foto1
foto1
foto1
foto1
foto1
ช่วงนี้อากาศแปรปรวนนะครับ ฤดูหนาวแต่ร้อน และมีฝนตกกระจายทั่วประเทศเลยทีเดียว และตอนนี้ก็ฤดูเก็บเกี่ยวของชาวนาซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว แต่หันมาใช้รถเกี่ยวข้าวแทนซึ่งทำได้รวดเร็วกว่ามากๆ แต่ก็มีปัญหาตามมาคือข้าวเปลือกมันยังไม่แห้งเก็บเข้ายุ้งฉางไม่ได้ ต้องมีการตากแดดให้แห้งก่อนสัก 2-3 วัน พอมีฝนมาแบบนี้ก็แย่เลย บางรายก็เอาไปตากบนถนนหนทางซึ่งอันตรายมากๆ อย่าหาทำเด้อพี่น้อง มันผิดกฎหมาย...😭🙏😁

: Our Sponsor ::

adv200x300 2

: Facebook Likebox ::

: Administrator ::

mail webmaster

: My Web Site ::

krumontree200x75
easyhome banner
ppor 200x75
isangate net200x75

e mil

No. of Page View

paya supasit

ju juคันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า

        ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ##

mp3

monsit 01มนต์สิทธิ์ คำสร้อย

มนต์สิทธิ์ คำสร้อย มีชื่อเดิมว่า บุญเถิง แก้วศรีนวน เกิดเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2507 ที่ ตำบลนาอุดม อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เป็นบุตรนายหนูลา และนางยุ้น แก้วศรีนวน เกษตรกรปลูกปอและมัน ที่มีฐานะยากจน มนต์สิทธิ์จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านทรายไหลแล้ง หลังจบการศึกษาจึงเดินทางเข้ามาทำงานที่กรุงเทพ โดยหวังจะได้เป็นนักร้องตามคาเฟ่ แต่ก็ได้เป็นแค่เด็กรับรถ และพนักงานเสิร์ฟ แม้ในบางโอกาสจะได้ขึ้นร้องเพลงบ้างตอนที่นักร้องขาด ทำให้มนต์สิทธิ์ยังต้องตระเวนประกวดร้องเพลงตามที่ต่างๆ

กว่าจะมาเป็น มนต์สิทธิ์ คำสร้อย "ผมเคยเป็นเด็กรับรถ เคยเป็นเด็กเสิร์ฟอาหารมาก่อนครับ" นี่คือหนึ่งในจำนวนหลากหลายอาชีพ ที่นักร้องหนุ่มคนนี้ผ่านมาแล้ว และคงจะไม่แปลกนัก ที่เขามักจะรำลึกถึงอาชีพเก่าของเขาอยู่เสมอ เพื่อเตือนความทรงจำว่า ตัวเขาเองมาจากไหน และมายืนจุดนี้ได้อย่างไร

มนต์สิทธิ์ มีชื่อเดิมว่า "บุญเถิง แก้วศรีนวน" เกิดที่จังหวัดมุกดาหาร ที่บ้านที่อาชีพปลูกมัน ปลูกปอ ทำให้มีโอกาสฟังรายการวิทยุอยู่บ่อยๆ เมื่อมีการประกาศว่าจะมีการประกวดร้องเพลงที่ไหน ก็จะไปสมัครร้องเพลงที่นั่น กระทั่งสามารถติดอันดับ 2 จาก 20 คน โดยนำเอาเพลงของสายัณห์ สัญญา ขึ้นประกวด ในขณะที่อีกคนนำเพลงของยอดรัก สลักใจขึ้นร้องแข่ง จนในที่สุดกรรมการตัดสินใจไม่ได้ เลยรับทั้งสองคน

monsit 03การประกวดครั้งหนึ่งที่ มนต์สิทธิ์ ประทับใจอย่างมาก ก็คือ ครั้งที่ชนะได้ที่ 2 ในการประกวดรายการใหญ่ที่ ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เพราะที่นี่ได้พบกับ "มนต์รัก กลิ่นบุปผา" นักจัดรายการวิทยุของที่นี่ ซึ่งติดใจเสียงของมนต์สิทธิ์ จึงนำตัวมาอุปการะที่บ้านและทำเพลงให้ เพื่อนำไปเสนอตามค่ายเพลงต่างๆ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเสมอ ส่วนมากมักจะได้รับการติติงเรื่องหน้าตาว่าไม่หล่อ ไม่มีจุดขาย ประกอบกับช่วงนั้นมนต์สิทธิ์มีวัยมากถึง 29 ปีแล้ว

สถานการณ์จึงยิ่งสิ้นหวังไปกันใหญ่ ภายหลังจึงหายุทธวิธีใหม่ โดยการส่งเฉพาะเทปเสียงเข้าไปก่อน โดยไม่ส่งรูปตามไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เมื่อนายห้างบริษัทชัวร์ออดิโอ สนใจเสียงของมนต์สิทธิ์ และแม้ต่อมาจะเห็นหน้าตาคนร้อง ก็ตกลงใจรับโดยให้เหตุผลว่า "สงสาร ที่มีหน้าตาจ๋อยๆ จืดๆ" และด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่นับตั้งแต่ที่เข้าวงการวันแรกจนถึงปัจจุบัน มนต์สิทธิ์ยังไม่เคยย้ายสังกัดแต่อย่างใด

"ผมส่งรูปถ่ายที่ดีที่สุดของผมไปให้เขาดู พอเขาเรียกดู ก็ติว่า แก่ไปบ้าง ไม่หล่อเลย ไม่มีจุดขาย สู้เขาไมได้หรอก ยิ่งพอถามถึงอายุ ตอนนั้น 29 ปีแล้ว เขาก็ยิ่งร้องอี้!.."

ในที่สุด ก็เลยไม้เด็ด ด้วยการหลบหน้า แต่ให้มาเฉพาะเสียงเท่านั้น ซึ่งก็สำเร็จจนได้ เมื่อนายห้างเรียกตัวเข้ามาเป็นนักร้องหมอลำประจำค่ายเดียวกันกับ "สมจิตร์ บ่อทอง" ซึ่งตอนนั้นสมจิตร์ดังมาก "บุญเถิง" ใช้เวลาอยู่ในห้องอัด 2 ปีเต็มกระทั่งปี 2538 จึงออกอัลบั้มแรก "ขายควายช่วยแม่" พร้อมกับเดินสายพร้อมกับ สมจิตร์ บ่อทอง เพื่อโปรโมตเทป และให้เกิดความคุ้นเคยกับหน้าเวที หากวันนั้นเขาท้อแท้ ไม่อดทน วันนี้คงไม่มีมนต์สิทธิ์ คำสร้อย และบักเถิง แห่งมุกดาหาร ก็คงจะไปแบกลังน้ำปลาอยู่ที่ไหนสักแห่ง

monsit 02สิ่งที่เขาเตือนสติตัวเองเสมอก็คือ "เราคือคนของประชาชน เราต้องอย่าหยิ่ง การพูดจากับประชาชนต้องพูดดีๆ อย่าลืมบุญคุณ ต้องนึกเสมอว่าเรามาจากไหน ก้าวมาได้เพราะใคร และอย่าลืมบ้านเกิด เท่านี้ ก็จะเป็นขวัญใจประชาชนได้ตลอดแล้ว" หากจะเอ่ยถึงนักร้องลูกทุ่งที่เล่นลูกคอให้โดดเด่น เห็นทีต้องมีชื่อ "มนต์สิทธิ์ คำสร้อย" อยู่ในทำเนียบด้วยอย่างแน่นอน ก็เพราะลูกคอมหัศจรรย์นี่แหล่ะ ที่ทำให้เข้าแจ้งเกิดในวงการ แต่กว่าจะมาเป็นนักร้องดังขึ้นมาได้ เขาผ่านอะไรมามากมายกว่าที่เราคิด .....

"มนต์สิทธิ์ คำสร้อย" เข้าสู่วงการครั้งแรก ด้วยการประกวดร้องเพลงที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลฯ แต่การประกวดครั้งนั้น กลับได้แค่รางวัลที่ 2 แต่ก็เป็นเวทีที่ทำให้เขามีโอกาสได้พบกับ "คุณมนต์รัก กลิ่นบุปผา" ดีเจชื่อดังแห่งเมืองอุบลฯ "เขาเห็นว่าผมเสียงดี จึงนำผมไปเสนอค่ายเทป ทุกค่ายเห็นผมแล้วก็ไม่มีใครรับเขาบอกว่า ผมแก่ไปบ้าง หรือ หรือ หน้าตาหล่อหนีหมด บ้าง สุดท้าย นายห้างชัวร์ ออดิโอ ก็ตัดสินใจรับผมเข้าสังกัด ซึ่งก็มาทราบทีหลังว่า ที่เขารับก็เพราะสงสาร เห็นหน้ามันดูจ๋อยๆ จืดๆ ลองรับมันไว้หน่อยซิ" มนต์สิทธิ์เริ่มต้นเล่าถึงการไต่เต้าเข้าสู่วงการ

จากวันนั้น ถึงวันนี้ เป็นเวลา 9 ปีแล้ว ที่เขายึดอาชีพร้องเพลง ผลงานสร้างชื่อ คือ ชุดสั่งนาง ซึ่งเป็นงานเพลงชุดที่สอง และเพลงจดหมายผิดซอง ส่วนอัลบั้มแรกในชีวิตก็คือ เพลงชุด ขายควายช่วยแม่ ส่วน ชุดสามคือ คิดถึงจังเลย ชุดที่ 4 โกสัมพี  ชุดที่ 5 กำลังใจ, ชุดที่ 6 ดอกไม้ให้คุณ และล่าสุดคือ ชุดผ้าปูเตียง รวมทั้งหมด แล้วมี 7 ชุดด้วยกัน

