คันเจ้าได้ขี่ซ้างกั้งฮ่มเป็นพระยา อย่าได้ลืมคนทุกข์ผู้ขี่ควายคอนกล้า ## ถ้าได้ดิบได้ดีหรือได้เป็นใหญ่แล้ว ก็อย่าได้ลืมผู้คนรอบข้าง @อย่าลืมบุญคุณคนที่เคยเอื้อเฟื้อเรา ## |
นักร้องรางวัลมาลัยทองเพลงยอดเยี่ยม "กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง"
เอกราช สุวรรณภูมิ หรือ ทัตธนาเดช ศรีนนท์ หรือ เอก เกิด 12 ธันวาคม 2512 เป็นลูกของนายปาน และนางบุญ ศรีนนท์ ชาวอำเภอสุวรรภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เขาเป็นคนที่ 11 ในจำนวนพี่น้อง 12 คน พ่อมีอาชีพตัดผม แม่เป็นอดีตนักร้องหมอลำ
การศึกษา เรียนสาขาพลศึกษา จากโรงเรียนพลประชานุกูล จังหวัดขอนแก่น แต่อยู่ ม.3 ก็หนีออกจากบ้านเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อมาหาพี่สาวที่อาศัยอยู่แถวสุขุมวิท 22 ทั้งที่มีเงินไม่กี่บาท ด้วยความที่เข้ากรุงเทพฯ มาโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อน ดังนั้นจึงลำบากไม่ธรรมดา ที่นอนไม่มี ต้องไปนอนใต้สะพานลอยตั้งแต่ลงจากรถ เจอยุงมหานครกัดน่วมตั้งแต่คืนแรก จากนั้นก็ใช้เท้าเดินไปตามหาพี่สาวจนเจอ (บังเอิญหรือเปล่า)
เมื่อมีที่อยู่แล้วจึงเริ่มทำงานหาเงิน อาชีพแรกคือ เข็นรถขนมปังสังขยา ขายแถวสยาม สะพานควาย เก็บเงินจนได้ 300 บาท จึงซื้อวิทยุมาฟัง เป็นสมบัติชิ้นแรกที่ภาคภูมิใจมาก ตั้งแต่นั้นระหว่างขายขนมปัง จึงมีวิทยุฟังและฝึกร้องเพลงไปในตัว
อยู่มาวันหนึ่ง เอกร้องเพลงตามวิทยุอยู่หลังร้านด้วยเสียงอันดัง ทำให้เถ้าแก่ได้ยิน และชมว่า "เสียงดีนี่" เอกราชจึงบอกเถ้าแก่ว่า "ผมอยากเป็นนักร้อง แต่ไม่มีเงินไปสมัครที่ต้องมีชุดสูท" เถ้าแก่ใจดีให้เงินไปตัดสูท แล้วพาไปฝากร้องเพลงที่สวนอาหารให้ด้วย หลังจากร้องเพลงที่สวนอาหาร เอกก็คิดอยากร้องในคาเฟ่ใหญ่ แต่ก็ยังไม่กล้าเข้า จึงไปสมัครเป็นคนรับรถก่อน เพราะคนที่ได้ร้องเพลงที่สวนอาหาร ต้องผ่านการประกวดร้องเพลงมาแล้วทั้งนั้น เขาจึงจะรับ ระหว่างที่เป็นเด็กรับรถอยู่นั้น เอกก็จะร้องเพลงไปด้วย จนผู้จัดการที่ดูแลนักร้องเดินออกมาข้างนอกและได้ยิน จึงแนะนำว่าน่าจะไปร้องเพลง ไม่น่ามารับรถแบบนี้ เอกจึงฉวยโอกาสตรงนั้นเอาไว้
หลายปีกับการสั่งสมประสบการณ์ในการร้องเพลง จนความสามารถไปเข้าตา อ.พิมพ์ปฏิภาณ พึ่งธรรมจิต นักเรียบเรียงเสียงประสาน จึงชักชวนไปประกวดเข้า ค่ายแกรมมี่ โกลด์ ที่เพิ่งเปิดใหม่ และ เอก ก็ชนะเลิศได้ที่ 1 (สมัยเดียวกับ ไมค์ ภิรมย์พร) แล้วเซ็นสัญญาเข้าสังกัด แกรมมี่โกลด์ ซึ่งใช้นามว่า "เอกราช สุวรรณภูมิ" มีผลงานเพลงกับแกรมมี่โกลด์ 3 ชุด คือ ชุด "แผลในใจ" ที่มีเพลงสร้างชื่อ คือ เพลง "กลับมาทำไม" ชุด ที่ 2 คือ ชุด น้ำตาดาว ชุดที่ 3 คือ ชุดร้องไห้สองหน จากนั้น เอก ก็หมดสัญญากับทางค่าย แกรมมี่โกลด์ รวมระยะเวลา 6 ปี
จากนั้น เอกราช ก็หันมาเซ็นสัญญากับค่ายน้องใหม่ คือ บริษัทนพพงศ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และมีผลงานชุดแรก คือ กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง ซึ่งได้วางแผงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2543 แฟนเพลงทั่วประเทศให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง และ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2544 ผลงานชุด กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง ก็ได้รับรางวัล เพลงยอดเยี่ยม ในงานประกาศรางวัล "มาลัยทอง" ขณะเดียวกันเพลงนี้ ยังขึ้นสู่อันดับ 1 ของเพลงยอดนิยมทั้ง คลื่น เอฟ.เอ็ม 95 และ คลื่นลูกทุ่ง เวทีไท 90
ในปี 2545 เอกราช มีผลงานชุดใหม่ ในชื่อชุด "สัญญา 5 บาท" ผลงานจากปลายปากกาของ ครูสลา คุณวุฒิ นักแต่งเพลงมือทองในยุคปัจจุบัน ผู้ที่เคยเขียนเพลง "กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง" ให้เอกราชโด่งดังมาแล้ว โดยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว และมีผลงานละครทีวีด้วยเรื่อง "รวมพลคนใช้" ที่แพร่ภาพทางช่อง 3
นักร้องลูกทุ่ง เอกราช สุวรรณภูมิ เผยถึงธุรกิจใหม่ที่กำลังทำ “ปลาร้าทรงเครื่อง เอกราช สุวรรณภูมิ” หลังหายหน้าจากวงการเพลงไปสักพัก ในงานแถลงข่าวเปิดตัวคลื่น ‘อีสานเรดิโอเน็ตเวิร์ค’ ว่า “ตอนนี้มีอัลบั้มชุดใหม่ล่าสุด และขึ้นอันดับ 1 ของ เอฟเอ็ม 90 คือ ผลงานเพลง ‘โทรหาอ้ายเด้อ’ ในอัลบั้ม ‘น้ำพริกถ้วยเก่า’ คือ ผมไม่ได้หายไปไหน ผมไปทำอัลบั้มเพลงเก่า ‘เจียละออ’ ของทางโฟร์เอส และมีละครบ้างนิดหน่อย แต่ตอนนี้เราเริ่มหันไปทำพวกปลาร้าทรงเครื่อง ปลาร้าผัดสุกแล้ว คือ พอมีฝีมือทางด้านนี้ ผมเพิ่งเริ่มทำได้ประมาณ 2 เดือนครับ อีกไม่นานคงได้โฆษณาและวางขายตามร้านต่างๆ”
“ใช้ชื่อแบรนด์ว่า ปลาร้าทรงเครื่อง เอกราช สุวรรณภูมิ คือ เราจะมีโรงงานเล็กๆ ทำกันเอง ผมว่าน่าจะไปได้ดี เพราะศิลปินทุกท่าน บางทีร้องแต่เพลง อาชีพตัวเองยังไม่มี ฉะนั้นถ้ามีเงินมีทอง นักร้องรุ่นใหม่ๆ ก็ให้ทำอาชีพตัวเองบ้าง เราก็เห็นกันอยู่หลายท่าน อยากให้มีธุรกิจของตัวเองบ้าง ถามว่าเกี่ยวไหมที่เด็กใหม่เกิดขึ้นเยอะ เลยเริ่มหันมาจับธุรกิจเพิ่มขึ้น คือ ผมเข้าใจว่าวงการลูกทุ่ง มันก็ต้องทันสมัย อยากจะชมของใหม่แต่ของเก่าก็อย่าไปทิ้ง คือ ของเก่าของใหม่ก็คุณภาพหมด” เอกราช กล่าว
กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง - เอกราช สุวรรณภูมิ
ในปี 2559 เอกราช สุวรรณภูมิ มีผลงานเพลงใหม่ ในชุด ลูกทุ่งพันธ์ไทย ชุดที่ 1 : น้ำพริกถ้วยเก่า สังกัดค่ายหนูมิวสิค แต่มีงานในหลวงสวรรคต ทางค่ายจึงพักงานไว้ชั่วคราว เพื่อน้อมระลึกถึงพระองค์ท่าน เลยพักงานชุดดังกว่าถึงปัจจุบัน ซึ่งได้ครูเพลงรุ่นใหม่ เจ้าของค่ายหนูมิวสิค แต่งเพลงใหม่ให้ถึง 6 เพลง ได้แก่ น้ำพริกถ้วยเก่า โทรหาอ้ายเด้อ ยาใจคนยาก อยากมีเมียเด็ก ผู้สาวขอนแก่น สิปปากว่าไม่เท่าตาเห็น
ในปี 2561 ทางค่ายหนูมิวสิคกำลังจะกลับมาปัดฝุ่น อัลบั๊มน้ำพริกถ้วยเก่าใหม่ โดยจะมีการแต่งเพลงใหม่เพิ่ม และจะมีการซื้อลิขสิทธิ์เพลงดังเก่าๆ ในตำนานของเอกราช สุวรรณภูมิ มารวมชุด อาทิ กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง สัญญาห้าบาท กลับมาทำไม มารวมในอัลบั๊มชุดนี้ด้วย
ทางด้านชีวิตครอบครัว เอกราช สุวรรณภูมิ ได้แต่งงานกับ กัญญาณัฐ ธนาฐิติภา (นุ้ย) เป็นหญิงนอกวงการและได้มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ ปรนัฐ ธนาฐิติภา (ภูมิ) และ เอกนัท ธนาฐิติภา (กระเพรา)
นักร้องดีเด่นมาลัยทอง 2543
