยังประพันธ์เพลงให้กับนักร้องท่านอื่นมากมาย ส่งผลให้ศิลปินนักร้องเหล่านั้นมีชื่อเสียง
อดีตนักร้องระดับแถวหน้าของอีสาน พูดถึงการแต่งเพลงของตนเองว่า มักจะไม่ได้แต่งเก็บเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเขียนตามที่เขาสั่งเพลงมา จะทำได้ดีกว่า "เวลาใคร (ค่ายเพลง หรือนักร้อง) สั่งก็เขียน ถ้าปกติสบายดีก็ไม่ได้เขียน เพราะเวลามีคนสั่งมาก็จะได้พล็อตมาก็จะเขียนได้ดี"
สั่งฟ้าไปหาน้อง - เทพพร เพชรอุบล
จากการทำงานอย่างหนักมาตลอดชีวิต เป็นผลให้ปลายปี 2540 เขาล้มป่วย เนื่องจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน เป็นผลให้ไม่สามารถพูดหรือเคลื่อนไหว และช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง ทำให้เขาหายจากโรค และกลับมาแข็งแรง สามารถสร้างสรรค์ผลงานเพลงได้อีกครั้ง
1. อาลัยพระธาตุพนม 2. คิดฮอดอ้ายแหน่เด้อ 3. นัดวันให้น้องรอ 4. สั่งฟ้าไปหาน้อง 5. เสียงแคนแทนใจ 6. ฝังใจเวียงจันทน์ 7. สามเกลือเที่ยวกรุง (2) 8. รำวงหาคู่ 9. ครวญหาอังคนางค์ 10. จนแท้น้อ 11. ร้องไห้ทำไม 12. บ่ลืมบ้านนอก 13. สัมภาษณ์เทพี 14. ป๋ากันเถาะ 15. ไก่จ๋าไก่ 16. คนอุ้มไก่ 17. กลับมาเถิดน้อง 18. นับหมอนรถไฟ 19. อีสานบ้านเฮา
รางวัลและเกียรติคุณที่ได้รับ
ผลงานบริการสังคม
อาลัยพระธาตุพนม - เทพพร เพชรอุบล
จนกระทั่งเมื่อวันที่ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2555 ที่ผ่านมา นางพิกุล บุญสุข หรือ โบตั๋น ภรรยาที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ได้นำตัวเทพพร ส่งโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อีกครั้งหลังจากมีอาการทรุดหนักเพราะอาการอัมพฤกษ์กำเริบ ประกอบกับมีภาวะโรคตับแทรกซ้อนด้วย และต้องนอนพักอยู่โรงพยาบาลนานนับเดือนถึงได้กลับไปอยู่ที่บ้าน ที่ ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และเทียวเข้าออกโรงพยาบาลตลอด 17 ปีที่ผ่านมา
จนกระทั่งเสียชีวิต เมื่อเวลา 20.14 น. วันที่ 22 ตุลาคม 2556 ในวัย 66 ปี
ทีมงานเว็บไซต์ ประตูสู่อีสาน : IsanGate.com ขอแสดงความอาลัยต่อการจากไปของขุนพลเพลง เทพพร เพชรอุบล และขอแสดงความเสียใจมายังครอบครัวบุญสุข ต่อการจากไปของนักร้อง/นักแต่งเพลงขวัญใจคนอีสานท่านนี้ด้วยครับ
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)