เราถามคุณมนต์สิทธิ์ว่า ทำงานเพลงออกมาเยอะ และเคยโด่งดังสุดๆ มาแล้ว ทุกวันนี้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง คุณมนต์สิทธิ์ตอบว่า "ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ จากที่เราเป็นนายบุญเถิง แก้วศรีนวม ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่คราวนี้ดีใจมากที่ทำให้แฟนเพลงมีความสุข และอยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป"

monsit 06

แต่วงการนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ความดังมีขึ้นมีลง เพราะมีดาวดวงใหม่เกิดขึ้นมาประดับวงการอยู่ไม่ขาดสาย สิ่งเหล่านี้กระทบต่องานของเขาหรือไม่? "ไม่หรอกครับ ผมว่าต่างคนก็ต่างมีสไตล์ของตัวเอง ใครดังผมก็ดีใจด้วย ขอให้เป็นลูกทุ่งด้วยกัน อยากจะให้ลูกทุ่งอยู่ไปนานๆ ไม่ว่าค่ายไหน ผมก็ภูมิใจและดีใจด้วย"

monsit 04"ส่วนงานโชว์ตัว ก็ยังมีเรื่อยๆ ครับ ทางโปรดิวเซอร์ และผู้จัดการส่วนตัวเขาก็ยังรับอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับว่ามากเกินไป แล้วแต่เจ้าภาพครับ บางทีก็เรียกเฉพาะตัวฝน ธนสุนทร หรือเฉพาะมนต์สิทธิ์ครับ"

คุณมนต์สิทธิ์บอกว่า การแสดงหน้าเวทีส่วนใหญ่ จะเน้นการโชว์แดนเซอร์อลังการเหมือนที่อื่น แต่จะเน้นการร้องและพูดคุยให้ความบันเทิง พยายามเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เพราะเชื่อว่าแฟนเพลงคงชอบแบบนั้นมากกว่า ถึงได้เรียกใช้ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย แต่ถ้าเจ้าภาพอยากได้แดนเซอร์ ก็ต้องไปจัดหาว่าจ้างมาเอง ซึ่งพวกนี้ค่อนข้างมืออาชีพ สามารถเล่น เต้นได้กับทุกศิลปินอยู่แล้ว

"ส่วนใหญ่ผมจะถูกเชิญไปตามงานเปิดตัวแสดงสินค้ามากกว่า ส่วนการไปเป็นวง ผมว่าตอนนี้เศรษฐกิจคงไม่เหมาะแน่ เพราะถ้ามีวงต้องรับผิดชอบเยอะ ปวดหัวครับ"

มนต์สิทธิ์ คำสร้อย อยู่ในสังกัดชัวร์ ออดิโอ มาโดยตลอด และยังไม่คิดจะเปลี่ยนค่ายเหมือนนักร้องคนอื่นๆ ด้วยเหตุผลที่ว่า ค่ายนี้คือผู้ที่ยอมรับเขาเข้ามาเป็นนักร้อง หลังจากถูกค่ายอื่นปฏิเสธมาแล้ว ที่สำคัญ ชัวร์ออดิโอ มีวิธีการดูแลศิลปินในค่ายอย่างยุติธรรม การดูแลดีทุกอย่าง ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ดีกับทุกคน เป็นกันเอง ซึ่งทุกสัปดาห์ จะมีการประชุมกัน ทำให้ศิลปินอยู่ในขอบเขตไม่ออกนอกลู่นอกทาง

monsit 05

สำหรับผลงานล่าสุด ของมนต์สิทธิ์ คำสร้อย คือ ชุด ผ้าปูเตียง ซึ่งได้ ครูลพ บุรีรัตน์ เป็นคนแต่งเพลงที่ชื่อเดียวกับอัลบั้ม มนต์สิทธิ์บอกว่า ดีใจมากที่ได้ร้องเพลงของครูลพเป็นครั้งแรก เพราะรู้ว่าเป็นนักแต่งเพลงคู่บุญของพุ่มพวง ดวงจันทร์ มาก่อน เรียกได้ว่าแต่งเพลงให้พุ่มพวงร้องจนดังมาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนแนวเพลงยังเป็นแนวของมนต์สิทธิ์เหมือนเคย คือ เพลงลูกทุ่งหวาน แต่ไม่เน้นลูกคอมากเหมือนเพลงสั่งนาง

ชีวิตครอบครัว

ในระหว่างที่ มนต์สิทธิ์ กำลังโด่งดังสูงสุด ได้เกิดกรณีที่สาวน้อยนางหนึ่ง อ้างว่าลูกสาวของเธอเกิดมาจากมนต์สิทธิ์ โดยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในระหว่างที่เธอทำงานเป็นหางเครื่องในวงดนตรีสมจิตร บ่อทอง และมนต์สิทธิ์เป็นนักร้อง หลังจากผลการพิสูจน์ยืนยันว่าเด็กเป็นลูกของมนต์สิทธิ์จริง มนต์สิทธิ์จึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กแต่โดยดี ลูกสาวของมนต์สิทธิ์ คนนี้ชื่อ น้องเปีย น.ส.ปิยะพร แก้วศรีนวน

monsit 07

ในเดือนตุลาคม 2556 มนต์สิทธิ์ออกมายอมรับว่า ตัวเองเป็นเกย์ ผ่านรายการโทรทัศน์ทางช่องเคเบิลทีวี

รางวัลเกียรติยศ

  • รางวัล “พระพิฆเนศทองพระราชทาน” ครั้งที่ 1 ประเภท ผู้ขับร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยม จากเพลง “ขายควายช่วยแม่” (ปี 2539)
  • “บุคคลแห่งปี 2539” ( Man of the year’96) จาก นสพ. เดอะ เนชั่น
  • รางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งที่ 11 (2 มีนาคม 2540) สาขามิวสิกวิดีโอดีเด่น จากเพลง “จดหมายผิดซอง”
  • รางวัลครอบครัวขวัญใจประชาชน จากการจัดของ บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) ในงาน "ครอบครัวในดวงใจ" ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2540
  • รางวัล “พระพิฆเนศทองพระราชทาน” ครั้งที่ 2 ประเภท ผู้ขับร้องเพลงลูกทุ่งยอดนิยมจากเพลง “สั่งนาง” (ปี2540)
  • "ผู้แต่งกายดีเด่น" ประจำปี 2540 จากการคัดเลือกของสมาคมช่างตัดเสื้อไทย ประเภทบันเทิง สาขานักร้อง
  • มิวสิกวิดีโอดีเด่นเพลง “ขายควายช่วยแม่”, “สั่งนาง” และเพลง “กำลังใจ” ร้องโดย “มนต์สิทธิ์ คำสร้อย” จากการคัดเลือกของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) เมื่อวันพุธที่ 29 สิงหาคม 2544

 

สั่งนาง โดย มนต์สิทธิ์ คำสร้อย

redline

backled1

mp3

sunareeสุนารี ราชสีมา

สียงเพลง... "กราบเท้าย่าโม" และ "โคราชบ้านเอ็ง" ที่ สุนารี ราชสีมา ขับขานเรื่องราวทุกข์ สุข เศร้า ของหนุ่มสาวแห่งท้องทุ่ง บ่งบอกบางสิ่งบางอย่างให้เราทราบได้ว่า นักร้องสาวเสียงทองผู้นี้ ก็เป็นหนึ่งในลูกหลานย่าโม...เมืองโคราช แม้ว่าชีวิตเธอต้องระหกระเหินออกจากบ้านหนองหอย ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวดังเปรี๊ยะๆ

สุนารี ราชสีมา มีชื่อจริงว่า ทิม สอนนา (ชื่อเล่น: สุ) เป็นชาวอำเภอโนนไทย (ปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็น อำเภอพระทองคำ) จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านทำนบพัฒนา เป็นบุตรของนายเทียม และ นางยม สอนนา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2511 เริ่มเข้าสู่การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งเมื่ออายุ 13 ปี เพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ขณะมีอาชีพคนงานโรงงานเย็บผ้า จนได้เข้าประกวดร้องเพลงในรายการ "ชุมทางคนเด่น" โดยใช้ชื่อ "สุนารี ราชสีมา" ซึ่งเป็นชื่อของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ได้รับตำแหน่งสูงสุดเป็นรองชนะเลิศประจำปีฝ่ายหญิง พ่ายแพ้ให้กับ น้ำอ้อย พุ่มสุข แต่ สุขสันต์ หรรษา นักจัดรายการวิทยุ มีความชื่นชอบในน้ำเสียงของสุนารี แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยดีนัก จึงชักชวนให้เข้ามาเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียงในที่สุด

สุนารีบันทึกเสียงเพลงชุดแรกคือ "ลาโคราช" (แก้กับเพลง น้ำตาหล่นที่โคราช ของ แสนสุข แดนดำเนิน) และชุดที่สอง "กลับโคราช" โดยใช้ชื่อ "ทับทิม นิยมทอง" แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเป็นเพลงเร็ว เมื่อมาอยู่ในสังกัดชัวร์ออดิโอ โดยกลับมาใช้ชื่อ สุนารี ราชสีมา จากการแนะนำของ ชลธี ธารทอง จึงเริ่มบันทึกเสียงเพลงชุด "มือถือไมค์ไฟส่องหน้า" จนกระทั่งเพลง "กลับไปถามเมียดูก่อน" ซึ่งเป็นเพลงจังหวะช้า กลับได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับเพลง "กราบเท้าย่าโม" และ "สุดท้ายที่กรุงเทพ" ทำให้สุนารีครองตำแหน่ง ราชินีลูกทุ่งนับแต่นั้นมา และเป็นนักร้องต้นแบบให้กับผู้สมัครเข้าประกวดร้องเพลงลูกทุ่งรุ่นหลัง โดยที่สุนารียังคงมีผลงานเพลงออกมาสม่ำเสมอ และสามารถร้องได้หลากหลายแนว นอกจากนี้ยังมีผลงานการแสดงละคร และภาพยนตร์อีกด้วย

sunaree bw 1ชีวิตที่โลดแล่นอยู่กับคณะดนตรีลูกทุ่งมากว่า 30 ปี ของ สุนารี ราชสีมา เริ่มจากวันที่ก้าวขึ้นเวทีประกวดเสียงร้องตั้งแต่อายุ 13 เพื่อเติมเต็มความความพร่องทางเศรษฐกิจให้ครอบครัว นับว่าน่าสนใจพอดู และจากก้าวนั้นเองที่ทำให้สาวโคราชคนนี้ต้องจากบ้านเกิดมานานเต็มที

สุนารี ราชสีมา ผู้หญิงนิ่งๆ ที่ดูซื่อๆ แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนโยน และใจดี ปนเปไปกับมาดสาวสมัยในเสื้อผ้าแบบเท่ เข้ากันดีกับรูปร่างสูงใหญ่ของเธอ จะมาเล่าถึงเรื่องราวของสาวโคราชอีกคนบนเวทีแห่งชีวิต

เอาคำว่า "ราชสีมา" มาใช้เพื่อให้รู้ว่าเป็นคนโคราชใช่ไหม?