นักร้องลูกทุ่งหมอลำ ชาวอีสานที่ยังครองความเป็นขวัญใจชาวอีสานอยู่ และมีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ ศิริพร อำไพพงษ์ มีชื่อ-นามสกุลจริงว่า ศิริมา อำเคน เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2507 ที่ บ้านดอนกลอย ตำบลดอนกลอย กิ่งอำเภอพิบูลย์ลักษณ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของ นายกองมี อำไพพงษ์ และนางออ อำเคน จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ โรงเรียนบ้านดอนกลอย บ้านเกิด
ศิริพร อำไพพงษ์ มีชื่อเล่นว่า เม็ก (ต้นหมากเม็ก) คนในครอบครัวเรียก นางเม็ก บ้างเรียก โจ้ โดยทั่วไปเรียก "นาง" หรือ "พี่นาง" มีพี่น้อง 10 คน ชาย 4 คน หญิง 6 คน ศิริพร เป็นคนที่ 7 พ่อแม่ทำนา และพ่อเป็นหมอลำกลอนกับพี่น้องอีก 10 คน ครอบครัวมีอาชีพทำนา และมีวงเป็นของตัวเองชื่อว่า "กองมี แสงอรุณศิลป์" รับงานแสดงหมอลำเพลิน-หมอลำเรื่องในละแวกไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก จะหยุดรับงานแสดงในช่วงฤดูทำนา ประมาณช่วงหลังออกพรรษาจึงเริ่มรับงานอีกครั้ง
ศิริพร เติบโตในครอบครัวหมอลำ ทำให้เธอซึมซับและเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ด้วยเป็นคนความจำดี ทำให้ร้องเพลงหมอลำได้โดยไม่ต้องเรียนหรือฝึกซ้อมมากนัก "มันก็ซึมซับทุกวันที่เราได้ยิน ไม่ชอบก็ต้องชอบ (ยิ้ม) เหมือนอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว ได้ยินพ่อ ได้ยินพี่สาวพี่ชายร้อง เวลาเขาซ้อม เป่าแคน ดีดพิณ เราอยู่ในเหตุการณ์ตลอด มันก็ซึมเข้าไปในตัว... พี่เริ่มไปร้องหมอลำกับวงของพ่อ ตั้งแต่ตอนอายุ 17-18 ไปเป็นหางเครื่อง เป็นแดนเซอร์ เต้น ร้อง ลำ ทำทุกอย่างที่พ่อให้ทำ"
ศิริพรเคยประกวดร้องเพลงชนะที่ 1 ในแนวของ "พุ่มพวง ดวงจันทร์" กับ "ลุงเขียว" โฆษกวิทยุที่เมืองเลยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นเมื่อโตขึ้นมาก็มาทำงานช่วยเหลือทางบ้าน เป็นนักร้องเพลงหมอลำประจำวงของครอบครัว มีพี่ชายเป็นพระเอก พี่สาวเป็นนางเอก ซึ่งเจ้าตัวรวมถึงคนอื่นๆ ต่างคิดไม่ถึงว่าหลายปีให้หลังเธอจะกลายเป็นนักร้องชื่อดัง
ชีวิตของศิริพรพลิกผัน เมื่อพี่สาวที่เป็นนางเอกเกิดป่วยทำการแสดงไม่ได้ เธอจึงได้รับโอกาสให้ขึ้นแสดงเป็นนางเอกแทน ซึ่งศิริพรก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะเธอจดจำบทและวิธีการแสดงได้แม่นยำจากการที่คลุกคลีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ศิริพรเริ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น เมื่อเริ่มออกไปแสดงกับคณะอื่น หลังจากที่วงของครอบครัวต้องหยุดทำไป เนื่องจากพ่อมีอายุมากขึ้น
กระทั่งราวช่วง พ.ศ. 2526 ชีวิตของศิริพรพลิกผันอีกครั้ง เมื่อประยูร จันทรุศร พาเธอไปร้องเพลงออกอากาศที่ ทีวีช่อง 4 ขอนแก่น (ทีวีขาวดำ) กับคณะสุเทพ ดาวดวงใหม่ และได้พบกับอาจารย์นคร แดนสารคาม การพบปะกันในครั้งนี้ทำให้ชีวิตของศิริพรเปลี่ยนไป คุณดอย อินทนนท์ ได้เห็นแววจึงให้โอกาสอัดเสียง โดยครูดอย อินทนนน์ เป็นผู้เปลี่ยนชื่อให้เธอใหม่ นั่นคือ "ศิริพร อำไพพงษ์"
ศิริพรให้สัมภาษณ์ว่า "ชื่อจริงชื่อศิริมา เปลี่ยนมา เป็นพร อาจารย์ดอย อินทนนน์ บอกว่า เอามาออก ไม่รู้อะไรจะมาบ้าง ถ้ามาดีก็ดีไป ตอนที่มาอัดเสียงใหม่ๆ ก็เอาเป็นศิริพร... นามสกุล อำเคน ที่นี้การตั้งชื่อนักร้อง ต้องให้คล้องจอง นามสกุลต้องสละสะสวยหน่อยเลยเป็น ศิริพร อำไพพงษ์ บ้านป่าขาดอนอะไรแบบนี้" แนะนำให้ทำเพลงกลับ บริษัท กรุงไทย โดยอาจารย์นคร แดนสารคาม ชอบน้ำเสียงของศิริพรจึงนำกลอนให้ร้อง และพาเข้าสู่วงการ อัดเพลงชุดแรกที่มีชื่อว่า "สาวภูพานรำพึง" ตามด้วยชุดที่ 2 "พบรักที่หัวลำโพง" ผู้ฟังเริ่มชอบเสียงโดยเฉพาะเพลง "วาสนาดอกหญ้า" ที่เป็นเพลงเด่นกลอนดี จากนั้นจึงเริ่มอัดเสียงติดต่อกันรวดเดียว ชุดที่ 3 "ทุ่งร้างนางคอย" ชุดที่ 4 "น้องนกอกหัก" ชุดที่ 5 "อดีตรักหนองหาน" ผลการประพันธ์ของนักร้องนักจัดรายการวิทยุที่ชื่อ ก.ไก่ ใจเดียว หรือที่รู้จักกันในนาม ไก่ฟ้า ดาวดวง
ศิริพรให้สัมภาษณ์บอกเล่าชีวิตในช่วงเวลานั้นว่า "ช่วงที่ทำวงกับที่บ้าน รายได้ก็ไม่มากทั้งวงได้เงินแค่สามพัน ห้าพัน ก็พอประทังอยู่ไป พอมีโอกาสทำเพลงชุด 'พบรักที่หัวลำโพง' แม้จะมีชื่อขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่โด่งดังอะไร ทำต่อไปอีก 5 ชุด รู้สึกว่าไม่มีอะไรดีขึ้น จึงคิดจะเลิกร้องเพลง"
เมื่อเธอกำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส ศิริพรได้สูญเสียพ่อด้วยโรคมะเร็ง เธอจึงหันหลังให้กับหมอลำและการแสดง ไม่ได้ออกไปร้องเพลงเป็นเวลากว่า 3 ปีเต็ม โดยกลับไปทำนาที่บ้าน ศิริพรนั้นชอบทำนา เธอให้สัมภาษณ์ว่า "ทำเพราะอยากทำ สนุกดี ชอบดำนากับสายฝน นางเป็นคนชอบน้ำฝน มันชื่นใจ ทำให้ไม่เหนื่อย และได้ความรู้สึกเก่าๆ ทำให้มีความสุข"
แต่แล้วชะตาชีวิตก็เปลี่ยนอีกครั้ง ในเย็นวันหนึ่งขณะที่ศิริพรกำลังเกี่ยวข้าว ครูเพลงที่เคยร่วมงานกันมาแต่ก่อนอย่าง ไก่ฟ้า ดาวดวง ชักชวนเธอให้ไปร้องเพลงในงานกฐิน ที่อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ เฮียเล็ก ชอบหมอลำมาก จึงชักชวนไปร้องเอาเงิน ปรากฏว่า ศิริพรได้พวงมาลัยคล้องคอราว 30,000 บาท ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก "หยุดนานตั้งไป 3 ปี วันหนึ่งพี่ไก่ฟ้า ดาวดวง เขาเป็นนักจัดรายการวิทยุก็มาหา บอกให้ไปร้องเพลง เราคิดว่าดีกว่าไม่มีอะไร"
ชีวิตของศิริพรได้พลิกผันอีกครั้ง หลังจากได้พบกับเฮียเล็ก ซึ่งได้สนับสนุนศิริพรให้กลับคืนวงการอีกครั้ง และออกผลงานเพลงชุด "อาลัยรักที่ชุมพร" เมื่อราว พ.ศ. 2533 อย่างไรก็ตาม เพลงหมอลำในช่วงเวลานั้นกำลังได้รับความนิยมสูงมาก ทั้ง จินตหรา พูนลาภ, สาธิต ทองจันทร์ และเดือนเพ็ญ อํานวยพร เพลงของศิริพรจึงไม่ฮิตติดลมบนเท่านักร้องคนอื่น ศิริพรให้สัมภาษณ์ "ดวงเรายังขัดอยู่ การที่จะแหวกตลาดยากมาก เพราะหมอลำตอนนั้นบูมมากๆ"
หลังจากผลเพลงชุด "อาลัยรักที่ชุมพร" จึงทำต่อมาอีก 3 ชุด ปี 2534 อาจารย์ราช เมืองอุบล แนะนำให้รู้จักกับผู้ใหญ่ของบริษัท พีจีเอ็ม แล้วจึงไปทำผลงานเพลงชุด "โบว์รักสีดำ" ศิริพรเล่าถึงเพลงนี้ว่า "เพลงมันยาวมาก มันเป็นกลอนลำประยุกต์ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ได้คิด (ว่าจะดัง) แต่ว่าคนที่แต่งเขาดูลายมือให้... เขาบอกว่ายังไงก็ดัง อาจารย์สุพรรณ ชื่นชม (ผู้เขียนเพลง) มั่นใจทั้งเพลงและลายมือ เพราะเขาเป็นนักแต่งอยู่แล้ว เขาแต่งให้นักร้องดังหลายคน"
โบว์รักสีดำ ส่งให้ชื่อของ ศิริพร อำไพพงษ์ โด่งดังเป็นพลุแตก ไปที่ไหนผู้คนแห่ตามมาดูถล่มทลาย เทปขายดีระเบิด วงดนตรีรับงานจนไม่มีเวลาพัก เดินสายรับงานเดือนหนึ่งกว่า 40 งาน ศิริพรกล่าวถึงเพลง โบว์รักสีดำ ว่า เป็นเพลงที่พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ
หลังจากโด่งดังจากเพลงโบว์รักสีดำ ศิริพร อำไพพงษ์ รู้สึกท้อถอย เกิดอาการเบื่อ และคิดจะเลิกร้องเพลงอีกครั้ง แม้ว่าเพลงโบว์รักสีดำจะยังคงเป็นที่นิยมมาโดยเสมอก็ตาม และได้เริ่มทำอัลบั้มกับพีจีเอ็มจนถึงปี 2542 จำนวน 31 ชุด คือ โบว์รักสีดำ ลำเพลินเชิญเต้น ไฟใกล้ฟาง ล้างจานในงานแต่ง (เริ่มร่วมงานกับ ครูสลา คุณวุฒิ ครั้งแรก เพลงล้างจานในงานแต่ง ครูสลา เป็นผู้แต่งให้ และจากนั้นก็ทำงานด้วยกันมาตลอด แต่ไม่ได้ทำแบบเต็มอัลบั้ม แต่งบางเพลง) จะเห็นได้ว่าตลอดชีวิตของนักร้องเมืองอุดรคนนี้ มีจังหวะขึ้นและลงเสมอ เคยล้มเลิกความตั้งใจร้องเพลงแต่ก็กลับมาสร้างชื่อเสียงโด่งดังได้อีกครั้ง ศิริพรเคยให้สัมภาษณ์ว่า "มันเหมือนชีวิตถูกลิขิตมาอยู่ตรงนี้ เพราะจะเลิกตั้ง 3-4 ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เลิกสักที"
ปี 2542 ศิริพร ย้ายค่ายมาอยู่กับแกรมมี่ โดย คุณ ร.ราชวัตร โปรดิวเซอร์ประจำของศิริพร ออกจากพีจีเอ็ม เพราะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น ทำให้ศิริพร หันไปปรึกษา ครูสลา คุณวุฒิ ซึ่งร่วมงานกันมาตั้งแต่ ปี 2535 ตลอดเวลา 8 ปีกว่า และทราบว่าครูสลา ได้มาอยู่ประจำในตำแหน่งโปรดิวเซอร์กับแกรมมี่ โกลด์ จึงตัดสินใจขอมาทำงานด้วย เพราะคุ้นเคยกันอยู่ก่อนแล้ว กับการทำงานประเดิมชุดแรกแหวกแนวลูกทุ่งอีสาน เต็มตัวครั้งแรก กับครูเพลงคู่บุญอีกครั้ง "ครูสลา คุณวุฒิ" มาเป็นโปรดิวเซอร์ในงานชุด "ปริญญาใจ" วางแผง 24 สิงหาคม 2543 และเพลงนี้เองที่ทำให้สังคมไฮโซฮัมเพลงลูกทุ่งได้
ศิริพร กล่าวถึงความสำเร็จของเพลงปริญญาใจว่า "จริงๆ ขายได้เยอะกว่านี้นะ แต่เขาจะบอกแค่ยอดกลมๆ คือ หนึ่งล้านตลับ ส่วนตัวพี่เองก็ธรรมดา ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะพี่เป็นนักร้องมานาน ตอนโบว์รักสีดำก็ขายได้ถล่มทลาย ตอนนั้นเกินล้านตลับไปเยอะ พี่ก็เลยเฉยๆ พี่รู้สึกเหมือนเป็นนักร้องใหม่อยู่เรื่อย (ยิ้ม) ตอนไปลงตลาด ยังไม่มีทีวีเปรี้ยงปร้างแบบนี้ ไปไหนคนก็แตกตื่น มากอด มาหอม มาถ่ายรูป มันก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพี่ไปแล้ว"
ครูสลา คุณวุฒิ ครูเพลงคู่บุญ เคยกล่าวถึง ศิริพร ว่า "ศิริพร เป็นนักร้องครบเครื่อง เป็นนักร้องที่ร้องเพลงได้สื่อสาร ร้องเพลงเหมือนไม่ได้ร้องเพลง แต่เหมือนกำลังเล่าเรื่อง ทำให้คนเชื่อ"
ปัจจุบัน เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ศิริพร อำไพพงษ์ เธอเป็นนักร้องสายบุญ โดยเงินที่ได้รับจากแฟนเพลงหน้าเวที เธอจะนำมาทำบุญด้านต่างๆ และเธอมักจะจัดกิจกรรมงานบุญอยู่เสมอ ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับ สุชาติ สุขโมนมหาอุดม ผู้จัดการวงดนตรี (ปัจจุบัน เลิกรากันไปแล้ว)
ศิริพร อำไพพงษ์ ถือเป็นแบบอย่างของการเป็นนักร้องที่ดี ที่นักร้องรุ่นใหม่หลายคนได้ยึดเป็นแบบอย่าง ทั้งการสร้างผลงานเพลง ความสามารถด้านการร้องเพลงทุกรูปแบบ ความตรงต่อเวลา การวางตัวในวงการ การแสดงหน้าเวทีที่พอเหมาะพอดี โดยความเป็นนักร้องดัง แต่ทำตัวเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับความดัง ให้ความสำคัญกับแฟนเพลงวางตัวอย่างเป็นกันเอง ชอบทำบุญ และมีผลงานเพลงคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง แนวเพลงหลากหลาย ครอบคลุมผู้ฟังหลายกลุ่ม รวมทั้งการแสดงหน้าเวทีที่สนุกสนาน ทำให้ ศิริพร อำไพพงษ์ สามารถครองใจแฟนเพลงมาอย่างยาวนาน ได้มากกว่า 30 ปี
การเดินสายของ วงพิณแคนแดนอีสาน ของศิริพร จะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึง พฤษภาคม มีงานเกือบทุกวันทั้งงานจ้างวง และงานล้อมผ้า เพื่อเป็นการย่นระยะทาง ไปต่องานในจังหวัดต่างๆ ส่วนวงดนตรีกว่า 200 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหางเครื่อง นักดนตรี หมอลำ ตลก เด็กในวงต่างๆ ประมาณ 70% จะเป็นลูกหลานพี่น้องของศิริพรทั้งนั้น ศิริพรมีส่วนร่วมในการวางคอนเซ็ปต์ในโชว์ต่างๆ อาทิ ตลก โชว์อาคาซ่า ซึ่งในวงแบ่งเป็นช่วงๆ เช่น โชว์เพลงลูกทุ่ง + สตริง ตลกอีสาน เพลงนานาชาติ (ไทยจีน) มีคาบาเร่โชว์ศิริพร และลิเกอีสาน เป็นต้น
ผลงานที่ผ่านมา : ออกอัลบั้ม สังกัดกรุงไทย 5 ชุด, สังกัด PGM 31 ชุด (โบว์รักสีดำ ดังที่สุด)
ผลงานปัจจุบัน : GRAMMY GOLD ล่าสุดชุดที่ 17 คนใช่ เกิดช้า
เป็นงานเพลงของแหบมหาเสน่ห์อย่าง ศิริพร อำไพพงษ์ เป็นแนวเตือนใจสำหรับคนที่มีคนรัก หรือมีคู่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม "กรุณาอย่าเผลอใจ" และ "คึดฮอดกอดบ่ได้"
ส่วนคำร้องออกแนวลูกทุ่งอีสาน ที่มีภาษาอีสานผสมมากับเนื้อร้องเช่นเคย ถือเป็นแนวถนัดของสลา คุณวุฒิ ขณะที่แนวดนตรีฟังง่ายๆ แต่ยังคงสไตล์เดิมของศิริพร เอาไว้อย่างเป็นเอกลักษณ์
ยังมีเพลงที่ออกแนวพบรักอย่างเพลง "คนนี้ล่ะแม่น" สำหรับสาวโสด และ เพลง ออนซอนเจ้าบ่าว ที่เหมาะกับสาวๆ ที่ชอบไปงานแต่งงานของคนอื่น นอกจากนี้ มีเพลง ใต้ต้นสะแบง ผลงานการแต่งของสุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน และ เพลงสาวฮ้านน้อย แต่งโดยวีระเดช ไกรศรี เป็นเพลงจังหวะโชะๆ ที่น่าฟังมาก ถ่ายทอดชีวิตของชาวต่างจังหวัด ที่มาทำงานเก็บเงินจากกรุงเทพฯ จากนั้นก็กลับบ้านไปเปิดกิจการคาราโอเกะเล็กๆ ที่บ้านเกิด ฯลฯ
เป็นงานเพลงชุดล่าสุดของนักร้องเสียงแหบมหาเสน่ห์อย่าง ศิริพร อำไพพงษ์ ผลงานเพลงชุดนี้มีเพลงที่น่าฟังอย่างชื่อชุด ตัวจริงประจำใจ, แรงใจจากปลายนา, กอดลาว่าที่.. ที่เป็นเพลงของหนุ่มสาวชาวบ้านที่มีใจให้กัน
ในชุดนี้มีเพลงที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานที่น่าฟังมาก ทั้งในแง่คิดและความเป็นจริง เพลงแรก คึดฮอดน้องสาว ที่เล่าถึงความห่วงหาอาทรต่อน้องสาวที่ไปแสวงหางานทำในเมืองกรุงเพื่อส่งเงินทองจุนเจือให้พ่อแม่ทางบ้าน ซึ่งคนอีสานส่วนใหญ่จะรับรู้ได้ด้วยใจกับเพลงนี้
ส่วนอีกเพลงหนึ่งเป็นตรงข้ามคือ ตายายกับหลานน้อย เป็นการไปแสวงหาความสุขส่วนตนของหนุ่มสาวบ้านนอก ทิ้งตายายเฝ้าบ้าน ยังไม่หนำใจยังเอาหลานกลับมาให้สองเฒ่าตายายเลี้ยงให้อีก นี่ก็แง่มุมหนึ่งของชีวิต และมีเพลงสุดท้ายในชุดที่แต่งโดยครูเพลง พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ฮักกันไว้เด้อ ต้องการให้เห็นความรักและสามัคคีของคนไทยในทุกภาคมีต่อกัน เพราะสันติจะเกิดได้ก็เมื่อความรักห่อหุ้มหัวใจให้เป็นสุข ในเพลงชุดนี้จะได้ยินเสียงพิณอีสานอยู่หลายเพลง บรรเลงโดยมือพิณผู้ยิ่งใหญ่ ทองใส ทับถนน ม่วนคักหลาย...