คงอย่างนั้นมั้งคะ เพราะว่าสมัยก่อน คนที่เป็นนักร้องเขาจะใช้ชื่อกันแบบว่า ศรเพชร ศรสุพรรณ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ แสนสุข แดนดำเนิน เหมือนกับว่าเป็นคนจากไหนก็เอาชื่อบ้านเกิด ชื่อจังหวัดมาใช้ อะไรทำนองนี้

ชื่อนี้สุใช้มาตั้งแต่ตอนที่ประกวดในรายการ ชุมทางคนเด่น ก็ไม่รู้นะว่าจะชนะ หรือจะได้เป็นนักร้องจริงๆ กับเขาหรือเปล่า แต่เราอยากเหมือนนักร้องมากที่สุด เลยใช้ชื่อนี้ แล้วจริงๆ ชื่อของสุก็ไม่ใช่ชื่อนี้นะ ชื่อนี้เป็นชื่อที่ขอยืมเพื่อนสนิทมาใช้ เพราะรู้สึกว่าเราชอบ อยากมีชื่อแบบนี้บ้าง พอขึ้นร้องเพลงเลยใช้ชื่อนี้เลย แต่ขนาดว่าเรานามสกุลแบบนี้ ร้องเพลงย่าโม ร้องเพลงที่เกี่ยวกับโคราชตั้งหลายเพลง ยังมีคนเคยมาถามว่าเป็นคนโคราชจริงๆ หรือเปล่า...

ในฐานะที่เป็นชาวโคราชคนหนึ่ง พูดถึงโคราชให้ฟังกันหน่อย

"สุออกจากโคราชมาตั้งแต่อายุ 13 เพราะพอจบ ป.6 พี่สาวก็ไปรับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะที่บ้านมันค่อนข้างจะแล้งน่ะ ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะถามว่ารู้จักที่ไหนบ้างในโคราชนี่บอกได้เลยว่ารู้น้อยมาก นอกจากที่บ้านเกิดแล้วก็ไม่เคยไปไหนเลย"

สุเกิดที่บ้านหนองหอย เป็นหมู่บ้านที่ไกลจากตัวเมืองไปอีก 50 กิโลฯได้ แต่ก่อนอยู่ในอำเภอโนนไทย แต่ปัจจุบันแยกมาเป็นกิ่งอำเภอพระทอง สมัยก่อนที่นั่นลำบากมาก น้ำไฟไม่มี เพิ่งมาเจริญจริงๆ เมื่อสัก 15 ปีก่อนนี่เอง สมัยนั้นจะใช้น้ำต้องเอาปี๊บไปตักน้ำบ่อเข็นใส่รถมาจากหมู่บ้านอื่นไกลๆ

แล้วเชื่อไหมว่ามันแล้งอยู่แต่อีตรงบ้านเรา (หนองหอย) ที่เดียวนะ หมู่บ้านรอบๆ ไม่เห็นมีใครแล้ง ฝนตกเป็นปกติ ญาติพี่น้องที่ตำบลอื่น หมู่บ้านเขามาเยี่ยมไม่เห็นมีใครบ่น แถมมีนั่นนี่หิ้วมาฝากอุดมเชียว ยังสงสัยเหมือนกันว่าทำมั้ย ! (เสียงสูง) ต้องมาเจาะจงที่หมู่บ้าน เคยคิดว่าที่หมู่บ้านมันคงมีตัวแล้งหรือเปล่า และไอ้ตัวแล้งนี่จะเป็นเราซะเองก็ไม่รู้ เพราะพอมากรุงเทพฯ แล้วพ่อแม่เล่าว่าก็ไม่แล้งเท่าไหร่นะ แล้วแปลกด้วย ตอนหลังนี่มาเป็นนักร้องแล้วกลับบ้านทีไรฝนตกทุกที แม่ยังบอกอีนางมาบ่อยๆ นะลูกมาแล้วฝนตกดี" (หัวเราะขันตัวเอง)

sunaree 7

ฝนแล้งอย่างนั้นกระทบความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง?

“มันก็ลำบากเหมือนกัน แต่ลำบากอย่างนั้นมันแค่ไม่ได้กินดีอยู่ดี เทียบกับคำว่าลำบากในกรุงเทพฯ แล้วมันคนละอย่างกัน เพราะคนบ้านนอกลำบากอย่างไรก็ยังมีอยู่มีกิน เราพอหาเก็บพริกเก็บผักกินได้ ปีไหนฝนดีมีน้ำมีปลาก็จะวิดปลามาทำปลาร้าเก็บไว้กินข้ามปีได้ แต่ลำบากในกรุงเทพฯนี่ ถูกตัดน้ำตัดไฟ เวลาอยากอาบน้ำก็ต้องไปอาบที่คลอง น้ำก็ไม่สะอาด อาบแล้วยังมาคันเนื้อคันตัว ต้องซื้อเทียนมาจุดอยู่กันในตึกแถว นอนมองเพดานไป

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามองเห็นได้คือเพดานใช่ไหม แต่ในใจนี่เห็นเป็นภาพชีวิตสมัยอยู่บ้านนอกทั้งนั้นเลยนะ อยู่บ้านทำไร่ทำนา ขี่ควาย เลี้ยงควายให้พ่อแม่ ตกเย็นกินข้าว คืนไหนเดือนหงายพ่อจะพาออกมานอนนอกชานเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ใครอยากกินของหวานก็เดินไปหักข้าวโพดในไร่มาต้มกิน มีตังค์หน่อยไปซื้อน้ำตาลมาคลุกกินกับมะพร้าวขูด เพราะบ้านนอกมีมะพร้าวติดบ้านกันอยู่แล้ว พูดถึงความลำบากของเราสมัยนั้นคือ การที่เราต้องไปตระเวนหาแลกหาซื้อกล้าที่จะเอามาปลูกข้าว คือต้นข้าวอ่อนนั่นล่ะ

พูดจริงๆ เราก็ชินกับมันเหมือนกันนะ รู้สึกผูกพันกับมันถึงเราจะค่อนข้างลำบาก ไม่อยากมาเท่าไหร่หรอกกรุงเทพฯน่ะ ออกจากบ้านมาเหมือนใจจะขาดรอนๆ เลย ช่วงมาใหม่ๆ เวลาเช้าๆ ค่ำๆ จะนั่งร้องไห้ทุกวัน เวลาพ่อแม่มาเยี่ยมจะตามติดแจ ด้วยความคิดถึง จะไปไหนหรือเข้าส้วมก็แทบจะขอตามเข้าไปด้วยเลย"

sunaree 2เข้ากรุงเทพฯมาตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ...คิดว่าจะมาทำงานอะไร?

"แรกเลยมาอยู่ช่วยที่บ้านพี่สาวก่อน เพราะตอนที่มานั่นหัวโล้น ก็อยู่ช่วยพี่สาวขายส้มตำ ขายของไปก่อน แต่เขาว่า จะให้ไปทำงานที่โรงงานเย็บผ้า กรุงเทพฯ เป็นอย่างไรเราไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าเราเองเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนี่ มากรุงเทพฯ แล้วไม่มีความมั่นใจเลย รู้สึกว่าตัวเองเป็นอีเสี่ยว เป็นอีเด็กบ้านนอก เพราะตอนนั้นมาก็ยังพูดภาษาโคราชอยู่ แล้วสมัยนั้นคนกรุงเทพฯ เห็นคนอีสานก็จะล้อแล้ว ว่าเสี่ยวบ้าง...อะไรบ้าง ตัวเราเองยังมาพูดเหน่อ เป็นภาษาโคราชอีก แถมยังนุ่งผ้าถุง หัวโล้นมาอีก เขาก็มองเราเป็นลาว"

ทำไมหัวโล้น...?

"โกนเหาทิ้งค่ะ (นึกภาพเปิ่นๆ ของตัวเองแล้วนึกขันจนต้องหัวเราะยกใหญ่) พอดีโกนก่อนพี่สาวไปรับนิดเดียว แล้วพี่เขาจะมารอเราก็ไม่ได้ เลยต้องมาทั้งโล้นๆ อย่างนั้น

มาถึงพวกเด็กๆ ผู้ชายในซอยมันก็คงแปลกตามัน ก็จะชอบมาล้อ แบบว่าพยายามให้เราพูดเหน่อๆ ของเราออกมา จะทำเป็นมาป้วนเปี้ยนหน้าร้านให้เราถาม พอเราถามว่า ซื่ออ๊ะไหร ปั๊บ ก็จะเฮหัวเราะเยาะสนุกกันใหญ่ จริงๆ แค่มาซื้อน้ำขวดเปิดตู้เย็นหยิบเอาเองแล้ววางตังค์ไว้ก็ได้ เพราะเขารู้ราคากันดีอยู่แล้ว แต่จะต้องมาทำเป็นให้เราต้องพูด"

"รู้สึกเจ็บปวดนะว่า โอ๊ย ! ทำไมช่างเห็นเราเป็นตัวตลก แค้นด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเขา ตอนหลังๆ พี่สาวเขารู้ก็บอกว่าถ้าอายก็หัดพูดกลาง แต่ถ้าจะพูดโคราชก็ไม่ต้องอาย เพราะเราพูดอย่างบ้านเรา ไม่ต้องอาย"

แล้วไปไงมาไงสาวโรงงานเย็บผ้าถึงกลายเป็นนักร้องไปได้ "ยังไม่ได้เย็บผ้าเลยค่ะ ตอนนั้นเขาให้ไปหัดตัดด้ายอยู่ก่อน ทำอยู่ได้สัก 2 เดือน รู้สึกว่านั่งทำงานที่พื้นปูนนี่มันเย็น ทำให้เราปวดขา พอบอกพี่สาวเขาก็พาไปฝากงานใหม่ เผอิญเขามีเพื่อนเป็นคนรับเหมาทำกับข้าวให้คนในโรงงานกิน เราก็ไปเป็นลูกมือหั่นผัก ล้างผักให้เขา ได้ค่าตัววันละ 20 บาทเท่ากับไปตัดด้าย แต่อันนี้ดีกว่าหน่อยตรงที่วันไหนกับข้าวเขาเหลือเขาให้เอากลับมากินที่บ้านได้ อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีคนไปตามถึงบ้านพี่สาว บอกว่าจะตามให้ไปร้องเพลงอัดแผ่น ! ...

"เขาเป็นนักจัดรายการ ชื่อคุณสุขสันต์ หรรษา หรือจ่าประจวบ เสริมสุข เขาไปบอกว่า อยากปั้นเรา เห็นเราจากการประกวด ตอนนั้นที่สุมากรุงเทพฯ แล้วเราก็ได้มาประกวดอีกรอบ เป็นรอบที่หลังรวมแชมป์จากจังหวัดต่างๆ มาประกวดรอบในกรุงเทพฯ อีกที คราวนี้ได้แค่รองชนะเลิศ เลยเซ็งๆ อยู่ ผิดหวังที่เราไม่ได้เงินแสนไปให้พ่อแม่ ให้ถ้วยมาใบเดียวเท่านั้น"

แล้วคราวชนะที่โคราชได้รางวัลเท่าไหร่?

"ตอนนั้นได้ร้อยหนึ่ง โอ๊ย! ดีใจมากเลยนะตอนนั้น เพราะต้องนั่งรถจากหนองหอยมาประกวดกับเขา ทั้งที่ไม่มีเงินค่ารถอะไรหรอก ด้วยความอยากไปเลยขโมยข้าวเปลือกแม่ขายไป 2 ปี๊บ ได้เงินมาสัก 37 บาทได้ ก็เอามาเป็นค่ารถไปประกวด

พอมาถึงโคราช รถจะวิ่งเข้า บขส. ต้องเดินออกมาที่เวทีประกวดก็จะผ่านอนุสาวรีย์ย่าโม นั่นคือวันที่ได้ไหว้ย่าโมครั้งแรก ยกมือไหว้ไกลๆ ขอย่าว่า ให้ลูกชนะด้วยเถิด ไม่ได้มีดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปจุดไหว้อะไร ตอนหลังจะเข้ากรุงเทพฯ ถึงได้เข้าไปไหว้ลาจริงๆ

sunaree 8

ที่ขออย่างนั้น เพราะว่าวันนั้นเราต้องชนะให้ได้นะ คิดดูสิ ชั่วโมงนั้นถ้าไม่ชนะก็ไม่รู้ว่าจะกล้ากลับบ้านหรือเปล่า เพราะขโมยข้าวแม่ขายเอาตังค์มาเป็นค่ารถ จึงต้องชนะให้ได้รางวัลไปใช้คืนแม่น่ะ จำได้เลยว่าข้าวก็ไม่มีตังค์ไปกิน เพราะพาน้องชายไปเป็นเพื่อนเลยให้น้องกินคนเดียว ตัวเองตอนหิวออกมาเปิดน้ำก๊อกที่ข้างหลังเวทีกิน ไม่ได้กินอะไรเลย

หกโมงเย็นเขาถึงจะตัดสินก็พอดีรถคิวบ๊วยหมด เดินมาหน้า บขส. หอบข้าวของรางวัลมาพะรุงพะรัง แฟ้บ ยาสีฟัน สบู่ ตอนนั้นได้ยี่ห้อนกแก้วนะ แล้วก็แป้งสปริงซอง...พวกสามล้อเห็นก็เวียนมาถามไปไหมๆ แต่เราไม่ขึ้นหรอก ไม่อยากจะจ่ายเงิน ก็เลยเดินกลับกันเอง

พอเขาไปบอกว่าจะปั้นให้เป็นนักร้องดีใจไหม?

"ไม่เลย ตกใจมากกว่าว่าเขามาได้อย่างไร ยิ่งพอเขาบอกว่าจะเอาไปปั้นเป็นนักร้องยิ่งไม่สนใจเลย"

ทำไมอย่างนั้น

"เนื่องจากว่าเราเป็นคนที่สนใจวงการลูกทุ่งอยู่ไง ก็จะติดตามอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับแวดวงนี้ แล้วจะเจอว่าเขามีคำฮิตๆ พูดกันอยู่ว่า เป็นนักร้องนี่ต้องถูกปล้ำก่อนถึงจะถูกปั้น ...เป็นอะไรที่ฝังใจเราอยู่ ทำให้ไม่เคยคิดอยากเข้าไปเป็นนักร้องเลย ยิ่งเรื่องมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งไม่เคยคิด (กลัวถูกปล้ำ?) ใช่ (หัวเราะ...แซวตัวเอง) คิดว่าตัวเองสวยน่ะ"

กลัวอย่างนั้นแล้วไปประกวดร้องเพลงทำไมล่ะ

"...สำหรับสุ นี่คือวิธีที่ทำให้เราหาเงินช่วยครอบครัวได้"

sunaree 9

ตกลงว่าอย่างไรกัน

"ก็ถามเขาว่าต้องเป็นเมียคุณก่อนหรือเปล่าถึงจะมีแผ่นเสียงออกมา... โอ๊ย ! พอพูดอย่างนั้น เขายกพระในคอขึ้นมาสบถสาบานวุ่นวาย ถ้าเป็นคนอย่างนั้นขอให้ฉิบหายอย่างโน้นอย่างนี้ แต่เรายังไม่ไว้ใจ เลยบอกว่าต้องถามพ่อแม่ก่อน พอไปหาพ่อแม่ๆ ก็บอกแล้วแต่เรา แต่พี่สาวเขาเชียร์เต็มร้อย เลยคิดว่า เออ...ลองดูก็แล้วกัน ตกลงเขาไปเพราะแรงยุของพี่สาว

แรกๆ ที่ไป บริษัทอยู่ปากคลองตลาด พี่สาวก็จะพานั่งรถเมล์สาย 60 มีนบุรี-ปากคลองตลาดทุกวัน แต่กว่าจะถึงก็เมารถอย่างแรงจนอ้วกแตกไปทุกวัน พอถึงบริษัทก็สลบไสลไม่มีแรงทำอะไรแล้ว อาเขาเลยให้ไปอยู่ที่บ้านเขา

แรกๆ ก็ระแวงเหมือนกัน แต่พี่สาวให้หลานไปนอนเป็นเพื่อน แล้วอยู่ไปๆ ก็เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาก็คนบ้านนอกเหมือนเรานี่ล่ะ กินอยู่กันอย่างไร มีความเป็นอยู่แบบไหน นอกจากลูกเมีย ก็มีลูกน้องในบ้านอีกหลายคน เพราะตอนนั้นอาเขาทำวงชาตรี ศรีชล กับแสนสุข แดนดำเนิน อยู่แล้ว สักพักก็วางใจ..."

อยู่บ้านนี้นานไหมกว่าจะได้ออกเทป?

ไม่นานค่ะ ไปพอมีเพลงก็ได้ร้อง แต่ว่ายังไม่ได้เป็นหัวหน้าวง ไปเป็นลูกวงเขาก่อน แต่ได้อัดแผ่น มีเพลงของเราร้อง แต่ว่าไม่ได้โด่งดัง ไม่ใช่เพลงเชียร์

เพลงแรกที่ได้บันทึกแผ่นเสียงชื่ออะไร...?

"ลาโคราช   นั่งรถทัวร์ด้วยใจคะนึง ร้องแก้กับเพลง น้ำตาหล่นที่โคราช ของนักร้องชาย

ซึ่งตอนนั้นเพลงนี้ดัง เลยทำให้มีคนรู้จัก แต่เรายังไม่ดัง ช่วงที่อยู่กับอาจวบก็จะร้องไปเรื่อย บางทีไปอัดเพลงแลกข้าวสารก็มี เพราะว่าเขาไม่มีเงินให้ ได้อะไรต้องเอา เพราะที่บ้านอยู่กันเยอะ ทำอะไรได้ก็ช่วยๆ กัน พอชุดที่สองชื่อ กลับโคราช ...กลับโคราชเถอะ เรามันเซอะอยู่ไปมันก็เซ็ง..."

เป็นเพลงที่เกี่ยวกับโคราชทั้งนั้นเลย ตั้งใจปั้นที่ความเป็นคนโคราชกันเลยหรือ?

"ยังไงไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเป็นความคิดของอาเขากับอาจารย์ชลธี ธารทอง นักแต่งเพลง เราไม่ประสีประสาอะไรเขาให้ร้องก็ร้อง มานึกสมัยนี้ยังขำเลยว่ารถไฟอะไรของเขาแล่นปราดๆ เขาเขียนมาให้ร้องนะ ...รถไฟแล่นปราดๆ กลับโคราชบ้านเอ็ง... คิดว่าเขาคงจะให้เข้าสัมผัสกับโคราชนะ เพราะถ้ารถไฟแล่นฉึ่กฉั่กคงไม่เข้าโคราชแน่เลย" (ยิ้มอารมณ์ดี)

ชุดไหนถึงดัง? "หลังจากนั้นอีกหลายชุด ตอนไปอยู่กับบริษัทชัวร์ออดิโอ ซึ่งตอนที่มาอยู่กับชัวร์ฯ นี่เขาบอกต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อเดิม คือสุนารี ราชสีมา หลังจากที่อาเขาเคยให้ใช้ ทับทิม นิยมทอง นายห้างชัวร์ฯ เขาบอกว่าไม่งั้นคนจะไม่รู้จักเลยว่า เราเป็นนักร้องชนะการประกวดมา แต่เปลี่ยนชื่อแล้วก็ยังไม่ดัง !"

sunaree r1

จับจุดได้ไหมว่าทำไมถึงไม่ดังสักที ทั้งที่แต่ละเพลงที่พูดถึงก็เพราะและทุกวันนี้ก็คือเพลงดังเพลงหนึ่ง