ยังมีผลงานชุดต่อๆ มาอีกหลายชุด มีเพลงดังติดหูหลายเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีแฟนๅ ขอคำแปลภาษาอีสานกันมา เช่น แจ่วบองในกล่องคอมพ์, ย้านบ่มีชาติหน้า, ทางนั้นเป็นจั่งใด๋, บ่เหงาบ่คึดฮอด, ฝากเสียงลมล่อง, เมียบ่ได้แต่ง, รับของโจร และยังมีอีกหลายๆ เพลง ถ้าแฟนเพลงท่านใดชื่นชอบแต่ฟังเนื้อหายังไม่เข้าใจก็แนะนำกันมาได้ครับ
ชื่อของ "ศิริพร อำไพพงษ์" กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อเธอร่วมงานเพลงกับวง Bodyslam ในเพลงคิดฮอด เมื่อ พ.ศ. 2553 ศิริพรเล่าเบื้องหลังเพลงนี้ว่า "เขา (อาทิวราห์ คงมาลัย-ตูน) เป็นคนเล่าให้เราฟัง... ตอนนั้นเขาหยุดไป หยุดไปกี่ปีก็ไม่รู้ เขาจะเริ่มมาอัดใหม่ เขาก็หาเพลงที่จะมาเป็นอัลบัมในชุดนี้ ในชุดคราม เขาก็ไปหาลำตัด ลำฉ่อย ลิเก สารพัดสารเพ แล้วมาเปิดเทียบกัน... เขาก็ทำเป็นดนตรีออกมานิดๆ หน่อยๆ พ่อเขาก็ช่วยคิดด้วย แต่น้องตูนเขาบอกว่า ตอนที่เขายังเป็นเด็กอยู่ ยังไปโรงเรียน พ่อเขาเปิดเพลงนี้ โบว์รักสีดำ ให้ฟังประจำ เขาชอบดนตรี" อาจกล่าวได้ว่าหากไม่มีเพลงโบว์รักสีดำในวันนั้น ก็คงไม่มีเพลงคิดฮอดในวันนี้
Bodyslam - คิดฮอด feat.ศิริพร อำไพพงษ์
เพลงโบว์รักสีดำเป็นเพลงที่สร้างชื่อให้ "ศิริพร อำไพพงษ์" โด่งดังเป็นพลุแตก ถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2564 เพลงนี้ก็มีอายุครบ 30 ปี ผูกใจคนไทยจนได้รับความนิยมมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เพลงโบว์รักสีดำเป็นเพลงอมตะ เป็นเพลงในตำนาน ก็คงไม่กล่าวเกินจริงไปนัก
ติดตามความเคลื่อนไหวของเธอได้ทาง Facebook Fanpage
ศิริพร อำไพพงษ์ ได้ตั้ง มูลนิธิศิริพร อำไพพงษ์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ช่วยเหลือผู้ป่วยยากจน บริการช่วยเหลืออุปถัมปภ์เด็กกำพร้า คนชรา ที่ยากจนและยากไร้ พัฒนาและส่งเสริมการศึกษาของโรงเรียนสำหรับเด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษา รวมทั้งการสาธารณประโยชน์ต่างๆ
ทำให้ ต่าย อรทัย ประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2547 รับรางวัลมาลัยทองจาก เพลงลูกทุ่งยอดนิยม นักร้องดาวรุ่งหญิงยอดเยี่ยม และนักร้องหญิงยอดนิยม
จากภาพ การประกาศผลนักร้อง และงานเพลงลูกทุ่งยอดเยี่ยม รางวัลมาลัยทอง ประจำปี 2547 โดยสมาคมลูกทุ่งเอฟเอ็ม รางวัลเพลงยอดเยี่ยม และรางวัลนักร้องหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ คัฑลียา มารศรี จากเพลง ให้กำลังใจตัวเอง ส่วนนักร้องชายยอดเยี่ยม ได้แก่ แจ๊ค ธนพล จากเพลง คนที่รอคอย นักร้องหญิงยอดนิยม ได้แก่ ต่าย อรทัย จากเพลง กินข้าวหรือยัง นักร้องชายยอดนิยม ได้แก่ ไมค์ ภิรมย์พร จากเพลง อยากให้เธอเข้าใจ
นักร้องลูกทุ่งหญิงคนแรก ที่สามารถทำสถิติยอดขายอัลบั้มชุดแรก "ดอกหญ้าในป่าปูน" ได้ทะลุเกินกว่า 1,000,000 ชุด (โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจยุคเทปผี ซีดีเถื่อน) ชนิดม้านอกสายตา ด้วยเพลงฮิตสะกิดใจอย่าง โทรหาแหน่เด้อ ที่ถูกอกถูกใจแฟนเพลงทั่วประเทศ และล่าสุดกับผลงานชุดที่ 2 ขอใจกันหนาว ที่ฮิตติดลมบนจากเพลงที่ฟังง่ายๆ สบายๆ อย่างเพลง ขอใจกันหนาว, กินข้าวหรือยัง, ดาวเต้น ม.ต้น จนรายการโทรทัศน์หลายรายการต้องจองคิวไปสัมภาษณ์กันเลยทีเดียว ทั้ง ทไวไลท์โชว์ เจาะใจ สมาคมชมดาว เป็นต้น
ชื่อจริง : | อรทัย ดาบคำ | ชื่อเล่น : | ต่าย |
วัน-เดือน-ปีเกิด : | วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2523 (ปีวอก) | ||
ภูมิลำเนา : | บ้านคุ้มแสนชะนี ตำบลพรสวรรค์ อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี | ||
บิดาชื่อ : | นายสาง ดาบคำ | มารดาชื่อ : | นางนิตยา ดาบคำ |
การศึกษา : | ประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านคุ้มแสนชะนี มัธยมศึกษาที่ โรงเรียนนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาเอกสื่อสารมวลชน (ภาคพิเศษ) |
||
ผู้ชักนำเข้าวงการ : | พี่กุ้ง บ่าวข้าวเหนียว พี่สาวบ้านเชียง | ครูเพลง : | ครูสลา คุณวุฒิ |
อัลบั้มสร้างชื่อ : | ดอกหญ้าในป่าปูน | เพลงสร้างชื่อ : | ดอกหญ้าในป่าปูน, โทรหาแหน่เด้อ |
รางวัลที่ได้รับ : | รางวัลมาลัยทอง นักร้องลูกทุ่งยอดนิยมฝ่ายหญิงประจำปี 2546 | ||
อาหารที่ชอบ : | ยำวุ้นเส้น อาหารอีสานทุกอย่าง | ||
อนาคต : | อยากเป็นชาวสวน (สวนผลไม้ สวนยาง) |
"ต่าย - อรทัย ดาบคํา" นักร้องลูกทุ่งผู้พลิกผันชีวิตตัวเอง จากเด็กบ้านนอกที่มีความมุ่งมั่น และความพยายาม จนทําให้ในวันนี้เธอคือ นักร้องที่ดังสุดๆ จากชุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" และล่าสุดมีอัลบั้มชุด "ขอใจกันหนาว" ชีวิตที่พลิกผันจากสาวบ้านนาที่เดินตามความฝันของตัวเอง จนกลายมาเป็นนักร้องค่ายแกรมมี่ มียอดขายเทปกว่าหนึ่งล้านตลับ แต่กว่าจะมีวันนี้ชีวิตของดอกหญ้าในป่าปูนคนนี้ต้องพบกับอุปสรรคมากมายทั้งความยากจน อดมื้อกินมื้อ พ่อแม่แยกทาง แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอหมดกำลังใจแต่อย่างใด เธอกลับไขว่คว้าหาโอกาส จนวันหนึ่งโอกาสนั้นวิ่งมาหาเธอเอง เธอเล่าว่า
"ต่ายเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่แยกทางกันทิ้งต่ายไว้กับยาย และน้องอีก 3 คนต้องหารายได้จุนเจือครอบครัวด้วยการรับจ้างลอกปอ เกี่ยวข้าว ดายหญ้า ต้องหาบน้ำเป็นระยะทาง 2-3 กิโลทุกวัน ยากจนถึงขนาดที่ว่าปลาตัวนึงปกติกินคนนึง แต่ต้องเอาปลามาป่น และผสมน้ำเยอะๆ เพื่อให้กินได้หลายคน หลายวัน"
แม้ว่าจะยากจนแต่ ต่าย อรทัย มีความฝันอย่างหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในการก้าวเดินต่อไป นั่นคือ การเป็นนักร้อง "ต่ายเป็นคนชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ฝันว่าอยากเป็นนักร้อง จึงไปประกวดร้องเพลงในงานสงกรานต์ ได้รางวัลชนะเลิศ แม้จะไม่มีพ่อแม่ไปให้กำลังใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่หมดกำลังใจ เพราะเราอยากเดินตามความฝันของเรา แต่ต่ายก็ยังไม่ได้เป็นนักร้องเพราะตอนนั้นยังเรียนไม่จบ ก็เลยเลือกเรียนทั้งที่มีโอกาสเป็นนักร้อง จนเรียนจบ ม. 6 แต่ไม่มีเงินเรียนต่อ จึงเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อหาเงินเรียนด้วยการช่วยแม่รับจ้างซักผ้าแล้วเรียนรามคำแหงไปด้วย ตอนนั้นชีวิตลำบากมากจากที่เคยอยู่ท้องนากว้างๆ ต้องมาอยู่ห้องเล็กๆ มุงสังกะสี ต่อมาเพื่อนชวนไปทำงานบริษัทยา ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงตีสอง เงินที่ได้ก็จะส่งเป็นค่าเช่าห้อง และให้ยาย เวลาที่คิดถึงยาย และน้องๆ ก็จะร้องเพลง "ทุ่งนางคอย" ของพุ่มพวง ดวงจันทร์ "
แม้จะทำงานโรงงานที่สมุทรปราการ แต่ต่ายก็ยังไม่ทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักร้อง จึงไปประกวดร้องเพลงหลายครั้ง สถานที่ฝึกฝนการขับร้องเพลงของเธอในยามนั้นคือ เวทีประกวดที่ฟาร์มจระเข้ สมุทรปราการ เธอเคยดั้นด้นขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงทางช่อง 7 สี ทีวีเพื่อคุณ ที่รายการ "ชุมทางเสียงทอง" แม้ไม่ชนะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่เช่นนี้ แต่ก็ทำให้ต่ายสานฝันได้สำเร็จ จนท้ายที่สุดได้มีโอกาสพบกับ ครูสลา คุณวุฒิ "อาจารย์ใหญ่" แห่งวงการลูกทุ่งยุคนี้ เธอจึงได้เข้าซุกปีกของค่ายใหญ่อย่างแกรมมี่ จนได้เดินตามเส้นทางความฝันของเธอในวันนี้
"ต่าย อรทัย" ต้องใช้เวลาบ่มตัวนานเป็นปี ก่อนอัลบั้มออกวางแผงในช่วงปลายปี 2545 แต่ก็สามารถลบล้างความเชื่อที่ว่า "เพลงโจ๊ะ หรือ เพลงโชว์สะดือ" เท่านั้นที่สร้างนักร้องให้ดังได้ เนื่องจากเพลงของต่ายในชุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" เป็นเพลงช้า ทำให้การต้อนรับจากแฟนเพลงในระยะแรกไม่ดังเปรี้ยงปร้าง กว่าเนื้อหาจะโดนใจแฟนเพลงก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่เมื่อฮิตฮอตแล้วก็ไม่มีอะไรมาหยุด "ดอกหญ้าในป่าปูน" ของ "ต่าย อรทัย" ได้ และไม่น่าแปลกใจที่เธอได้รับ รางวัลมาลัยทองประจำปี 2546 ของคลื่นวิทยุเอฟ.เอ็ม. 95 ในฐานะ นักร้องหญิงยอดนิยม