"ค่ะ ตอนที่มาทำชุด สุดท้ายที่กรุงเทพฯ นี่ มีเพลงในชุดชื่อ กลับไปถามเมียคุณดูเสียก่อน เพลงนี้คนฟังแล้วเขาฟีดแบกมาที่บริษัทว่า ดี เขาชอบ ทำให้รู้สึกว่าเขาชอบเพลงช้าของเรา ตอนหลังก็เลยทำเพลงช้าออกมาอย่าง รายงานหัวใจ ทางสายใหม่ พวกนี้ เริ่มดังแล้ว

จริงๆ แล้วกี่ชุดๆ ที่ทำออกมาจะเป็นเพลงเร็ว เพลงเต้น เพราะตอนนั้นตลาดลูกทุ่งเป็นของพุ่มพวง เพลงกระแซะกำลังดัง เลยตามตลาดพุ่มพวง เฮทำเพลงเต้น เพลงเร็วกัน เราก็หลงทางไปกับเขาด้วย บังเอิญว่าในชุดที่เราทำเพลงเร็วมันก็มีเพลงฟังอยู่บ้าง ชุดละ 2-3 เพลง แต่ไม่ได้โปรโมท ต้องคนที่ซื้อเทปถึงจะได้ฟังเพลงช้าของเรา ซึ่งเขาฟังแล้วชอบก็บอกทางบริษัทว่าเขาชอบสุนารีแบบนี้มากกว่า

ทีนี้พอเริ่มดังของเราเอง เพลงเก่าๆ ที่ร้องไว้ชุดก่อนๆ เลยได้ทยอยมาดังตามน้ำทีหลัง กราบเท้าย่าโม ก็เหมือนกัน ทำไว้ตั้งแต่ชุดที่ 3 หรือที่ 4 ถึงมาดังทีหลัง"

sunaree 4เคยถามคุณสุขสันต์ หรรษา (ผู้ชักนำมาเป็นนักร้อง) ไหมว่า ทำไม? ถึงเลือกที่จะไปตามเรามาปั้น

"อืมห์ ! ไม่เคยนะ แต่รู้สึกว่าอาเขาจะเชื่อมั่นในตัวสุมาก (ว่าจะดังได้?) ใช่ เพราะสมัยที่อยู่กับแกแล้วก็ไม่ดังสักที จนเราท้อนะ บอกแกว่าอาหนูคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านแล้วล่ะ อยากกลับไปทำไร่ทำนาอย่างเก่า อาเขาบอกว่าอย่าเพิ่งเลย อดทนไปก่อนเถอะ แกว่าถ้าคิดถึงบ้านจะไปเยี่ยมก็ไป เจอพ่อแม่หายคิดถึงแล้วกลับมานะ ...เขาไม่ยอมให้เลิก ถามว่าทำไมล่ะอา แกเคยบอกว่า วันหนึ่งเอ็งต้องดัง สักวันหนึ่งแม้นั่งอยู่ในส้วมก็จะมีคนร้องเพลงของเอ็งให้ได้ยิน แล้วจริงๆ นะ มีอยู่วันหนึ่งกำลังเดินสาย แล้วแวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ขณะที่เรากำลังคร่ำเคร่งกับธุระของเรา ไอ้ห้องข้างๆ ก็เสียงแจ๋วขึ้นมาเลย ...สองมือกราบลงที่ตรงเหนืออาสน์ แทบบาทย่าโม... โอ๊ย ! นึกถึงคำพูดอาเขาแล้วขนลุกขึ้นมาเลย"

จากท้องนาสู่ฉายาราชินีลูกทุ่งยุคนี้ ถึงจุดสูงสุดของสุนารีแล้วหรือยัง?

"ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะไปอย่างไร ขนาดไหน แต่เท่าที่ผ่านมาสุพูดได้ว่าในหน้าที่การงาน ในสายอาชีพของสุ รู้สึกว่าเป็นเกียรติสูงสุด มีบุญที่สุด ที่ได้ร้องเพลง ส้มตำ พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพฯ แล้วต่อมาก็ได้ร้องในชุดมณีพลอยร้อยแสง ที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแต่งร่วมกับสมเด็จพระเทพฯ

แล้วก็วันที่ร้องเพลงส้มตำถวายหน้าพระที่นั่ง พระราชินี ในงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทยที่ศูนย์วัฒนธรรม ร้องเสร็จ ผู้จัดเขาก็มาบอกว่า ทรงให้เข้าเฝ้า ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน ร้องเสร็จลงมาก็ไปเข้าเฝ้าตื่นเต้นมาก คลานเข้าไปนี่รองเท้าหลุดเลย พอเข้าไปใกล้ๆ พระเทพฯท่านก็บอกแม่ท่านนะว่า นี่ไง คนที่ร้องเพลงที่หม่อมฉันแต่งอะไรทำนองนี้ พระราชินีท่านก็คุยสุภาพมาก ประทับใจไม่ลืมเลย ทุกวันนี้ยังเล่าให้ลูกฟังอยู่เลย ว่าแม่นี่ได้เข้าเฝ้าพระราชินีมาแล้วนะลูก"

sunaree 5นอกจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีครั้งไหนที่ประทับใจคุณสุอีก

"เคยไปร้องเพลงถวายในงานปาร์ตี้ของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ สมัยที่ท่านยังอยู่ที่อเมริกา เขาบอกว่างานเริ่ม 6 โมงเย็น สามทุ่มจะเลิก แต่ร้องไป 60 เพลง ตีสามยังไม่เลิกเลย โอโห ประทับใจมาก งานนี้ไปไม่ได้ค่าตัวนะคะ แต่ว่าการบินไทยที่เป็นคนจัดงานเขาอัพเกรดที่นั่งขากลับให้เป็นชั้นเฟิร์สคลาส นอนตีลังกากลับมาเลย"

"เขาเชิญไปงานวันเกิดของหลวงพ่อวัดไทยที่อเมริกา พระเทพประสิทธิมนต์ วัดพุทธาราม หลวงพ่อองค์นี้ท่านชอบเพลงสุชุดคุณแม่ยังสาว ประมาณเพลงเก่าเอามาร้องใหม่น่ะ เขามาว่าให้ไปงานนี้ ซึ่งการไปงานนี้ทำให้เรารู้ว่ามีช่องทางทำกินได้เงินดีมากเลยที่เมืองนอกน่ะ พอเราเล่นงานของหลวงพ่อเสร็จ เขาให้ไปต่อที่งานปาร์ตี้ของทูลกระหม่อม ไปแล้วก็ทำให้มีคนอยากให้ราไปโชว์อีกหลายที่เลย แต่ทีนี้เราไม่ได้เตรียมตัวไป มีงานรออยู่ที่เมืองไทย เลยนัดกันว่ารับงานไว้ที่ไหนบ้างว่ามา แล้วอีก 6 เดือนเคลียร์งานที่เมืองไทยเสร็จเราจะไป คราวนี้พอไปอีกที โอโห ! รับเงินกันไม่หวาดไม่ไหว เที่ยวเดียว 3 เดือน ได้เงินกลับมา 8 ล้านบาท"

มาถึงตรงนี้อย่างทุกวันนี้ เคยมองย้อนกลับไปคิดถึงชีวิตแบบเก่าๆ ที่ยังไม่เป็นนักร้องบ้างไหมว่าเราได้อะไรจากสิ่งที่ทำอยู่

"อย่างน้อยที่สุด สุว่าตัวเองได้เข้ามาฝึกความอดทน ได้ประสบการณ์ ได้เพื่อนแม้ว่าบางคนอาจจะดีไม่ดีไม่เท่ากัน ทั้งที่จริงใจและไม่จริงใจ แต่เราก็มีความสุขกับงานนี้ จากเดิมที่ไม่คิดอยากเป็นนักร้องอาชีพโชคชะตาก็ได้พาเราเข้ามา แล้วเราก็รักงานนี้ เหมือนมันซึมเข้าไปเป็นครึ่งหนึ่งในตัวเราแล้ว

อีกอย่างจากที่เคยถูกล้อว่าพูดโคราชออกเสียงเหน่อๆ สุเห็นว่าเดี๋ยวนี้คนกรุงยอมรับคนอีสานกันมากขึ้น ตอนนี้กลายเป็นว่า คนกรุงเทพฯ เองก็สนุกที่จะพูดอีสาน ใครที่ฟังอีสานไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักคำอีสาน เหมือนว่าคุณไปอยู่ที่ไหนมา เพราะใครๆ เขาก็พูดกัน ตัวสุเองบางทีไปออกรายการก็พูดโคราชเลย รู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำ ที่อาจจะเป็นเราก็ได้ที่ทำให้ภาษาบ้านเราได้เผยแพร่เป็นที่รู้จัก"

มีอะไรอีกที่เป็นของดีโคราชที่คุณสุรู้สึกภาคภูมิใจ

ถ้าเป็นสถานที่ สุว่า ปราสาทหินพิมาย ที่นี่สวยงามมีความน่าสนใจดี ตั้งแต่เกิดมาเป็นคนโคราชจนป่านนี้ สุเพิ่งเคยได้ไปที่นี่เมื่อสัก 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง ไปถ่ายรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่ง เขาหาข้อมูลมาให้เราอ่านแล้วพูดแนะนำให้ผู้ชมทราบ ก็ทำให้เราได้รู้จักสถานที่แห่งนั้นไปด้วยเป็นครั้งแรก แล้วก็ติดใจตั้งแต่นั้นมา ส่วนอย่างอื่นที่เป็นโคราช สุว่า หมี่โคราช ของเราก็ขึ้นชื่อนะคะ หมี่โคราชนี่จริงๆ แล้วมันมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ตากแห้ง เวลาปรุง ตามแบบคนโคราชจริงๆ นี่เขาจะเอามาผัดกับไก่บ้าน แบบนี้จะเข้ากันที่สุด

ยังมีความฝันสูงสุดอะไรที่อยากไปให้ถึงอีกบ้าง

"คิดว่าไม่มีอะไรแล้วในชีวิตนี้ ถ้าจะมีก็คงมีอยู่อย่างเดียวที่อยากให้พ่อแม่ของสุมีอายุยืนนานได้มากๆ ที่สุด เพื่อที่จะอยู่กับสุไปอีกน้าน...นาน เพราะในบั้นปลายของตัวเอง ได้คิดไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่ที่บ้าน ตอนนี้ก็เริ่มเตรียมที่ทางเอาไว้แล้ว มะม่วง ขนุนอะไรก็ลงไว้บ้างแล้ว เตรียมจะไปทำสวนที่บ้าน ให้พ่อขุดบ่อเก็บน้ำไว้รอบๆ ที่ของเราแล้ว จะได้เอาไว้เก็บน้ำฝนไว้ใช้เพาะปลูกของเรา

ถ้าเป็นในสายงานถ้าไม่ร้องเพลงแล้ว อยากจะถอยไปทำงานเบื้องหลังบ้าง อย่างการแต่งเพลงหรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งได้พยายามฝึก พยายามลองทำดูบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่สำเร็จเลยนะ คิดว่าจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ในวันหนึ่ง ก็แค่นี้..."

sunaree 0

ชีวิตครอบครัว

เคยสมรสครั้งแรก มีลูกชาย 2 คน คือ อาร์เธอร์ และ ฮีโร่ แต่เลิกรากันในที่สุด ต่อมาได้คบหากับฝรั่ง แฟนหนุ่มรุ่นน้อง ชื่อ วาวเตอร์ เดราฟ ชาวเนเธอร์แลนด์วัย 27 ปี มาเป็นเวลา 2 ปี แม้ทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 20 ปี ปัจจุบันได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา

อาร์เธอร์ และ ฮีโร่

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1003417

 sunaree 1

เกียรติยศ

สุนารี ราชสีมา ได้รับรางวัลพระราชทานในงาน "กึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย" ทั้ง 2 ครั้ง จากเพลง "กราบเท้าย่าโม" แต่งโดย เลิศ ศรีโชค เมื่อปี พ.ศ. 2532 และเพลง "สุดท้ายที่กรุงเทพ" แต่งโดย จิตรกร บัวเนียม ในปี พ.ศ. 2534 และยังได้รับโอกาสสูงสุดในชีวิต จากการขับร้องบทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี "ส้มตำ" ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย ปี พ.ศ. 2534 ต่อมาได้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกหลายเพลง เพื่อบันทึกเสียงในชุด "มณีพลอยร้อยแสง"

sunaree r3

ขอแสดงความยินดีกับ นางทิม สอนนา ในโอกาสที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น "ศิลปินมรดกอีสาน ประจำปี 2565" จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น

redline

backled1

mp3

boonta 01

บุญตา เมืองใหม่

บุญตา เมืองใหม่ มีชื่อจริงว่า จำปี ขนทรัพย์  มีชื่อเล่นว่า กิ๊ก เกิดเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25?? ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ 87/1 ม.2 บ้านนาหว้า ตำบลนาเสิน อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี  บิดาชื่อ นายสมบูรณ์ มารดาชื่อ นางพันธุ์ ขนทรัพย์ มีพี่น้อง  7 คน เป็นคนสุดท้อง จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  

boonta 02"ครอบครัวกิ๊ก เป็นคนจังหวัดอุบลฯ หรือที่เรียกกันว่าชาวอีสาน มีพ่อแม่และพี่น้องทั้งหมด 7 คนด้วยกัน กิ๊กเป็นน้องคนสุดท้อง ความเป็นอยู่ของที่บ้านจะไม่รู้จักการซื้อของที่นอกเหนือจากของใช้จำเป็น เพราะเราก็ไม่ได้มีเงินทองมาก ใช้ชีวิตตามประสาคนบ้านนอกทั่วไป หาของกินจากของพื้นบ้าน จึงไม่ต้องใช้เงินมากนัก จนเราไม่คิดฝันว่าอยากได้โน่นได้นี่ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ และถึงอยากจะได้ ก็ไม่สามารถที่จะได้อยู่ดี แม้กระทั่งเรื่องเรียนเราก็อยากที่จะเรียนต่อให้สูงๆ แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะที่บ้านไม่มีเงิน"

บุญตา เล่าถึงการเข้ามาเป็นนักร้องของเธอในวันนี้ว่า เมื่อเรียนจบป.6 ด้วยความเชื่อของแม่ที่ว่าเรายังไม่มีเงินเรียน หากเราทำงาน พอมีเงินแล้วจะกลับมาเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ จากที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมานาน ไม่มีเงินก็อยู่ได้หากขยันทำมาหากิน เธอจึงไม่มีความทะเยอทะยานอยากจะเรียนสูงๆ เป็นใหญ่เป็นโต และความคิดแบบเด็กๆ ที่ว่าเป็นลูกนกเมื่อโตแล้วก็ต้องบินออกไปหากินในต่างถิ่น เธอจึงยอมจากบ้านมา

“ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบ ป. 6 พี่สาวที่เป็นหางเครื่องอยู่วงดนตรี เฉลิมพล มาลาคำ ก็มาชวนบุญตา และก็พี่สาวอีกคนไปเป็นหางเครื่องด้วยกัน ตอนแรกเรายังไม่อยากไป อยากเรียน แต่แม่บอกให้มาทำงานดีกว่า เพราะเรียนจบออกมาก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยตัดสินใจมาเป็นหางเครื่อง”

เป็นเพราะต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน ตอนนั้นเป็นหางเครื่องให้กับ พี่มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ก็เป็นวงของทางชัวร์ฯ น่ะค่ะ เต้นจนได้กระเถิบมาเป็นนักร้องในวง ..

บุญตา เมืองใหม่ นักร้องลูกทุ่งสาวเสียงดี จากอำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ในสังกัดค่ายเพลงชัวร์ ออดิโอ ได้ฝากผลงานไว้แล้วหลายชุดตั้งแต่อัลบั๊มรวม ชัวร์ชะชะช่า 1-6, จดหมายรักจากชัวร์ และอัลบั๊มเดี๋ยวอัลบั๊มแรก จำไว้นะ เป็นที่รู้จักในหมู่แฟนเพลงลูกทุ่ง แต่พึ่งมาดังเปรี๊ยงปร๊างในอัลบั๊มที่ 2 ชุด คนดีที่อ้ายบ่ฮัก

boonta 03"จะว่า กิ๊ก เป็นนักร้องน้องใหม่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีผลงานร่วมกับพี่ๆ ในชัวร์มาแล้วหลายอัลบั้มด้วยกัน ตั้งแต่ ชัวร์ชะชะช่าชุด 1-6 และอัลบั้ม จดหมายรักจากชัวร์ ทุกชุดก็จะเป็นการร้องหมู่หลายๆ คนก็ยังถือว่าไม่เต็มตัวเท่าไรนักกับการเป็นนักร้อง ยังไม่เป็นที่รู้จักของแฟนเพลงมากนัก สำหรับการเป็นนักร้องเดี่ยวแบบเต็มตัวในผลงานล่าสุดชุด คนดีที่อ้ายบ่ฮัก นี้ ก็ยังถือว่ายังเป็นน้องใหม่อยู่ค่ะ แต่ก็มีแฟนเพลงรู้จักมากยิ่งขึ้น" บุญตา เมืองใหม่พูดถึงการทำงานในค่ายชัวร์ ออดิโอ

นับว่าโชคดีกว่าคนอีกหลายๆ คนที่เขาใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้องแต่ก็ยังไม่ได้โอกาสสักที จากเด็กท้องนามาสู่ฝัน เท่านี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากแล้ว "เพราะตัวกิ๊กเองไม่เคยวาดฝันมาก่อนเลยว่าจะเป็นนักร้อง แม้จะคลุกคลีอยู่ในวงดนตรี แต่เมื่อวันหนึ่งทางชัวร์ฯยื่นโอกาสมาให้ ตอนนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็ขอเพียงได้ลองทำดู จนมาถึงวันนี้ก็ได้มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง กิ๊กว่าคนเราอย่าไปคิดว่าจะต้องได้ทุกอย่างตามที่คิดไว้ เพราะนั่นคือการตีกรอบให้ตัวเองและถ้าไม่ได้ก็จะรู้สึกแย่ จริงอยู่ว่าคนเราควรคิดฝันไว้ แต่ควรจะให้ความฝันนั้นเป็นเป้าหมายชีวิตให้เราเดินดีกว่าเป็นการคาดหวัง และหากต้องพลาดจากสิ่งที่คิดหรือฝันไว้ ก็ให้มองในสิ่งที่เราได้ลงมือทำไปนั้น

อย่างน้อยๆ เราก็ได้อะไรกลับมาแล้ว เท่านี้เราก็จะสบายใจ อาจเป็นเพราะ กิ๊ก เองตั้งแต่เล็กจนโตมามักไม่ค่อยจะสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจ หรือได้อะไรมาง่ายๆ ด้วยความเป็นอยู่ของครอบครัว ทำให้เรามีความคิดแบบนี้เป็นกำลังใจให้ตัวเอง ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะคะหากใครจะนำไปความคิดนี้ไปใช้บ้าง ยินดีค่ะ"

"ครอบครัว กิ๊ก มีความเป็นอยู่ของที่บ้านจะไม่รู้จักการซื้อของ ที่นอกเหนือจากของใช้จำเป็น เพราะเราก็ไม่ได้มีเงินทองมาก ใช้ชีวิตตามประสาคนบ้านนอกทั่วไป หาของกินจากของพื้นบ้าน จึงไม่ต้องใช้เงินมากนักจนเราไม่คิดฝันว่าอยากได้โน่นได้นี่ อยากเป็นโน่นเป็นนี่ และถึงอยากจะได้ก็ไม่สามารถที่จะได้อยู่ดี แม้กระทั่งเรื่องเรียนเราก็อยากที่จะเรียนต่อให้สูงๆ แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะที่บ้านไม่มีเงิน"

boonta 07

บุญตา เล่าถึงการเข้ามาเป็นนักร้องของเธอในวันนี้ว่า "เป็นเพราะต้องออกจากโรงเรียนเพื่อทำงาน ตอนนั้นเป็นหางเครื่องให้กับ พี่มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ก็เป็นวงของทางชัวร์ฯ น่ะค่ะ เต้นจนได้กระเถิบมาเป็นนักร้องในวง ตรงนี้ทำให้ได้รับการชักชวนให้เข้ามาเป็นนักร้องในสังกัด ชัวร์ออดิโอ แต่ก็ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคพอสมควร กว่าจะได้เป็นนักร้องในชุดแรก ชัวร์ชะชะช่า 1-2 จึงทำให้ไม่คิดท้อกับการยังไม่มีอัลบั้มเดี่ยว เพราะเราสู้มาได้ขนาดนี้แล้ว จะรอและสู้อีกนิดคงไม่เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้ก็ทำให้ความเป็นอยู่ของที่บ้านดีขึ้น"