รายการลูกทุ่งเอฟ.เอ็ม.ระบุว่า เพลง "โทรหาแหน่เด้อ" นี้อยู่อันดับ 4 มาสองสัปดาห์ต่อเนื่องกัน แต่ติดอันดับ 1 ใน 10 นานถึง 52 สัปดาห์ ถือว่ายืนอันดับนานกว่าเพลงอื่นๆ รวมถึงเพลง "อยากให้เธอเข้าใจ" ของ ไมค์ ภิรมย์พร นักร้องชายค่ายเดียวกัน
ในปี 2554 ต่าย อรทัย ได้เป็นผู้หญิงที่มีผู้ค้นหาสูงสุดประจำปี 2554 ของกูเกิลไทยแลนด์ และได้รับรางวัล ผู้หญิงต้นแบบผู้สร้างแรงบันดาลใจแก่สังคม ประจำปี 2554
สลา คุณวุฒิ ได้เคยกล่าวความรู้สึกเกี่ยวกับ ต่าย อรทัย ในรายการ ที่นี่หมอชิต ว่า
ต่าย อรทัย เป็นศิลปินคนแรก ที่บริษัทให้ครูสลาใช้ความสามารถเต็มรูปแบบ ทั้งบุคลิกภาพ เสื้อผ้า หน้าผม แนวเพลง ถ้าเปรียบเทียบครูสลาเป็นนักศึกษาหรือนักเรียน ต่าย อรทัย คือวิทยานิพนธ์ชิ้นสำคัญ เป็นเหมือนวิทยานิพนธ์ที่ทำให้เราได้ด็อกเตอร์ ในวันแรกๆ ที่เห็นต่ายออกทีวี เด็กที่ลำบากมากคนหนึ่งที่เราเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอ และอยู่มาวันหนึ่งได้เห็นต่ายได้ออกทีวี มีรายการดังๆ ต่างๆ หลายรายการสัมภาษณ์ต่าย เห็นทีไรจุก น้ำตาไหลทุกที ไม่อยากเชื่อว่าครูบ้านนอกคนหนึ่ง อยู่มาสามารถเขียนเพลงให้ลูกศิษย์ และพาลูกศิษย์ไปนั่งอยู่ในจุดที่สูงส่งมาก ในความรู้สึกของตัวเองและชาวบ้าน รู้สึกตื้นตันใจ "
ขณะที่ลูกกรุงโหมโฆษณาและอัดเอ็มวีกันเข้าไป แต่ยอดขายไม่ทะลุเปรี้ยงปร้างสักเท่าไหร่
นักร้องลูกทุ่ง 'ต่าย อรทัย' ก็มานิ่มๆ กับงาน "ขอใจกันหนาว" และก็ทำยอดเกินล้านตลับไปได้แบบสบายๆ แล้ว18 ตุลาคม 2547
"เมื่อเลิกงานเดินเหงา มีเงาเป็นเพื่อนเข้าซอย ผู้สาวบ้านไกลใจลอย บ่มีคนคอยเคียงเงา อยู่ในเมืองใหญ่ อุ่นกายแต่หัวใจหนาว วันๆ มีหลายเรื่องราว รุมเร้าให้คอยหวั่นไหว
ฝืนยืนสู้แค่ไหน นานไปแรงใจสุดท้อ หวั่นเกรงทางบ้านที่รอ แม่พ่อจะสู้จั๋งได้ ปัญหาหลายอย่าง สู้ตามลำพัวบ่ไหว พรุ่งนี้สิเดินอย่างไร เมื่อใจบ่มีคนเคียง
อยากมีพี่เลี้ยง เคียงข้างบนทางเปื้อนฝุ่น มอบใจอุ่นๆ กันหนาว กันท้อพอเพียง ยามเจ็บเห็นหน้า ยามมีปัญหายืนเคียง ยาวเหงาได้โทรฟังเสียง หล่อเลี้ยงหัวใจทุกคราว
ขอพึ่งแรงแห่งฝัน บันดาลให้เจอคนดี ให้สาวบ้านไกลคนนี้ ได้มีคนคอยเคียงเงา งานยุ่งเมืองใหญ่ ขอใจฮักมั่นกันหนาว ดูแลในทุกเรื่องราว ให้สาวดอกหญ้าอุ่นใจ"
ไม่ต้องสงสัยหรือต้องแปลกใจอะไรเลยที่เพลง "ขอใจกันหนาว" ของ ต่าย อรทัย ทำไม? เมื่อได้ฟังครั้งแรก ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจคอเพลงลูกทุ่งที่ชอบเพลงหวานซึ้งกินใจกันเสียแล้ว นอกเหนือไปจากน้ำเสียงหวาน ใส มีลีลาการเอื้อนที่พลิ้วไหวเป็นของตัวเองของ ต่าย อรทัย ที่ถือว่า "สอบผ่าน" มาจากผลงานก่อนหน้านี้ เช่น เพลงดอกหญ้าในป่าปูน, โทรหาแน่เด้อ, กินข้าวหรือยัง ฯลฯ
"หัวใจติดดิน สวมกางเกงยีนส์ตัวเก่า ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าเก้า แต่ใจสาวไม่ด้อยราคา...จะสวมมงกุฎดอกหญ้า ถ่ายรูปปริญญา ย้อนมาบ้านเรา..." เพลงดอกหญ้าในป่าปูนดังระเบิด เดินไปที่ไหนก็ได้ยินเสียงของ ต่าย อรทัย ร้องเพลงนี้ดังมาจากสถานีวิทยุคลื่นต่างๆ
ความดังแรงของ "ต่าย อรทัย" นักร้องสาวชาวอุบลราชธานีคนนี้ ซึ่งใช้เพลงของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นต้นแบบ แม้ว่าสุ้มเสียงจะไม่ถนัดไปในแนวของเพลงสนุกสนาน แต่ สลา คุณวุฒิ ก็ดึงเอาเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของนักร้องบ้านนอกคนนี้ออกมา จนเห็นความงดงามของบทเพลง ต่าย อรทัย ดังแรงจนรายการ "เจาะใจ" เชิญมาออกรายการเพื่อคุยกันถึงประวัติชีวิต และร้องเพลงทั้งของพุ่มพวงและของตัวเอง
เพลง ขอใจกันหนาว มีเนื้อหาที่ไม่ได้พิสดาร เพียงแต่ไม่เคยมีนักประพันธ์นำจุดนี้ ออกมาถ่ายทอดเป็นบทกลอน และบทเพลง สลา คุณวุฒิ มีความสามารถพิเศษที่หยิบเอาความรู้สึกในใจของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่อยากมีแฟนสักคน ในยามที่พลัดบ้านมาทำงานในกรุงเทพฯ ออกมาเขียนเป็นเพลงลูกทุ่ง หนุ่ม-สาวที่ต้องเดินทางจากบ้านเกิดในต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือ หรือมาทำงานทำการในเมืองใหญ่ ย่อมมีความเหงา และในที่สุดก็ต้องมีแฟนและอยู่กินกันฉันสามีภรรยา จุดเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของคนนี่แหละ สลา คุณวุฒิ ประพันธ์เป็นเพลง "ขอใจกันหนาว" ให้ ต่าย อรทัย ขับร้องได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว
เพลงนี้เป็นเพลง 4 ท่อน แต่แทนที่จะร้องไป 4 ท่อนแล้วฟังดนตรี เพื่อนักร้องจะกลับมาร้องซ้ำอีกครั้งในท่อนแยก (ท่อน 3) หรือท่อนสุดท้าย (ท่อน 4) แต่ สลา คุณวุฒิ ตั้งใจให้ต่าย อรทัย ร้องไป 3 ท่อนแล้วต่อด้วยดนตรี จากนั้นจึงค่อยร้องท่อนสุดท้าย แล้วจึงมาฟังดนตรีสลับอีกครั้ง จากนั้นจึงมาร้องซ้ำในเพลงท่อนสุดท้ายอีกรอบ เป็นอันจบเพลง นี่คือการสร้างสรรค์งานเพลงแนวใหม่ ที่นานๆ จะมีแบบนี้สักครั้ง ฟังจากวิทยุ ดูจากทีวีครั้งเดียวก็ติดใจและต้องการฟังซ้ำ หรือรอฟังไม่ไหวก็ต้องหาซื้อเทป ซื้อซีดีมาเปิดฟัง
การร้องและการพูดหน้าเวทีของ ต่าย อรทัย หากจะเห็นพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้นก็ไม่ต้องสงสัย เพราะบริษัทแกรมมี่ ที่เป็นต้นสังกัดได้จัดคอร์สอบรมให้กับนักร้องในสังกัด เพื่อจะได้ร้องได้ดี พูดหน้าเวทีได้คล่องแคล่ว เป็นที่ชื่นชอบของแฟนเพลง ไม่ใช่ถือว่าร้องเก่งแล้ว ไม่ต้องฝึกกันอีกคงไม่ได้ หรือการพูดหน้าเวที ถ้าเล่นกับแฟนไม่เป็น ทำเป็นเงอะๆ งะๆ วางหน้า วางตัวไม่เข้าท่า รับรองว่าแฟนเพลงหนีหมด กระทบมาถึงบริษัทเทป ซึ่งจะขายเทปขายซีดีไม่ออก เวลาไปจัดคอนเสิร์ตก็มีคนดูน้อย ติดตามกันต่อไป นักร้องสาว "ต่าย อรทัย" จะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า
"ต่าย-อรทัย" น้ำตาริน
"สมาคมชมดาว" สานฝันเป็นจริง
กระแสเพลง "โทรหาแนเด้อ" ดังเป็นพลุแตก "สมาคมชมดาว" เลยต้องรีบคว้าตัวนักร้องลูกทุ่งดาวรุ่งสาว ต่าย อรทัย เจ้าของปรากฏการณ์ล้านแล้วจ้า!! มาพูดคุยเพื่อเอาใจคอเพลงลูกทุ่งกันเป็นพิเศษ ต่าย เปิดใจถึงชีวิตก่อนได้เป็นนักร้องดังให้ฟังว่า
"แค่ได้ร้องเพลงทำอัลบั้มก็ถือว่าฝันเป็นจริงแล้ว ไม่เคยคิดว่าเพลงจะขายได้ถึงล้านม้วน เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมากๆ จากสาวโรงงานที่มีรายได้แค่ วันละ 200 กลายเป็นศิลปินดังที่มีรายได้ 6 หลักต่อเดือน แต่ถึงจะหาเงินได้มากแค่ไหน ก็ไม่เคยลืมตัวว่าเราเคยลำบากมาก่อน เงินที่ได้มาส่วนใหญ่ต่ายจะเอาไปปรับปรุงซ่อมแซมบ้านใหม่ ให้ พ่อ-แม่ ยาย และน้องๆ ที่อุบลราชธานี อยากให้พวกเค้ารู้ว่าต่ายรักและแคร์ทุกคนที่บ้านมาก เพราะต่ายเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด น้องๆ เลยคิดว่า ต่ายไม่รัก" พูดถึงไม่ทันไร 2 แหม่ม รีบงัดวีทีอาร์ที่น้องชายพูดถึงพี่สาวออกมาให้ฟังจน ต่าย นั่งน้ำตารินอยู่พักใหญ่ ชนิดที่ทำเอาแฟนเพลงในสตูฯ พลอยปลื้มใจตามไปด้วย
นอกจากนี้ สมาคมชมดาว ยังสร้างเซอร์ไพรส์ต่อ ด้วยการลงทุนเปิดประตูสตูดิโอต้อนรับเพื่อนๆ โรงงานร่วมร้อยชีวิต จากสมุทรปราการ เข้ามานั่งชมมินิคอนเสิร์ตจากต่ายกันอย่างจุใจ ให้สมกับที่เธอตั้งใจและวาดฝันไว้ว่า สักวันจะเล่นคอนเสิร์ตให้เพื่อนโรงงานดู บรรยากาศมินิคอนเสิร์ตในสตูฯ ชมดาว ประทับใจผองเพื่อน และผู้ชมทางบ้านจริงๆ ครับ เพราะตอนรุ่งเช้า มีเพื่อนร่วมงานหลายๆ คน พูดถึงเธอด้วยความชื่นชม และตบท้ายด้วยการยืมซีดีเพลงจากผมไปฟังบ้าง (ไม่ค่อยลงทุนเลยนะ) (ออกอากาศคืนวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2547)
ติดตามความเคลื่อนไหว ต่าย อรทัย ได้ทาง Facebook Fanpage
ต่าย อรทัย ได้ส่งเสียงหวานๆ ให้แฟนเพลงทั่วประเทศมานานถึง 16 ปี คงไม่มีใครไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินเพลงของนักร้องลูกทุ่งเสียงดีคนนี้แน่ๆ เมื่อได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอ ถึงการทำงานตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ด้วยความเป็นกันเองยิ้มแย้มแจ่มใสตามสไตล์สาวอีสานของเธอ
Q : เข้าวงการมากี่ปีแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา?