อย่างนี้เงินที่หามาได้ให้ที่บ้านหมดเลยหรือเปล่า "ไม่ค่ะ กิ๊กจะเป็นคนเก็บและบริหารเงินเอง แต่จะส่งไปให้ทางบ้าน หรือทางบ้านมีเรื่องอะไรก็จะบอกเรามาอีกที ซึ่ง กิ๊ก จะบอกกับพ่อและแม่เสมอว่าจะไม่ให้เขาลำบากเหมือนแต่ก่อน ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องฟุ่มเฟือย ทุกอย่างที่ซื้อที่ใช้เงินต้องจำเป็น เพราะเราไม่อยากกลับไปลำบากอีก" ได้ฟังความคิดความอ่านของเธอแล้ว สัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่ดูออกจะเกินตัว และเกินอายุไปสักนิด ทำให้เห็นแง่มุมของเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ได้สอนให้เป็นคนเข้มแข็งอดทนต่อปัญหาอย่างที่เธอคนนี้เป็น

คนดีที่อ้ายบ่ฮัก อัลบั๊มชุดที่ 2 ของ บุญตา เมืองใหม่

boonta 05boonta2vcd

แนวเพลงลูกทุ่งอีสานที่มีเพลงรักหลากหลายอารมณ์ ทั้งตัดพ้อ ต่อว่า อกหัก ช้ำรัก หรือความผูกพันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งได้นำเอาวิถีชีวิตของคนอีสานมานำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในเพลงช้าๆ เศร้าๆ อย่างเพลง คนดีที่อ้ายบ่ฮัก , สาวศรีเมืองใหม่ , หอมกลิ่นข้าวจี่ เพลงจังหวะสนุกๆ อย่างเพลง แถมให้ก็บ่เอา และ สวย 199

คนดีที่อ้ายบ่ฮัก - บุญตา เมืองใหม่

ล่าสุด ''บุญตา เมืองใหม่'' ได้ฤกษ์เดินเครื่องปล่อยผลงานเพลงใหม่ในรอบ 4 ปี ประเดิมกับเพลง ''มีคนร้องไห้ยามอ้ายกอดเขา'' จากปลายปากกาของ ''สมชาย ตรุพิมาย'' นักแต่งเพลงคลื่นลูกใหม่มาแรง กับค่ายเดิม "ชัวร์ ออดิโอ"

ทั้งนี้ บุญตา ยอมรับว่า รู้สึกดีใจมากที่พี่เปิ้ลยังรักและเมตตาให้ตนกลับมาร่วมงานด้วยอีกครั้ง บรรยากาศในการทำงาน ยังอบอุ่นไม่เปลี่ยนแปลง มองตาแล้วรู้ใจ ไม่ต้องพูดคุยกันมาก ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานให้ไหลลื่นได้

''เป็นเพลงแรกในรอบ 4 ปี และเป็นเพลงแรกที่กลับคืนค่ายชัวร์ฯ อีกครั้ง หลังจากแยกทางกันไปประมาณ 8-9 ปี ซึ่งระหว่างนั้นก็ไปทำเอง และอยู่ค่ายเล็กๆ ด้วย ที่กลับมาชัวร์อีกครั้ง เพราะว่าป๋าสมชาย ดินแดง ที่เป็นโบรกเกอร์จัดหางานศิลปิน ซึ่งป้อนงานให้มาโดยตลอด คุยเล่นคุยหัวกัน ทำนองว่ากลับมามั้ย เคยอยู่บ้านเดียวกัน ไม่อยากให้จากกันไปไหน ลองมาคุยกับพี่เปิ้ลอีกครั้งมั้ย เมื่อมาพูดคุยผู้ใหญ่ก็โอเค รู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้านเก่า ที่ผ่านมาได้ไปเรียนรู้โลกภายนอก ทำให้โตขึ้นทั้งในเรื่องใน และนอกวงการ คิดว่าการกลับมาจะทำให้เราแข็งแกร่ง และเรียนรู้งานได้เยอะ ไม่ยากเกินความสามารถ ขอบคุณพี่เปิ้ลที่ให้โอกาสด้วย เหมือนมองตารู้ใจไม่ต้องคุยอะไรกันมาก

boonta 06

อยู่กับชัวร์ฯ มา 6-7 ปี เรียนรู้งานที่นี้ เกิดกับที่นี่ พี่เปิ้ลดูแลให้ความอบอุ่น อุ้มชูมาตั้งแต่แรก ทำให้บุญตาได้เป็นนักร้อง พอมานั่งพูดคุยเป็นเรื่องงาน เสียงเป็นอย่างไร นิสัยแบบไหน เพลงต้องแนวนี้นะถึงเหมาะกับเรา มีความสุขมาก เหมือนเด็กบ้านนอกที่ไม่ได้กลับบ้านเลย แล้วได้กลับบ้านมานั่งกินข้าวกับพี่กับน้อง ในบ้านหลังที่เราเคยอยู่อย่างอบอุ่น ช่วยสั่งสอนตั้งแต่ก้าวแรก บุญตารักงานตรงนี้ อยากให้แฟนเพลงช่วยอุ้มชูดูแลเราจนกว่าจะไม่มีแรงร้องแล้ว แอบหวังเล็กๆ อยากมียอดวิวมากๆ เหมือนคนอื่นๆ เขา อยากได้รางวัลเหมือนกับคนอื่นบ้าง แต่บุญตาเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำให้ดีที่สุด ถ้ามีบุญวาสนาก็อาจจะพุ่ง หรือไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้ ก็มีความสุขกับการรับใช้แฟนเพลงไปเรื่อย พอใจกับสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่''

นักร้องลูกทุ่งสาวจากเมืองดอกบัว จังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยอีกว่า ผลงานใหม่ป้ายแดงของตน เป็นเพลงลูกทุ่งอีสาน ท่วงทำนองช้าซึ้งปนเศร้า เนื้อหาสะท้อนเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีแฟนเจ้าชู้ ผู้ชายไปคบคนใหม่ ทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกัน เป็นความรู้สึกที่ผู้หญิงพูดถึงผู้ชายที่ไปหลงผู้หญิงคนใหม่ ที่ไม่แคร์ความรู้สึกของผู้หญิงที่ยังคอย ร้องไห้ทุกวัน อยากให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายใน

อย่างไรก็ตาม บุญตา ยอมรับว่า การกลับมาสร้างสรรค์ผลงานอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ต้องเคาะสนิมพอสมควร นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากเมื่อครั้งที่ตนแจ้งเกิดเป็นนักร้องค่ายชัวร์ฯ เมื่อหลายปีก่อน

''การกลับมาครั้งนี้ยอมรับว่า ต้องเคาะสนิมบ้าง แต่ไม่เยอะนะ การทำงานค่อนข้างยากนะ เพราะเป็นเพลงใหม่ ต้องมาสร้างใหม่ ทั้งอารมณ์การร้อง ห่างหายจากการเข้าห้องอัดพอสมควร ต้องขอบคุณอาจารย์ไพรัตน์ที่ช่วยสอน และแนะเทคนิคให้โดยตลอด ได้ทำงานกับคนรู้ใจ ยุคสมัยนี้แนวเพลง มีสื่อโซเชียลเข้ามา การแต่งตัวเปลี่ยนไปมาก ต้องปรับตัวใหม่พอสมควร การกลับมาครั้งนี้หวังอยากให้พี่น้องแฟนเพลงที่ติดตามผลงานเรามาตลอด เป็นเหมือนพี่เหมือนน้องได้มีความสุขไปพร้อมเรา เพราะเขาก็คาดหวังให้เราได้กลับมาร้องเพลงให้ฟังอีก คืออยากกลับมามอบความสุขให้เขา ถ้าทำตรงนี้ได้แล้วเชื่อว่าจะมีหลายๆ อย่างที่ดีตามมาเอง บุญตาเองก็อยากได้ความรักความเมตตาจากแฟนเพลงเหมือนเดิม บุญตา เมืองใหม่ ขอฝากเพลงใหม่ล่าสุด "มีคนร้องไห้ยามอ้ายกอดเขา" ให้พี่น้องแฟนเพลงได้มีความสุข กับการสร้างสรรค์ของค่ายชัวร์ฯ ด้วยนะคะ'' บุญตากล่าว

boonta 08 

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง Facebook : บุญตา เมืองใหม่

redline

backled1

mp3

daeng jittakon

แดง จิตรกร

แดง จิตกร ชื่อจริง คือ นายสมจิตร เกตุภูเขียว เกิดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่บ้านศรีสุข ตตำบลศรีสุข อำเภอสีขมภู จังหวัดขอนแก่น จากครอบครัวชาวนาที่แสนยากแค้น ครอบครัวมีปัญหาเพราะพ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่แดงอายุได้เพียง 2 ขวบ โดยทิ้งให้แดงผจญชะตากรรมอยู่กับยายเพียงลำพัง

หลังอายุได้ 13 ปี ต้องออกจากโรงเรียน จึงมีวุฒิแค่ประถมศึกษาปีที่ 4 เพราะยายอายุมากขึ้น บวกกับความยากจนหาเช้ากินค่ำ ต้องออกมารับจ้างทำนา โดยได้ส่วนแบ่งเป็นข้าวพอประทังชีวิตกับยาย อาหารหลักที่กินประจำคือ หน่อไม้ที่ต้องขึ้นไปหาบนภูเขา ต้องเดินทางไปกลับไกลกว่า 15 กิโลเมตร กุ้งฝอย หอยขม ปูนา ปลาสารพัดชนิด ซึ่งหายากเนื่องจากความแห้งแล้ง

ด้วยความที่ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อว่างจากการรับจ้างทำนาแล้ว จึงไปสมัครงานเป็น “คอนวอย” อยู่กับวงดนตรีชื่อ “ชุมแพคอมพิวเตอร์” มีหน้าที่ทำงานจิปาถะทุกอย่างตั้งแต่ ขนของขึ้นรถ ติดตั้งเวที ขนเครื่องเสียง ติดตั้งแสงไฟ ใครเรียกใช้เวลาใดก็ต้องทำ โดยได้ค่าแรงเพียงวันละ 50 บาทต่องาน แดงเป็นคอนวอยอยู่กับวงถึง 4 ปี จึงมีโอกาสจับไมโครโฟนร้องเพลง เพราะนักร้องประจำวงไม่สบาย แดงจึงได้ฝึกร้องเพลงและเล่นหมอลำอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้ได้เป็นนักร้อง

Daeng Jitakon 3

ข้อมูลจากปกเทปชุดหนึ่งของแดง จิตรกร กล่าวว่า "ชีวิตแดง จิตกร เริ่มดีขึ้น ส่งเงินให้ยายใช้เป็นประจำ ส่วนตัวเขาก็อยู่กับวง "ชุมแพคอมพิวเตอร์" จึงได้เป็นพระเอกหมอลำอย่างเต็มตัว วันหนึ่ง สุทัศน์ เอี่ยมชโลธร จาก บริษัท นิธิทัศน์โปรโมชั่น ต้องการนักร้องเข้าสังกัด และได้มาฟังแดงร้องเพลง จึงเกิดชอบในน้ำเสียงและชักชวนแดงมาทำเทป ซึ่งแดงดีใจมากที่ฝันของตนจะได้เป็นจริง สุทัศน์พาแดงเข้ากรุงเทพฯ และทำเทปชุดแรกให้กับแดงทันทีโดยมี อ๊อด คีรีบูน เป็นโปรดิวเซอร์ ชื่อชุด "ร.ป.ภ.หัวใจ" ซึ่งเป็นแนวลูกทุ่งอีสานที่แดงถนัด แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ"

แดง จิตกร ผิดหวังมากและเริ่มท้อ จึงเลิกร้องเพลงเพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสเป็นนักร้องที่โด่งดังได้ จึงหันไปทำงานก่อสร้างและไปอยู่กับเรือหาปลาถึง 2 ปี ต่อมาแดงได้เจอกับ ป๊อด บัณฑิต เอี่ยมสะอาด ได้นำแดงกลับมาทำเพลงอีกครั้งในสังกัด เคซีเอสกรุ๊ป และทำอัลบั้มชุดที่ 2-3-4 และชุดที่5 ชื่อ "พี่แดงคนเดิม" ถึงแม้อัลบั้มจะไม่โด่งดัง แต่แดงก็ยังรู้สึกที่ได้ทำเพลงที่ตนเองรักซึ่งช่วงนั้น เคซีเอส ทำเพลงและท็อปไลน์ ไดม่อนจัดจำหน่าย ว่ากันมา แดงได้เซ็นสัญญากับท็อปไลน์ ในช่วงนั้นไว้ แต่ยังไม่มีการทำเพลงเพราะยังไม่ได้จังหวะ และแดง จิตกร ก็ไม่ใช่นักร้องดังมาก่อน

dang jitหลังจากนั้น ป๊อด บัณฑิต ได้นำแดงมามอบให้ เสี่ยแบงค์ แห่งบริษัท ลาวัลย์การ์เมนท์ สกลนคร ซึ่ง ปัญญา คุณวุฒิ ได้เล่าให้ฟังว่า เสี่ยแบงค์ เจ้าของค่ายลาวัลย์เอนเตอร์เทนเมนท์ มีเพลงชุด "ลืมใจไว้อีสาน" ซึ่ง ครูสลา คุณวุฒิ กับ ปัญญา คุญวุฒิ ได้เตรียมไว้ให้ เอกชัย ศรีวิชัย เพื่อนของเสี่ยแบงค์ ขับร้อง ซึ่งในชุดนี้มีเพลงชื่อ "น้ำตาผ่าเหล้าด้วย" แต่จังหวะตอนนั้น เอกชัย กลับมาโด่งดังจาก "หมากัด" พอดี จึงไม่มีเวลาไปอัดเสียงชุดนี้

แดง ซึ่งว่างงานและโต๋เต๋อยู่แถวโรงงานการ์เมนท์ ได้อัดเพลง "น้ำตาผ่าเหล้า" ที่ ชุมแพ ขอนแก่น ห้องอัด อาจารย์หนุ่ม ภูไท จนเพลงนี้เพลงโด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่เพลงชุดนี้ มีปัญหาในการจัดจำหน่ายเพราะ เสี่ยแบงค์ นำไปให้ ซีเอ็นซีจัดหน่าย แต่ยอดขายช้า ทั้งๆ ที่เพลงดังมาก จึงพยายามนำมาให้อาร์เอสโปรโมชั่น โดยมนต์ เมืองเหนือ จัดจำหน่าย แต่เมื่อได้ตรวจสอบสัญญาแล้ว พบว่า ป๊อด ได้เซ็นสัญญาแดง จิตกร กับ ท็อปไลน์ ไว้ก่อน ในช่วงที่ เคซีเอส ผลิต ท็อปไลน์ขาย อาร์เอสจึงส่งกลับมาให้ท็อปไลน์ ซึ่งในเวลานั้น เสี่ยแบงค์ ค่ายลาวัลย์ จึงปั้น เขียว ดวงสดใส ขึ้นมา ต่อเนื่องกับแดง จิตกร ซึ่งเพลง "น้ำตาผ่าเหล้า" จึงเป็นเพลงที่มีปัญหาซับซ้อนเรื่องลิขสิทธิ์

เส้นทางนักร้องเริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาได้มีโอกาสทำเพลง และให้บริษัทท็อปไลน์ฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย ผลงานที่ที่สร้างชื่อให้เขาก็คือ เพลง "น้ำตาผ่าเหล้า" และล่าสุด ก็คือ เพลง "หัวใจคิดฮอด" เป็นผลงานการแต่งของ "สลา คุณวุฒิ"

หัวใจคึดฮอด - แดง จิตรกร

จากนั้น แดง จึงได้มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของสลา คุณวุฒิ ครูสลาจึงแต่งเพลง "ผ่าเหล้าผ่ารัก" "หัวใจคิดฮอด" "มนต์รัก ตจว." ให้แดงจนโด่งดังและตามมาอีกหลายๆ บทเพลงกับบริษัทท็อปไลน์ และเพลงดังล่าสุด ก่อนเสียชีวิต คือ เพลง "สักวาหน้าหนาว"

ส่วนเพลง "มนต์รัก ตจว." ที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ เป็นผลงานการแต่งของ "พิณ พานทอง" นักแต่งเพลงชื่อดังอีกคนของวงการเพลงลูกทุ่ง (อีกนามแฝงของครูสลา คุณวุฒิ ที่ใช้แต่งเพลงเพื่อเพื่อนพ้องและศิษย์ต่างค่าย) โดยมีแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากเพลง "มนต์รักลูกทุ่ง" ที่โด่งดังในอดีต เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับยุคสมัย อีกทั้งยังใช้ภาษาอีสานเพื่อสื่อความหมายโดยตรงกับคนอีกสาน และก็ไม่คิดว่าเพลงนี้จะฮิตมากขนาดนี้ และถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเพลงหนึ่งของทั้งผู้แต่ง และนักร้องอย่าง "แดง จิตกร"

ปัจจุบันอยู่ที่ บ้านทุ่งสว่าง ต.ตูมใหญ่ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ แดง จิตกร มีทายาทกับภรรยา ชื่อ อุไรวรรณ 3 คน คือ น้องเอม เกตุกนก เกตุภูเขียว เอิร์น ฐิติมา เกตุภูเขียว และ เอิร์ธ ศุภกฤต เกตุภูเขียว บุตรชายคนโตต้องหยุดเรียนระดับวิทยาลัย เพราะพ่อป่วย ไม่มีเงินส่งเรียนต่อ

Daeng Jitakon 1

“หลังจากล้มป่วย ก็ต้องใช้เงินเก็บที่ได้จากการร้องเพลงแสดงคอนเสิร์ต เป็นค่ารักษาตัว และค่าใช้จ่าย ในการเดินทางไปทำคีโมหรือฉายแสงที่กรุงเทพมหานครจนหมดแล้ว จึงตัดสินใจหยุดไปรักษาเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนแล้ว เพราะสงสารภรรยา ที่ต้องมาแบกรับภาระทั้งกู้ยืมเงิน หยิบยืมญาติและเพื่อนบ้าน ปัจจุบันกินเพียงยาสมุนไพรเท่านั้น แต่หากเป็นอะไรไปก็เป็นห่วงแต่ภรรยาและลูกอีก 3 คน จึงอยากวิงวอนให้ต้นสังกัดหรือผู้ที่มีจิตศรัทธาช่วยเหลือ” แดง จิตกร กล่าว

Daeng Jitakon 2

(30 เม.ย. 2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักร้องลูกทุ่ง "แดง จิตกร" เสียชีวิตลงอย่างสงบแล้ว เมื่อเวลา 21.00 น. ในวัย 46 ปี หลังจากที่ทางญาติตัดสินพาออกจากห้องไอซียู เพื่อกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน เมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ข่าวดังกล่าวสร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่คนสนิทและแฟนเพลง โดยร่างของ แดง จิตกร บำเพ็ญกุศลที่วัดทุ่งสว่างธรรมวารี ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ พิธีสวดพระอภิธรรมศพ จะมีตั้งแต่วันที่ 1-6 พฤษภาคม 2559 และมีพิธีฌาปนกิจ ณ เมรุ วัดสว่างธรรมวารี วันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 16.00 น.

เว็บไซต์ประตูสู่อีสาน IsanGate.com ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของนักร้องลูกทุ่งแดง จิตรกร ด้วยครับ

มนต์รัก ตจว. - แดง จิตรกร

redline

backled1

isan word tip

isangate net 345x250

ppor blog 345x250

adv 345x200 1

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)