A : ปีนี้เข้าปีที่ 16 แล้วค่ะ มีอัลบั้มชุดหลัก 11 อัลบั้มแล้ว นอกนั้นจะเป็นชุดพิเศษไปแจมกับคนอื่นๆ
Q : ตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้เราเข้าวงการมา มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง?
A : ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้นนะคะ มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เปลี่ยนเข้ากับยุคสมัยใหม่ ก็เชื่อว่าทั้งคนฟังเพลงเอง หรือนักร้องเอง และคนที่อยู่ในวงการ ค่ายเพลงต่างๆ ก็คิดว่า ก็น่าจะมีการพัฒนาเอกลักษณ์ของความเป็นลูกทุ่ง แต่ว่าอันนี้คือเราก็คงดูบรรยากาศของแฟนเพลง ความชอบ ความนิยมในแต่ละยุคสมัย เราจะเขียนเพลง เราจะนำเสนอตัวเองยังไง ให้ไปด้วยกันได้ มีการพัฒนามาเรื่อยๆ
เพลงของเราเองก็มีการเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เปลี่ยนมาเรื่อยๆ เท่าที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับครูสลา ครูเพลงทุกท่าน แล้วก็ทางบริษัทด้วย จะดูว่าบรรยากาศภาพรวม ความชอบ ความนิยมของแฟนเพลงเป็นยังไง ซึ่งแน่นอนว่า เอกลักษณ์ของต่ายจะเป็นเพลงช้า แต่ว่าช้ายังไงเราถึงจะกลมกลืน อย่างในช่วงแรกๆ เราจะเป็นจังหวะสนุกๆ ใช่มั้ยคะ ทุกคนจะแจ้งเกิดในเพลงสนุกๆ แต่มันจะมีอะไรที่หยิบจากตรงนั้นมาพัฒนาปรับเปลี่ยนให้มันเป็นตัวเองได้
Q : เราเข้ามาในวงการ 16 ปี เรามีวิธีรักษาชื่อเสียงตัวเองยังไง เพราะเราก็เป็นนักร้องลูกทุ่งน้ำดี ไม่ค่อยมีข่าวเสียหายให้ได้ยินเลย?
A : ถ้าลำพังแค่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ ก็คิดว่าทั้งตัวเองด้วยที่หมายถึงซื่อสัตย์ในอาชีพของตัวเองแล้ว พยายามสร้างวินัยให้กับตัวเอง ว่ามาตรฐานที่ผู้ใหญ่สร้างไว้ให้เราตรงไหน แล้วก็มีเรื่องอะไรบ้าง เราจะอยู่ตรงนี้ เราจะดูแลตัวเองได้ยังไง แล้วมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ โชคดีมีคนดีๆ ที่คอยบอกเรา บางครั้งเราอาจจะเผลอแวะข้างทางไปนิดๆ เล็กๆ น้อยๆ หรือแม้แต่ความคิดเอง เรากว่าจะมาได้ขนาดนี้ ไม่ได้สู้แค่วันสองวัน คำพวกนี้นั่นเอง และความหวังดีของทุกคน ก็มาคอยเสริม เราเป็นคนที่ชอบคิดอยู่แล้วในหลายๆ เรื่อง ทุกคนหวังดี ถ้าเราไม่ฟังแล้วใครจะมาดูแลเราได้ ใครจะช่วยเราได้ ถ้าวันหนึ่งมันผิดพลาดไปแล้วจริงๆ
Q : เราดังได้โดยที่ไม่ต้องโป๊?
A : (ยิ้ม) คือนักร้องในหลายยุคที่ผ่านมานะคะ ก็แล้วแต่เอกลักษณ์ อย่างสมัยก่อนเท่าที่มีโอกาสได้เห็น ยกตัวอย่างอย่างแม่ผึ้ง พุ่มพวง แม่ผึ้งเองก็ไม่ได้โชว์นะคะ แต่ก็มีนักร้องอีกค่ายอื่นที่โชว์ความสามารถของตัวเอง และอาจจะโชว์วับๆ แวมๆ อาจจะด้วยความสามารถของแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน อย่างแม่ผึ้งสามารถร้องได้ทั้งช้า ทั้งสนุกสนาน ทั้งเร็ว ทั้งตลก ทะลึ่งตึงตังได้หมดทุกอารมณ์ แต่ศิลปินบางคนความลงตัวก็อาจต้องโชว์ อันนี้คิดว่าความลงตัวและความสามารถของคน ซึ่งต่ายเองก็ถูกวางไว้อย่างนี้ แล้วก็ด้วยความที่ตัวเองแต่งอย่างอื่นไม่ลงตัวเท่าอย่างนี้ ก็คิดว่าเคยเป็นอย่างนี้และก็มาอย่างนี้มาตลอด
Q : เคยมีการลองเปลี่ยนลุคดูบ้างไหม ให้เป็นสาวเปรี้ยว ดูทันสมัย เป็นสาวเมืองกรุง?
A : ปรับเปลี่ยนให้มีดีไซน์แปลกๆ นั้นมีแน่นอน แต่เปลี่ยนปรับจากลุคเรา ให้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยทั้งหมด ก็ไม่ใช่แล้ว อย่างช่วงปีแรกๆ มีการหาเสื้อผ้ามาหลายแนวมากนะคะ กว่าเราจะลงตัวใส่มาทุกอย่าง มีการเทสต์ก่อน ใส่กระโปรง ใส่ชุดแซก ลองมาหมดแล้ว จากที่เราลองคุยกับคอสตูมแล้ว ไม่ใช่ ไม่ผ่าน ด้วยน้ำเสียงเราเป็นอย่างนี้ การวางรูปแบบการนำเสนอเป็นอย่างนี้ บุคลิกเราเป็นอย่างนี้ เหมาะกับชุดแบบนี้ เสื้อผ้าในสไตล์แบบนี้
Q : เคยคิดวางแพลนถึงอนาคตตัวเองในวงการนี้ไหม?
A : ก็ไม่เคยกำหนด (หัวเราะ) ไม่เคยกำหนดว่าจะถึงอายุเท่าไร ก็ร้องไปจนกว่าตัวเองจะร้องเพลงไม่ไหว ค่อยว่ากันอีกที ว่าวันนี้ตัวเราจะยังร้องเพลงอยู่ แต่อาจจะทำควบคู่กันไป เหมือนกับอยู่ดีๆ แล้วมีความฝันด้านอื่น หายไปเลยหรือออกไปเลย ก็ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น
Q : อัลบั้มเราเป็นอัลบั้มที่ 11 แล้ว ในปัจจุบัน มันมีเทปผีซีดีเถื่อน เพลงให้โหลดฟรี เรื่องนี้มันมีผลกระทบกับตัวเราไหม?
A : มีค่ะ แล้วก็ยิ่งทุกวันนี้คือยอดการซื้อซีดีมันลดลงอยู่แล้ว และพฤติกรรมการฟังเพลงของแฟนเพลงทุกวันนี้ก็เปลี่ยนไปหมดเลยนะคะ ก็แทบจะทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ตาม ต่างก็มีสื่ออยู่ในมือ ก็โหลดเพลงมาฟัง ยอดซีดีก็ลดลงตามไปด้วย อย่างเมื่อก่อนถ้าย้อนไปเมื่อ 5-10 ปี เทปผีซีดีเถื่อนอันนั้นเรามีผลกระทบ แต่ทุกวันนี้คนจะฟังเพลงผ่านการฟังยูทูบบ้าง หรือว่าการโหลดเพลงมาไว้ฟังในมือถือ อันนั้นมีผลโดยตรงเหมือนกัน
อย่างยอดซีดีมันอาจจะพอมี หมายถึงว่า ณ ปัจจุบันนี้ แฟนคลับที่เป็นแฟนคลับจริงๆ เค้าก็จะบอกว่า ซื้อแล้วขอลายเซ็นเก็บไว้เป็นแบบของสะสม ด้วยความที่ว่ารักในตัวศิลปิน ซื้อเก็บสะสม อาจจะได้มีโอกาสฟังในรถ อย่างเวลาเดินทางไปทำงานได้เปิดฟัง แต่ถ้าได้อยู่บ้านจริงๆ อาจจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะเปิดในโทรศัพท์มากกว่า ก็ยังคงมีได้อยู่ หมายถึงว่ายอดซีดี ยูทูบ ยอดต่างๆ ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าได้จากยอดซีดี จากเทปอย่างเดียว มันไม่ใช่แล้ว ก็จะเป็นการกระจายรายได้ไปส่วนอื่น
Q : ห่างหายจากการทำเพลงจากอัลบั้มที่แล้วไปกี่ปี?
A : จากชุดที่ 10 ก็ 3 ปีแล้วค่ะ ด้วยจังหวะ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างด้วย ด้วยตัวของเพลงยังไม่ได้อย่างที่โปรดิวเซอร์อยากจะได้ ก็เลยใช้เวลา 3 ปีรวบรวมเพลง ทัวร์คอนเสิร์ตแทน
Q : ล่าสุดที่เราเปลี่ยนลุคแต่งหน้า แล้วคล้าย น้ำตาล ชลิตา มีนิตยสารติดต่อเราไปลงปกบ้างไหม?
A : ยังค่ะ แต่ว่าตอนนี้หลายคนก็ยังพูดถึงเรื่องนี้อยู่ เราก็ไม่ค่อยแต่งลุคนี้เหมือนกันค่ะ อย่างไปงานรับรางวัลเอย นิตยสารอื่นก็ยังไม่มีค่ะ อาจจะมีแบบวินเทจบ้างก็จริง อาจจะมีทรงผมที่ยังเหมือนเดิม เสื้อผ้าอาจจะเปลี่ยนบ้าง แต่ยังไม่มีเปลี่ยนไปขนาดนี้
Q : ทำงานมา 16 ปี อยากจะลองเปลี่ยนลุคในแบบเซ็กซี่ดูบ้างไหม?
A : จริงๆ เป็นคนที่ชอบดูหนังสือ ดูแฟชั่นนะ ชอบซื้อหนังสือนิตยสารที่มีการถ่ายแบบในแนวต่างๆ ชอบมากๆ แล้วก็มีแอบคิดเล่นๆ ถ้าสมมติเราแต่งในสไตล์อย่างนี้ เราจะเหมือนมั้ยนะ จะผ่านรึเปล่า เคยคิดเล่นๆ แต่หลังจากที่เปลี่ยนลุคมา ก็ไม่มีใครติดต่อ
Q : ถ้ามีจะรับไหม?
A : ก็ยินดีนะคะ แต่เบื้องต้นคงดูภาพรวมก่อนนะคะว่า มันจะผิดลุคเราไปมากน้อยแค่ไหน แต่โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว เราชอบแบบนี้ จะไปใส่สายเดี่ยวมันก็รู้สึกไม่มั่นใจค่ะ เราเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองใส่นะ สายเดี่ยว แขนกุด เสื้อกล้าม พวกนี้ลองมาหมดแล้ว แต่มีความรู้สึกใส่ปุ๊บส่องกระจก พวกนี้มันก็สวยดีเนอะ แต่พอก้าวขาออกจากบ้าน ก็รู้สึกไม่มั่นใจ หาเสื้อคลุมใส่ทันทีเลย จนมาทุกวันนี้ค่ะ และก็อย่างผู้ใหญ่วางลุคไว้ คือเราเห็นเรารักษามาตรฐานตัวเองมา ด้วยนิสัยความชอบของเรา มันก็เลยกลายเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมากค่ะ
Q : เราอยู่ค่ายแกรมมี่โกลด์มาแต่แรกเลยใช่ไหม?
A : ค่ะ
Q : เซ็นสัญญาอะไรยังไง?
A : เซ็นสัญญาครั้งแรกเลย 6 ปี ล่าสุดก็เป็น 10 ปี แต่ว่าอันนี้เป็น 10 ปีสุดท้ายแล้วนะคะ ก็จะหมดกลางปีนี้ จะต่อหรือไม่ ก็ยังอยู่ในช่วงตัดสินใจ
Q : เราอยู่ตรงนี้มานาน ถ้าเกิดว่าเราจะไม่ต่อสัญญาแล้ว มันจะมีผลอะไรไหม?
A : ก็เดี๋ยวอยู่ที่การพูดคุยและการตกลงกันค่ะ
Q : ถ้าจะไม่ต่อสัญญา ก็จะเป็นนักร้องอิสระ?
A : แต่ก็ไม่ไปไหนนะคะ เราอยู่ด้วยสัญญาใจ แกรมมี่ก็ถือว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งที่อบอุ่นและดูแลเรา แจ้งเกิดที่นี่ และเราก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว แม้ว่าเราจะยังอยู่ ต่อสัญญาหรือไม่ต่อสัญญาก็ตาม ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้วค่ะ
Q : เราไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องความรักหรือเปล่า?
A : จริงเหรอคะ (ยิ้ม) คิดว่าความรักมันอยู่กับทุกคน เป็นคนไม่ได้มีความลับอยู่แล้ว มีคิด มีฝัน อยากมีครอบครัว มีเป้าหมาย แต่มันอยู่ตรงที่ว่าใครจะเข้ามา ยังไง อะไรแบบไหน มันก็มี เราคิดมากอยู่แล้ว
Q : ปีนี้เราอายุเท่าไรแล้ว?
A : 37 แล้วค่ะ
Q : มีคนเข้ามาบ้างไหม มีคนคุย หรือคนที่เราดูๆ ไว้บ้างไหม?
A : (ยิ้ม) ยังไม่มีค่ะ เราทำงานตลอด มีหลังมานี้แม่บ้าง ยายบ้างหรือญาติๆบ้าง เริ่มถามแล้วว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีลูกเต้าจะอยู่ยังไง เราก็บอก อยู่อย่างนี้แหละแม่ ก็คุยกับแม่ แต่ว่าในกลุ่มเพื่อนๆ เอง ก็มีทุกแนวเลยนะคะ หลายรุ่นหลายอายุ เป็นรุ่นพี่ก็มี เค้าก็มีครอบครัวแล้ว บางคนก็เลิกไปแล้ว เพื่อนบางคนอาจจะรุ่นน้องรุ่นเด็ก อาจจะรักๆ เลิกๆ เจอกันก็จะเล่าสู่กันฟังตลอด ว่าเป็นยังไง โอเคมั้ย
Q : หรือว่าเรากลัว?
A : ก็ไม่ได้กลัว เหมือนว่าเราไม่ได้มีชีวิตเหมือนคนอื่น เราก็สัมผัสได้ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเจอปัญหาอย่างนี้เนอะ
Q : หรือกะรอให้พร้อม?
A : พร้อมแล้ว (ยิ้ม) แต่ถามว่ากลัวมั้ย มันก็ไม่เชิงว่าจะกลัวซะจนเราแย่ หรือเป็นเหตุผลหลักๆ คือมันก็มีบ้างอยู่แล้วในความรู้สึกของเรา บางทีเราก็เหงา แล้วแต่ห้วงอารมณ์มันไม่เหมือนกัน
Q : หรือว่าเรามี แต่เราไม่บอก?
A : (หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ คือถ้าเป็นวันหยุดปุ๊บ เราก็เที่ยว นัดไปเที่ยวกับเพื่อนซะส่วนใหญ่
Q : มีคนเข้ามาจีบไหม?
A : ไม่มี คือเรามองไม่เห็น เราทำงานไง อย่างน้องผู้จัดการเค้าจะเห็นมากกว่า อย่างสมมติว่า เราไปงานคอนเสิร์ต ตั้งใจทำงาน อยู่บนเวที พอเราลงเวทีมา ใครที่มองเราบ้าง เราก็ไม่รู้ ไปแล้วก็ถ่ายรูปเสร็จต่างแยกย้ายกลับ
Q : มีความรู้สึกว่าอยากมีแฟนบ้างไหม?
A : ก็อยากมีนะ (หัวเราะ) ลุ้นกันต่อไปค่ะ แม่ ยาย ย่า ก็ถามกันเยอะ
เส้นทางตลอด 20 ปี ของ 'ราชินีดอกหญ้า' | ต่าย อรทัย | ป๋าเต็ดทอล์ก
Q : มีสเปกหนุ่มในฝันเราไหม?
A : ไม่รู้ว่าจากวันนั้นถึงวันนี้มันจะเปลี่ยนรึเปล่า (ยิ้ม) คือเราไม่รู้ว่า ผู้ชายบางคนเค้าเข้ามา จะเป็นคนดีจริงมั้ย ชีวิตเราสู้มาจนถึงวันนี้ มันก็ค่อนข้างจะคิดมากอยู่นิดหนึ่ง เค้าพร้อมที่จะดูแลเรา และเราอยู่ได้อย่างมีความสุขสบายใจรึเปล่า หรือว่าเข้ามาแล้วเราแย่ลง ก็คิดอยู่แล้ว ลูกผู้หญิงด้วย แล้วเราก็อยู่ตรงนี้ด้วย
Q : เราบริหารการเงินเรายังไง?
A : ชีวิตลำบากมันก็เป็นอุทาหรณ์เหมือนกันนะคะ ชีวิตเราลำบากตั้งแต่เด็กๆ เลย คือจริงๆ เป็นคนคิดตลอดเวลา แต่ไม่ถึงกับว่าคิดมากไร้สาระนะคะ คิดในทุกๆ เรื่อง อย่างการใช้ชีวิตก็ตาม แม้แต่การไปซื้อของส่วนตัว เราอยากได้มาก เรารู้สึกว่าเราฟุ่มเฟือยเกินไปรึเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลให้เราระมัดระวังตัวเอง พอเราไปทำงาน เราต้องใช้ความสามารถแลกกับเงิน แล้วเราเดินทางตลอด ความเสี่ยงในชีวิตมันเยอะ ก็เลยคิดว่าดูแลตัวเองให้ดี และเก็บตังค์ให้มันได้มากที่สุด เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นอยู่แล้วค่ะ ก็เลยคิดว่าเราอย่าประมาทดีกว่า ก็เลยต้องมีสติ ดูแลตัวเอง แบ่งเงินดูแลครอบครัวยังไง พ่อแม่และยาย ญาติพี่น้องก็มีดูแลซัพพอร์ตบ้างที่จำเป็น
ตัวเราเองในชีวิตประจำวันใช้จ่ายยังไง เราก็เก็บไว้เผื่อวันหนึ่งเราจะฉุกเฉินขึ้นมา เราต้องเก็บเพื่อว่าวันหนึ่งเราอยากจะมีฝันอะไรบางอย่าง ที่มากกว่าการร้องเพลง แล้ววันหนึ่งถ้าเราพร้อมเราสามารถจะทำได้เลย เราฟังผู้ใหญ่มามากด้วย เลยกลายเป็นคนที่จะทำอะไร ก็ต้องคิดไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ได้มาใช้ไปๆ เราไม่ใช่คนงกนะ แต่ใช้เงินเป็น คือค่อนข้างเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร เลยต้องหาจุดแข็งในตัวเอง โดยกลายเป็นว่าจะทำยังไงในการเลี้ยงน้อง เราต้องตั้งใจหางาน คอนเสิร์ต ดูแลตัวเอง สร้างมาตรฐานให้ตัวเองมีระเบียบวินัย ยืนได้ด้วยความสามารถตัวเองแบบไหน ก็คุยกับน้องทีมงานและญาติๆ ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีงานคอนเสิร์ตแล้วจะอยู่ยังไง ก็เหมือนเราบอกคนอื่น แล้วเราก็บอกตัวเองด้วย ไม่ใช่ได้มาใช้ไปๆ วันหนึ่งมันจะหมด เพราะเราเองก็หามาลำบากค่ะ
สัมภาษณ์เมื่อ พฤษภาคม 2560
ต่าย อรทัย จากอดีตสาวโรงงานสู่นักร้องขวัญใจมหาชน | รายการ Perspective
จินตหรา พูนลาภ หรือชื่อจริงตามบัตรประจำตัวประชาชนคือ ทองใบ จันทร์เหลือง เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พุทธศักราช 2512 ในครอบครัวเกษตรกรรม บิดาชื่อ นายประไพร จันทร์เหลือง มารดาชื่อ นางจันทร์ จันทร์เหลือง เกิดที่บ้านจานทุ่ง ตำบลสิงห์โคก อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนบ้านจานทุ่ง จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
และจบระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนหอวัง กรุงเทพมหานคร ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ วิชานาฏศิลป์และการละคร จากมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด เมื่อปี พุทธศักราช 2547 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เมื่อปี พุทธศักราช 2550
เป็นลูกคนที่ 4 จากทั้งหมด 5 คนของครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีความสนใจในการร้องเพลงมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยเข้าร่วมการประกวดร้องเพลงที่จังหวัดขอนแก่น และหลังจากชนะการประกวดในครั้งนั้น จึงได้รับการชักชวนจาก "เฮียยิ้ง" ชาย สีบัวเลิศ นักจัดรายการวิทยุเพลงลูกทุ่ง เพื่อเข้าเป็นนักร้องบันทึกเสียงกับ ค่ายแกรมมี่ ผลงานเพลงชุดแรกที่บันทึกเสียงคือ "ถูกหลอกออกโรงเรียน" โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายปรีชา ทรัพย์โสภา นักจัดรายการวิทยุประเภทเล่าข่าวยามเช้าที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมในสมัยนั้น และประสบความสำเร็จตามมาด้วยเพลง "วานเพื่อนเขียนจดหมาย" ทำยอดขายได้ 8 แสนชุด งานเพลงในยุคแรกเป็นแบบลูกทุ่งภาคกลาง และลูกทุ่งอีสาน แต่หลังจากมีผลงาน 4 ชุด ได้เริ่มออกผลงานแนวหมอลำซึ่งได้เสียงตอบรับจากแฟนๆ อย่างล้นหลาม
หลังออกอัลบั้มชุดที่ 16 ชาย สีบัวเลิศ ผู้ปั้น จินตหรา พูนลาภ ให้โด่งดัง ได้แยกตัวออกจากสังกัดเดิม ค่ายแกรมมี่ มาเปิดเป็นค่ายใหม่ชื่อ มาสเตอร์เทป โดยได้ จินตหรา พูนลาภ มาเป็นศิลปินเบอร์หนึ่งของค่าย
จินตหรา พูนลาภ ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในการร่วมงานกับนักร้องรุ่นพี่ เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ในเพลง "แฟนจ๋า" และ "มาทำไม" และในปี พ.ศ. 2547 ได้ร่วมแสดงบนเวที MTV Asia Music Award ที่สิงคโปร์ กับ ธงไชย แมคอินไตย์ แคทรียา อิงลิช และ นัท มีเรีย
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 จินตหรา พูนลาภ ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหม่ อาร์สยาม ในสังกัดอาร์เอส หลังจากที่ค่ายเดิมคือ มาสเตอร์เทป ปิดตัวลงไป
ชีวิตครอบครัว สมรสกับ กอบกิตติ กวีสุนทรกุล หรือ "จังโก้" นักประพันธ์เพลงสังกัดค่ายเพลงพันธมิตร และผู้จัดการวงดนตรีจินตหรา พูนลาภ
ในหน้า "ภาษาอีสานจากเพลง" ได้นำเสนอมีทั้งกลอนลำและเพลงที่ถูกใจสะท้อนชีวิตอย่าง แอบรักหนุ่มยาม เป็นกลอนลำแบบทางขอนแก่น ผลงานของครูเพลง ดาว บ้านดอน เพลง รักโผล่โสนแย้ม สำหรับคนอกหักอีกแล้วครับ แต่ถ้าฟัง ท่วงทำนองก็ม่วนหลายเด้อ เพลง น้ำตาสาววาริน ความช้ำเมื่อคนรักไม่มาตามสัญญา รอแล้วรอเล่าจนงานแห่เทียนผ่านไปอีกปี และยังมีเพิ่มเติมเพลงใหม่ๆ อีกหลายเพลงถ้าสนใจก็ไปดูกันได้
อยู่ในวงการมานานผ่านมาหลายยุค ลุคการแต่งตัวก็เปลี่ยนไป
แล้ว สาวจินตหรา พูนลาภ ก็กระหึ่มวงการเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ ทั้งแฟนลูกทุ่ง และสตริง เมื่อ ป๋าเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ นำเธอมาร่วมร้องเพลง "แฟนจ๋า" ในอัลบั๊มชุด แฟนจ๋า จนเป็นที่ฮือฮาด้วยความใสซื่อของฅนอีสานแท้ๆ และเธอยังได้ไปร่วมงานบนเวที MTV Music Award 2004 ที่สิงคโปร์ กับป๋าเบิร์ด น้องแคท และนัท มีเรีย อีกด้วย ให้มันรู้กันไปเลยว่าไผเป็นไผ จริงไหมน้องจิน?
นับเป็นเวลากว่า 16 ปี แล้วบนเส้นทางการเป็น "นักร้อง" ของสาวเสียงพิณ จินตหรา พูนลาภ เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอจะต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน และเรื่องชีวิตส่วนตัว แต่มาถึงวันนี้ เธอได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ในการทำงานให้กับบรรดาแฟนเพลงของเธออย่างเต็มที่โดยไม่รู้จักเหนื่อย จักท้อ ทำให้ในวันนี้เธอประสบความสำเร็จได้ก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งนักร้องลูกทุ่งอันดับหนึ่งของประเทศไทยแล้ว
จินตหรา พูนลาภ ได้กล่าวถึงเรื่องของการทำงานว่า "จินทำงานแทบจะทุกวัน เวลาพักผ่อนก็จะเป็นเวลากลางวัน ได้นอนวันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นเช่นนี้มา 16 ปีแล้ว ตั้งแต่เข้าวงการเป็นนักร้อง ในหนึ่งปี จินจะได้พักจริงๆ ก็ประมาณ 5-6 วัน"
ก่อนจะมาถึงวันนี้ ชีวิตของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอบอกว่า "ชีวิตของจินในช่วงที่เล่นคอนเสิร์ตอยู่นั้น มันก็มีปัญหา และอุปสรรคให้แก้ไขอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีกำลังใจที่ดีจากแฟนเพลง" เธอยังบอกต่ออีกว่า "แฟนเพลงสำคัญกับจินมาก การเป็นนักร้องมันก็แปลกเหมือนกัน เขาสร้างขึ้นมาอยู่กับเขา สร้างโดยที่ว่าเราต้องเป็นแบบนี้ ต้องเหนื่อยแบบนี้ แต่ว่าได้กำลังใจแล้วเราก็คิดซะว่า เทวดาสร้างมาให้เป็นคนของประชาชน ประชาชนก็ได้ความสุขกับสิ่งที่เราทำ เราก็ได้ความสุขจากงานเรา ได้สิ่งตอบแทนคือกำลังใจ เหมือนกับแลกเปลี่ยนความสุขของกันและกัน มันกลายเป็นว่า เรารู้สึกไม่ได้พัก เราเหนื่อย จินกลับมองว่ามันชดเชยกัน ความสุขของแฟนเพลง ความสุขของจินที่จินได้รับมามันคละเคล้ากันไป ถึงจะลำบาก แต่กำลังใจที่ได้รับจากบรรดาแฟนเพลง ทำให้หายเหนื่อย และมีกำลังใจในการทำงานต่อไป เพื่อบรรดาแฟนเพลงและคนรอบข้าง"
แม้ว่านักร้องลูกทุ่งสาว "จินตหรา พูนลาภ" จะมีน้ำเสียงที่แหบพร่า แต่ก็ยังเป็นแหบมหาเสน่ห์ ขวัญใจประชาชนมานานนับสิบปี สาวจินเธอมีเคล็ด(ไม่) ลับ ในการเรียกพลังเสียงก่อนขึ้นคอนเสิร์ตทุกครั้งว่า
"ส้มตำค่ะ" ส้มตำเผ็ดๆ รสจัดๆ จะทำให้การร้องเพลงของเธอในแต่ละคืนมีเสียงที่ก้องกังวาล เพราะต้องร้องเพลงคืนละหลายสิบเพลง แถมยังไม่มีเว้นอีกต่างหาก โดยทีมงานในวงดนตรี จินตหรา พูนลาภ จะทราบกันว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับวงก็คือ อุปกรณ์ในการตำส้มตำ ไม่ว่าจะเป็น มะละกอ, ครก-สาก และเครื่องปรุงรส ต้องติดรถไปทุกครั้ง จะลืมอะไรก็ลืมได้ แต่ห้ามลืมสิ่งเหล่านี้เด็ดขาด
"หนูจิน" ยังแอบกระซิบมาด้วยว่า เสียงจะดีมากดีน้อย ขึ้นอยู่กับความเผ็ดของส้มตำ ถ้าเผ็ดมาก หลอดลมก็โล่ง ไม่มีอะไรติดขัด ส่วนการกินส้มตำ ต้องใช้วิธีมะรุมมะตุ้มกินกันทั้งวงเท่านั้น ถึงจะแซ่บอีหลี เด้อ...
เต่างอย - จินตหรา พูนลาภ
ในวงการสตริงมี "แมวเก้าชีวิต" อย่าง ดอน สอนระเบียบ ในวงการลูกทุ่งแมวเก้าชีวิตอีกคนคงต้องยกให้ จินตหรา พูนลาภ ที่ดังแล้วเงียบหายไป (จริงๆ เธอก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้ออกอัลบั้มใหม่ และเดินสายแสดงโชว์ในต่างประเทศ) แล้วเธอก็กลับมาดังอีกรอบ ดังคำที่ว่า "แม่ก็คือแม่" ปัจจุบัน จินตหรา พูนลาภ ก็กำลังมีเพลงที่กำลังได้รับความนิยมคือ ฟ้าฮ้องบึ้ม เต่างอย น้ำตาย้อยโป๊ก และ พื้นที่ทับซ้อน ด้วยเป็นผู้มีน้ำเสียงไพเราะ กอปรกับมีลีลาการร้อง และลูกคอที่เป็นเอกลักษณ์ จึงได้รับสมญานามว่า “แหบเสน่ห์” และ “นักร้องสาวเสียงพิณ”
ยินดีต้อนรับสู่ประตูอีสานบ้านเฮา เว็บไซต์ของเรา ใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)